ภาค 9 หนึ่งกระบี่ปราบโกลาหลในใต้หล้า บทที่ 836 พวกท่านไม่กล้าสังหาร แต่ข้ากล้า

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

ร่างแยกสมุทรสุดขอบโลกสองมือกลายเป็นกรงเล็บ ฉีกกระชากรัศมีแสงคุ้มกันกายที่เกิดจากญาณจริงแท้ของบรรพชิตหนุ่มรูปนั้น

บรรพชิตหนุ่มหลังจากตกตะลึงเสร็จ ก็ใจเย็นลงอย่างรวดเร็ว

ท่านยกสองมือขึ้นด้านบนพร้อมกัน สิบนิ้วกางออก เหมือนกับดอกบัวเบ่งบาน

รัศมีแสงกลายเป็นดอกบัว จากนั้นก็พุ่งใส่ศีรษะของร่างแยกสมุทรสุดขอบโลก!

รัศมีแสงคุ้มกันกายของบรรพชิตรูปนี้สามารถต้านทางการโจมตีของร่างแยกสมุทรสุดขอบโลก ไม่ให้ถูกจู่โจมโดยทันที หมายความว่าเขาเองก็มีพลังอยู่ใกล้เคียงกับระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นหกเช่นกัน

จอมยุทธ์ศาสนาพุทธที่มีพลังฝึกปรือถึงขนาดนี้ ยังไม่พูดถึงว่านิสัยเป็นอย่างไร ยังไม่พูดถึงว่าพรสวรรค์และสติปัญญาเป็นอย่างไร อย่างน้อยก็มีความแน่วแน่เป็นพิเศษ

แม้จะตกใจกับการปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหันและพลังอันแข็งแกร่งของร่างแยกสมุทรสุดขอบโลก และต้องเผชิญกับห้วงความเป็นความตาย ทว่าในชั่วพริบตาบรรพชิตรูปนี้ก็ยังคงตอบสนองอย่างเหมาะสมที่สุด

ความเร็วของเขาสู้ร่างแยกสมุทรสุดขอบโลกไม่ได้ คิดจะรักษาระยะห่างจึงเป็นความคิดไร้สาระโดยสิ้นเชิง

รัศมีแสงคุ้มกันไม่อาจคงการป้องกันภายใต้การโจมตีจากร่างแยกสมุทรสุดขอบโลกได้นาน

เมื่อเป็นเช่นนั้นก็ใช้โจมตีรับโจมตี กดดันให้คู่ต่อสู้เก็บกระบวนท่า ไม่เช่นนั้นจะต้องบาดเจ็บทั้งคู่!

ร่างแยกสมุทรสุดขอบโลกทำลายรัศมีแสงของเขาเสร็จ ร่างกายก็หยุดชะงัก ในพริบตานี้ความได้เปรียบด้านความเร็วได้หายไปแล้ว

ตอนนี้เป็นโอกาสหนึ่งเดียวที่บรรพชิตหนุ่มรูปนี้จะลงมือแล้ว ไม่คว้าไว้ไม่ได้

บัวทองเศียรพระพุทธที่แหวกลมมาถึง นำมาซึ่งแรงกดดันอันหนาหนัก พุ่งใส่ร่างแยกสมุทรสุดขอบโลกดุจภูเขาถล่ม

อานุภาพนั้นน่ากลัวและหนักแน่นยิ่งกว่าการร่วงหล่นของช้างเผือกขนาดมหึมา ที่เหมือนกับภูเขาซึ่งลอยขึ้นไปกลางอากาศแล้วกระทืบสี่เท้าลงมาเสียอีก!

ที่ว่างเหนือศีรษะของร่างแยกสมุทรสุดขอบโลกถึงกับบิดเบี้ยวแหลกสลาย พังพินาศอย่างต่อเนื่อง

มันเงยหน้ามองบัวทองแวบหนึ่ง ขณะที่หัวเราะเสียงเย็นชา มันชักมือซ้ายกลับ จากนั้นก็พลิกตัวกลางอากาศ ราวกับมังกรออกทะเล พุ่งสู่สวรรค์

เงามังกรและบัวทองปะทะกัน เงามังกรแหลกสลาย บัวทองเองก็ถูกทำลายเช่นกัน

มือขวาของร่างแยกสมุทรสุดขอบโลกเปลี่ยนจากกรงเล็บเป็นหมัดอีกครั้ง แทงใส่หัวใจของอีกฝ่ายราวกับคมหอกของหอกยักษ์อย่างต่อเนื่อง

บรรพชิตหนุ่มสองฝ่ามือต้านทานมือซ้ายของร่างแยกสมุทรสุดขอบโลก ไม่อาจตบลงได้อีก

สีหน้าของเขาแปรเปลี่ยนกลับกลาย สูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง จีวรบนร่างเปล่งแสง กอปรกันเป็นฉากกำบังสุดท้ายบนร่าง ช่วยป้องกันหมัดนี้ของร่างแยกสมุทรสุดขอบโลกให้กับเขา

แสงสีทองพลันไหวเอียง ราวกับไฟตะเกียงส่ายวูบกลางพายุฝน

ถ้าหากไม่ใช่เพราะอาวุธศักดิ์สิทธิ์ชั้นกลางของศาสนาพุทธชิ้นนี้ป้องกันแทนเขาได้ทันเวลา การโจมตีโดยใช้หมัดต่างหอกของร่างแยกสมุทรสุดขอบโลกอาจจะเจาะทะลุทรวงอกของเขาไปแล้ว

บรรพชิตหนุ่มรับหมัดของร่างแยกสมุทรสุดขอบโลก ฉวยโอกาสถอยไปด้านหลัง

ทว่าร่างแยกสมุทรสุดขอบโลกลับก้าวเท้าติดต่อกัน ติดตามเข้าไป จากนั้นก็ต่อยใส่อีกหมัด

บรรพชิตหนุ่มได้แต่ถอยแล้วถอยอีก ชักสองมือกลับมาป้องกันอย่างทุลักทุเล

ในตอนนี้เขาคิดจะโต้ตอบ ทว่าไร้กำลัง

ร่างแยกสมุทรสุดขอบโลกออกหมัดติดต่อกัน ต่อยจนอีกฝ่ายไม่มีปัญญาป้องกัน ร่างกายวูบไหว พลันโผล่ขึ้นด้านหลังบรรพชิตหนุ่ม

มันผลักสองมือออกพร้อมกัน จับจุดลมปราณสำคัญกลางหลังของบรรพชิตรูปนั้นไว้

ใจกลางฝ่ามือสองข้างราวกับปรากฏหลุมดำ ดูดร่างของอีกฝ่ายไว้แน่น ดูดกลืนพลังของอีกฝ่าย

บรรพชิตหนุ่มกลางหลังรู้สึกชาด้าน พลันรู้สึกร่างกายค่อยๆ ไร้เรี่ยวแรง ญาณจริงแท้เหมือนกับหายไปอย่างต่อเนื่อง

เขาตกใจแต่ไม่สับสน “รัศมีแสงเป็นสิ่งที่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทานให้ การสูญเสียไปถือว่าเป็นเรื่องอัปมงคล แต่รัศมีแสงถ้าเข้าไปในร่างกายของโยม จะทำให้โยมหันมานับถือองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า!”

เมื่อเขาหันไปมอง กลับเห็นร่างแยกสมุทรสุดขอบโลกมีสีหน้าเป็นปกติ ร่างกายไม่มีรัศมีแสงปรากฏขึ้น

แต่ว่าเหนือศีรษะของร่างแยกสมุทรสุดขอบโลกกลับมีจิตวรยุทธ์ลอยขึ้น รวมตัวเป็นรูปเป็นร่าง ไม่ได้สะท้อนเป็นภาพคุนเผิงหรือมังกรแท้ ทว่าเป็นเทาเที่ยตัวหนึ่ง!

บรรพชิตหนุ่มรูปนี้พลันรู้สึกหนักใจ

ความสามารถกลืนฟ้ากลืนดินของเทาเที่ยมีความพิเศษ ไม่ได้เป็นการดูดซับญาณจริงแท้หรือช่วงชิงสารจำเป็นของคนอื่นเหมือนกับวรยุทธ์สายมารบางวรยุทธ์

ร่างแยกสมุทรสุดขอบโลกใช้ความสามารถของเทาเที่ยกลืนกินรัศมีแสงนี้ มันจึงยากจะก่อให้เกิดผลกระทบใดๆ ต่อร่างแยกสมุทรสุดขอบโลกได้

หลักการเดียวกัน มันก็เหมาะจะใช้กับพ่านพ่านที่เหยียบช้างเผือกตัวนั้นไว้ใต้เท้าเหมือนกัน

จีวรบนร่างของบรรพชิตหนุ่มสาดแสง กั้นขวางพลังของร่างแยกสมุทรสุดขอบโลก

ทว่าแสงสว่างจากเกราะทองบรรพตอันเป็นอาวุธศักดิ์สิทธิ์ชั้นกลางที่โผล่ขึ้นบนร่างแยกสมุทรสุดขอบโลก พลันปะทะกับจีวรชิ้นนั้น สะกดพลังของมันลงไป

บรรพชิตหนุ่มรูปนี้ได้แต่ฝืนกระตุ้นพลังของตัวเอง หมายจะสลัดให้หลุดจากการจับกุมของร่างแยกสมุทรสุดขอบโลก ป้องกันไม่ให้ตนถูกจับเป็น

จอมยุทธ์ศาสนาพุทธที่เหลือไม่ได้ดูอยู่เฉยๆ แต่พากันพุ่งเข้าใส่เยี่ยนจ้าวเกอ ร่างแยกสมุทรสุดขอบโลก และพ่านพ่าน

ร่างแยกสมุทรสุดขอบโลกกับพ่านพ่านไม่ได้สนใจ ตั้งใจจัดการคู่ต่อสู้ของตัวเอง

เยี่ยนจ้าวเกอควบคุมให้หีบกระบี่โลหะสีดำตรงหน้าเปลี่ยนกลายเป็นหลุมดำ เผยอานุภาพกลืนฟ้ากลืนดิน กลืนกินพลังโจมตีของอีกฝ่าย

จอมยุทธศาสนาพุทธที่รุมล้อมพวกเกาฉิงก่อนหน้านี้เห็นดังนั้น ก็รีบละทิ้งพวกนาง พากันโถมเข้ามาหาเยี่ยนจ้าวเกอ

แววตาของเยี่ยนจ้าวเกอแฝงความอำมหิต เขาตบหีบกลืนฟ้ากลืนดินอีกครั้ง พลันมีปราณกระบี่จำนวนนับไม่ถ้วนกระจายตัวกัน ก่อนยิงใส่จอมยุทธ์ศาสนาพุทธ เพื่อขวางเส้นทางของพวกเขาเอาไว้

“ในเมื่อมีเขาแล้ว คนอื่นๆ ก็ไม่จำเป็นต้องไว้ชีวิตอีก”

เยี่ยนจ้าวเกอมองบรรพชิตหนุ่มรูปนั้น ขณะเดียวกันพูดกลั้วหัวเราะ

ศิษย์สายเหนือพิสุทธิ์ที่อยู่ด้านข้างรีบร้อนร้องเตือน “อย่าสังหารพวกเขาทิ้่งที่นี่!”

ชายหนุ่มเลิกคิ้วเล็กน้อย ในห้วงสมองปรากฏถ้อยคำของซุนจ้งต๋า

‘เกิดเจอคนจากศาสนาพุทธ ถ้าหากไม่หนีทันทีก็ต้องลงมือสังหาร ถ้าหากว่าฆ่าอีกฝ่ายไปแล้ว จงรีบกลับมรกตท่องฟ้าให้เร็วที่สุด ไม่เช่นนั้นยอดฝีมือของอีกฝ่ายจะทราบถึงการกระทำของข้าในระยะเวลาอันสั้น และมาถึงในพริบตาเดียว’

ผู้สืบทอดสายเหนือพิสุทธิ์ตรงหน้ามีความกริ่งเกรงเดียวกัน

เยี่ยนจ้าวเกอสังเกตเห็นตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว

ศิษย์สายเหนือพิสุทธิ์ไม่ต่ำกว่าหนึ่งคนรวมถึงเกาฉิง เมื่อครู่ขณะที่หนี ก็ยังจับจอมยุทธ์ศาสนาพุทธไว้จำนวนหนึ่งด้วย

เหมือนกับว่าก่อนหน้านี้ได้สู้กับจอมยุทธ์ศาสนาพุทธ หลังจากเล่นงานจนอีกฝ่ายได้รับบาดเจ็บสาหัสแล้ว ก็จับตัวเอาไว้

ต่อจากนั้นก็ถูกศัตรูอีกกลุ่มหนึ่งไล่ทัน จนต้องปะทะกัน

พวกเกาฉิงมีพลังไม่ธรรมดา แต่ทางหนึ่งต้องดูแลเชลย ทางหนึ่งต้องเผชิญกับการกลุ้มรุมจากจอมยุทธ์ศาสนาพุทธ จึงกลับกลายเป็นว่าซ้ายป้องกันขวาเป็นรูโหว่

สุดท้ายพวกเขาได้แต่ต้องปล่อยจอมยุทธ์ศาสนาพุทธในมือ เมื่อมือเท้าเป็นอิสระ ก็กลับเป็นฝ่ายได้เปรียบทันที

ทว่าพวกเขายังไม่ได้ลงมือสังการจอมยุทธ์ศาสนาพุทธที่พวกเขาจับไว้

นี่ไม่ใช่เพราะศิษย์สายเหนือพิสุทธิ์อดกลั้น แต่เป็นเพราะพวกเขากลัวว่าถ้าไม่กลับมรกตท่องฟ้าให้เร็วที่สุด จะมียอดฝีมือระดับสูงสุดของศาสนาพุทธที่แข็งแกร่งสุดขีดเข่นฆ่ามาถึง

อีกฝ่ายเตือนเยี่ยนจ้าวเกอ “ท่านอย่าเพิ่งไม่เชื่อ นี่เป็นคำสั่งสอนที่บรรพบุรุษของพวกเราสรุปผ่านประสบการณ์จำนวนนับไม่ถ้วน”

เขาชี้พระบรรพชิตเหล่านั้น “พระศรีอาริย์สูงส่ง บางทีอาจไม่สนใจบรรพชิตเหล่านี้ แต่นอกจากพระศรีอาริย์แล้ว ยังมียอดฝีมือศาสนาพุทธคนอื่นอีก ถ้าเกิดบรรพชิตเหล่านี้มรณะ อีกฝ่ายอาจจะทราบว่าผู้สังหารเป็นใคร ยิ่งสามารถยืนยันสถานที่ได้ และมาถึงอย่างรวดเร็ว”

“ถ้าหากเป็นบุคคลที่ยิงใหญ่ในศาสนาพุทธ ถ้าหากสูงส่งมากพอ พริบตาเดียวก็มาถึงแล้ว”

บรรพชิตหนุ่มที่ถูกร่างแยกสมุทรสุดขอบโลกจับแม้จะมีสีหน้าอิดโรย แต่ยังคงสงบนิ่ง เขากล่าวอย่างเรียบๆ ว่า “ประสกคิดให้ดีเถอะ อย่ายึดมั่นถือมั่นต่อเลย

“หากประสกวางดาบฆ่าคน จะได้บรรลุเป็นพุทธะ ประสกตอนนี้แค่อยู่ในเส้นทางนอกรีต แต่ถ้าเกิดพลาดแล้วพลาดอีก ก็ยากจะไม่ให้ตกไปอยู่ในวิถีมาร”

“ถึงเวลานั้นจะเสียใจก็ไม่ทันกาลแล้ว องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีจิตเมตตาโปรดสัตว์โลก แต่ก็มีเพลิงโทสะเอาไว้ลงทัณฑ์เหล่ามารเช่นกัน”

เยี่ยนจ้าวเกอหัวเราะเหอะๆ “ความหมายของท่านก็คือ พวกท่านเทศนาข้าได้ แต่ข้ากลับสังหารท่านไม่ได้หรือ”

ศิษย์สายเหนือพิสุทธิ์พูดรัวเร็ว “โลกซ้อนโลกไม่อยากหาเรื่องใส่ตัว เกิดท่านทนไม่ไหวจริงๆ ก็จับบรรพชิตรูปนั้นติดตามพวกเรากลับมรกตท่องฟ้า ถึงเวลานั้นท่านจะทรมานพระรูปนั้นอย่างไรก็ได้…”

พูดอย่างไม่ทันจบ เยี่ยนจ้าวเกอก็หัวเราะ “เหตุใดต้องลำบากถึงเพียงนั้น”

คราวนี้เมื่อพูดจบ เขาก็ยกฝ่ามือขึ้น ฟาดใส่ศีรษะของจอมยุทธ์ศาสนาพุทธที่กำลังฟันดาบตัดจีวรใส่ตัวเขา!