ราชันเร้นลับ 1140 : แผนการ

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ

กรุงเบ็คลันด์ บ้านเลขที่เจ็ด ถนนพินสเตอร์

หลังจากวันที่วุ่นวายจบลง ในที่สุดเลียวนาร์ดก็มีโอกาสได้ถามในสิ่งที่สงสัย

“ตาแก่ ปราสาทต้นกำเนิดคืออะไร?”

เสียงค่อนข้างชราในใจเงียบไปสักพัก หัวเราะในลำคอและกล่าว

“สถานที่ที่เจ้าไปชุมนุมทุกวันจันทร์น่าจะเป็นปราสาทต้นกำเนิด”

“…” เลียวนาร์ดไม่คาดคิดว่าจะได้ยินคำตอบเช่นนี้ สมองของมันขาวโพลนไปชั่วขณะ เกิดเป็นความประหลาดใจและตกตะลึง ผสมปนเปกันอย่างซับซ้อน

ผ่านไปสักพัก มันถามเสียงต่ำด้วยความร้อนรน

“แล้วปราสาทต้นกำเนิดคือสถานที่แบบไหน”

พาลีส·โซโรอาสเตอร์ถอนหายใจพลางหัวเราะจิกกัดตัวเอง

“อันที่จริง ข้าเองก็ไม่มั่นใจนัก เคยได้ยินแค่ในข่าวลือ…เป็นตำนานพระผู้สร้างที่ต่างออกไปจากที่เจ้าเคยฟัง…ตามข่าวลือ พระผู้สร้างต้นกำเนิดได้ทิ้งสมบัติที่แตกต่างกันไว้เก้าชนิด บ้างเป็นอาณาจักร บ้างเป็นเมือง แม่น้ำ ทะเล และกุญแจ… ปราสาทต้นกำเนิดคือหนึ่งในนั้น…รูปลักษณ์ที่แท้จริงอาจไม่ใช่ปราสาท แต่อยู่ในโฉมอื่น…ส่วนจะเป็นอะไรนั้น เจ้าน่าจะรู้ดีกว่าข้า…สาเหตุที่ข้ามั่นใจว่ามันมีอยู่จริง เพราะในตอนที่กลายเป็นเทวทูต ข้าสัมผัสถึงมันได้ แต่มองไม่เห็นและมิอาจสร้างการเชื่อมต่อ…ปู่ทวดของข้าสันนิษฐานว่า ทั้งเก้าสิ่งอาจถูกบันทึกไว้ในศิลาเย้ยเทพแผ่นที่สองในฐานะ ‘แก่นแท้แห่งต้นกำเนิด’ น่าเสียดาย เนื่องด้วยเหตุผลหลายประการ ท่านมิอาจถอดรหัสความหมายที่เกี่ยวข้องกับแก่นแท้แห่งต้นกำเนิด”

เลียวนาร์ดสงบสติลง เอนหลังพิงโซฟาพลางถาม

“ตาแก่…คุณสงสัยว่ามิสเตอร์ฟูลคือร่างอวตารของแก่นแท้แห่งต้นกำเนิด?”

พิจารณาจากสิ่งที่มันเคยฟังจากชุมนุมทาโรต์ และสิ่งที่ตาแก่พาลีสมักเล่าให้ฟัง มันเริ่มตระหนักถึงระดับของทวยเทพตนนี้อย่างคร่าว

พาลีส·โซโรอาสเตอร์เงียบงันเป็นเวลานาน

“อาจจะ…”

ในค่ำคืนที่มีการบังคับใช้กฎเคอร์ฟิวอย่างเข้มงวด ท้องถนนเบ็คลันด์แทบไม่มีผู้คนเดินเตร็ดเตร่ นาน ๆ ครั้งจะมีรถม้าแล่นผ่านไป บุคคลด้านในเป็นคนมีหน้ามีตาในสังคม

หลังจากไคลน์มาถึงบ้านที่นัดหมาย มันไม่รีบร้อนเข้าไป เพียงหรี่ตาลงครึ่งหนึ่ง ยกมือขวาขึ้นจับอากาศด้านหน้า ดึงเชอร์ล็อก·โมเรียตี้ที่แต่งกายด้วยเสื้อขนสัตว์สีดำกระดุมสองแถว หมวกผ้าไหมทรงกึ่งสูง และไม้ค้ำออกจากความว่างเปล่า

นี่คือภาพฉายทางประวัติศาสตร์ของตัวมันในช่วงเวลาก่อนหน้าเพียงไม่นาน ขณะที่เพิ่งออกจากบ้านเช่า

เนื่องจากมีไคลน์ตัวจริงยืนอยู่ฝั่งตรงข้าม ภาพฉายดังกล่าวจึงดูแข็งทื่อราวกับอุปกรณ์ประกอบฉากบนเวที

จากการทดลองในช่วงที่ผ่านมา ไคลน์ค้นพบกฎทางศาสตร์เร้นลับ ‘จิตใต้สำนึกเพียงหนึ่งเดียวในช่วงเวลาหนึ่ง’ กล่าวคือ ในช่วงเวลาหนึ่ง ทุกคนจะมีจิตสำนึกที่แท้จริงได้เพียงหนึ่งเดียว หากไคลน์ตัวจริงมีความคิดและสติ ภาพฉายทางประวัติศาสตร์จะไม่มี

ผลลัพธ์เป็นเช่นเดียวกันการอัญเชิญคนตาย ไคลน์จึงสงสัยว่า อาจเป็นเพราะตนยังมีระดับพลังไม่เพียงพอ หรือกล่าวโดยย่อ ภาพฉายทางประวัติศาสตร์จะต่อสู้และมีกลไกความคิดในระดับแค่พื้นฐาน จะอ้างอิงจากสัญชาตญาณของร่างต้นเป็นหลัก และจะเกิดผลลัพธ์แบบเดียวกันต่อให้ปราชญ์โบราณอัญเชิญภาพฉายของตัวเองออกจากช่องว่างประวัติศาสตร์

สิ่งนี้ช่วยยืนยันหนึ่งในข้อสันนิษฐานของไคลน์ที่ว่า ภาพเหตุการณ์ที่ปราชญ์โบราณมองเห็นในสายหมอกแห่งประวัติศาสตร์ คือสิ่งที่ปราชญ์โบราณผ่านการศึกษาและเข้าใจอย่างถ่องแท้บนโลกความจริง หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง ปราชญ์โบราณมีหน้าที่ต้อง ‘ขจัด’ หมอกที่คอยปิดบังประวัติศาสตร์ออกไปให้หมด

และแน่นอน ไคลน์เชื่อว่าหากชิ้นส่วนทางประวัติศาสตร์ในเหตุการณ์เดียวกันถูกเปิดเผยจนเกือบหมด ความลับที่เหลือเป็นส่วนน้อยก็จะถูกเผยออกมาตามธรรมชาติ

อย่างน้อยก็มั่นใจได้ว่า พลังพิเศษของเป้าหมายจะไม่ตกหล่นเพียงเพราะเรารู้จักอีกฝ่ายไม่ดีพอ…ตราบใดที่ดึงภาพฉายทางประวัติศาสตร์ออกมาได้สำเร็จ สถานภาพของเป้าหมายในช่วงเวลาดังกล่าวจะถูกบันทึกไว้อย่างสมบูรณ์…แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว…ไคลน์ชำเลืองไปทางภาพฉายประวัติศาสตร์ของตนที่เคลื่อนไหวไปตามสัญชาตญาณ จากนั้น ร่างจริงของไคลน์พลันเลือนหายและเข้าไปอยู่ในหมอกสีเทา

แม้แต่สุนัขแห่งฟัลกริมที่เป็น ‘ปราชญ์โบราณไม่สมบูรณ์’ ก็ยังอาศัยในช่องว่างของประวัติศาสตร์ได้ นับประสาอะไรกับปราชญ์โบราณตัวจริงเสียงจริง แต่ปัญหาก็คือ ระยะเวลามีจำกัด และนอกจากนั้น หากตัดขาดจากโลกความจริงนานเกินไป หุ่นเชิดจะเสียชีวิต อย่างไรก็ตาม สำหรับปราชญ์โบราณ ความตายของหุ่นเชิดก็แค่การแยกจากกันทางกายภาพ แต่ความจริงแล้วยังอยู่ร่วมกันในอีกรูปแบบหนึ่ง

ในวินาทีที่ร่างต้นของไคลน์เข้าไปอาศัยอยู่ในจุดแสงของหมอกสีเทา จิตใต้สำนึกของชายหนุ่มถูกโอนถ่ายมายังภาพฉายทางประวัติศาสตร์บนโลกความจริงทันที

ไคลน์ซึ่งกำลังใช้ใบหน้าเชอร์ล็อก·โมเรียตี้ ยกมือกดหมวกทรงกึ่งสูงเหนือศีรษะ เดินมาถึงหน้าบ้านหลังที่นัดหมาย หยิบมาสเตอร์คีย์ออกมาสอดเข้าไปในรูกุญแจพร้อมกับออกแรงบิดแผ่วเบา

ร่างของมันหายเข้าไปโผล่ในตัวบ้าน สายตากวาดมองอย่างรวดเร็วท่ามกลางแสงจันทร์สีแดง

ไม่ว่าจะโซฟา ตู้ เก้าอี้พนักสูง โต๊ะกาแฟ หรือเครื่องเรือนชิ้นอื่น ทั้งหมดดูค่อนข้างโบราณ ราวกับหลุดมาจากศตวรรษก่อนหน้า

ท่ามกลางสภาพแวดล้อมมืดสลัว ชารอนซึ่งแต่งกายในชุดเดรสโกธิกสีเข้มซับซ้อน บนศีรษะสวมหมวกอ่อนสีเดียวกัน ปรากฏกายขึ้นบนเก้าอี้พนักสูง

“สายัณห์สวัสดิ์” หุ่นกระบอกสาวผงกศีรษะเล็กน้อยพร้อมกับทักทาย

หากเธอไม่พูดหรือขยับตัว จะดูเหมือนกับตุ๊กตาเลอค่าที่ถูกสร้างอย่างประณีตที่สุดในโลก

ขณะเดียวกัน มาริคที่แต่งกายในเชิ้ตสีขาวและเสื้อกั๊กสีดำ ปรากฏตัวบนโซฟา

…คุณสุภาพบุรุษ นี่ก็เข้าฤดูหนาวแล้ว แต่งตัวแบบนี้ไม่กลัวแข็งตายหรือ? นั่นสินะ นายคือคนตาย และคนตายก็คงไม่กลัวหนาว…ไคลน์พึมพำเงียบ ถอดหมวกออก หันไปทางชารอนเจ้าของผมสีทองอ่อน ตาสีฟ้า จากนั้นก็ก้มศีรษะ

“สายัณห์สวัสดิ์ มิสชารอน”

ถัดมา มันหมุนตัวครึ่งหนึ่งและหันไปพูดกับมาริค

“สายัณห์สวัสดิ์”

สำหรับอดีตซอมบี้ซึ่งกลายเป็นวิญญาณอาฆาตในปัจจุบัน ความทรงจำที่ชัดเจนที่สุดของไคลน์ก็คือ อีกฝ่ายชอบตั้งวงเล่นไพ่กับฝูงซอมบี้ที่ตัวเองเป็นคนบังคับ

ถ้าว่างก็เล่นไพ่กันได้นะ…ชายหนุ่มถอนหายใจเงียบ

สาเหตุที่ไคลน์นึกถึงการเล่นไพ่ขึ้นมา เพราะเมื่อลองวิเคราะห์หลักการต่อสู้ของปราชญ์โบราณ มันพบว่าหากตนต้องเผชิญหน้ากับซาราธ สถานการณ์จะไม่ต่างกับการเล่นไพ่

นายลงโรซายล์สมัยกงสุลใหญ่ ฉันลงโรซายล์สมัยจักรพรรดิ…นายลงแบร์นาแดต ฉันลงเบอนัวต์…ถ้านายลงฮาล์ฟฟูล ฉันก็ลงอามุนด์…

คิดไม่ถึงว่า การดวลกันระหว่างนักทำนายจะลงเอยด้วยการเล่นไพ่…แต่เป็นไพ่คนจริงที่ดุเดือดและอันตรายมาก… เฮ้อ…ซาราธเป็นถึงเทวทูตลำดับหนึ่ง เจ้านั่นคงไม่ปล่อยให้เราลงไพ่ง่ายนัก และบางที เป็นเราเองที่โชคร้ายดึงไพ่ดี ๆ ออกจากช่องว่างประวัติศาสตร์ไม่สำเร็จเลย…ไคลน์ถอนสายตากลับ หันไปกล่าวกับชารอน

“ผมกำลังวางแผนจะทำบางสิ่งในอนาคตอันใกล้ เป็นงานที่ยากและอันตรายมาก หนึ่งในขั้นตอนสำคัญคือการรวบรวมเลือดของผู้วิเศษทั้งยี่สิบสองเส้นทาง สำหรับเส้นทางวิญญาณอาฆาต ผู้วิเศษที่ผมรู้จักมีแค่คุณกับมาริค…คุณน่าจะถนัดพลังสาปแช่ง และคงมีวิธีตัดขาดการเชื่อมต่อกับเลือดตัวเอง”

อันที่จริง มันสามารถทดลองเรียกพลเรือเอกโลหิตออกจากว่างประวัติศาสตร์ จากนั้นก็นำเลือดมาเทใส่ไหเคลือบเงาที่เตรียมไว้ แต่ไคลน์ไม่รู้ว่าวิธีดังกล่าวจะได้ผลหรือไม่ และการทำนายถามก็เปล่าประโยชน์ เพราะไม่เพียงสิ่งนี้จะเกี่ยวข้องกับลำดับที่สูงกว่าหนึ่ง แต่มันยังมีข้อมูลไม่เพียงพอ สิ่งเดียวที่ควรให้ความสนใจจึงเป็น ผู้บริจาคเลือดทุกคนต้องไม่ได้รับอันตรายจากเหตุการณ์คราวนี้

เนื่องจากพลังของปราชญ์โบราณค่อนข้างกว้างและคลุมเครือ ไคลน์จึงเคยทดลองอัญเชิญแม่มดทริสซี่ออกมาจากช่องว่างประวัติศาสตร์และนำเลือดของเธอป้ายลงบน ‘การเดินทางของกรอซาย’

แต่น่าเสียดาย วิธีนี้ไม่ได้ผล

หลังจากไตร่ตรองเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าว ไคลน์พบว่าสาเหตุที่ล้มเหลวอาจเป็นเพราะความขัดแย้งของเส้นเวลา – เลือดของทริสซี่ที่นำมาป้ายบนลง ‘การเดินทางของกรอซาย’ เป็นทริสซี่ในอดีต ดังนั้น หนังสือจึงควรดูดทริสซี่ในอดีตเข้าไป แต่นั่นจะเท่ากับเป็นการเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์

และเมื่อปราชญ์โบราณไม่มีพลังในการเปลี่ยนอดีต ผลลัพธ์จึงล้มเหลว

ได้ฟังคำขอของเชอร์ล็อก·โมเรียตี้ ชารอนตอบโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า

“ตกลง…ต้องการแค่ไหน”

ชารอนตอบสนองเหมือนที่เราคิดไว้ทุกประการ…ไคลน์หยิบหลอดแก้วใบเล็กออกมา

“แค่หลอดนี้ก็พอ”

ชารอนที่แต่งกายในเดรสโกธิกซับซ้อน ยกมือขวาแผ่วเบา ประหนึ่งบันดาลให้หลอดแก้วมีชีวิต มันบินออกจากฝ่ามือของไคลน์ไปหาเธอ

ทันทีหลังจากนั้น สตรีที่ดูเหมือนตุ๊กตานำมือขวาวางลงบนมือซ้าย เล็บที่ยาวและคมมากงอกออกมา

เพียงรูดผ่านข้อมือแผ่วเบา รอยแผลถูกกรีดเป็นทางยาวปรากฏขึ้น แต่แทนที่เลือดสีแดงจะหยดลง พวกมันกลับลอยขึ้นไปในอากาศและบรรจุลงขวดแก้วอย่างนุ่มนวล

จนกระทั่งใส่จนเต็มบาดแผลของชารอนสมานปิดสนิท ปราศจากรอยแผลเป็นโดยสิ้นเชิง ขณะเดียวกัน จุกหลอดแก้วลอยขึ้นไปตรงปากพร้อมกับหมุนปิดด้วยตัวเอง

ระหว่างดำเนินการ ชารอนมีสีหน้าเรียบเฉย ปราศจากการเปลี่ยนแปลงทั้งปวง ประหนึ่งอารมณ์ทั้งหมดถูกผนึกอยู่ในส่วนลึกจิตใจ

จ้องมองหลอดแก้วที่บรรจุเลือดจนเต็ม ชารอนนำมือซ้ายไปจ่อเกลียวฝา รูดลงจากบนลงล่างอย่างเชื่องช้า

ทำไปเพื่อตัดขาดการเชื่อมต่อระหว่างเลือดกับร่างต้น

จัดการเสร็จ หลอดบรรจุเลือดลอยกลับมาตกลงบนฝ่ามือไคลน์

“มีอะไรให้ช่วยอีกไหม” ชารอนที่นั่งบนเก้าอี้พนักสูง กล่าวอย่างใจเย็น

“ไม่มีแล้ว ขอบคุณมาก” ไคลน์ส่ายหน้าพร้อมกับดีดนิ้ว จุดไฟลุกท่วมฝ่ามือ

เปลวไฟปกคลุมหลอดแก้วโดยสมบูรณ์

จนกระทั่งเปลวไฟสีแดงหายไป หลอดแก้วก็หายไปเช่นกัน

นี่คือการยกระดับของ ‘กระโจนไฟ’ สามารถย้ายวัตถุบนร่างกายไปยังหุ่นเชิดหรือร่างต้นในพริบตา

นอกจากกระโจนไฟ พลังพิเศษอื่นของไคลน์ยังถูกเสริมแกร่งในทุกมิติ

หลังจากแสดงการใช้พลังอย่างชำนาญ มันจ้องชารอนฝั่งตรงข้าม ถามอย่างเป็นกันเอง

“โอสถหุ่นกระบอกย่อยไปถึงไหนแล้ว”

ย้อนกลับไปตั้งแต่ที่มันพบชารอนครั้งแรก ภาพจำของอีกฝ่ายก็เหมือนตุ๊กตามาแต่ไหนแต่ไร ไคลน์เชื่อว่านี่คงเป็น ‘หลักคำสอน’ ของฝ่ายระงับแรงปรารถนา เพื่อให้ศิษย์ทุกคนมีโอกาสได้สวมบทบาทล่วงหน้า และเมื่อเธอดื่มโอสถหุ่นกระบอกเข้าไป พัฒนาการที่สั่งสมมานานจะเกิดความคืบหน้าในคราวเดียว

“ก็ดี” ชารอนตอบกระชับ “คงเสร็จสมบูรณ์ภายในหนึ่งถึงสองปี”

หนึ่งถึงสองปี…นั่นสินะ ต่อให้เร็วแค่ไหน คนปรกติก็คงมีหน่วยเป็นปี…แต่สำหรับเราเพิ่งผ่านไปเพียงครึ่งปีเท่านั้น… ไม่สิ นี่ไม่ใช่เรื่องที่ควรภาพภูมิใจ พัฒนาการของเราเกิดจากแผนการของใครบางคน…นอกจากนั้น หากนับรวมเวลาที่ถูกแขวนเหนือประตูแห่งแสง นั่นอาจนานถึงหลายพันปี…ผู้ชี้นำปาฏิหาริย์…หากเราหลุดพ้นจากชะตากรรมนี้ได้ บางทีอาจได้ชื่อว่าเป็น ‘ผู้สร้างปาฏิหาริย์’ … ไคลน์ถอนหายใจแผ่ว พยักหน้ารับและตั้งคำถาม

“เป้าหมายถัดไปของคุณคือ?”

ชารอนตอบ

“อยากฟื้นฟูร่างเนื้อของอาจารย์ให้ได้”

มาริคบนโซฟาเสริมทันที

“แต่คุณเคยบอกเราใช่ไหม…หัวหน้าลัทธิเร้นลับ ซาราธ กำลังอยู่ในเบ็คลันด์และใกล้ชิดกับโรงเรียนกุหลาบ”

“ใช่” ไคลน์ยิ้ม “กรุณาอดทนรออย่างใจเย็น โอกาสจะต้องมาถึงแน่”

อันที่จริง นี่เป็นแค่คำปลอบใจ เพราะถึงไคลน์จะกลายเป็นปราชญ์โบราณเรียบร้อยแล้ว แถมยังมีผู้ช่วยที่แข็งแกร่งอีกมาก แต่ชายหนุ่มก็ไม่มีความคิดที่จะลงมือกับซาราธแม้แต่น้อย – เทวทูตลำดับหนึ่ง ซึ่งไม่บาดเจ็บหรือตกหลุมพราง ระดับความน่าสะพรึงกลัวไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะจินตนาการออก!

นอกจากนั้น ยิ่งไคลน์มีความรู้ในเส้นทางนักทำนายมากขึ้น มันก็ยิ่งตระหนักถึงความน่ากลัวของซาราธ

หลังจากขัดขวางพิธีกรรมเถลิงบัลลังก์เทพของจอร์จที่สาม ไคลน์วางแผนจะออกจากเบ็คลันด์และหาเวลาพัฒนาตัวเอง

…………………………