บทที่ 96 เปลี่ยนศาสนา
ภายในเมืองเตาเผา
เมืองแห่งนี้ตั้งอยู่ถัดจากภูเขาไฟ อุณหภูมิภายในเมืองจึงสูงอยู่ตลอดปี เป็นเหตุผลให้มันถูกรู้จักกันในชื่อเมืองเตาเผานั่นเอง
แต่ในวันนี้ ภาพอันแสนน่าตกใจก็ปรากฏขึ้นภายในเมือง
หิมะเริ่มโปรยปรายลงมาจากฟ้าขณะที่ลมหนาวเย็นพัดเข้ามาในเมือง ทันใดนั้น อุณหภูมิของเมืองก็ลดลงมหาศาล ผู้อาศัยอยู่ในเมืองต่างไม่ทันตั้งตัวกับสภาพอากาศผันผวนเช่นนี้
แต่สิ่งที่ยากจะทนยิ่งกว่าความเหน็บหนาวฉับพลันคือการปรากฏตัวของผู้ฝึกตนมากมายที่ลงมาจากท้องฟ้า
“หน่วยหนึ่งไปทางตะวันออก หน่วยสองไปทางทิศตะวันตก ทำลายทุกโบสถ์ที่พบเห็น หน่วยชำระล้าง เตรียมตัวตามไปและกวาดล้างผู้ศรัทธาทั้งหมด!” เสียงของเยี่ยเฟิงหานสะท้อนไปทั่วทั้งผืนฟ้า เกล็ดหิมะที่ร่วงหล่นลงมาทั้งหมดนั้นเป็นของเขา
เยี่ยเฟิงหานเชี่ยวชาญลักษณ์เยือกแข็งเป็นอย่างแรกและลักษณ์เจ็ดสายเลือดในเวลาต่อมา อาจเป็นเพราะท่าทีเย็นชาแต่กำเนิด เขาจึงสามารถผสานทั้งสองลักษณ์เป็นหนึ่งเดียวกันได้อย่างน่าอัศจรรย์
ลักษณ์เจ็ดสายเลือดได้กลับกลายเป็นพื้นที่รกร้างอันหนาวเหน็บที่ทรงพลังพอจะส่งผลกระทบต่อทั้งเมืองและเปลี่ยนวันร้อนระอุให้กลายเป็นฤดูหนาวได้
ทหารสองหน่วยเริ่มปฏิบัติภารกิจ
ข้างหลังพวกเขาคือผู้เชี่ยวชาญด่านทะลวงลมปราณและระดับต่ำกว่าซึ่งไม่ได้เก่งกาจมากเท่าแต่มีจำนวนมากมาย
ผู้ฝึกตนเหล่านี้ไม่ได้มาจากนิกายไร้ขอบเขตทั้งหมด บางส่วนเป็นอาสาสมัครที่ถูกเกณฑ์มาจากแดนต้นกำเนิด พวกเขาตัดสินใจมาเข้าร่วมเพื่อรักษาแดนต้นกำเนิดไว้ พวกเขาคือผู้มีหน้าที่รับผิดชอบการชำระล้างผู้ศรัทธาและหยุดการพยายามซ่อมแซมทั้งหมดไว้
ซูเฉินไม่อยากเป็นผู้รับผิดชอบการสังหารมนุษย์ทุกคนในอาณาเขตคุน เขาจึงได้แต่ใช้ศิษย์ทั้งหลายของตนเพื่อเปลี่ยนแปลงผู้ศรัทธาคนอื่น ๆ
สมาชิกระดับสูงจากนิกายไร้ขอบเขตได้ถกเถียงโดยเฉพาะเรื่องการสังหารกันไว้ไม่น้อย
ต่อมาซูเฉินก็ล้มล้างการถกเถียงลงด้วยการกล่าวว่า “พวกเราคือมนุษย์ พวกเราก็ควรมีมาตรฐานบ้าง”
หน่วยชำระล้าง ตรงข้ามกับผู้ฝึกตนระดับต่ำเหล่านี้ ตามหลังแนวหน้าหลักและทำหน้าที่บริหารจัดการแทน การฝึกฝนของพวกเขาน่าประทับใจ การทำงานนั้นรวดเร็ว และพฤติกรรมของหน่วยนี้ก็เป็นไปตามกฎหมาย คนเหล่านี้จะรวมตัวกันเป็นกลุ่ม แล้วใครสักคนก็จะถูกเสนอชื่อให้ทำการประกาศ ขั้นแรก พวกเขาจะประกาศว่าเมืองนี้ได้ถูกยึดและอยู่ใต้การควบคุมของนิกายไร้ขอบเขตแล้ว ต่อมา พวกเขาจะประกาศว่าผู้ศรัทธาทุกคนจำเป็นต้องเลือกระหว่างละทิ้งความเชื่อของตนหรือถูกกำจัดทิ้ง
การละทิ้งความเชื่อนั้นยากเหลือเชื่อ และการใช้กำลังในการทำเช่นนั้นก็จะส่งผลตีกลับอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
แต่ในเรื่องนี้ นิกายไร้ขอบเขตไม่คิดประนีประนอมหรือแสดงความเมตตาแม้แต่น้อย
ใครก็ตามที่กล้าสร้างปัญหาต่อกฎนี้จะถูกสังหารโดยไม่ลังเล
ดังนั้นแล้ว การรวมตัวครั้งแรกนี้จึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดทันทีหลังจากการสังหารอันนองเลือด พวกเขาต้องการรักษาชีวิตไว้ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ในชะตากรรมที่บิดเบี้ยวแสนโหดร้าย พวกเขาไม่มีทางเลือกอื่นใดนอกจากทำเช่นนั้นด้วยการสังหารอันนองเลือด
ที่เลวร้ายที่สุดคือ การบังคับให้ผู้คนละทิ้งความศรัทธาแม้ด้วยการใช้กำลังก็ยังยากเย็นอย่างไม่น่าเชื่อ
เพราะพวกเขาเชื่อว่าแม้จะต้องตาย วิญญาณของพวกเขาก็จะขึ้นไปสู่ดินแดนศักดิสิทธิ์
อย่างไรแล้วเทพเจ้าทั้งหลายก็มีอาณาจักรเป็นของตนเอง
“พวกเทพมีอาณาจักรเป็นของตนเองก็จริง แต่โชคไม่ดีนัก… มันเต็มไปตั้งนานแล้วล่ะ” เยี่ยเฟิงหานกล่าวอย่างดูหมิ่น
กระทั่งอาณาจักรของพวกเขาก็มีขอบเขต
เป็นไปไม่ได้เลยที่ทั้งยี่สิบสามอาณาจักรจะตั้งอยู่บนที่ดินเล็ก ๆ อย่างอาณาเขตคุน อาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ของเหล่าเทพเจ้าจึงมีขนาดเล็กจนน่าอนาถและบรรจุประชากรได้เพียงไม่กี่หมื่นคน นั่นจะพอประคับประคองชีวิตของผู้คนทั้งหมดได้อย่างไร?
ผู้บูชานับไม่ถ้วนเสียชีวิตลงตั้งแต่เริ่มต้นมาจนถึงตอนนี้ แต่มีเพียงไม่กี่คนที่ได้เข้าไปในดินแดนศักดิ์สิทธิ์
วิญญาณที่จางหายไปเหล่านั้นจะจากไปตลอดกาล กระทั่งเทพเจ้าไม่อาจพาพวกเขากลับมาได้
โชคไม่ดีนักที่ไม่มีใครเชื่อความจริงอันโหดร้ายนี้ ผู้ศรัทธาเหล่านี้ล้วนฝากความหวังไว้หลังความตายอย่างแน่วแน่
ความไม่กลัวตายและความศรัทธาอันมั่นคงของพวกเขาทำให้ต้องปวดหัวหนักทีเดียว
“นี่ไม่ง่ายอย่างที่ข้าคิดไว้สักนิด” ฉางเหอกล่าวขณะที่เขามองไปยังผู้นับถือที่กำลังตายจำนวนนับไม่ถ้วนและกุมหัวด้วยอารมณ์ขุ่นมัว
เมืองเตาเผาเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น การติดอยู่ที่นี่ตั้งแต่แรกมีแต่จะนำพาปัญหามาให้เท่านั้น
“ไม่มีแม้แต่ 1 ใน 10 คนต้องการจะเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของตัวเอง พวกเราควรทำอย่างไรดีหรือท่าน?” ผู้ฝึกตนส่วนหนึ่งถามเยี่ยเฟิงหาน
คิ้วของเยี่ยเฟิงหานขมวดเป็นปมบนใบหน้าบูดบึ้ง
พวกเขาควรทำอย่างไร?
ตราบใดที่ผู้ศรัทธาเหล่านี้ยังมีชีวิตอยู่ พวกเขาก็จะสวดมนต์และส่งความศรัทธาออกมาจากเงามืดต่อไป ในทางกลับกัน การสังหารพวกเขาอย่างไร้เมตตาจะเป็นการละเมิดหลักการที่พวกเขายึดถือมาตั้งแต่แรกเริ่ม
“การทำลายร่างกายยากยิ่งกว่าการทำลายความศรัทธาเสียอีก” เยี่ยเฟิงหานพึมพำกับตัวเอง
“เราไม่มีเวลาให้เสียกับที่นี่มากนัก พวกเราต้องหาทางออกสักทางให้ได้” หวังซินเฉากล่าว
แต่เยี่ยเฟิงหานก็ยังกอดอกครุ่นคิดอยู่อย่างนั้น
“ถ้าเจ้าคิดหาทางออกไม่ได้ ข้าคิดออกอย่างหนึ่ง แต่มันอาจจะไม่ถูกใจเจ้าเท่าไหร่” ฉางเหอโพล่งขึ้นมาในทันใด
เยี่ยเฟิงหานหันไปมองเขาอย่างเยือกเย็น “ข้าบอกเจ้าแล้ว เราจะไม่สังหารทุกคน”
“ไม่ใช่อย่างนั้น นี่ต่างหาก” ฉางเหอหยิบของชิ้นหนึ่งออกมาและส่งมันให้เยี่ยเฟิงหาน
ของชิ้นนั้นคือขวดยาสีชมพูขนาดเล็ก
เยี่ยเฟิงหานตะลึงงันเมื่อเขาเห็นสิ่งนั้น “ยากระตุ้นความใคร่หรือ?”
ยากระตุ้นความใคร่นี้คือยาที่ซูเฉินพัฒนาขึ้นมาระหว่างที่ศึกษาสสารต้นกำเนิด ต่อมามันก็ถูกใช้ระหว่างความสัมพันธ์ของเขากับจูเซียนเหยา
หลังจากนั้น ซูเฉินก็นึกได้ว่ามันมีคุณค่าในการใช้งานต่ำยิ่งนัก แต่ผลของมันเมื่อถูกใช้บนเตียงก็น่าประทับใจทีเดียว ซูเฉินจึงเก็บสูตรปรุงยาชนิดนี้ไว้ แต่ต่อมามันกลับรั่วไหลออกไปและกลายเป็นยากระตุ้นความใคร่ที่โด่งดังไปเสียอย่างนั้น
กระนั้นยากระตุ้นความใคร่ที่มีขายตามตลาดนั้นคุณภาพค่อนข้างต่ำและเป็นได้แค่อาหารเสริมเท่านั้น พวกมันจะไม่ทำให้ผู้ได้รับยาเสียสติด้วยความใคร่ของตนเอง
แต่ยากระตุ้นความใคร่ที่ฉางเหอถือไว้ในมือนั้นคือสูตรต้นตำรับ สูตรที่สร้างความโกลาหลได้ไม่น้อย
เยี่ยเฟิงหานไม่เข้าใจว่าทำไมฉางเหอจึงหยิบของเช่นนั้นออกมา
“เจ้าคิดจะทำอะไร?” เขาถาม
ฉางเหอตอบด้วยความจริงใจ “เราไม่อาจเปลี่ยนความเชื่อของพวกเขาได้ แต่เราสามารถบังคับให้พวกเขาทำบาปได้ หากกระทำบาปมากเกินไป พวกเขาจะรู้สึกราวกับว่าถูกเทพเจ้าละทิ้ง โบสถ์ส่วนมากมีนโยบายเรื่องพรหมจรรย์ที่เข้มงวดโดยผู้ละเมิดกฎนั้นจะถูกตราหน้าเป็นคนนอกรีต ยิ่งไปกว่านั้น… มันจะก่อความวุ่นวายได้ไม่น้อยเลยทีเดียว”
เยี่ยเฟิงหานตะลึงงันเมื่อได้ยินดังนั้น
แต่ก็ต้องบอกว่าข้อเสนอของฉางเหอนั้นแท้จริงแล้วสมเหตุสมผลทีเดียว
พวกเขามีประสบการณ์จัดการกับผู้บูชาเทพเจ้าใต้ดินในแดนต้นกำเนิดอย่างโชกโชนทีเดียว และได้ทำการทดลองที่แตกต่างกันมากมาย ปัจจัยสำคัญหนึ่งที่ขับเคลื่อนความศรัทธาคือความเคารพต่อเทพเจ้า แต่หากผู้ศรัทธาคนหนึ่งละเมิดกฎแห่งความศรัทธาของพวกตนอย่างต่อเนื่อง ความเสียหายทางจิตใจที่เกิดขึ้นก็จะทำให้ตรรกะของพวกเขาบิดเบี้ยวและลดความเคร่งศาสนาของพวกเขาลง
สิ่งนี้อาจประสบความสำเร็จได้ด้วยการล่องลวงผู้ศรัทธาทั้งหลายด้วยเงิน อำนาจ ตำแหน่ง ชื่อเสียง หรือสิ่งเร้าทางเพศ
ที่กล่าวมาทั้งหมดล้วนมีค่าใช้จ่ายสูงเกินไป แต่อย่างหลังสุดนั้นทำได้เรียบง่ายและสะดวกสบายกว่ามาก
แต่นี่จะทำให้ความบ้าตัณหาปกคลุมทั้งเมืองด้วยเช่นกัน
สวรรค์! ฉางเหอ นี่เจ้าคิดอะไรอยู่?
เยี่ยเฟิงหานชำเลืองมองเขาด้วยความตกตะลึง
ฉางเหอตอบอย่างตรงไปตรงมา “ถ้าเจ้าต้องการก่อความวุ่นวายให้ได้มาก ขวดเดียวก็เพียงพอแล้ว โชคดีที่ตำรับยานี้มีให้ใช้พอดี และพวกเราก็มีนักปรุงยามากมายที่พร้อมปฏิบัติตามคำสั่ง ให้พวกเขาทำงานซะ”
เยี่ยเฟิงหานกล่าว “พวกเรามาที่นี่เพื่อยึดครองโลก ไม่ใช่โยนมันเข้าไปในความโกลาหลและบ้ากาม”
ฉางเหอตอบ “พวกเรามาที่นี่เพื่อดูดอกไม้ไฟต่างหาก”
ฉางเหอโน้มน้าวเยี่ยเฟิงหานได้สำเร็จอย่างน่าอัศจรรย์ใจ
ครั้งหนึ่งในชีวิต ฉางเหอกำลังจริงจัง แต่วิธีการที่เขาเลือกใช้ก็ยังสัปดนอยู่ดี
แต่เยี่ยเฟิงหานก็ต้องยอมรับว่ามันมีประสิทธิภาพอย่างถึงที่สุด
ขณะที่คลื่นความใคร่แพร่กระจายไปทั่วทั้งเมือง ความศรัทธาที่ถูกถวายให้แก่เทพเจ้าก็เริ่มเหือดแห้ง
ผู้ศรัทธาสูญเสียความเป็นตนเองไปกับความสุขในกามารมณ์ ขณะที่การทรยศต่อเทพเจ้าที่ได้กระทำลงไปนั้นกัดกินพวกเขา วิกฤติฉับพลันครั้งนี้สั่นคลอนความศรัทธาของพวกเขาอย่างรุนแรง
แน่นอนว่ามีคนกลุ่มหนึ่งที่หลอกลวงตัวเองให้ออกห่างจากการกระทำเหล่านั้นได้ มารยาหลอกลวงตนเองเช่นนี้ทำให้พวกเขาสามารถเมินเฉยต่ออาการขาดความควบคุมตนเองและส่งผลให้ความศรัทธาพัฒนาขึ้นไปสู่ระดับใหม่
นิกายไร้ขอบเขตมีความสุขเป็นอย่างมากในการสังหาร ‘พวกรู้ดี’ เหล่านี้
กระทั่งเยี่ยเฟิงหานและฉางเหอก็ไม่อาจจินตนาการได้ว่าสิ่งที่ทำต่อเมืองเตาเผานั้นจะปกคลุมไปทั่วทั้งอาณาเขตคุนในอีกไม่ช้า
ไม่มีสิ่งอื่นใดที่จะทำได้ ระบบศรัทธานี้มีอยู่มานานเกินไป หมายความว่าผู้คนจำนวนมากจะยินดีตายเพื่อความเชื่อของตน
นิกายไร้ขอบเขต ผู้ไม่ต้องการสังหารผู้อาศัยในอาณาเขตคุนจึงได้แต่ใช้วิธีการแบบนี้
คลื่นความใคร่โถมกระหน่ำเข้าไปในอาณาเขตคุน ก่อให้เกิดความโกลาหลขนาดมหึมา
ขั้นตอนแรกในการบุกรุกนี้ทำให้เกิดภาพอนาจารขึ้นทุกหนแห่งในอาณาเขตคุน ขณะที่ความอัปยศอดสูและความอับอายของผู้ศรัทธาเพิ่มสูงขึ้น ระบบสังคมและการบังคับใช้ทางศีลธรรมที่พวกเขาพึ่งพาก็แตกสลาย พวกเขากลายเป็นสิ่งมีชีวิตตัณหากลับและมักจะควบคุมตนเองจากการมีเพศสัมพันธ์ในที่สาธารณะไม่ได้ กระทั่งศิษย์ของนิกายไร้ขอบเขตบางส่วนที่มีหน้าที่จับตาดูสถานการณ์ก็ไม่อาจห้ามตัวเองไม่ให้เข้าไปลิ้มลองดูเองได้… อย่างไรแล้วผลข้างเคียงบางอย่างก็ไม่อาจหลีกเลี่ยง
ชื่อเสียงของฉางเหอทะยานสูงขึ้น จนถึงจุดที่เขากลายเป็นที่รู้จักกันในฐานะบรรพชนราคะเลยทีเดียว หลังจากนั้น รูปปั้นเสมือนของเจ้าตัวก็ถูกสร้างขึ้นเพื่อให้ผู้นับถือบูชาเพิ่มสมรรถภาพทางเพศ
ใช่แล้ว วิธีการที่ดีที่สุดในการจัดการกับเทพเจ้านั้นไม่ใช่การบังคับให้ศิษย์ละทิ้งความศรัทธาของตน แต่ต้องเปลี่ยนแปลงพวกเขาต่างหาก
การยั่วยวนให้เหล่าศิษย์หลงระเริงในตัณหาของเนื้อหนังมังสานั้นไม่ใช่วิธีการที่ยั่งยืน
มันสามารถถูกใช้เพื่อทำให้ความศรัทธาอันแข็งแกร่งที่ผู้นับศรัทธามีต่อเทพเจ้าอ่อนแอลง แต่ไม่ได้ทำให้นิกายไร้ขอบเขตควบคุมพวกเขาได้ง่ายขึ้น
ดังนั้นแล้ว นิกายไร้ขอบเขตจึงใช้กลยุทธ์นี้เพื่อเริ่มเปลี่ยนแปลงผู้ศรัทธาเหล่านี้ให้บูชาเทพเจ้าอื่น ๆ แทน
เทพเจ้าหน้าใหม่เหล่านี้ไม่ได้มีอยู่จริง แต่พวกเขาก็กลายเป็นวัตถุบูชาของในความคิดและจิตใจของผู้นับถือคนก่อน ๆ อยู่ดี
แน่นอนว่า ณ จุดหนึ่ง การกลายเป็นอมตะย่อมมีข้อกำหนดที่ต้องร้องขอจากผู้คน แต่นั่นก็เป็นเรื่องของออนาคตที่ห่างไกลออกไป
หลังจากการทำลายล้างคือการสร้างขึ้นใหม่
เพื่อที่เส้นทางสู่อมตะจะเฟื่องฟูได้ เส้นทางของเทพเจ้าจำเป็นต้องดับสิ้น
ตอนนี้ถึงเวลาของการทำลายล้างแล้ว
ขณะที่ศิษย์จากนิกายไร้ขอบเขตกำลังทำลายระบบศรัทธานี้ เทพเจ้าก็เริ่มโจมตีรอยแยกในที่สุด
สายฟ้าพายุคลั่งโหมกระหน่ำลงจากท้องฟ้า สภาพแวดล้อมเปี่ยมไปด้วยรัศมีความตายทำลายล้าง
ขณะที่สายฟ้าฟาดยังคงโจมตีต่อไป ประตูบานหนึ่งที่ถูกทำขึ้นจากเปลวเพลิงและสายฟ้าก็เริ่มปรากฏขึ้น
ประตูนั้นเปิดออกช้า ๆ เผยให้เห็นวิหารสีทองส่องประกายอยู่เบื้องหลัง
วิหารนี้สูงตระหง่านขึ้นไปบนฟากฟ้าและดูเหมือนปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่า
วิหารแห่งนี้มีขนาดใหญ่จนดูเหมือนจะเท่ากับอาณาจักรเล็ก ๆ รัศมีอันทรงพลังอย่างถึงที่สุดแผ่ขจายออกมาจากมันตามธรรมชาติ
เมื่อเปรียบเทียบกับอาณาจักรอันสูงส่งแห่งนี้แล้ว เมืองล่องนภาก็เป็นเหมือนยุงตัวเล็ก ๆ ที่บินวนอยู่รอบนกอินทรีย์
วิหารแห่งเทพเจ้า!