ตอนที่ 2298 เขาคือ…

อัจฉริยะสมองเพชร

“คราวนี้เราจะไปไหน?” หลัวฉีฉีถาม

“ไปที่เมืองหลวงแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อนก่อน จากนั้นก็ทะลุมิติเข้าสู่น่านฟ้าเสรีโดยใช้ค่ายกลทะลุมิติขนาดใหญ่” จางเซวียนตอบ

เพราะมีวรยุทธระดับราชันย์เทพเจ้าแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องใช้ตราสัญลักษณ์เจ้าเมืองเพื่อเข้าสู่ค่ายกลทะลุมิติขนาดเล็ก ไม่ช้าทั้งคู่ก็มาถึงเมืองหลวงแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อน

แต่ก่อนที่จะเดินทางต่อ จางเซวียนพาหลัวฉีฉีไปที่บ้านพักของเขา

เขาอยากมอบยาเม็ดฝ่าด่านวรยุทธระดับราชันย์เทพเจ้าที่หลอมได้เมื่อครั้งอยู่ในน่านฟ้าหลิงหลงให้ท่านพ่อท่านแม่กับซุนฉางเสียก่อน เพื่อที่ทั้งสามจะได้ฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นราชันย์เทพเจ้าได้โดยเร็ว สิ่งนี้จะทำให้พวกเขาปกป้องตัวเองได้

เพราะไม่อยากสร้างความวุ่นวายโดยไม่จำเป็น จางเซวียนเล็ดลอดเข้าสู่บ้านพักของเขาโดยไม่มีใครรู้

“นายน้อย!”

ทันทีที่จางเซวียนเข้าบ้าน ซุนฉางก็รีบเข้ามาต้อนรับด้วยความตื่นเต้น

หลายวันที่ผ่านมา วรยุทธของซุนฉางเข้าถึงระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นกลางแล้ว เห็นได้ชัดว่าเขาฝึกฝนอย่างหนัก จึงยกระดับวรยุทธได้เร็วขนาดนี้

“ท่านพ่อท่านแม่ของผมอยู่ไหน?” จางเซวียนถาม

“ตอนนี้พวกเขาอยู่ในลานบ้าน กำลังสนทนากับแขก” ซุนฉางตอบ

“แขก?” จางเซวียนขมวดคิ้ว

เขามีลางสังหรณ์เลวร้ายขึ้นมา จึงรีบตรงไปที่ลานบ้าน ที่นั่น จางเซวียนเห็นท่านพ่อท่านแม่ของเขานั่งอยู่กับแขกคนหนึ่งซึ่งกำลังจิบชา

อีกฝ่ายเป็นชายหนุ่มอายุราว 20 ต้นๆ มีสีหน้าสุขุมเยือกเย็นซึ่งบ่งบอกถึงความแข็งแกร่งที่ไม่อาจถูกใครเล่นงานได้โดยง่าย รังสีหนักแน่นแผ่ซ่านอยู่รอบตัวของเขา แววตาของอีกฝ่ายล้ำลึกราวกับกำลังเพ่งมองอนาคต

แต่สิ่งที่ทำให้จางเซวียนไม่สบายใจก็คือเขาไม่อาจหยั่งถึงระดับวรยุทธของชายหนุ่มได้

ด้านหลังชายหนุ่มมีผู้อาวุโสคนหนึ่งยืนอยู่ เขายืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ไม่ได้เคลื่อนไหวหรือพูดอะไร

“เขาคือ…จอมราชันย์?” จางเซวียนเลิกคิ้วด้วยความพรั่นพรึง

เมื่อได้ฟังจากซุนฉาง เขาก็ใช้การรับรู้จิตวิญญาณตรวจสอบทั่วทั้งลานบ้าน แต่รับรู้ได้เฉพาะการปรากฏตัวของท่านพ่อท่านแม่เท่านั้น หากไม่ใช่เพราะความจริงที่ว่าเขาเห็นชายหนุ่มด้วยสองตาของตัวเอง ก็คงไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายนั่งอยู่ตรงนั้น!

เพียงเท่านี้ก็เห็นได้ชัดแล้วว่าพละกำลังของชายหนุ่มเหนือชั้นกว่าเขามาก

จางเซวียนอาจเป็นแค่นักรบระดับราชันย์เทพเจ้า แต่ด้วยเทคนิควรยุทธและศิลปะเพลงดาบของเวทนาสวรรค์ เขาอาจรับมือได้แม้แต่กับราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติอย่างที่เคยเล่นงานไป๋เย่ฉิงหงมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่คราวนี้คงจัดการเธอได้สบายโดยไม่จำเป็นต้องพึ่งหน้าหนังสือสีทอง

แต่แม้จะมีความแข็งแกร่งระดับนี้ จางเซวียนก็ยังไม่มั่นใจว่าจะสู้กับชายหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงนั้นได้

แถมทุกอย่างยังเลวร้ายกว่าเดิม เพราะท่านพ่อท่านแม่ของเขาก็นั่งอยู่ที่โต๊ะตัวเดียวกับหมอนั่น จะไม่ให้เขาประหวั่นพรั่นพรึงได้อย่างไร?

เมื่อเห็นจางเซวียน เซียนดาบเหมิงโพล่งออกมาพร้อมกับคลี่ยิ้ม

“นี่คือลูกชายของฉัน, จางเซวียน!”

ดูเหมือนเธอจะไม่รู้เลยว่าชายหนุ่มที่นั่งอยู่ด้วยมีวรยุทธทรงพลังแค่ไหน

ชายหนุ่มพยักหน้าแล้วหันมามอง มันเป็นแค่การมองแบบธรรมดา แต่จางเซวียนเจ็บแปลบราวกับถูกดาบเล่มหนึ่งแทงทะลุถึงจิตวิญญาณ

อันที่จริง แม้แต่หอสมุดเทียบฟ้าก็สั่นสะท้านไม่หยุด ราวกับหวาดกลัวสิ่งที่ได้เห็น

“คุณคือจอมราชันย์แห่งกระท่อมดาบหรือ?” จางเซวียนถาม

เท่าที่เขารู้ มี 2 ใน 9 จอมราชันย์ที่ปิดบังตัวเองจากโลกภายนอก หนึ่งในนั้นคือจอมราชันย์หลินชีของน่านฟ้าเสรี และอีกคนคือจอมราชันย์แห่งน่านฟ้าดาบสวรรค์

แม้กระท่อมดาบจะไม่ได้เสาะแสวงหาอัจฉริยะผู้ปราดเปรื่องหรือราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติคนใหม่ แต่ก็ไม่มีจอมราชันย์คนไหนกล้ามีเรื่องกับน่านฟ้าดาบสวรรค์

เห็นได้ชัดว่าจอมราชันย์แห่งกระท่อมดาบมีพละกำลังในระดับที่แม้จอมราชันย์คนอื่นๆก็ยังยำเกรง

“นั่งสิ” ชายหนุ่มพูด

จางเซวียนรู้ดีว่าหากอีกฝ่ายเปิดการโจมตี เขาก็คงต้านทานไม่ไหว จึงเดินเข้าไปแล้วทรุดตัวลงนั่งอย่างเงียบๆ

ผู้อาวุโสที่อยู่ด้านหลังเข้ามาเสิร์ฟน้ำชาให้

จางเซวียนรับถ้วยชา ขณะรู้สึกปั่นป่วนในใจ “ถ้าไม่เป็นการหยาบคายเกินไป ไม่ทราบว่าผมขอทราบเหตุผลที่จอมราชันย์แวะมาได้ไหม?”

หากจอมราชันย์อยากพบเขา แค่ส่งราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติสักคนมาเชิญเขาไปที่น่านฟ้าของตัวเองก็ได้ แต่อีกฝ่ายถึงกับดั้นด้นมาที่นี่ และเท่าที่เห็น ก็ดูเหมือนว่าแม้แต่จอมราชันย์ปีศาจเฉียนคุ่นของน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อนก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขามา

เรื่องนี้ออกจะน่าเป็นห่วง

ชายหนุ่มไม่ตอบคำถามของจางเซวียน เขาตั้งต้นประเมินจางเวียนจากหัวจรดเท้าราวกับกำลังประเมินมูลค่าของสมบัติล้ำค่าชิ้นหนึ่ง ไม่ช้า สีหน้าของเขาก็บ่งบอกความขัดแย้งในใจ

ครู่ต่อมา เขาวางถ้วยชาและเอ่ยปาก “ช่วยสาธิตศิลปะเพลงดาบที่คุณเพิ่งทำความเข้าใจใหม่ให้ผมดูได้ไหม?”

“ศิลปะเพลงดาบ?” จางเซวียนขมวดคิ้ว

จอมราชันย์แห่งกระท่อมดาบลงทุนมาถึงนี่เพื่อชมศิลปะเพลงดาบของเขาหรือ?

เอาเถอะ…อาจเป็นอย่างนั้นก็ได้!

ด้วยขีดจำกัดของพละกำลังที่เขามี ศิลปะเพลงดาบที่จางเซวียนเพิ่งทำความเข้าใจได้ใหม่ไม่น่าจะมีความหมายต่อจอมราชันย์มากนัก แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันคือเทคนิคการต่อสู้ที่เหนือชั้นกว่าสวรรค์ ทำให้กลายเป็นหนึ่งในศิลปะเพลงดาบที่ละเอียดละออที่สุดในสรวงสวรรค์เลยทีเดียว

ในฐานะผู้ฝึกฝนศิลปะเพลงดาบผู้โด่งดังของสรวงสวรรค์ ก็ไม่น่าแปลกอะไรที่จอมราชันย์จะอยากเห็นและวิเคราะห์มัน

เมื่อคิดได้ ในที่สุดจางเซวียนก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก

ในเมื่อจอมราชันย์แห่งกระท่อมดาบมาที่นี่เพื่อขอชมศิลปะเพลงดาบของเขา ก็คงไม่เป็นไรถ้าจะสรุปว่าอีกฝ่ายคงไม่ได้มีเจตนาร้าย

ผู้ที่หมกมุ่นคลั่งไคล้ในศิลปะการต่อสู้มักมีนิสัยชอบความเรียบง่ายและตรงไปตรงมา พวกเขามักไม่อ้อมค้อมและไม่ทำร้ายใครง่ายๆ

เมื่อคิดได้ จางเซวียนลุกขึ้นยืนขณะชักดาบราชันย์เทพเจ้าออกมา

ผู้อาวุโสที่ยืนอยู่ด้านหลังชายหนุ่มยกมือ แล้วทั้งลานบ้านก็ถูกโอบล้อมด้วยปราการแบ่งแยก ป้องกันไม่ให้ผู้อื่นมองเห็นว่าเกิดอะไรขึ้นด้านใน

เห็นภาพนั้น จางเซวียนเลิกคิ้ว

ตัวเขาก็สร้างปราการปิดกั้นได้ทันทีเช่นกัน แต่ผู้อาวุโสทำได้อย่างง่ายดายกว่ามาก แถมยังถ่ายทอดกฎเกณฑ์แห่งมิติเข้าสู่ปราการเพื่อเสริมพละกำลังให้มันด้วย

จากสิ่งนี้ ก็บ่งบอกชัดว่าต่อให้ผู้อาวุโสไม่ใช่จอมราชันย์ แต่พละกำลังของเขาย่อมเหนือชั้นกว่าราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติโดยทั่วไปแน่ อย่างน้อยที่สุด จางเซวียนก็รู้ตัวว่าเขาไม่อาจเทียบชั้นกับอีกฝ่ายได้

แต่นั่นแหละ แค่ชายหนุ่มไม่มีเจตนาร้ายต่อพวกเขาก็พอแล้ว คิดมากไปก็ไม่เกิดประโยชน์

จางเซวียนกำดาบราชันย์เทพเจ้าไว้แน่น เขาปลดปล่อยจิตใต้สำนึกให้หลอมรวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับดาบ

ฟึ่บ!

ดาบเคลื่อนไหว

ลมโชยมาแผ่วๆ คลื่นน้ำในสระที่อยู่ใกล้ๆเกิดการกระเพื่อม

ด้วยท่วงท่าที่เรียบลื่นราวกับน้ำไหล จางเซวียนสำแดงศิลปะเพลงดาบทั้งสี่ของเวทนาสวรรค์ออกมาตามลำดับ ทุกกระบวนท่าของเขาเปี่ยมด้วยความรู้สึกล้ำลึก นำพาผู้พบเห็นเข้าสู่แนวคิดที่ตัวเขามีอยู่ในใจ

ชายหนุ่มเฝ้ามองการสำแดงศิลปะเพลงดาบอย่างเงียบๆ ดูจะรื่นรมย์ไม่น้อยกับสิ่งที่เห็น

สุดท้าย จางเซวียนก็เก็บดาบ กระแสดาบฉีที่เขาปลดปล่อยออกมาพุ่งกลับคืนสู่ดาบอย่างรวดเร็ว จางเซวียนประสานมือ “ผมจะยินดีมากหากคุณจะมอบคำชี้แนะให้ศิลปะเพลงดาบของผมสักหน่อย”

เป็นที่รู้ทั่วกันว่าชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าเขาคือผู้ฝึกฝนศิลปะเพลงดาบที่แข็งแกร่งที่สุดในสรวงสวรรค์ แม้คำแนะนำเพียงคำเดียวจากอีกฝ่ายก็ย่อมเป็นประโยชน์ต่อเขามาก

“ศิลปะเพลงดาบที่คุณทำความเข้าใจได้สำเร็จนั้นจัดว่าไม่ธรรมดาจริงๆ…” ในที่สุด รอยยิ้มก็ปรากฏบนสีหน้าเยือกเย็นของชายหนุ่มขณะที่พูดออกมา “ผมไม่คิดว่าผมจะให้คำชี้แนะใดๆกับคุณได้หรอก คุณกำลังแผ้วถางเส้นทางของตัวเอง ผมคงช่วยเหลือคุณได้น้อยนิดเต็มที…แต่สิ่งหนึ่งที่ผมรู้ก็คือดาบของคุณแบกรับความปรารถนาไว้มากมาย ซึ่งผลที่ได้กลับมาก็คือการขาดความแข็งแกร่งและหย่อนประสิทธิภาพในการปกป้อง”

“ขาดความแข็งแกร่งและหย่อนประสิทธิภาพในการปกป้อง?” จางเซวียนทวนคำ

เมื่อคิดดูอีกที อารมณ์และความรู้สึกส่วนใหญ่ที่เขาทำความเข้าใจได้สำเร็จก็มักเกี่ยวข้องกับแนวคิดของความปรารถนา ซึ่งศิลปะเพลงดาบของเวทนาสวรรค์ก็อยู่บนพื้นฐานของความรู้สึกที่เขามีต่อคนรอบข้าง จึงเป็นธรรมดาที่จะต้องแบกรับความปรารถนาไว้

“ผมพูดแบบนี้ก็แล้วกัน ถ้าคนที่คุณรักตกอยู่ในหายนะภัยหรือสถานการณ์ที่สุ่มเสี่ยงต่อความตาย คุณจะทำอย่างไร?” ชายหนุ่มถาม

จางเซวียนงุนงงกับคำถามปุบปับของอีกฝ่าย เขาลังเลครู่หนึ่งก่อนจะให้คำตอบ “ผม…ก็จะปกป้องพวกเขาให้ดีที่สุด ให้รอดพ้นจากอันตรายให้ได้”

“ซึ่งนั่นคือสิ่งที่ผมพูดถึง การปกป้องคือการกระทำที่ขวางกั้นบุคคลหนึ่งไว้ให้รอดพ้นจากอันตราย ไม่ว่าจะต้องใช้วิธีไหนก็ตาม แต่ผมไม่ค่อยรับรู้ถึงความรู้สึกนั้นสักเท่าไหร่จากศิลปะเพลงดาบของคุณ” ชายหนุ่มตอบ

จางเซวียนครุ่นคิดหนัก

ก็จริง ศิลปะเพลงดาบของเขายังอ่อนด้อยเรื่องความรู้สึกเหล่านั้น

“ความรู้สึกของศิลปะเพลงดาบไม่ได้มีแค่ความปรารถนา แต่จะต้องแบกรับหน้าที่และความรับผิดชอบที่มาพร้อมกับมันด้วย อย่างศิลปะเพลงดาบชนิดสุดท้ายของคุณ ผมสัมผัสได้ถึงความปรารถนาและความเสียใจที่คุณไม่อาจดูแลท่านพ่อท่านแม่กับคนที่คุณรักให้ดีกว่านี้ แต่คุณเคยคิดบ้างหรือเปล่าว่ายังมีหน้าที่และความรับผิดชอบที่คุณจะต้องทำให้ได้เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดความเศร้าโศกเหล่านั้น?” ชายหนุ่มถาม

“ผมคิดว่าผมเข้าใจสิ่งที่คุณพูดนะ” จางเซวียนพยักหน้าช้าๆ “ศิลปะเพลงดาบของผมเต็มปรี่ด้วยอารมณ์และความรู้สึกในอดีต มันให้ความสำคัญกับสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วแทนที่จะพยายามควบคุมหรือสร้างอิทธิพลต่อสิ่งใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้น ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ผมจมอยู่กับอดีตโดยไม่รู้ตัว…”

“ใช่ ถ้าอยากก้าวไปให้ไกลกว่านี้ สายตาของเราจะต้องจับจ้องอยู่ที่อนาคต การจมดิ่งอยู่กับความเศร้าโศกและความปรารถนามีแต่จะฉุดรั้งคุณให้ก้าวเดินได้ช้าลง” ชายหนุ่มตอบ

“คุณพูดถูก” จางเซวียนพยักหน้า

อารมณ์และความรู้สึกแบ่งออกได้เป็น 2 รูปแบบ แบบหนึ่งช่วยให้ผู้คนเติบโตและมีวุฒิภาวะ ขณะที่อีกแบบฉุดรั้งความก้าวหน้าของพวกเขา

ความเสียใจอาจเป็นได้ทั้งเหตุผลที่ทำให้คนคนหนึ่งสิ้นหวังหรือผลักดันให้เขาเพียรพยายามหนักกว่าเดิม