ภาคที่ 7 ศึกสุดท้าย บทที่ 94 ลักลอบ (2)

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 94 ลักลอบ (2)

ภาพฉากนี้จะถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ชั่วกาล

เทพอสูรแต่ละตัวสูงใหญ่ดั่งภูเขา ปลดปล่อยกลิ่นอายทรงพลังน่าผวาออกมา

แต่ละตัวมีพลังสูงส่งถึงขั้นที่ไม่ว่ามนุษย์ใดได้พบก็ต้องตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว

และตอนนี้เหล่าเทพอสูรทั้งหลายก็กำลังเคลื่อนตัวลงจากฟ้าเป็นเส้นสายไร้ที่สิ้นสุด

แต่เมื่อผู้ชมเหตุการณ์เริ่มปรับตัวได้ ความตกตะลึงก็เริ่มเลือนหาย ตอนนี้พวกเขาเพียงรับชมอยู่ไกล ๆ ดังนั้นผลกระทบจากเทพอสูรจึงมีน้อยกว่ามาก

ราวกับว่าเป็นเพียงมดตัวน้อยที่กำลังส่งสายตามองโลกกว้างใหญ่รอบกาย

ทุกสิ่งทุกอย่างดูยิ่งใหญ่ไปหมด แต่พร้อมกันนั้นก็ดูห่างไกลมากเช่นกัน

เทพอสูรรู้สึกเหมือนไกลเกินเอื้อม เหมือนท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว

โชคดีที่ความเป็นจริงไม่เหมือนกับความทรงจำเลวร้ายในอดีต

อย่างน้อยในตอนนี้เผ่าสัตว์อสูรก็เป็นพันธมิตร

สัตว์อสูรขนาดมหึมาเหล่านี้ไม่ได้มีระเบียบวินัยเหมือนเช่นกองทัพเผ่ามนุษย์

พวกมันเต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา แม้จะรู้ว่าสมควรทำตัวสงบให้ได้มากที่สุด แต่มันก็อดไม่ได้ ยามเมื่อเท้าได้แตะอาณาเขตคุนมันก็ยิ่งตื่นเต้น

พวกมันสัมผัสได้ถึงพลังต้นกำเนิดที่หนาแน่นรอบกาย

หรือก็คือมันสามารถสัมผัสได้ว่าโลกใบนี้เหมาะสมกับมันมาก

กล่าวอีกนัยหนึ่งคือพวกมันไม่ต้องหิวโหยและรอความตายอีกต่อไป

“กรรรรร!!!”

เสียงคำรามตื่นเต้นดังก้องฟ้า ดังมากเสียจนคำสวดภาวนาจากเหล่าศิษย์ไม่สามารถปิดบังพวกมันได้อีก

ยังโชคดีที่เผ่าเทพตัดขาดการเชื่อมต่อไปหมดแล้ว แต่ก็ยังเป็นเสียงที่น่าขวัญผวาสำหรับคนที่ยังกลัวเผ่าสัตว์อสูรก็ตามที

กระทั่งซูเฉินที่อยู่อีกฝั่งของปราการยังได้ยิน เขาเหลือบมองบรรพชนเสวีย เอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าไม่ดูชมเท่าไหร่ “ข้านึกว่าท่านตกลงว่าจะให้พวกเขายับยั้งความตื่นเต้นลงสักนิดเสียอีก

ค้างคาวชิงโลหิตตัวน้อยที่เกาะอยู่บนไหล่เขาถอนหายใจตอบ “ข้าพยายามแล้ว แต่สุดท้ายพวกมันก็ยังเป็นสัตว์อสูร ไม่ใช่มนุษย์ มีวิธีแสดงอารมณ์แตกต่างกัน ก็ปล่อยพวกมันไปเถอะ จะสำเร็จหรือไม่ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าเราระแวดระวังหรือไม่ แต่ขึ้นอยู่กับว่าสุดท้ายแล้วเผ่าเทพขลาดเขลาขนาดไหนต่างหาก”

“เช่นนั้นก็บอกให้พวกเขาเดินหน้าต่อ เรายังมีเรื่องให้ทำอีกมาก” ซูเฉินเอ่ย

“แน่นอน” บรรพชนเสวียว่า

แล้วเขาก็ถอนหายใจเสียงเบาออกมา

ค้างคาวชิงโลหิตตัวเล็กปรากฏขึ้นเหนือศีรษะของเหล่าเทพอสูร เอ่ยคำพูดเสียงเบาออกมา

คำเตือนจากเทพอสูรบรรพกาลจึงทำให้พวกมันสงบลงในที่สุด

พวกมันเคลื่อนไหวอย่างเชื่องช้าไปมาอยู่รอบนอกของค่ายกลแล้วส่งพลังไปในอากาศ

สะพานที่อยู่บนฟากฟ้าเริ่มขยายใหญ่ขึ้นอีกครั้ง

นี่คือหนทางที่ซูเฉินและคนอื่น ๆ จะเตรียมไว้เพื่อแผนการแทรกซึมนี้นั่นเอง

ประการแรกคือการใช้ปืนใหญ่สังหารปีศาจของปักษาเพื่อขยายรอยแยกบนปราการ จากนั้นใช้สมอทะเลลึกเพื่อทำให้มันมั่นคง ต่อมาหุ่นเชิดยักษ์ก็ทำหน้าที่สร้างรากฐานให้สะพานสายแรก หลังจากนั้นก็เป็นผู้เชี่ยวชาญพลังทั้งหลายที่ส่งพลังสร้างฐานให้สะพานสายที่สอง และเป็นเช่นนี้ไปเรื่อย

นี่คือวิธีที่พวกเขาเพิ่มความเสถียรของสะพานเพื่อที่จะส่งนักสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดข้ามผ่านปราการไปได้

กลับมายังฝั่งเมืองล่องนภา ผู้เชี่ยวชาญระดับต่ำชาวมนุษย์จำนวนมากและปรมาจารย์อาร์คาน่าชาวปักษายังคงตั้งค่ายกลอยู่ ในขณะที่ฝั่งอาณาเขตคุนนั้นเป็นผู้เชี่ยวชาญระดับสูงและเทพอสูร นับเป็นโครงสร้างที่สามารถทำให้เทพอสูรบรรพกาลข้ามผ่านไปได้เช่นกัน

เมื่อสะพานได้รับการยกระดับจนถึงขั้นนี้ กระทั่งเผ่าเทพยังสามารถข้ามผ่านปราการไปได้

หรือจะพูดก็คือพลังของแดนต้นกำเนิดไม่ได้ด้อยไปกว่าเผ่าเทพเลยทีเดียว แม้การที่ปราการอ่อนกำลังลงและมีสมอทะเลลึกที่ช่วยให้พลังมั่นคงจะทำให้แผนการง่ายดายขึ้น แต่การที่พวกเขามีพลังมากพอจะทำมันให้สำเร็จได้ก็นับว่าเป็นสิ่งที่มหัศจรรย์มากเช่นเดียวกัน

น่าเสียดายที่พลังระดับนี้มาจากผู้คนจำนวนมาก ไม่ใช่พลังที่กระจุกตัวอยู่ในกลุ่มชนระดับสูงเช่นเผ่าเทพ

แต่ที่สำคัญไปกว่านั้นคือเผ่าเทพในตอนนี้กำลังอยู่ในสภาวะอ่อนแอ

หากเผ่าเทพสามารถข้ามผ่านปราการไปได้ เดินทางมาถึงแดนต้นกำเนิดด้วยสะพานเส้นนี้ ความฝันของพวกเขาก็จะเป็นจริง มองอีกมุมหนึ่งก็นับว่าเป็นโอกาสอันดีของเผ่าเทพเช่นกัน

แต่ซูเฉินได้ตระเตรียมเรื่องนี้ไว้รอแล้ว

ส่วนที่เป็นรากฐานที่สุดของสะพานแห่งนี้ก่อตัวขึ้นจากหุ่นเชิดยักษ์เกือบพันตัว พวกมันได้รับคำสั่งให้ล่าถอยทันทีหากสัมผัสได้ถึงพลังศักดิ์สิทธิ์

เช่นนี้จะทำให้สะพานล่มสลายลง สังหารเผ่าเทพตนใดที่หมายจะแอบข้ามมาอีกฝั่ง

และแน่นอนว่านั่นจะส่งผลให้ผู้เชี่ยวชาญในอาณาเขตคุนถูกทอดทิ้งในที่สุด

นับว่าเป็นผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

เคราะห์ดีที่มันยังไม่เกิดขึ้น

ความเกลียดชังและความต้องการจับตัวสายลับของเผ่าเทพทำให้ตอนนี้พวกเขาหูตาบอด ทางเลือกเดียวที่จะปิดแผนการไว้เป็นความลับคือการที่ต้องเก็บทุกอย่างให้มิดชิด ไม่ให้สายลับสามารถปล่อยข้อมูลให้รั่วไหลออกไปได้ เช่นนี้แล้วเผ่าเทพจึงมีแต่ต้องทำตาม

สะพานที่ทอดตัวอยู่บนฟ้าเริ่มส่องแสงสว่างขึ้นเรื่อย ๆ

ทันใดนั้นแม่น้ำสายสีเงินก็วาดผ่านฟ้า กระทั่งเผ่ามนุษย์ที่อยู่ห่างไกลยังสามารถเห็นแม่น้ำที่ส่องแสงระยับได้ นับว่าทุกคนเห็น มีเพียงพวกเทพเจ้าเท่านั้นที่ไม่เห็น

“สะพานสะบั้นแดนเสร็จสมบูรณ์!” หลินเฉ่าเซวียนตะโกนขึ้น

เคร้ง!!!

เสียงระฆังดังก้องกังวานไปทั่ว มันล่องลอยจากฝั่งหนึ่งของปราการไปยังอีกฝั่งหนึ่ง กระทั่งผู้คนฝั่งอาณาเขตคุนยังสามารถได้ยิน

ระฆังเรียกสังหาร!

กรรรรร!!!!

สิ้นเสียงคำรามสนั่นฟ้า เทพอสูรบรรพกาลตัวแรกก็ปรากฏขึ้นจากทิวเขา

เทพอสูรบรรพกาลไม่ได้ปรากฏตัวขึ้นเป็น ๆ เช่นนี้มานานมากแล้ว

จังหวะที่มันโผล่ขึ้นมา ทุกคนจึงเห็นว่าแท้จริงแล้วร่างกายของมันก็คือทิวเขาเหล่านั้นเอง

ณ จุดที่ห่างไกลออกไป สายน้ำในลำธารเริ่มกลั่นแน่น ก่อเกิดเป็นเทพอสูรบรรพกาลที่สร้างขึ้นจากสายน้ำ พลังธาตุอันบริสุทธิ์ของมันสูงส่งมาก

ทั่วทั้งผืนป่าเกิดแรงสั่นสะเทือนรุนแรง เหล่าต้นไม้ในพงไพรรวมตัวกันกลายเป็นร่างกายที่สร้างขึ้นจากไม้ มันสูงมากราวกับจะแตะสวรรค์ทีเดียว

ทั่วทั้งแดนต้นกำเนิดเกิดปรากฏการณ์ ขุนเขาเลือนหาย สายธารเปลี่ยนทิศ ผืนป่าวิปริต ทะเลทรายหดตัว

พึบ ๆ!

สุดท้ายก็เป็นกองทัพค้างคาวชิงโลหิตตัวน้อยหลายระลอกที่พากันบินผ่านฟ้าดั่งฝูงตั๊กแตน เมื่อรวมร่างกันแล้วก็กลายเป็นค้างคาวชิงโลหิตขนาดมหึมา

“ทำได้ดีมากเจ้าหนุ่ม!” บรรพชนเสวียว่าพลางส่งสายตามองสะพานสะบั้นแดน นัยน์ตาบังเกิดแววแห่งความหวัง

หากเทพอสูรบรรพกาลข้ามสะพานนั้นไป อย่างน้อยก็ยังมีโอกาสรอดชีวิต!

บรรพชนเสวียมีขนาดตัวเล็กที่สุดในหมู่เทพอสูรบรรพกาล แท้จริงแล้วสะพานสายที่สองนับว่ากว้างพอให้เขาผ่านไปได้แล้ว

ร่างกายของเขามีพลังงานอยู่มาก มากมายเสียจนมีเพียงแค่สะพานสะบั้นแดนที่จะสามารถทานทนได้ ในฐานะผู้นำเทพอสูรบรรพกาล เขาอดทนรอให้ตัวอื่นข้ามผ่านไปให้หมดเสียก่อน นับว่าสมกับตำแหน่งมากทีเดียว

มีเทพอสูรบรรพกาลอยู่ไม่มากเท่าไหร่ จนถึงตอนนี้ที่ยังมีชีวิตอยู่ก็เหลือเพียงสิบกว่าตัวเท่านั้น

แต่พลังอันสูงส่งของมันทำให้การข้ามสะพานเป็นไปด้วยความยากลำบาก

ตอนนี้เทพอสูรบรรพกาลที่จำศีลนานจนกลายเป็นทิวเขากำลังพยายามจะข้ามสะพานไปอยู่

แต่มันมีขนาดใหญ่มากจนร่างคับไปทั้งสะพาน ทำให้ยังไม่สามารถผ่านไปได้

ส่วนศีรษะของมันโผล่เข้ามาในอาณาเขตคุนแล้ว แต่ร่างกายกว่าครึ่งยังคงห้อยอยู่ฝั่งแดนต้นกำเนิด

บรรพชนเสวียส่ายหน้าไม่พอใจ “ทางยังแคบเกินไป”

ซูเฉินตอบ “ยังแคบเกินไปหน่อยใช่หรือไม่? คงถึงเวลาให้ข้าลงมือแล้ว”

พูดจบเขาก็ดีดร่างขึ้นไปยังใจกลางค่ายกลขนาดใหญ่ในเมืองล่องนภา

ค่ายกลแห่งนี้ได้รับพลังสนับสนุนจากผู้เชี่ยวชาญระดับต่ำชาวมนุษย์และทหารปักษาจำนวนมาก แต่ที่ศูนย์กลางค่ายกลเหมือนจะปล่อยว่างเอาไว้ราวกับรอใครบางคนอยู่

ทันทีที่ซูเฉินก้าวเข้าไปยังศูนย์กลางของค่ายกลนั้น มันก็เปล่งแสงสว่างจ้าขึ้นมา

ซูเฉินเอื้อมมือออกไปแล้วกำหมัด ทันใดนั้นสะพานสะบั้นแดนก็ค่อย ๆ ขยายขนาดขึ้นอย่างช้า ๆ

เพียงพริบตาเดียวเทพอสูรบรรพกาลก็เป็นต้องคำรามร้องตกใจ เพราะเมื่อเส้นทางแคบที่เคยเบียดเสียดเมื่อครู่นั้นขยายออก ร่างอันใหญ่โตของมันก็หลุดผลุงเดินหน้าต่อไปข้างหน้า

เทพอสูรบรรพกาลยินดีนักหนากับการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ ก่อนที่จะพยายามพาร่างของตนข้ามไปอีกฝั่ง

สิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่อันน่าหวาดกลัวปรากฏขึ้นเหนือฟากฟ้าอาณาเขตคุน แรงกดดันในชั้นบรรยากาศเพิ่มสูงขึ้นทันใด

“ช่างมีพลังสูงส่งจนน่าตกใจจริง ๆ!” บรรพชนเสวียถอนหายใจอย่างนึกอัศจรรย์ใจพลางเหลือบมองซูเฉิน

การที่เขาสามารถขยายขนาดสะพานสะบั้นแดนได้มากขนาดนี้ด้วยตัวคนเดียวเป็นเครื่องแสดงให้เห็นว่าเขาไม่ได้มีเพียงพละกำลังสูงส่ง แต่อัตราที่พละกำลังนั้นเพิ่มสูงขึ้นก็ยังมากด้วยเช่นกัน

แม้ในตอนแรกเขาจะสามารถเอาชนะเทพอสูรได้ด้วยการพึ่งพาโชคและสถานการณ์ แต่ซูเฉินในตอนนี้นับว่าแข็งแกร่งมากพอจะโค่นเทพอสูรได้ด้วยตัวคนเดียวแล้ว

หรือก็คือพลังเทียบขั้นเทพเจ้าไปทุกวัน

ไม่แน่ว่าอีกเพียงก้าวเดียวก็อาจถึง… บรรพชนเสวียคิด

ในที่สุดเทพอสูรบรรพกาลที่มีร่างเป็นทิวเขาก็สามารถข้ามไปยังอีกฝั่งได้สำเร็จ มันส่งเสียงคำรามลั่นด้วยความปีติยินดี

ต่อมาคือเทพอสูรบรรพกาลน้ำ

มันไม่เหมือนกับเทพอสูรบรรพกาลทิวเขาที่ใช้เพียงแต่กำลังในการดันร่างตนเองผ่านไป เทพอสูรบรรพกาลน้ำปรับตัวได้ดีกว่ามาก มันเปลี่ยนร่างตนเองให้กลายเป็นสายธาร ไหลไปตามทางสะพานอย่างมั่นคง ตราบเท่าที่สะพานสามารถทนพลังของมันได้ มันก็สามารถข้ามผ่านไปได้อย่างรวดเร็ว

เทพอสูรบรรพกาลแห่งพงไพรดูเหมือนจะใช้พละกำลังเช่นกัน คล้ายกับเทพอสูรบรรพกาลทิวเขาตัวนั้น

ด้วยเพราะขนาดตัวที่สูงเกินไป มันจึงไม่สามารถข้ามสะพานโดยยืดตัวตรงได้ ด้วยเหตุนี้เทพอสูรบรรพกาลแห่งพงไพรจึงจำเป็นต้องคลานผ่านไป

ในขณะที่มันกำลังคลาน มันก็เหลือบมองราชันจักรพรรดิอสูรขู่ฉาแล้วหัวเราะอย่างมีความนัย

ขู่ฉาสะดุ้งแล้วก้มหัวลง ปิดปากเงียบอย่างรู้ความ

มองบางมุม การที่เขากลืนปัญญาของบรรพชนซู่เข้าไปนับว่าทำให้เขากลายเป็นศิษย์ของอีกฝ่าย ทว่าขู่ฉารู้ดีว่าการเป็นศิษย์บรรพชนซู่ไม่ใช่เรื่องดีสักเท่าไหร่ อย่างไรอีกฝ่ายก็อสูรพืช สามารถดูดกลืนพลังจากสิ่งมีชีวิตอื่นได้ สุดท้ายแล้วศิษย์ที่เก่งกล้าก็จะกลายเป็นของชูกำลังของมันไปโดยปริยาย

โชคดีที่บรรพชนซู่ทำเพียงข้ามสะพานไป ไม่ได้หมายจะกินเขาแต่อย่างใด

เพราะอีกฟากหนึ่งมีแหล่งอาหารให้บำรุงร่างได้มากกว่า

เทพอสูรบรรพกาลตัวแล้วตัวเล่าขยับเคลื่อนผ่านสะพานไป ทุกจังหวะเคลื่อนไหวเผาผลาญพลังงานไปจำนวนมาก

หลังจากเทพอสูรบรรพกาลส่วนมากได้ข้ามสะพานไปแล้ว บรรพชนเสวียจึงเริ่มข้ามไปบ้าง

เขามีขนาดตัวเล็กที่สุด ทำให้สามารถข้ามสะพานได้อย่างง่ายดาย

แต่ทุกย่างก้าวกลับทำให้สะพานร้องลั่นสั่นสะเทือน ราวกับจะสลายไปได้ทุกเมื่อ

เป็นเพราะสะพานเริ่มจะอ่อนแรงลงแล้วนั่นเอง และเป็นเพราะพลังอันสูงส่งของบรรพชนเสวียด้วยเช่นกัน

โชคดีที่บรรพชนเสวียรวดเร็วนัก เหมือนจะสัมผัสได้ว่าสะพานกำลังจะถล่ม บรรพชนเสวียปล่อยเสียงคำรามออกมาก่อนจะแยกร่างออกมานับไม่ถ้วน ร่างแยกทั้งหลายล้วนพุ่งตัวไปยังอีกฟากของสะพาน

เมื่อค้างคาวชิงโลหิตบินกรูออกไปยังอีกฟากราวกับธารสีเลือดแล้ว ภาระของสะพานสะบั้นแดนจึงลดลง ซูเฉินพลันถอนหายใจออกมา

“สำเร็จ!” ซูเฉินตะโกนลั่น “เหลือขั้นสุดท้ายแล้ว หมุนสมอ!”

“หมุนสมอ!”

“หมุนสมอ!”

“หมุนสมอ!”

คำสั่งถูกถ่ายทอดไปทั่วเมืองล่องนภา

สมอทะเลลึกเริ่มส่งเสียงดังอีกคราหนึ่ง

ไม่ใช่เพราะว่าจะถอนสมอกลับ แต่เป็นการดึงมันให้ตึงเพื่อให้โซ่ตึงที่สุดเท่าที่จะทำได้

เมื่อโซ่ถูกดึงจนตึงแล้ว เมืองล่องนภาจึงค่อย ๆ เคลื่อนเข้ามาแล้วค่อย ๆ รุดหน้าเข้าหารอยแยก

“แยกฟ้า!”

“แยกฟ้า!”

“แยกฟ้า!”

อีกหนึ่งคำสั่งดังก้องไปในอากาศ

แต่มันไม่ใช่คำสั่งสำหรับเมืองล่องนภา เป็นการสั่งการหุ่นเชิดยักษ์นับพันในรอยแยกนั่นเอง

หุ่นเชิดยักษ์ทั้งหมดสะบัดฝ่ามือออกพร้อมเพรียงกัน

คมดาบฝ่ามิติ!

คมดาบฝ่ามิตินับพันซัดเข้าใส่ปราการ ส่งผลให้เกิดแรงสั่นสะเทือนรุนแรง

จากนั้นก็ซัดแรงโจมตีมาอีกระลอก

รอยแยกจึงขยายขนาดขึ้นเรื่อย ๆ

ตอนนี้สะพานดูไม่เหมือนเป็นสะพานอีกต่อไป แต่เหมือนเป็นประตูไปแล้ว

ประตูยักษ์ตั้งตระหง่านอยู่บนท้องฟ้า ส่องประกายระยับด้วยแสงเรืองรอง เพราะแรงกดดันมหาศาลที่ปราการสำแดงออกมา ประตูจึงสามารถรั้งอยู่ใดเพียงชั่วขณะเท่านั้น

“บุก!!!”

ตูม!

เมืองล่องนภาปะทะเข้ากับประตูสะบั้นแดนอย่างจัง

แรงพลังมหาศาลปะทะเข้าหาบานประตู กดดันมันให้เปิดออก ยามเมืองพยายามรุดเข้าประตูไปก็เกิดแสงจ้าวาบขึ้น แสดงให้เห็นว่าประตูใกล้จะพังเต็มทน

ทันใดนั้นประตูก็พังลงก่อนเมืองล่องนภาจะผ่านออกไปได้ทั้งหมด ทำลายเมืองส่วนด้านหลังไปทันที

ตูม!

แล้วทุกสิ่งอย่างก็กลับคืนสู่ความสงบ