ภาค 9 หนึ่งกระบี่ปราบโกลาหลในใต้หล้า บทที่ 835 ไต้ซือ ให้ข้าแผ่เมตตาให้กับท่านเถอะ

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

บรรพชิตหนุ่มนั่งมองเยี่ยนจ้าวเกออยู่บนศีรษะช้าง เอ่ยช้าๆ ว่า “อาตมาย่อมเทียบกับพระสมันตภัทรโพธิสัตว์ไม่ได้ แต่ก็สามารถลงทัณฑ์มารนอกศาสนาอย่างอำมหิตได้เช่นดัน”

“ทะเลทุกข์ไร้ประมาณหันกลับจึงเห็นฝั่ง ประสกจงเปลี่ยนมานับถือพุทธศาสนาเถอะ”

เยี่ยนจ้าวเกอพิจารณาบรรพชิตหนุ่มรูปนั้นขึ้นลง

เต๋ากับพุทธแบ่งระดับชั้นของพลังฝึกปรือไม่เหมือนกัน การเผยกลิ่นอายของญาณจริงแท้ก็ไม่เหมือนกันด้วย

หากไม่ลงมือจริงๆ เพียงมองสำรวจด้วยมาตรฐานของตนเอง ก็ยากจะแยกแยะพลังของอีกฝ่ายว่าอยู่ในระดับใด

แต่ถ้ายึดตามจอมยุทธ์ศาสนาพุทธที่อยู่รอบๆ บรรพชิตหนุ่มรูปนี้ไม่ธรรมดาอย่างชัดเจน ผิวที่อยู่ด้านนอกจีวร ปรากฏแสงสีฟ้าเขียว เหมือนกับกระจก

เยี่ยนจ้าวเกอเอ่ยเรียบๆ “ไต้ซือพูดล้อเล่นแล้ว ข้าผู้แซ่เยี่ยนไม่คิดจะออกบวช”

บรรพชิตหนุ่มรูปนั้นกลับกล่าวว่า “ประสกทั้งหลายออกจากโลกซ้อนโลกและมรกตท่องฟ้ามาถึงที่นี่ แม้จิตใจจะมีแต่ทิฐิ แต่ว่ามีพรสวรรค์โดดเด่นอยู่ในชั้นเอกอุ น่าเสียดายที่มัวเมาอยู่กับเส้นทางนอกรีต”

“อัจฉริยะผู้เป็นมารนอกศาสนาอย่างพวกประสก อาตมาเคยเทศนามาหลายคนแล้ว

“การเข้าสู่ศาสนาพุทธของอาตมา มิจำเป็นต้องบวชเสมอไป เพียงแต่มีพุทธศาสนาประจำใจก็พอ หากในใจมีพุทธะ ทุกที่ย่อมเป็นแดนสุขาวดี”

ม่านตาของเยี่ยนจ้าวเกอพลันหดตัวลง

‘เทศนา’ ใช่ว่าเยี่ยนจ้าวเกอเพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรก

เป็นความหมายของการแผ่เมตตา หรือการทำให้รู้แจ้ง

พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า ทุกสรรพสิ่งเท่าเทียม หากเข้าใจอย่างถ่องแท้ ทุกคนสามารถกลายเป็นพระพุทธเจ้าได้ แต่ต้องสำรวจตัวเอง และจงเตือนสติของตัวเองอยู่เสมอ

แต่หลังจากพระศากยมุณีเสด็จดับขันธปรินิพพาน พระศรีอาริย์ประทับอยู่ที่ดินแดนอภิรดี หลังจากเวลาผ่านไป สิ่งที่เรียกว่า ‘การเทศนา’ ก็ค่อยๆ มีความหมายเปลี่ยนไป

เยี่ยนจ้าวเกอก่อนหน้านี้ไม่เคยได้เห็นด้วยตัวเอง ทว่าด้านในคัมภีร์ของหอหนังสือวังเทพมีบันทึกคร่าวๆ ไว้น้อยนิด

ข้อความไม่กี่ประโยค แต่โดดเด่นยิ่ง

“เทศนา เหอะๆ…” เยี่ยนจ้าวเกอจ้องอีกฝ่าย “ท่านคิดจะกำราบความตั้งใจของข้า เพื่อให้ข้านับถือพระพุทธเจ้าหรือ”

บรรพชิตหนุ่มส่ายหน้า กล่าวเสียงอ่อนโยน “ไม่ใช่การบังคับ”

“สิ่งมีชีวิตทั้งหลายต่างมีจิตแห่งพุทธะ เกิดในลู่ทางที่ถูกที่ควร เพียงแต่เพราะความลำบากทางโลก อีกทั้งยังมีมารร้ายจำนวนนับไม่ถ้วนล่อลวง ดังนั้นสิ่งมีชีวิตจำนวนหนึ่งจึงหลุดออกจากครรลองที่ถูกต้อง เข้าสู่เส้นทางของมารร้าย”

“องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงมีเมตตา โปรดทุกสรรพสิ่ง ประสกแม้ว่าจะอยู่นอกศาสนา แต่อาตมาหากประสกกลับตัวกลับใจ ฟังคำสอนขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้า จะสามารถเรียกจิตแห่งพุทธะของตัวประสกกลับมาได้ จงนับถือพุทธเถอะ จะได้กลับสู่เส้นทางที่ถูกต้อง”

เยี่ยนจ้าวเกอแค่นเสียง “เจตนาดีของไต้ซือ ข้าเข้าใจแล้ว มีคำพูดว่าดอกไม้หอมเพราะผ่านเหมันต์โหดร้าย คมกระบี่คมเพราะถูกฝน ข้าขอทรมานอยู่ในทะเลทุกข์นี้อีกสักพักแล้วกัน จะกระโดดออกมาเมื่อไร และกระโดดออกมาอย่างไร ไต้ซือไม่จำเป็นต้องกังวล”

บรรพชิตหนุ่มยิ้มบาง “ประสกอย่าเอาแต่ยึดมั่นถือมั่น ไม่เช่นนั้นอาจจะไม่หลุดพ้นจากทางโลกตลอดกาล”

เขากล่าวอย่างราบเรียบ “องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีเมตตา ศิษย์ขอเอาอย่าง การช่วยประสกนับว่าเป็นบุญอย่างหนึ่ง”

เมื่อกล่าวจบ ช้างเผือกที่มีขนาดยักษ์เท่าภูเขาที่อยู่ด้านล่างก็ยกเท้าหน้าขึ้น ก่อนจะเหยียบใส่เยี่ยนจ้าวเกอ!

เยี่ยนจ้าวเกอเหมือนไม่เห็นมันอยู่ในสายตา มีเงาร่างอีกสายหนึ่งปรากฏขึ้นด้านหน้าเขาอย่างฉับพลัน

ยังคงเป็นร่างสีดำสลับขาว แต่ว่าสีหน้ากลับไม่น่าเอ็นดูซึมเซาอีก

สองตาฉายแววดุร้าย เสียงคำรามทุ้มต่ำดังขึ้น สะกดเสียงสวดมนต์ที่ยิ่งใหญ่รอบๆ

พ่านพ่านโผล่ขึ้นมาโดยพลัน ยืนด้วยสองขาขวางอยู่ด้านหน้าเยี่ยนจ้าวเกอ

ตัวมันขยายขนาด พริบตาเดียวศีรษะก็ยื่นจรดฟ้าเท้าเหยียบดิน ตัวใหญ่กว่าช้างเผือกเสียอีก!

พ่านพ่านที่ยืนสองขาพุ่งอุ้งเท้าหน้าไปด้านหน้า ปัดเท้าหน้าที่ช้างเผือกตัวนั้นยกขึ้น

อุ้งเท้าหน้าอีกข้างชูขึ้น ฟาดใส่ศีรษะของช้าง!

ท่ามกลางเสียงดังสนั่นจนแก้วหูแทบแตก ช้างเผือกยักษ์ที่ตัวใหญ่ราวเทือกเขาตัวนั้นถูกพ่านพ่านฟาดถอยหลัง!

ทุกคนต่างสะดุ้งโหยง

จากนั้นก็เห็นพ่านพ่านชะงักฝีเท้าพร้อมกับคำราม ใช้อุ้งเท้าข้างหนึ่งจับงาช้างข้างหนึ่งของช้างเผือกตัวนั้นไว้ จากนั้นก็ใช้อุ้มเท้าอีกข้างจับงวงยาวๆ งวงนั้น!

ช้างเผือกร้องด้วยความเจ็บปวด ระเบิดแรงมหาศาลออกมา

ช้างเอราวัณเป็นตัวแทนของพลังมาโดยตลอด

ในตอนนี้เมื่อช้างเผือกระเบิดพลังออกมา สามารถพลิกฟ้าพลิกดินได้อย่างง่ายดาย

ทว่าอุ้งเท้าหน้าของพ่านพ่านจับงาช้าง บังคับให้ช้างเผือกล้มลงบนพื้น!

ร่างอันใหญ่โตของช้างเผือกกระแทกกับพื้น แดนขวางกั้นสั่นไหวอย่างรุนแรง

ผืนดินรอบๆ ที่ทั้งสองฝ่ายสู้กันแตกร้าวพังทลาย สรรพสิ่งพังพินาศสิ้น

ช้างยักษ์ดิ้นรน บดขยี้พื้นดินที่แตกร้าวอยู่แล้วด้านล่างร่างกายจนกลายเป็นหุบเหวลึกขนาดมหึมา

แต่ไม่ว่ามันจะพยายามขนาดไหน ก็ถูกพ่านพ่านกดไว้กับพื้น ไม่อาจพลิกตัวลุกขึ้นยืน

รัศมีแสงที่เหมือนกับกระจกสีฟ้าเขียวกะพริบไม่หยุด บนตัวพ่นพ่านกลับปรากฏหลุมดำหลุมแล้วหลุมเล่า กลืนกินรัศมีแสงเหล่านั้นจนหมดสิ้น

พ่านพ่านคำรามก้อง อุ้งเท้าอีกข้างที่จับงวงช้าง ออกแรงดึงงวงของช้างเผือกตัวนั้นจนฉีกขาด!

ช้างเผือกส่งเสียงร้องสะเทือนฟ้าสะเทือนดิน ทรมานแสนสาหัส ออกแรงดิ้นรนเพิ่มขึ้น

พ่านพ่านคำรามติดต่อกัน ยังคงกดช้างยักษ์ตัวนี้ไว้ใต้อุ้งเท้า

ทุกคนอ้าปากตาค้างขณะมองดูเหตุการณ์นี้ เหมือนกับเห็นองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าถูกมารร้ายบั้นพระเศียร

ในตอนที่พ่านพ่านกระแทกช้างยักษ์ตัวนั้นถอยหลัง บรรพชิตหนุ่มรูปนั้นสีหน้าแปรเปลี่ยน คิดจะลงมือ

ทว่าในขณะเดียวกัน บนศีรษะของเยี่ยนจ้าวเกอก็ปรากฏวังขนาดมหึมาขึ้น

ประตูวังเปิดอ้าออก เงาร่างสายหนึ่งพุ่งออกมาจากด้านในดุจสายฟ้าฟาด สายตาของทุกคนแทบจะตรวจจับร่องรอยของเงานั้นไม่ทันโดยสิ้นเชิง

เงาร่างสายนี้เหมือนกับไม่นำพาการขวางกั้นของมิติและการไหลของเวลาโดยสมบูรณ์ วินาทีที่ปรากฏกายขึ้นมา ก็พุ่งปราดไปถึงด้านหน้าบรรพชิตหนุ่มรูปนั้นทันที

มีเพียงแต่บรรพชิตหนุ่มรูปนั้นถึงจะฝืนมองเห็นหน้าตาของอีกฝ่ายได้ชัดๆ เป็นร่างแยกสมุทรสุดขอบโลกของเยี่ยนจ้าวเกอนั่นเอง

จุดลมปราณของร่างแยกสมุทรสุดขอบโลกสั่นไหว พลังอันยิ่งใหญ่ไร้ขอบเขตระเบิดออกมา หมัดหนึ่งต่อยใส่บรรพชิตหนุ่มรูปนี้

บรรพชิตหนุ่มตามความเร็วของร่างแยกสมุทรสุดขอบโลกไม่ทันอยู่บ้าง

เขาได้แต่ใช้ไม่เปลี่ยนแปลงรับหมื่นเปลี่ยนแปลง รัศมีแสงสีฟ้าเขียวรอบๆ ตัวพลันรวมตัวกัน ครอบคลุมทั่วร่างไว้เหมือนกับกระจกบริสุทธิ์

รัศมีแสงสีทองหลายสาดสายออกมาจากในกระจก กอปรกันเป็นร่างทองที่แข็งแกร่งไม่บุบสลาย ป้องกันหมัดเหล็กของร่างแยกสมุทรสุดขอบโลกในห้วงคับขัน

แทบจะเป็นในชั่วพริบตาเดียว ผิวกระจกสีฟ้าเขียวก็ปรากฏรอยร้าว

‘พลังหมัดนี้เหี้ยมหาญนัก ก่อนหน้านี้กลับไม่เคยพบการดำรงอยู่ของเขามาก่อน’ บรรพชิตหนุ่มสายตาเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม ‘เทียบได้กับยอดฝีมือที่อยู่ในระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นหก ขั้นเทวะสำแดงระยะท้ายของสำนักเต๋าแล้ว’

เมื่อเผชิญหน้ากับร่างแยกสมุทรสุดขอบโลก เขาก็ไม่อาจสนใจช้างเผือกได้อีก ได้แต่มองดูช้างเผือกถูกพ่านพานพลิกคว่ำลงพื้นตาปริบๆ

พวกเกาฉิงที่อยู่ด้านข้างรู้สึกตื่นตระหนกเช่นกัน

เป็นเพราะพวกนางแยกแยะได้รางๆ ว่าความจริงแล้วร่างแยกสมุทรสุดขอบโลกของเยี่ยนจ้าวเกอ น่าจะอยู่ในระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นห้า ขั้นเทวะสำแดงระยะกลาง

อีกทั้งน่าจะเพิ่งเลื่อนเป็นจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นห้าได้ไม่นานด้วย

กำปั้นของร่างแยกสมุทรสุดขอบโลกถูกขวาง ก็ไม่ได้ชักมือกลับ เผยรอยยิ้มเย็นชา “ไต้ซือ ให้ข้าผู้แซ่เยี่ยนแผ่เมตตาให้ท่านเถอะ”

ขณะที่พูด ก็เปลี่ยนกำปั้นเป็นกรงเล็บ อีกมือหนึ่งก็พุ่งออกไปเช่นกัน

สิบนิ้วของเขาเจาะทะลุเข้าไปในกระจกสีฟ้าเขียวดุจสิ่ว จากนั้นก็ใช้แรงกระชากออกด้านข้าง

เสียงแตกร้าวทิ่มแทงแก้วหูดังขึ้น กระจกหลายแผ่นกระจายลงไปทั่วพื้นดินด้านล่างราวกับห่าฝน!