ภาค 9 หนึ่งกระบี่ปราบโกลาหลในใต้หล้า บทที่ 837 กรรมที่รอแล้วไม่มา คนที่หวังไม่ปรากฏ

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

เยี่ยนจ้าวเกอยกฝ่ามือขึ้น ฟาดใส่ศีรษะของจอมยุทธ์ศาสนาพุทธผู้หนึ่ง

จอมยุทธ์ศาสนาพุทธเหล่านั้นตะลึงลาน ส่วนศิษย์สายเหนือพิสุทธิ์ร้อนรน “คนผู้นี้ เหตุใดจึงไม่ฟังคำเตือน?!”

การทำตามใจตัวเองของเยี่ยนจ้าวเกอไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่นั่นเท่ากับว่าพวกเขายังไม่ทันผละจากที่นี่ ก็จะถูกลากเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย

หากยอดฝีมือผู้ยิ่งใหญ่ระดับสูงสุดของศาสนาพุทธมาถึงที่นี่ จะไม่ได้แค่ขวางเยี่ยนจ้าวเกอเท่านั้น แม้แต่พวกเขาก็ต้องถูกดักไว้ที่นี่ด้วยเช่นกัน

เยี่ยนจ้าวเกออมยิ้มที่มุมปาก ฝ่ามือหนึ่งฟาดลง กระแทกกะโหลกของจอมยุทธ์ศาสนาพุทธผู้นั้นจนแหลกละเอียดโดยพลัน!

พริบตาที่พระบรรพชิตรูปนั้นมรณะ ก็มีรัศมีแสงหลายสายปรากฏ พุ่งออกมาจากในร่าง จากนั้นก็แหวกมิติออกไป

รัศมีแสงเหล่านี้ไม่มีคุณสมบัติโจมตี และไม่เผยกลิ่นอายพลังที่แข็งแกร่งอะไร

แต่กลับมองข้ามพลังของเยี่ยนจ้าวเกอและหีบกลืนฟ้ากลืนดินโดยสิ้นเชิง

เหมือนกับทั้งสองฝ่ายอยู่ในระดับชั้นที่แตกต่าง ต่อให้พบกัน แต่ก็ไม่อาจแตะต้องกันได้

ความแข็งแกร่งของพลังฝ่ามือจากท่ารอยตราพลิกนภาของเยี่ยนจ้าวเกอ สามารถบิดเปลี่ยนทิศทาง แต่ว่าดูจากแสงสีทองแล้ว มันเหมือนเป็นมายาและโปร่งแสง ทะลุฝ่ามือไปโดยตรง

พลังกลืนกินอันน่ากลัวของหีบกลืนฟ้ากลืนดิน เมื่ออยู่ต่อหน้ารัศมีแสงอันเป็นเอกเทศน์นี้ ก็เหมือนกับเงาฟองความฝันที่ไม่ใช่ความจริงเช่นกัน

เยี่ยนจ้าวเกอเชื่อว่าต่อให้ตนนำกระบี่ปีศาจเทาเที่ยหรือตราประทับตะวันออกมา ก็ไม่อาจขัดขวางรัศมีแสงนี้ได้

หากสัมผัสอีกฝ่ายไม่ได้ ทุกอย่างก็ไร้ประโยชน์

ทว่ารัศมีแสงนั้นไม่ใช่ภาพลวงตา

ชายหนุ่มแน่ใจว่าขอแค่รัศมีแสงนี้ลอยหายไป แค่ครู่เดียวจะนำยอดฝีมือผู้ยิ่งใหญ่ของศาสนาพุทธคนหนึ่งมาที่นี่ทันที

บางทีอาจจะเป็นยอดฝีมือศาสนาพุทธที่เทียบได้กับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นสะพานเซียนของสำนักเต๋า

และอาจจะเทียบได้กับยอดฝีมือระดับสุดยอดที่สูงส่งที่สุดในหมู่คน อยู่ในระดับสูงสุดของจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ในสำนักเต๋าเช่นกัน

นี่อาจจะเป็นบุคคลในศาสนาพุทธที่เทียบได้กับจักรพรรดิหรือกษัตริย์…

ตามคำพูดของพวกซุนจ้งต๋าที่เป็นลูกศิษย์สายเหนือพิสุทธิ์ ยิ่งอีกฝ่ายมีพลังสูงเท่าไร ก็ยิ่งมาถึงเร็วเท่านั้น การมาถึงในพริบตาและการปรากฏตัวขึ้นอย่างทันทีใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้

รอยยิ้มที่มุมปากของเยี่ยนจ้าวเกอไม่ได้จางลง พลังงานกลางฝ่ามือเปลี่ยนแปลงไป แฝงความโกลาหลไว้

เคล็ดวิชาของคัมภีร์นภาไร้ขอบเขตถูกเขาโคจร ท่ามกลางความโกลาหลนั้น ไม่มีหน้าไม่มีหลัง ไม่มีไกลไม่มีใกล้ เป็นจุดเริ่มต้นของสรรพสิ่ง และจุดจบของสรรพสิ่ง

เยี่ยนจ้าวเกอยามนี้ฟาดฝ่ามือลงอีกรอบ รัศมีแสงสายนั้นสั่นไหวเล็กน้อย พุ่งเข้าหาความโกลาหล ก่อนจะดับสลายและหายไปไร้ร่องรอย

รายละเอียดในนี้มีแค่เยี่ยนจ้าวเกอเท่านั้นที่เข้าใจ

ในสายตาของคนอื่นๆ กลับเห็นแค่เยี่ยนจ้าวเกอฟาดฝ่ามือใส่จอมยุทธ์ศาสนาพุทธคนนั้น จากนั้นรัศมีแสงก็กะพริบ

จอมยุทธ์สายเหนือพิสุทธิ์เห็นดังนั้น ก็ใช้มือประคองหน้าผาก เงยหน้าถอนใจ “คนจากโลกซ้อนโลกอย่างท่านไม่เคยเจอกับศาสนาพุทธมาก่อน ท่านทำตามใจชอบก็ทำพวกเราแย่ไปด้วยสิ”

แต่เกาฉิงกลับมองเยี่ยนจ้าวเกอด้วยแววตาเป็นประกาย “เอ๋ ท่านผู้นี้ตรงไปตรงมาดีนัก”

สหายในสำนักด้านข้างนางต่างยิ้มอย่างหนักใจ “ศิษย์น้องเอ๋ย เขาได้ระบายแค้นแล้ว แต่พวกเรากลับต้องโชคร้าย รีบออกจากที่นี่เพื่อกลับไปยังมรกตท่องฟ้าโดยเร็วเถอะ พวกเราไม่มีเวลาตรวจสอบความผิดปกติของภูเขาที่อยู่ห่างออกไปนั้นแล้ว”

“ตอนตี้ทำได้แค่หวังว่าระดับพลังของยอดฝีมือศาสนาพุทธที่กำลังจะมาคงไม่สูงจนเกินไป เช่นนั้นแล้วพวกเราจะยังมีเวลา และมีโอกาสหนีไปจากที่นี่”

ขณะที่พูด เขาเห็นเยี่ยนจ้าวเกอยกฝ่ามือขึ้นอีก สังหารจอมยุทธ์ศาสนาพุทธคนแล้วคนเล่า

ผู้สืบทอดสายเหนือพิสุทธิ์ที่ตกใจอยู่แล้ว ขณะมองภาพนี้ มุมปากก็ยิ่งบิดเบี้ยว

จอมยุทธ์ศาสนาพุทธเหล่านั้นกลับสงบจิตใจ ใช้สีหน้าที่มองการตายเหมือนกับความสุขสูงสุดมองเยี่ยนจ้าวเกอ

บรรพชิตหนุ่มที่ถูกร่างแยกสมุทรสุดขอบโลกจับตัวไว้รูปนั้นเอ่ยอย่างราบเรียบ “อาตมากับทุกคนในสำนักไม่กลัวความตาย ความตายเป็นแค่จุดเริ่มต้นของชีวิตเท่านั้น”

“การละทิ้งกรรมหวนคืนสู่แดนสุขาวดี สามารถหลุดพ้นจากทะเลทุกข์ในโลกมนุษย์ได้”

“ส่วนตัวประสกได้ทำบาปใหญ่ถึงขนาดนี้ ตกลงสู่วิถีมาร ย่อมต้องเจอกรรมตามสนอง

บนใบหน้าบรรพชิตหนุ่มปรากฏรอยยิ้ม “กรรมของประสกอยู่ตรงหน้า อีกครู่เดียวก็จะมาถึงแล้ว”

เยี่ยนจ้าวเกอกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ท่านไม่ต้องห่วงข้า เป็นห่วงตัวเองจะดีกว่า ที่ข้าสังหารคนโกนหัวที่เหลือทิ้ง เพราะจับท่านได้แล้ว”

“ข้าสามารถได้รับสิ่งที่อยากรู้มากกว่าเดิมจากปากของท่านได้”

“แต่ข้าเชื่อว่าท่านย่อมไม่ยอมเปิดปากง่ายๆ หรอก” เยี่ยนจ้าวเกอยิ้มยิงฟัน “กระนั้นก็ไม่เป็นไร สิ่งที่ข้ามีก็คือเวลาและวิธีการที่ใช้ง้างปากท่าน”

บรรพชิตหนุ่มรูปนั้นส่ายหน้า “โยมกำลังคิดไร้สาระ นึกว่าผู้สืบทอดสายเหนือพิสุทธิ์เหล่านี้ข่มขู่ท่านหรือ”

เขาเอ่ยช้าๆ “เมื่อครู่อาตมาบอกแล้วว่า กรรมของประสกอยู่ตรงหน้านี้”

“อ้อ? ข้าจะตั้งตารอ” เยี่ยนจ้าวเกอพูดพลางฟาดฝ่ามือใส่ศีรษะของจอมยุทธ์ศาสนาพุทธคนหนึ่งจนแหลกเหลว แม้แต่คนที่อยู่รอบๆ ยังหนังตากระตุก

ผู้สืบทอดสายเหนือพิสุทธิ์ส่ายหน้าเป็นพัลวัน พากันหมุนกายจากไป

เกาฉิงกำลังจะจากไปพร้อมสหายในสำนัก ก่อนจะไปได้โบกมือให้เยี่ยนจ้าวเกอ “ศิษย์พี่ท่านนี้ กลับมรกตท่องฟ้าพร้อมกันกันพวกข้าเถอะ หากเข้าไปในมรกตท่องฟ้าก่อนที่ยอดฝีมือระดับสูงสุดของศาสนาพุทธจะมาถึง เบาะแสของอีกฝ่ายจะถูกตัดทันที”

“ข้าขอรับเจตนาดีไว้ แต่ว่าไม่จำเป็นต้องห่วงข้า” เยี่ยนจ้าวเกอหัวเราะอย่างไม่ใส่ใจ จากนั้นก็โพล่งถามว่า “ขอถามว่าจักรพรรดิน้ำพุหลง ท่านปู่ทวดของท่านแซ่หลงใช่หรือไม่”

“ถูกต้อง” เกาฉิงตอบ

เยี่ยนจ้าวเกอถามด้วยความสงสัย “ลูกหลานของกษัตริย์ลี้ลับและจักรพรรดิน้ำพุหลง ต่างใช้แซ่เกาตามกษัตริย์ลี้ลับหรือ”

เกาฉิงส่ายหน้า กล่าวอย่างสมเหตุสมผล “ย่อมไม่ใช่ ข้ามีท่านปู่น้อยที่ใช้แซ่หลงตามท่านปู่ทวดอยู่ด้วย”

ชายหนุ่มหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้ “เช่นนั้นตอนที่ฟู่ถิงบอกว่าจักรพรรดิน้ำพุหลงแต่งเข้า เหตุใดไม่เห็นท่านพูดเช่นนี้”

ฝ่ายเกาฉิงงงงัน “นางหมายถึงเรื่องนี้หรือ นางถามว่าเหตุใดข้าจึงแซ่เกา ข้าจึงบอกว่าข้าใช้แซ่ตามบิดา บิดาข้าใช้แซ่ตามท่านปู่ ท่านปู่ก็ใช้แซ่ตามท่านย่าทวด ทั้งไม่ได้ถามถึงเรื่องสายท่านปู่น้อยของข้า”

“ต่อมานางดูเหมือนจะไม่ยอมรับพลังฝึกปรือของท่านปู่ทวดของข้า ข้าก็ถกเรื่องนี้ให้นางเข้าใจ ไม่เกี่ยวข้องกับท่านปู่น้อยเสียหน่อย”

เกาฉิงห่อปาก มีสีหน้าไม่พอใจ “ที่แท้ความหมายของพี่ฟู่คือเช่นนี้นี่เอง”

ลูกศิษย์สายเหนือพิสุทธิ์ที่อยู่รอบๆ ตัวนางต่างมีสีหน้าหัวเราะไม่ลงโกรธไม่ขึ้น

ก่อนหน้านี้เพราะเรื่องราวมากมาย พวกเขาจึงไม่มีเวลามาพูดเรื่องนี้กับนาง

ครั้งนี้ได้แต่รีบฉุดลากเกาฉิงที่ไม่พอใจจากไป

เยี่ยนจ้าวเกอเหมือนนึกอะไรออก มองส่งเงาหลังของพวกนางห่างไป

เมื่อตื่นจากภวังค์ จ้าวเกอก็มองบรรพชิตหนุ่มด้วยรอยยิ้มกว้าง “เอาล่ะ ตอนนี้ถึงตาพวกเราคุยกันแล้ว”

บรรพชิตหนุ่มรูปนั้นกล่าวอย่างเรียบเฉย “ตอนนี้ประสกมีเวลาว่างหรือ”

เยี่ยนจ้าวเกอหัวเราะ “รอดูเดี๋ยวก็รู้เองไม่ใช่หรือ แต่ว่ารออย่างเดียวน่าเบื่อออก พวกเรามาคุยไปพลาง รอไปพลางเถอะ”

ครั้นพูดจบ เขาก็จิ้มนิ้วใส่กลางหน้าผากของบรรพชิตหนุ่มผู้นั้น

ความเจ็บปวดปรากฏขึ้นในแววตาของบรรพชิตหนุ่มก่อนจะหายไป

เขาหลับตาลง กัดฟันอดทน

ความแน่วแน่และความอดทนของจอมยุทธ์ศาสนาพุทธแข็งแกร่งถึงขีดสุด ทัณฑ์ทรมานอันเจ็บปวดที่คนธรรมดามากมายต้านทานไม่ได้ บรรพชิตรูปนี้กลับทนได้ตั้งแต่ต้นจนจบ

ทว่าแรงขับที่ใหญ่ที่สุดในการอดทนของท่าน คือความหวังในการมีชีวิตอยู่

เขาเชื่อว่าหากอดทนต่อไป อีกไม่นานจะมียอดฝีมือระดับสูงของตนมาถึง ตอนนั้นเยี่ยนจ้าวเกออยากร้องขอชีวิตก็คงไม่ได้ จะร้องขอความตายก็เป็นเรื่องยากแล้ว

แต่ใครจะรู้ว่ารอแล้วรอเล่า เวลาก็ผ่านไปอย่างต่อเนื่อง กลับไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ ทั้งสิ้น

สีหน้าเหลือเชื่อของบรรพชิตหนุ่มรูปนั้นไม่อาจควบคุมได้อีก

ผ่านไปนานถึงเพียงนี้ ต่อให้จะเป็นยอดฝีมือศาสนาพุทธที่มีพลังฝึกปรือเท่าเขา เมื่อได้รับข่าวการมรณะของคน ก็สมควรรีบมาตรวจสอบแล้ว

เหตุใดตอนนี้ถึงยังไม่เห็นใครมาสักคนเดียว