ภาค 9 หนึ่งกระบี่ปราบโกลาหลในใต้หล้า บทที่ 834 พิรุณกระบี่สังหารมังกรพุทธะ

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

เยี่ยนจ้าวเกอเมื่อเห็นพวกเกาฉิงแล้ว เขาก็เดาได้ว่าก่อนหน้านี้พวกนางคงสืบเสาะเบาะแสในแดนขวางกั้น เพื่อค้นหาเส้นทางกลับมรกตท่องฟ้าเช่นกัน

พวกเกาฉิงคงจะพบปัญหาในการหมุนเวียนปราณวิญญาณ จึงมายังเขาเบญจคีรี

แต่เห็นได้ชัดว่า พวกนางเจอจอมยุทธ์ของศาสนาพุทธอีกกลุ่มหนึ่งก่อนเยี่ยนจ้าวเกอ

พวกเขาเป็นบรรพชิตกลุ่มหนึ่ง ล้วนมีท่าทางน่าเกรงขาม รัศมีแสงปกคลุมร่าง ปรากฏจิตจริงแท้อันสงบนิ่ง

จอมยุทธ์ศาสนาพุทธเหล่านี้ลงมือไม่อำมหิตอะไรนัก ทว่าแน่วแน่และรุนแรง เหมือนกับเทวราชที่ถลึงตาด้วยความโกรธเกรี้ยว

เยี่ยนจ้าวเกอกวาดสายตามองคร่าวๆ ก่อนจะพบว่าจอมยุทธ์ศาสนาพุทธเหล่านี้มีความคล้ายคลึงกับก่อนวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่เป็นอย่างยิ่ง

วรยุทธ์ศาสนาพุทธกับวรยุทธ์สำนักเต๋าแบ่งระดับชั้นแตกต่างกัน ในอดีตพระศากยมุณีที่ดับขันธ์ปรินิพพานแล้ว ได้เดินไปเส้นทางอีกเส้นทาง จากพื้นฐานมรรคาวรยุทธ์ที่เทวกษัตริย์เต๋าสายเอกพิสุทธิ์ได้บุกเบิกไว้ให้กับผู้คน

แต่ทั้งสองฝ่ายที่เทียบกับแล้วเหมือนทางคู่ขนาน ก็ยังคงมีจุดร่วมอยู่

หลายปีมานี้จอมยุทธ์ศาสนาพุทธก็ได้แบ่งระดับชั้นของตัวเอง เพื่อวัดระดับจอมยุทธ์ศาสนาพุทธเช่นกัน

เพียงแต่ว่าในปัจจุบัน หลังจากเทียบกับเวลาที่พระศากยมุณีทรงประทับอยู่ที่แดนอภิรดีในช่วงตำนานไซอิ๋วแล้ว ก็มีการแบ่งแยกขนานใหญ่

ส่วนได้ส่วนเสียในนี้ รอเพียงเวลามาทดสอบ

ในตอนนี้ รากฐานที่จอมยุทธ์ศาสนาพุทธฝึกฝนยังคงเป็นรัศมีแสงในกาย

รัศมีแสงนี้ช่วยให้พวกเขาเพิ่มระดับพลังขึ้น และมีพลังมากขึ้นง่ายกว่าลูกศิษย์สำนักเต๋า

ไม่จำเป็นต้องมีพรสวรรค์สูงส่ง ไม่ต้องมีปัญญาที่ฉลาดเฉลียว ขอแค่มีใจศรัทธาในพุทธศาสนา มีความเชื่อมั่นที่แน่วแน่ พลังฝึกปรือก็ล้วนพุ่งทะยานได้

ธรณีประตูต่ำ เห็นผลรวดเร็ว

กระนั้น ถ้าพลังฝึกปรือที่อยู่ในระดับเดียวกัน พวกเขาจะมีระดับเฉลี่ยต่ำกว่าจอมยุทธ์สำนักเต๋า

เพราะว่าความเข้าใจที่พวกเขาควรจะมีต่อวรยุทธ์ในระดับปัจจุบัน กับการศึกษาหลักการของฟ้าดินนั้นไม่ถ่องแท้พอ

เพียงรู้ว่ามันควรจะเป็นเช่นนี้ แต่ไม่ทราบเหตุผล

แต่แม้ว่าจอมยุทธ์ศาสนาพุทธจะมีระดับเฉลี่ยของพลังอ่อนแอกว่าสำนักเต๋าเมื่ออยู่ในระดับเดียวกัน แต่ก็มีปัญหาหนึ่งที่ไม่อาจมองข้าม

นั่นก็คือจอมยุทธ์ศาสนาพุทธ เลื่อนไปอยู่ในระดับที่สูงกว่าเดิมได้ง่ายกว่า

ด้วยเหตุนี้ปัญหาที่เกิดขึ้นมาก็คือ หากอยู่ในระดับเดียวกัน จอมยุทธ์ศาสนาพุทธ์มักจะมีความได้เปรียบด้านจำนวนคน

สถานการณ์ในตอนนี้ก็เป็นเช่นนั้น

พวกเกาฉิงซึ่งเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดสายเหนือพิสุทธิ์มีพลังฝึกปรือโดดเด่นแท้ๆ ทว่าในตอนนี้กลับถูกจอมยุทธ์ศาสนาพุทธที่มีจำนวนมากกว่าพวกเขารุมล้อม

ในจำนวนนี้ยังมียอดฝีมือที่อยู่ในขั้นเทวะสำแดงของสำนักเต๋าไม่ต่ำกว่าสองคน

เยี่ยนจ้าวเกอก็เผชิญหน้ากับปัญหาเดียวกัน

แต่ว่าสีหน้าของเขาไม่เปลี่ยนแปลง เรียกหีบกระบี่กลืนฟ้ากลืนดินออกมาอย่างง่ายๆ พลังกลืนกินที่น่าพรั่นพรึงพลันขัดขวางการโจมตีของศัตรูจำนวนมากเอาไว้

“บรรพชิตทุกท่าน การบำเพ็ญของผู้เป็นนักบวชเล่า” เยี่ยนจ้าวเกอแค่นเสียงคำหนึ่ง “ถึงแม้พระพุทธเจ้าจะมีโทสะเช่นกัน แต่ใจร้อนเกินไปหน่อยกระมัง”

บรรพชิตที่เป็นผู้นำเปล่งคำสรรเสริญพระคุณ จากนั้นก็กล่าวว่า “ประสกกล่าวผิดแล้ว ประสกในเมื่อปรากฏตัวที่นี่ ก็อธิบายถึงทุกสิ่ง พวกอาตมามีเพียงแต่ต้องแผ่ส่วนบุญให้กับประสก ถึงจะช่วยให้ประสกหลุดพ้นจากทะเลแห่งความทุกข์ทนได้”

“หา?” เยี่ยนจ้าวเกอไม่เข้าใจความหมายของบรรพชิตรูปนี้อยู่ชั่วขณะ “ท่านรู้จักข้าหรือ”

บรรพชิตทางหนึ่งส่ายหน้า ทางหนึ่งชูวัชระในมือขึ้น “ไม่รู้จัก แต่ในเมื่อเป็นผู้ที่อยู่อีกฝั่ง เช่นนั้นก็เหมือนกัน”

เยี่ยนจ้าวเกอนิ่วหน้า จากนั้นคิ้วก็คลายออก “ที่แท้เป็นเช่นนี้ ข้าเหมือนจะเข้าใจแล้ว”

เขาไพล่สองมือไว้ด้านหลัง ยืนอยู่ที่เดิมไม่ไหวติง

อีกฝ่ายมีรัศมีแสงละลานตา แต่ว่าการโจมตีอันดุดันกลับไม่อาจทำลายหีบกลืนฟ้ากลืนดินได้

ญาณจริงแท้ของศาสนาพุทธและปราณวิญญาณหลายสาย ล้วนถูกสิ่งที่เหมือนกับหลุมดำกลืนกิน หายไปไม่เห็นร่องรอย

“มารนอกศาสนาแข็งแกร่ง ใช้หลักธรรมที่กว้างกว่านี้รับมือ” บรรพชิตเปล่งเสียงสรรเสริญพระคุณอย่างพร้อมเพรียง

ทั้งหมดกลายเป็นแถวเดียว คนที่อยู่ด้านหลังใช้สองมือพาดไว้บนไหล่ของคนที่อยู่ด้านหน้า

เพียงครู่เดียวเท่านั้น รัศมีแสงก็กลายเป็นสายเดียว แสงสว่างเปลี่ยนรู้ร่างจนเหมือนกับจับต้องได้

เกล็ดปรากฏ หนวดงอกขึ้น ทั่วร่างเป็นเมฆมงคล สี่กรงเล็บคว้าเมฆ

เกิดเสียงมังกรคำรามจากปาก กลับเป็นพระสูตรมหายาน

พลังของเหล่าบรรพชิตรวมเป็นหนึ่ง จิตจริงแท้ของวรยุทธ์สะท้อนเป็นมังกรทองพาดผ่านฟ้าดิน น่าเกรงขามสุดเปรียบปาน โถมเข้าหาเยี่ยนจาวเกอ

บนเกล็ดสีทองทั่วร่างของมังกรตัวนั้น มีหลักธรรมคำสอนสลักอยู่มากมาย

ขณะมังกรเคลื่อนไหวกลางอากาศ อากาศถึงกับสั่นไหวและปริร้าว

เยี่ยนจ้าวเกอเห็นดังนั้นก็กล่าวด้วยรอยยิ้มผ่อนคลาย “มาได้ดี”

เขายื่นมือตบใส่หีบกลืนฟ้ากลืนดิน หีบขนาดยักษ์เปิดออกอย่างสะเทือนเลือนลั่น จากนั้นก็ระเบิดปราณกระบี่สีขาวโพลนที่เหมือนกับห่าฝนออกมา!

ปราณกระบี่ตัดสลับกัน แบ่งฟ้าดินเป็นสอง

ปราณกระบี่ที่ดุร้ายนับไม่ถ้วนฟันใส่ร่างมังกรทองศาสนาพุทธอย่างหนุนเนื่องไม่หยุด ราวกับฝนตกกระทบใบกล้วย

แสงสีทองหลายสายระเบิดออกติดต่อกัน เกล็ดมังกรร่วงกระจัดกระจาย

เสียงสวดมนต์ค่อยๆ เบาลง เกิดเสียงครางหนักๆ อย่างเจ็บปวดของเหล่าบรรพชิตดังขึ้นกลางท้องฟ้า

เยี่ยนจ้าวเกอไม่รีบร้อนเผด็จศึก ด้วยเขาอยากดูว่าอีกฝ่ายมีความสามารถอะไรอีก ถึงอย่างไรตนก็เพิ่งจะเคยประมือกับจอมยุทธ์ศาสนาพุทธเป็นครั้งแรก

เมื่อผ่านวันนี้ไป เขาต้องเสาะหาวิธีกลับโลกซ้อนโลก อาจจะไม่เจอโอกาสเช่นนี้ไปอีกนาน

มังกรทองรับการโจมตีที่ถี่ยิบดุจพายุฝนของปราณกระบี่ แม้จะโคลงเคลงใกล้พังทลาย แต่ก็ฝืนรับไว้ไม่ยอมสลายไป

เยี่ยนจ้าวเกอลูบคางของตัวเอง ‘พลังป้องกันแข็งแกร่งมาก นี่นับว่าเป็นการกลายพันธุ์มาจากร่างทองของศาสนาพุทธแล้ว’

มังกรทองแม้ว่าจะมีพลังแข็งแกร่ง แต่ว่าปราณกระบี่ในหีบกลืนฟ้ากลืนดินเหมือนไร้ที่สิ้นสุด ใช้การโจมตีโดยสภาวะคลุ้มคลั่งที่ถี่ยิบชนิดไม่ให้ลมลอดผ่านตั้งแต่ต้นจนจบ

ทว่าในตอนนั้นเอง หีบโลหะสีดำก็ผลันปิดปากหีบลง

ห่าฝนพายุคลั่งก่อนหน้านี้ พลันหายไปในบัดดล

ไม่มีการชะงัก หีบกลืนฟ้ากลืนดินมีแรงดึงดูดที่น่ากลัวลอยออกมาอีกครั้ง หมายจะกลืนดวงตะวัน กินดวงจันทร์ คว้าดวงดาว

มังกรทองที่ฝืนต้านทาน เกล็ดทั่วร่างถูของมันกทำลาย โดนหลุมดำที่เกิดจากหิบกลืนฟ้ากลืนดินกลืนกิน!

“กระจาย!” บรรพชิตที่เป็นผู้นำตะโกนขึ้น

ในช่วงนาทีวิกฤต มังกรทองพลันสลาย ปรากฏเงาคนมากมาย

จอมยุทธ์ศาสนาพุทธจำนวนมากกระอักเลือดออกมาพร้อมกัน โซเซถอยหลัง ต้านทานแรงดึงดูดจากหีบกลืนฟ้ากลืนดินอย่างยากลำบาก

เยี่ยนจ้าวเกอหัวเราะ “ยังมีลูกเล่นอื่นอีกหรือไม่”

ขณะที่พูดอยู่ จู่ๆ ดวงตาของเขาก็วาวโรจน์ ครั้นกลับหลังหันไปมอง ก็พบว่าความว่างเปล่าที่อยู่ห่างออกไปเปิดเป็นรู ร่างที่ใหญ่ดุจภูเขาโผล่มา

ชายหนุ่มเพ่งสายตามองไป นั่นเป็นช้างเผือกขนาดยักษ์ตัวหนึ่ง ทั่วร่างเหมือนกับหยก เท้าเหยียบเอกภพ

เมื่อช้างเผือกยักษ์ก้าวเท้าออก ก็มาถึงด้านหน้าเยี่ยนจ้าวเกอในทันที

บนศีรษะของช้างยืนไว้ด้วยบรรพชิตหนุ่มที่ภายนอกมองไปมีอายุราวๆ สามสิบปีผู้หนึ่ง

เขาก้มมองพวกเยี่ยนจ้าวเกอกับพวกเกาฉิง พึมพำกับตัวเอง “เป็นมารร้ายนอกศาสนาเหล่านี้เอง ที่ทำให้การสะกดของแดนต้องห้ามอ่อนแอลง หรือเป็นเพราะการสะกดของแดนต้องห้ามอ่อนแอลง จึงดึงดูดมารร้ายนอกศาสนาเหล่านี้เข้ามา”

สายตาของบรรพชิตผู้นี้หยุดบนตัวพวกเกาฉิง “…ผู้สืบทอดสายเหนือพิสุทธิ์หรือ”

เขาหันไปมองเยี่ยนจ้าวเกอ “ประสกกับพวกเขาเป็นผู้สืบทอดสายเหนือพิสุทธิ์ หรือว่ามาจากโลกซ้อนโลก”

เยี่ยนจ้าวเกอกลับมองช้างเผือกของเขา หลังจากเห็นว่างาช้างมีแค่สองงาไม่ใช่หกงา ก็อดกล่าวด้วยรอยยิ้มไม่ได้ว่า “ตอนแรกข้าสงสัยว่าคงไม่ใช่ผู้มีอภิญญาอย่างพระสมันตภัทรโพธิสัตว์[1] แล้วก็ไม่ใช่จริงๆ ด้วย”

………………..

[1] พระสมันตภัทรโพธิสัตว์ เป็นพระโพธิสัตว์ในกลุ่มตถาคตโคตร ทรงช้างเผือกหกงา