ตอนที่ 2297 จอมราชันย์อมตะ

อัจฉริยะสมองเพชร

แต่นั่นแหละ กาลเวลาในทวีปแห่งปรมาจารย์ผ่านไปกว่าร้อยปีแล้วตั้งแต่เธอจากไป และหลายอย่างก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ผู้คนและข้าวของที่เธอจำได้ก็กลายเป็นเสี้ยวหนึ่งของประวัติศาสตร์

สิ่งเดียวที่ไม่เปลี่ยนก็คือความเคารพยำเกรงที่ผู้คนมีให้จางเซวียน

ในยุคสมัยปัจจุบันของทวีปแห่งปรมาจารย์ จางเซวียนมีอิทธิพลและสถานภาพสูงส่งยิ่งกว่าปรมาจารย์ขงเสียอีก ตำนานกล่าวว่าเขาก้าวจากการเป็นครูกระจอกคนหนึ่งของอาณาจักรเทียนเซวียนไปเป็นผู้เชี่ยวชาญที่แข็งแกร่งที่สุดของทวีปแห่งปรมาจารย์ได้ภายในเวลาเพียง 2 ปี ซึ่งตำนานนี้ก็ถูกถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น

หนังสือนับเล่มไม่ถ้วนบันทึกวีรกรรมของเขาไว้ ล้วนกลายเป็นเรื่องเล่าขานที่ไม่มีใครลืม

แต่สิ่งที่ผู้คนจดจำได้มากที่สุดเกี่ยวกับตัวจางเซวียนก็คือชีวิตรักอันน่าประทับใจของเขา

ในฐานะผู้กุมหัวใจของเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณของเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่น เขากลายเป็นไอดอลของชายหนุ่มมากมายในทวีปแห่งปรมาจารย์ มีพิธีกรรมที่ชายหนุ่มแทบทุกคนจะต้องปฏิบัติ คือจุดธูปคารวะจางเซวียนก่อนจะสารภาพรักกับสุภาพสตรีที่พวกเขาหลงใหล…

เมื่อหลัวฉีฉีรู้เรื่องทั้งหมด เธอพูดไม่ออกอยู่ 5 นาทีเต็มๆ

ในครั้งนั้น เธอคือคนหนึ่งที่สนิทสนมกับจางเซวียน รู้จักนิสัยใจคอของเขาดี

ชีวิตรัก? เรื่องแบบนั้นมีอยู่ในพจนานุกรมของเจ้าเซ่อหัวทื่อคนนั้นด้วยหรือ?

เขาคือคนที่ตอบรับการสารภาพรักของฉันด้วยคำว่า ‘ผมก็ชอบคุณเหมือนคนอื่นๆ!’

ด้วยอีคิวต่ำเตี้ยเรี่ยดินขนาดนี้ จะเอาชีวิตรักมาจากไหน?

….

ตลอดร้อยปีที่ผ่านไป ตระกูลจางเจริญรุ่งเรืองและเติบโตขึ้นเรื่อยๆ กลายเป็นกลุ่มอำนาจอันดับ 1 ที่มีอิทธิพลเหนือกว่าแม้สภาปรมาจารย์

ตระกูลหลัวกับตระกูลเจียงก็ก้าวหน้าไปมากเช่นกัน แต่ก็ยังเทียบชั้นไม่ได้กับตระกูลจาง

แต่นั่นแหละ เรื่องพวกนี้ไม่ได้สลักสำคัญอะไรกับหลัวฉีฉี เธอดีใจมากที่พบว่าท่านพ่อของเธอยังมีชีวิตอยู่ เธอช่วยท่านพ่อให้ฝ่าด่านวรยุทธจนสำเร็จและพาเข้าสู่มิติเบื้องบน จากนั้นก็กลับมาหาจางเซวียน

…..

“เอาล่ะ ถึงแล้ว” จางเซวียนพยักหน้า เขานำน้ำเต้าออกมาแล้วพูดว่า “ออกมาสำรวจดูให้ทั่ว หลุมศพและพละกำลังที่หายไปของแกน่าจะอยู่ตรงไหนสักแห่งแถวๆนี้นี่แหละ”

คราวก่อน เขาได้พบโครงกระดูกสีดำหน้าตาประหลาดอยู่ในเมืองแห่งมิติที่ถูกทำลาย ได้รับรังสีสวรรค์จากมือของอีกฝ่ายและฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นเทพเจ้าได้สำเร็จ ด้วยเหตุนี้จึงเอาชนะตัวโคลนของปรมาจารย์ขงได้

แต่เมื่อกลับมาอีกครั้ง โครงกระดูกก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย ถึงเขาจะหาโครงกระดูกไม่พบ แต่ไก่น้อยในฐานะจอมราชันย์อมตะก็น่าจะพอสัมผัสได้

“คุณเคยเห็นใครตามหาหลุมศพของตัวเองหรือ?” น้ำเต้าส่ายก้นอย่างเกียจคร้าน

“ก็ได้ ก็ได้ เดี๋ยวฉันหาเอง” จางเซวียนตอบอย่างรำคาญ

เขาสะบัดข้อมือ จากนั้นก็นำตราสุดยอดจอมราชันย์ออกมา

โครงกระดูกสีดำอาจซ่อนตัวจากเขาได้ แต่หากเขาใช้ตราสุดยอดจอมราชันย์เรียกมัน อีกฝ่ายก็คงไม่มีที่ซ่อน

วิ้งงงง!

ทันทีที่ตราสุดยอดจอมราชันย์ปรากฏ รอยกระเพื่อมของมิติก็เกิดขึ้นรอบตัวพวกเขา พริบตาต่อมา ทุกคนก็มายืนอยู่ตรงหน้าห้องโถงขนาดใหญ่

ที่ยืนอยู่บริเวณปากทางเข้าคือโครงกระดูก ซึ่งเมื่อมันเห็นสิ่งที่ลอยอยู่ตรงหน้าจางเซวียน ก็รีบทรุดตัวลงคุกเข่า

“มิติที่นี่เสถียรกว่าตรงนั้น สรวงสวรรค์คงไม่อาจตรวจจับพื้นที่บริเวณนี้ได้หรอก แกออกมาเถอะ” จางเซวียนพูดขณะตบน้ำเต้าเบาๆ

คราวก่อนที่เขามาที่นี่ ก็อดรู้สึกไม่ได้ว่าพื้นที่ตรงนี้แยกตัวออกจากส่วนอื่นๆของโลกอย่างสิ้นเชิง แม้เมื่อเขาได้เป็นเทพเจ้าแล้ว ก็ยังหาที่นี่ไม่เจอ

ก็เพราะเหตุนี้ที่ทำให้จางเซวียนมั่นใจว่าหากไก่น้อยปรากฏตัวที่นี่ ก็คงไม่ต้องเจอกับการลงทัณฑ์จากสวรรค์

ได้ยินแบบนั้น ไก่น้อยโผล่ออกมาจากน้ำเต้าและปลดปล่อยประสิทธิภาพการต่อสู้ระดับราชันย์เทพเจ้าของมันออกมา

“ฝ่าบาท ในที่สุดคุณก็ฟื้น…” โครงกระดูกสีดำร่ำร้องด้วยความดีใจ

มันทั้งตื่นเต้นและเต็มตื้นจนปลดปล่อยพละกำลังของมันออกมา ในตอนนั้นเองที่จางเซวียนเพิ่งรู้ว่าอีกฝ่ายมีวรยุทธระดับราชันย์เทพเจ้าเหมือนตัวเขา!

ไม่แปลกใจแล้วที่คราวก่อนที่เขามาที่นี่ ก็ไม่อาจหยั่งถึงระดับวรยุทธของโครงกระดูกได้

ตอนนั้นตัวเขากับโครงกระดูกสีดำยังห่างชั้นกันมาก!

“ผมอยากได้พละกำลังกลับคืนมา” ไก่น้อยพูด

ความทรงจำของมันยังไม่กลับมา จึงไม่รู้ว่าโครงกระดูกสีดำที่อยู่ตรงหน้าเป็นใคร

“ผมเตรียมทุกอย่างไว้หมดแล้ว ฝ่าบาท…ขอแค่คุณเข้าสู่ห้องโถงแห่งนี้ ก็จะได้ซึมซับพละกำลังที่คุณสูญเสียไปและกลับสู่สภาวะแข็งแกร่งสูงสุดดังเดิม!” โครงกระดูกสีดำตอบอย่างตื่นเต้น

“ดี!” ไก่น้อยพยักหน้าก่อนจะเดินเตาะแตะเข้าไปในห้องโถง

บานประตูเปิดออกให้ไก่น้อย พละกำลังเหนือจินตนาการเต้นเร่าอยู่ในส่วนลึกของห้องโถงนั้น ดูราวกับพลังงานของทั้งโลกมารวมตัวกันอยู่ที่นี่

“ไก่น้อย…” จางเซวียนร้องออกมาทันทีที่มันกำลังจะเข้าสู่ห้องโถง

ไก่น้อยเข้าใจความกังวลของจางเซวียน มันหันกลับมาและพูดว่า “ผมรู้ว่าคุณกังวลอะไร แต่ไม่ต้องห่วง ผมคือตัวผม ไม่มีวันเป็นคนอื่น”

จางเซวียนพยักหน้าเมื่อได้ยินคำนั้น

ไก่น้อยคือเจตจำนงใหม่ที่เกิดขึ้นหลังจากการฟื้นคืนชีพของจอมราชันย์อมตะ เขากลัวว่ามันจะกลายเป็นคนอื่นทันทีที่ได้พละกำลังและความทรงจำกลับคืนมา

ซึ่งก็หมายความว่าไก่น้อยน่ารักที่เขารู้จักจะต้องตายจากไป

คำยืนยันของไก่น้อยทำให้เขามั่นใจว่าสิ่งนี้จะไม่เปลี่ยนแปลงมันให้กลายเป็นคนอื่น

มันไม่ใช่จอมราชันย์อมตะคนเก่าที่มีอายุยืนยาว แต่เป็นคนใหม่พร้อมกับเจตจำนงใหม่

ไก่น้อยเข้าสู่ห้องโถง บานประตูปิดตามหลังมัน

จางเซวียนกับหลัวฉีฉีรออยู่ข้างนอก แล้ว 3 เดือนก็ผ่านไป

…..

“ไก่น้อย พยายามเต็มที่ก็แล้วกัน พวกเราต้องกลับสรวงสวรรค์แล้ว ถ้าแกทำได้ทันเวลาล่ะก็ คงรู้ว่าจะตามหาพวกเราได้ที่ไหน…”

เวลาในสรวงสวรรค์ผ่านไป 5 วันแล้ว ซึ่งหากจางเซวียนกับหลัวฉีฉีไม่กลับไป ก็คงไม่ทันการดวลระหว่างปรมาจารย์ขงกับหลัวลั่วชิง

แม้การยับยั้งการดวลของทั้งคู่แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยหากปราศจากความช่วยเหลือของจอมราชันย์อมตะ แต่จางเซวียนก็ไม่อาจรออยู่ตรงนี้โดยไม่ได้ทำอะไรสักอย่าง

“ไปกันเถอะ!” เขาร้องเรียกหลัวฉีฉีก่อนจะหันหลังกลับ

ในตอนนั้น เสียงหึ่งดังสนั่นก็ดังก้องกลางอากาศ ห้องโถงสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง เกิดรอยร้าวทั่วอาคารนั้น

กำแพงเริ่มพังทลาย เกิดฝุ่นฟุ้งตลบไปทั่ว ที่อยู่ท่ามกลางฝุ่นคลุ้งและซากปรักหักพังคือนกฟีนิกซ์ขนาดมหึมาตัวหนึ่ง

ลำพังแค่พละกำลังที่มันแผ่ออกมาก็เกินพอจะทำให้ใครๆถอยห่าง

“นี่คือจอมราชันย์อมตะ?” จางเซวียนพึมพำด้วยนัยน์ตาเบิกโพลง

ความแข็งแกร่งของนกฟีนิกซ์ที่อยู่ตรงหน้ามีมากเกินกว่าที่เขาจะจินตนาการได้ มันแข็งแกร่งยิ่งกว่าราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติและเจตจำนงของเทพธิดาหลิงหลงที่เขาเคยพบเสียอีก

“เพราะฉะนั้น…นี่คือความแข็งแกร่งของจอมราชันย์?”

ไม่แปลกใจแล้วที่ไม่มีราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติคนไหนกล้าทำให้จอมราชันย์ขุ่นเคือง พวกเขาอยู่กันคนละชั้นจริงๆ

“ไก่น้อยที่ฟื้นคืนชีพคงแข็งแกร่งกว่าจอมราชันย์อมตะคนก่อนเสียอีก”

ทุกครั้งที่ไก่น้อยฟื้นคืนจากความตาย มันจะแข็งแกร่งกว่าเดิม บางทีครั้งนี้ก็คงเหมือนกัน

ถ้าเป็นอย่างนั้นล่ะก็ พวกเขาคงยับยั้งการดวลของปรมาจารย์ขงกับหลัวลั่วชิงได้!

เพียงครู่เดียว แรงกดดันที่แผ่ซ่านออกจากนกฟีนิกซ์ตัวมหึมาก็สลายตัวไป มันกลายร่างเป็นชายหนุ่มคนหนึ่งและเดินออกจากซากปรักหักพังมาอยู่ตรงหน้าจางเซวียนกับหลัวฉีฉี

เขาคือชายหนุ่มร่างผอมสูงที่มีอายุราว 16-17 ปี ตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิงกับสิ่งที่ไก่น้อยเคยบอกไว้ หน้าตาของเขาไม่ได้ดูน่ายำเกรง กลับดูอ่อนเยาว์เสียมากกว่า

ยากจะเชื่อว่าชายผู้อ่อนเยาว์คนนี้คือผู้มีตำแหน่งสูงสุดของน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณต้นกำเนิด, จอมราชันย์คนหนึ่งของสรวงสวรรค์

“คุณคือ…ไก่น้อย?”

“นายท่าน” ชายหนุ่มรับคำพร้อมกับยิ้มออกมา

จางเซวียนถอนหายใจอย่างโล่งอก

ดูเหมือนสิ่งที่เขาหวาดกลัวที่สุดจะไม่ได้เกิดขึ้น อีกฝ่ายยังคงเป็นไก่น้อยดื้อรั้นและขี้โม้ที่ติดตามเขามาจากทวีปแห่งปรมาจารย์

“นายท่าน ผมเพิ่งได้พละกำลังกลับคืนมา จึงต้องการเวลาขัดเกลาวรยุทธสักหน่อย ผมจะฝึกฝนวรยุทธที่นี่ก็แล้วกันเพื่อประหยัดเวลา ระหว่างนี้ พวกคุณกลับสู่สรวงสวรรค์ไปก่อน การขัดเกลาวรยุทธเสร็จสิ้นเมื่อไหร่ ผมจะรีบไปสมทบกับพวกคุณทันที!”

“ได้” จางเซวียนพยักหน้า

หากจะต้องเผชิญหน้ากับ 2 จอมราชันย์ที่แข็งแกร่งที่สุดในสรวงสวรรค์ พวกเขาก็จะต้องปรับตัวให้อยู่ในสภาวะที่เหมาะสมที่สุดเสียก่อน เพราะไม่อย่างนั้น ความพยายามทั้งหมดคงสูญเปล่า

กระแสกาลเวลาในมิติเบื้องบนไหลเร็วกว่ากระแสกาลเวลาในสรวงสวรรค์ถึง 100 เท่า ดังนั้น ฝึกฝนวรยุทธที่นี่จึงดีกว่า

“ฝงเหย่า ขอบใจที่ช่วยอารักขาผมมาตลอด ผมจะคืนร่างกายและพละกำลังดังเดิมให้คุณเดี๋ยวนี้แหละ” ชายหนุ่มหันไปพูดกับโครงกระดูกสีดำก่อนกระดิกนิ้วเบาๆ

เลือดหยดหนึ่งลอยจากมือของเขา ซึมซาบเข้าสู่หน้าผากของโครงกระดูกสีดำ

โครงกระดูกสีดำเริ่มมีเลือดเนื้อกลับคืนมา ร่างของมันลุกโชนด้วยเปลวไฟ เกิดเสียงร้องกึกก้องของนกฟีนิกซ์ตัวหนึ่ง แล้วนกฟีนิกซ์ขนาดใหญ่ก็โผล่ออกมาจากเปลวไฟนั้น

นกฟีนิกซ์ตัวใหญ่กลายร่างเป็นชายวัยกลางคนที่สวมชุดเกราะและหมวกเกราะสีทอง

เขาคือหนึ่งในองครักษ์ผู้ภักดีที่สุดของจอมราชันย์อมตะ ดูแลหลุมศพของอีกฝ่ายมาหลายพันปี เฝ้ารอคอยให้จอมราชันย์อมตะกลับมา

“กลับกันเถอะ…”

เมื่อรู้แล้วว่าคงไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับไก่น้อย จางเซวียนร้องเรียกหลัวฉีฉีอีกครั้ง ทั้งคู่รีบเดินทางกลับสู่มิติเบื้องบน

การเดินทางจากโลกเบื้องล่างไปสู่โลกที่มีระดับขั้นสูงกว่านั้นไม่ใช่เรื่องยาก ทั้งคู่ค่อยๆปลดปล่อยระดับวรยุทธออกมา ไม่ช้าก็ดึงดูดสายตาของสรวงสวรรค์แห่งมิติเบื้องบนและถูกขับให้เข้าไปอยู่ในมิติที่วุ่นวายสับสน

จางเซวียนปลดปล่อยวรยุทธเต็มขั้นของเขาในฐานะราชันย์เทพเจ้า จากนั้นก็สัมผัสได้ทันทีถึงการร้องเรียกจากสรวงสวรรค์ ตัวเขากับหลัวฉีฉีติดตามเสียงเรียกนั้นเข้าสู่สรวงสวรรค์โดยไม่ลังเล

ครึ่งวันต่อมา ทั้งคู่ก็ร่วงลงมาล้มกลิ้งอยู่กับพื้น

เมื่อสำรวจโดยรอบ จางเซวียนรู้ทันทีว่าพวกเขาอยู่ที่ภูเขาจิตวิญญาณยิ่งใหญ่ สถานที่แรกที่เขาได้พบเมื่อมาถึงสรวงสวรรค์กับจ้าวหย่าและลูกศิษย์คนอื่นๆ