ภาคที่ 7 ศึกสุดท้าย บทที่ 95 บุกพิชิต

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 95 บุกพิชิต

เมื่อเมืองล่องนภาข้ามฝั่งปราการมาได้ก็นับว่าแผนการแทรกซึมสำเร็จ

กระบวนการดังกล่าวทำให้เกิดความเสียหายต่อปราการอย่างถาวรเช่นกัน ดังนั้นระยะเวลาก่อนที่มันจะล่มสลายจึงยิ่งมีน้อยลงไปอีก

ราวกับทำการผ่าตัดผู้ป่วยระยะสุดท้ายแล้วไม่สำเร็จ มีแต่ยิ่งทำให้อายุขัยสั้นลงเท่านั้น

แต่ถึงจุดนี้มันก็ไม่สำคัญแล้ว

ทุกอย่างจะจบสิ้นก่อนปราการจะล่มสลายอย่างสมบูรณ์แน่นอน

ตอนนี้เมืองล่องนภาผ่านมาแล้ว ซูเฉินจึงทะยานขึ้นไปยังจุดบนสุดของเมืองแล้วเอ่ยคำ “ไหน ๆ ก็มาแล้ว ก็ลงมือเลยเถอะ”

หวูดดดดด!!!

ครั้งนี้แทนที่จะเป็นเสียงระฆัง กลับเป็นเสียงร้องโหยหวนดังก้องไปทั่วท้องฟ้า

วัตถุบินได้จำนวนมากลอยขึ้นจากเมืองล่องนภา

วังไร้ขอบเขต เรือเหาะ ค่ายกลสะเก็ดดาวของมนุษย์ และรถม้าลอยของปักษาล้วนเคลื่อนมาบนฟ้าแล้วมุ่งหน้าไปทั่วทุกสารทิศ ทันใดนั้นคนด่านสู่พิสดารและด่านที่สูงกว่าก็แยกย้ายกันไปทำตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย

มนุษย์ สัตว์อสูร และปักษาล้วนได้รับคำสั่งมานานแล้ว ทั้งหมดรู้ดีว่าตอนนี้ตนเองมีหน้าที่อะไรบ้าง

จึงมุ่งหน้าไปยังจุดที่ได้รับมอบหมายทั้งสิ้น

“เจ้าไปปาหลู่เท่อ”

“เจ้าไปฮาเค่อม่าน”

“เจ้าไปเมืองใจสิงห์”

“เจ้าไปเทือกเขาศิลาลอย”

“เจ้าไปเมืองชายแดน”

“เจ้าไปที่ราบพันกระดูก”

“เจ้าไปป่าแยกธาร”

“เจ้าไป…”

“เจ้าไป…”

“เจ้าไป…”

เหล่าทหารทั้งหลายจึงถูกส่งออกไปทันที

คำสั่งของหัวหน้าและผู้มีตำแหน่งสูงกว่าดังก้องกังวานอยู่ในจิตใจ

“จำคำสั่งเหล่านี้เอาไว้: คนในอาณาเขตคุนต้องละทิ้งความศรัทธาทันที ทำลายโบสถ์ทุกแห่ง ถล่มรูปปั้นทั้งหมด ห้ามไม่ให้บูชาเทพองค์ใด ห้ามเอ่ยนามเทพของพวกเขา ใครกล้าขัดขืนจะถูกสังหารทิ้ง!”

“เหมือนได้กลับมาอยู่ในโลกของเราอีกครั้งเลยเชียว”

“โลกนี้ไม่จำเป็นต้องมีเทพเจ้า พวกเราไม่ต้องการปรสิตพวกนั้น ทั้งที่แข็งแกร่งขึ้นได้จากแรงศรัทธาและพลังชีวิตของเราแท้ ๆ แต่พวกนั้นก็ยังยืนกรานที่จะรักษาตำแหน่งอันสูงส่งและกดขี่พวกเราทุกคนเอาไว้อีก”

“ไม่จำเป็นต้องมีหรอก!”

“เช่นนั้นก็ไปกำจัดมันให้สิ้นซากเถอะ!”

คำสั่งจากเบื้องสูงสลักลงในใจพวกเขาอย่างถี่ถ้วน ไม่จำเป็นต้องย้ำคำอะไรอีก

ด้วยจิตวิญญาณการต่อสู้และกำลังใจแรงกล้า เหล่าทหารจึงมุ่งหน้ากระจายตัวไปทั่วแดน ผู้เชี่ยวชาญระดับกลางถึงต่ำกลุ่มใหญ่ได้กำหนดกฎหมายเคร่งครัดชุดใหม่ให้กับเจ้าของแดน

พละกำลังของทหารแต่ละกลุ่มได้ถูกคำนวณจากสถานที่ที่ได้รับมอบหมาย ทำให้สามารถเข้าควบคุมเขตนั้นได้อย่างง่ายดายโดยไม่เสียกำลังคนไปสักนิด

พวกเขาต้องฉวยจังหวะที่เผ่าเทพปลีกตัวสู่สันโดษชิงเอาดินแดนมาให้ได้ ขุดรากถอนโคนความศรัทธาที่เผ่าเทพจำเป็นต้องใช้โดยเร็ว

การบุกรุกได้ดำเนินการอย่างเต็มที่แล้ว

ผู้ศรัทธาในโบสถ์นภาไร้เงาไม่สนใจเรื่องนี้สักนิด พวกเขาไม่รู้ว่าคนพวกนี้มาจากไหน หรือมีจุดประสงค์ใด

แต่ถึงจะรู้จักพวกเขาก็คงไม่สน

เพราะหนึ่งในคำสอนหลักของเทพนภาไร้เงาคือความเปลี่ยนแปลงกำลังใกล้เข้ามา มีแต่ผู้ที่เคร่งครัดศรัทธาต่อเทพนภาไร้เงาเท่านั้นจึงจะสามารถรอดชีวิตจากภัยพิบัติที่กำลังมาเยือนได้

เหล่าศิษย์จึงอธิษฐานอย่างขยันขันแข็งต่อไป

แท้จริงแล้วนี่คือสิ่งที่พวกเขาทำเมื่อทหารกลุ่มแรกมาถึง

กล่าวอีกนัยหนึ่ง ณ จุดนี้พวกเขาไม่มีทางเลือกอีกต่อไป

สิ่งที่ทำได้คือเชื่อใจผู้นำที่แท้จริงของพวกเขา คือหลินซวงนั่นเอง

เหล่าศิษย์ยังคงสวดมนต์และอธิษฐานให้ดังที่สุดเท่าที่จะทำได้

หลินซวงค่อย ๆ ลอยขึ้นสู่ฟ้าท่ามกลางเสียงภาวนา ลอยขึ้นไปอยู่ข้างซูเฉิน

ซูเฉินมองเมล็ดที่เขาเป็นคนลงมือปลูกในอาณาเขตคุนด้วยตนเอง ผ่านการเจริญเติบโตมาหลายปี หลินซวงเติบโตจากต้นกล้าต้นน้อยไปเป็นต้นไม้สูงใหญ่แล้ว

“ยังไม่มากพอ” ซูเฉินเอ่ย

มีเพียงหลินซวงที่เข้าใจคำพูดที่จู่ ๆ ก็เอ่ยขึ้นมานี้

เพราะเขาและซูเฉินมาจากต้นกำเนิดเดียวกัน

ซูเฉินกำลังบอกว่าความสำเร็จของเขายังไม่มากพอเท่าศักยภาพที่เขามี

จุดสูงสุดที่ซูเฉินต้องการย่อมเป็นด่านวิญญาณแรกเริ่ม

“เกือบถึงแล้ว” หลินซวงว่า “ข้าเพียงต้องการตัวเร่งเพื่อเริ่มทะลวงครั้งใหม่”

“ข้านี่ล่ะตัวเร่ง” ซูเฉินพลันเอื้อมมือมาวางไว้บนหน้าผากหลินซวง

เจตจำนงแผ่ขยายไปทั่วจิตหลินซวง พลังศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในร่างกำลังถูกพลังอมตะครอบงำและขับไล่มันออกไป

ทว่าพลังศักดิ์สิทธิ์นี้ไม่หายไป มันกลับยังลอยวนอยู่ในอากาศ เรืองแสงสีทองอ่อน ๆ ออกมา

เหล่าศิษย์เบื้องล่างสามารถสัมผัสถึงพลังอันสูงส่งจากลูกแสงสีทองได้อย่างชัดเจน

พวกเขาล้วนคิดว่าเทพนภาไร้เงาได้ปรากฏขึ้นแล้ว พากันคุกเข่าลงร้องเรียกชื่อ จำนวนพลังศักดิ์สิทธิ์ที่ส่งมอบให้เทพนภาไร้เงาจึงยิ่งดีดขึ้นถึงขีดสุด

ซูเฉินพลันเปลี่ยนพลังศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดไปเป็นพลังอมตะและฝังมันกลับลงไปในร่างหลินซวง พร้อมกันนั้น ซูเฉินก็เสริมพลังอมตะให้อีก ทำให้พลังอมตะของหลินซวงพุ่งสูงขึ้นอย่างบ้าคลั่ง มันปะทะเข้ากับแสงสีทองของพลังศักดิ์สิทธิ์ภายในร่าง เกิดเป็นคลื่นขนาดยักษ์ซัดสาดเข้าหากัน

กระทั่งบรรพชนเสวียได้เห็นยังต้องประหลาดใจ

“นั่นมันพลังอะไรกัน?”

ซูเฉินไม่ตอบ ทว่าพลังของหลินซวงยังคงพุ่งสูงอย่างไร้ขีดจำกัด

สุดท้ายลำแสงสีทองและสีขาวก็เลือนหายไป แม้ว่าหลินซวงจะเป็นเพียงคนหนึ่งคน แต่ก็ให้กลิ่นอายที่เหนือกว่านั้น

ศิษย์นิกายไร้ขอบเขตเคยสัมผัสความรู้สึกนี้เพียงครั้งหนึ่งเท่านั้น

“วิญญาณแรกเริ่ม” หลี่ฉงซานส่งสายตาอิจฉาไปยังหลินซวง

ร่างแยกของซูเฉินทะลวงด่านวิญญาณแรกเริ่มแล้วเช่นกัน

หลี่ฉงซานใช้เวลาบำเพ็ญพลังมาพอ ๆ กับหลินซวง แต่เพิ่งจะถึงขั้นก่อร่างเท่านั้น ทว่าหนึ่งในร่างแยกของซูเฉินกลับถึงด่านวิญญาณแรกเริ่มเสียแล้ว จะไม่ให้อิจฉาก็คงเป็นไปไม่ได้

เคราะห์ดีที่ความอิจฉานี้อยู่ได้เพียงไม่นาน

ครู่ต่อมา ซูเฉินและหลินซวงก็เหลือบมองกัน จากนั้นก็เดินเข้าหากัน

สองร่างผสานเป็นหนึ่งเดียว

ซูเฉินใช้พลังในการหล่อเลี้ยงหลินซวงไปจำนวนมาก ตอนนี้เขาหมายจะรวมร่างกับอีกฝ่าย หวังว่าการผสานวิญญาณแรกเริ่มสองดวงเข้าด้วยกันจะทำให้สามารถทะลวงพลังไปสู่ด่านต่อไปได้

ชั่วครู่ต่อมา ภาพตระการตาก็ปรากฏขึ้น

เทพนภาไร้เงาได้ปรากฎตัวขึ้นแล้ว!

แน่นอนว่าซูเฉินไม่ใช่เทพนภาไร้เงาที่แท้จริง แต่อำนาจและความงามสง่าที่ฉายออกมาจากร่างยามเขาลอยตัวอยู่บนฟ้าทำให้เขาเปล่งประกายราวกับตะวันดวงหนึ่ง

บรรพชนเสวียเห็นแล้วยังตะลึง

“นี่น่ะหรือหนทางสู่อมตะ? ร่างกายก็คือโลก สามารถมอบให้ได้ทุกสิ่งอย่างงั้นหรือ? เป็นการพัฒนาร่างของตน? มนุษย์เอ๋ย… พวกเจ้าจะมีความสามารถที่ซ่อนเร้นอยู่มากมายเช่นนี้ได้อย่างไรกัน? มันเป็นไปได้อย่างไรกัน?” บรรพชนเสวียตกตะลึงเป็นยิ่งนัก

ดวงตะวันที่หลอมรวมเข้าด้วยกันดวงใหม่ที่เพิ่งเผยกายยิ่งสว่างจ้ามากขึ้น และเริ่มหดเล็กลงจนกลายเป็นดวงแสงกลมรีที่มีลักษณะคล้ายไข่

เสมือนไข่ฟองหนึ่งที่กำลังจะฟัก

ทุกคนอยากรู้นักว่าจะมีสิ่งใดฟักออกมาจากไข่กันแน่

น่าเสียดายที่ไม่เกิดอะไรขึ้น

ไข่ฟองนั้นหายไปแล้ว

มันเริ่มต้นได้ยิ่งใหญ่มาก แต่ตอนจบนั้นตรงกันข้ามทีเดียว

ไข่ฟองยักษ์ได้อันตรธานไปอย่างนั้น เหลือไว้เพียงซูเฉินที่ยืนอยู่ลำพัง

หลินซวงหายไปแล้ว ร่างกายเขาหลอมรวมกลับสู่ร่างหลัก

แต่ซูเฉินกลับมีสีหน้าไม่ค่อยยินดีเท่าไหร่

หลี่ฉงซาน กู่ชิงลั่ว และคนอื่น ๆ ต่างรุดเข้ามาหา

จูเซียนเหยาถามขึ้นด้วยความสนใจ “สำเร็จหรือไม่?”

ซูเฉินส่ายหน้า “ไม่ ข้าทำล้มเหลว”

ใจทุกคนพลันหล่นวูบ

“แต่ก็ไม่คว้าน้ำเหลวเสียทีเดียว อย่างน้อยก็ถึงขั้นสูงสุดของด่านวิญญาณแรกเริ่มแล้ว อาจต้องใช้อีกสักตัวเร่งหนึ่ง และต้องทำความเข้าใจด่านต่อไปให้ลึกซึ้งขึ้นอีกหน่อย ถึงตอนนั้นข้าคงจะพร้อมทะลวงด่านอีกครั้ง” ซูเฉินตอบ

น่าเสียดายที่แผนการผสานวิญญาณแรกเริ่มทั้งสองร่างเข้าด้วยกันเพื่อทะลวงสู่ด่านต่อไปนั้นล้มเหลว

เรื่องนี้ไม่ใช่เพราะพลังที่เกิดจากการควบรวมกันของทั้งสองร่างมีไม่เพียงพอ แต่เป็นเพราะซูเฉินไม่รู้ว่าควรจะเดินไปทางไหนมากกว่า

เขาจึงไร้ทางเลือก ต้องพยายามคลำทางด้านหน้าไปด้วยตนเอง หรือก็คืออย่างไรก็หนีความล้มเหลวไม่พ้นนั่นเอง

การรวมวิญญาณแรกเริ่มทั้งสองย่อมนำมาซึ่งพลังสูงส่ง แต่ไม่ได้ทำให้เกิดการทะลวงพลังแต่อย่างใด

ตัวเร่ง!

ซูเฉินจำเป็นต้องใช้ตัวเร่ง!

เขาอาจเป็นตัวเร่งให้หลินซวงได้เพราะเขามีทั้งความเข้าใจและพลัง

แต่ตัวเขากลับขาดตัวเร่งที่จะทำให้ก้าวสู่ด่านพลังต่อไปได้

จึงได้แต่หวังว่าศึกที่กำลังจะเกิดนี้อาจทำให้เขามีความเข้าใจเกี่ยวกับพลังได้มากขึ้น

“เท่านี้ก็ดีมากแล้ว” หลี่ฉงซานเอ่ยปลอบ

ไม่ว่าอย่างไรซูเฉินก็แข็งแกร่งขึ้นอยู่ดี ตอนนี้ไม่มีใครสามารถเทียบความแข็งแกร่งของเขาได้อีกต่อไป

จะสามารถเอาชนะเทพอสูรด้วยตัวคนเดียวได้แล้วหรือไม่กัน? หลี่ฉงซานครุ่นคิด

น่าเสียดายที่ตอนนี้เทพอสูรกลายเป็นพันธมิตร ดังนั้นจึงไม่อาจได้เห็นการต่อสู้กันอีก

ดูเหมือนว่าคงจะได้ประลองกำลังกับเทพเจ้าเท่านั้นแล้ว

ระหว่างที่ทหารมนุษย์และปักษาออกไปปฏิบัติหน้าที่ สัตว์อสูรก็ประจำการอยู่ในตำแหน่ง

พวกมันไม่เหมาะกับภารกิจที่ต้องจัดกำลังพล หากซูเฉินส่งพวกมันออกไปคุมพื้นที่ พวกมันคงสังหารคนในพื้นที่ไม่เหลือแน่

ดังนั้นสัตว์อสูรจึงไม่ได้มีหน้าที่ในการพิชิตดินแดน

แต่มีหน้าที่ต่อสู้ต่างหาก!

เมืองล่องนภายังคงลอยเด่นเป็นสงบอยู่บนฟ้า โดยมีผู้เชี่ยวชาญระดับกลางถึงล่างเป็นผู้ควบคุม ส่วนมากอยู่ในด่านหยั่งรู้ฟ้าดินขึ้นไป

พวกเขากับเหล่าสัตว์อสูรนับเป็นแนวหน้าสำคัญในการต่อสู้กับเผ่าเทพ

เขาปิดหูปิดตาเผ่าเทพไว้ได้เพียงชั่วคราว ไม่นานพวกนั้นต้องรู้เรื่องแล้วรีบเข้าโจมตีเป็นแน่

ที่แห่งนี้จะเป็นแนวป้องกันแรก

ในเวลาเดียวกันนั้น การพิชิตอาณาเขตคุนก็เริ่มเปิดฉากขึ้น

ผู้รุกรานจากแดนต้นกำเนิดกระจายกำลังไปทั่วแดนราวกับคลื่นยักษ์ที่ไม่อาจหยุดยั้งได้

พวกเขาเคลื่อนไหวรวดเร็วมากจนทั่วแดนมีแต่การต่อสู้ปะทะกัน บางครั้งยังไม่ทันได้บอกกล่าวก็ลงมือสังหารแล้ว

เพื่อที่จะขุดรากถอนโคนระบบแรงศรัทธาและรากฐานสำคัญของเผ่าเทพให้ได้มากที่สุด กองกำลังจึงเลือกโจมตีโบสถ์ทุกแห่ง วิหารทั้งหลาย และทุกรูปปั้นศักดิ์สิทธิ์ที่ผ่านตา

เมื่อจุดศูนย์กลางของแรงสั่นสะเทือนคือรอยแยกปราการ อาณาเขตคุนจึงเต็มไปด้วยการต่อสู้อย่างรวดเร็ว

โดยสามารถพบเห็นภาพดังที่อธิบายไว้ได้ทั่วทั้งเขตแดน

ผู้เชี่ยวชาญกลุ่มหนึ่งกำลังเหินร่างไปยังทิศทางหนึ่ง จนกระทั่งมาหยุดอยู่เหนือเมืองแห่งหนึ่ง จากนั้นก็พากันทิ้งตัวลงไปและโจมตีเครื่องหมายสำคัญของศาสนาทั้งหลายจนสิ้น โดยมีกองกำลังกลุ่มอื่นเหินร่างผ่านเมืองไปเพื่อไปทำลายที่อื่นต่อ

ผู้เชี่ยวชาญนับล้านกวาดล้างทำลายทุกเมืองสิ้นอย่างไร้ความปรานี

รากฐานของเทพเจ้าจึงเริ่มล่มสลายไปอย่างรวดเร็ว

แต่ก่อนที่ช่วงเวลาแห่งการแยกตัวสันโดษจะสิ้นสุดลงก็ใช้เวลานานพอสมควร และเหล่าทวยเทพก็รู้สึกได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ

“หืม? เหตุใดพลังศรัทธาของข้าจึงหายไป?”

เทพธิดาแห่งดวงจันทร์เป็นตนแรกที่เอ่ยขึ้นด้วยความสงสัย