บทที่ 1759 มองออกว่ามีกับดัก

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

“ไม่พูดเรื่องนี้แล้ว ข้าอยากดูให้ทั่ว ไม่มีปัญหาใช่มั้ย?” อวี้หลัวช่าถาม

“เกรงว่าข้าคงจะอยู่เป็นเพื่อนไม่ได้…” เทียนเจี้ยนกล่าวอย่างลังเล

อวี้หลัวช่าพยักหน้าเบาๆ “เข้าใจ เจ้ารักษาการณ์อยู่ที่ศูนย์บัญชาการ ไม่สะดวกจะออกจากที่นี่ ให้บัตรผ่านข้าแผ่นเดียวก็พอ อาจไม่ใช่ทุกคนที่รู้จักข้า”

เทียนเจี้ยนเข้าใจสิ่งที่นางพูด กำลังพลเบื้องล่างที่รู้จักอวี้หลัวช่ามีไม่เยอะ กอปรกับอวี้หลัวช่ายิ่งนับวันยิ่งอ่อนเยาว์ลงเรื่อยๆ เหมือนเป็นสาวน้อยคนหนึ่ง อาจจะทำให้คนมองพลาดแล้วเข้าใจอะไรผิดได้จริงๆ เป็นไปไม่ได้ที่จะให้อวี้หลัวช่าเอาแต่อธิบายว่าตัวเองเป็นใคร เขาจึงพยักหน้าแล้วยื่นป้ายคำสั่งแผ่นหนึ่งให้นาง

อวี้หลัวช่ารับป้ายคำสั่งมาดูครู่หนึ่ง แล้วบอกว่า “ถ้าข้าไม่ได้กลับมาที่เดิม จะให้คนนำมาส่งให้เจ้า”

เทียนเจี้ยนพยักหน้าสื่อว่าเข้าใจ พุทธะหน้าหยกผู้สง่าผ่าเผยอาจะไม่ต้องถ่อกลับมาอีกครั้งเพื่อป้ายคำสั่งแผ่นเดียว นางอาจจะกลับไปเลย

ไม่พูดพร่ำทำเพลง อวี้หลัวช่าพุ่งขึ้นฟ้าไปแล้ว เทียนเจี้ยนเงยหน้ามองตาม

พอออกจากดาวเคราะห์ดวงนี้แล้ว อวี้หลัวช่าก็ช้อนลูกกลมโลหะไง้ในกรระบอกแขนเสื้อ กำลังตามหาดาวเคราะห์ที่ระบุไว้ แยกแยะทิศทางแล้วไปข้างหน้า ที่จริงดาวเคราะห์เมื่อครู่นี้ก็เป็นหนึ่งในเครื่องหมายบอกทางเช่นนั้น

เมื่อไม่มีป้ายคำสั่งผ่านทาง ก็เป็นเรื่องยากที่จะไม่ถูกสอบสวน อาณาเขตผืนนี้คือบริเวณบริเวณแนวหน้าของการค้นหา กำลังพลกลุ่มใหญ่กำลังกระจายกำลังตรวจค้น เป็นไปไม่ได้ที่ผ่านทางนี้แล้วจะไม่ถูกพบ อวี้หลัวช่าที่ถูกสกัดสิบกว่าครั้งเผยป้ายคำสั่งจนผ่านไปได้ตลอดทาง

หลังจากเร่งเดินทางในดาราจักรได้ครึ่งวัน เห็นว่าไม่มีใครดักสอบสวนอีก อวี้หลัวช่าก็แน่ใจว่าหลุดออกจากอาณาเขตค้นหาของกำลังพลกลุ่มใหญ่แล้ว ตอนนี้นางถึงได้เหยียบลงบนดาวดวงหนึ่งที่ลอยนิ่งอยู่อวกาศเงียบๆ เป็นเส้นยาว แล้วสะบัดแขนเสื้อปล่อยเหมียวอี้ออกจากกระเป๋าสัตว์

เหมียวอี้ปรากฏตัวแล้วมองไปรอบๆ “นี่คือที่ไหน?”

อวี้หลัวช่าใช้ฝ่ามือข้างเดียวถือรองลูกกลมโลหะขึ้นมา เหมียวอี้ตะลึงงัน จากนั้นก็แอบดีใจ เขาเข้าใจแล้ว ตอนนี้กำลังอยู่บนเส้นทางของแผนที่แล้ว เขายื่นมือกดบนนั้น หลังจากยอมให้พลังอิทธิฤทธิ์ของอวี้หลัวช่าลากไปถึงตำแหน่งที่ระบุ แล้วมองดวงดาวรูปเส้นยาวที่มองปราดเดียวก็สามารถเห็นทั้งหมด ก็เข้าใจแล้วว่าตัวเองอยู่ตรงจุดไหน

หลังจากปล่อยมือ เหมียวอี้ก็มองดาราจักรรอบๆ พร้อมพึมพำ “ดูจากเครื่องหมายบนแผนที่ พวกเราน่าจะมาถึงหนึ่งในหกส่วนของเส้นทางทั้งหมดแล้ว”

“คงประมาณนั้น” อวี้หลัวช่าเห็นด้วย ถาม “สูตรล่ะ?”

“เมื่อถึงเวลาที่ควรบอก ข้าก็ย่อบอกเอง” เหมียวอี้ตอบ

“ข้าสงสัยว่าจะไม่มีสูตรหาสมบัติอะไรเลย แค่เป็นวิธีที่เจ้าใช้ถ่วงเวลาเท่านั้น” อวี้หลัวช่ากล่าว

ช่างเป็นคนที่เข้าใจอะไรได้กระจ่างจริงๆ แต่ตราบใดที่เจ้ายังโลภไม่หาย ต่อให้เข้าใจกระจ่างก็กลายเป็นเรื่องโกหกอยู่ดี!เหมียวอี้รู้สึกขำในใจ แต่ปากก็ยังกล่าวอย่างจนใจว่า “เจ้านี่ขี้สงสัยเกินไปแล้ว ตอนนี้ข้ากำลังตกอยู่ในมือเจ้า ถ้าเจ้าอยากจะทำให้ข้าตาย ก็ง่ายเหมือนเหยียบมดตัวเดียว ข้าหลอกเจ้าก็ไม่เท่ารนหาที่ตายหรอกเหรอ”

อวี้หลัวช่าพ่นเสียงทางจมูก “เจ้ารู้ก็ดีแล้ว”

“ตอนมาไม่ได้โดนใครตรวจสอบใช่มั้ย? เจ้าไม่ได้ทำให้พวกเขาสงสัยหรอกใช่มั้ย?” เหมียวอี้ถาม

อวี้หลัวช่าโบกมือเผยป้ายคำสั่ง “ผู้ตรวจการใหญ่เทียนเจี้ยนของหน่วยเจิ้นติง ให้ป้ายคำสั่งผ่านทางกับข้า ยังมีคำถามอะไรอีกมั้ย?” ถ้าไม่ใช่เพื่อควบคุมเหมียวอี้ให้พาตนไปหาสมบัติลับอย่างราบรื่น นางก็ไม่อยากจะเปลืองคำพูดกับเหมียวอี้เลย

เหมียวอี้จ้องป้ายคำสั่งด้วยแววตาเป็นประกาย แอบดีใจอย่างบ้าคลั่ง เขากำลังครุ่นคิดว่าถ้าฆ่าผู้หญิงตายแล้วกลับมาเจอคนตรวจสอบจะทำอย่างไร นึกไม่ถึงว่าในมือนางจะมีป้ายคำสั่งผ่านทางอยู่ด้วย แบบนี้ดีสุดๆ ไปเลย จึงกล่าวสรรเสริญเยินยอทันที “สมกับเป็นพุทธะหน้าหยก ไม่ว่าเรื่องอะไร ถ้ามาถึงมือเจ้าแล้วก็ไม่มีปัญหา”

อวี้หลัวช่าไม่ซาบซึ้งในคำเยินยอนี้เลย “อย่าพูดมากในสิ่งที่ไร้ประโยชน์ ข้าถามเจ้าหน่อย จะหาตามเครื่องหมายบอกทางไปอย่างนี้เรื่อยๆ เหรอ?”

“ข้าเองก็มาครั้งแรก ฟันธงไม่ได้ว่ามีปัญหาหรือเปล่า” เหมียวอี้ตอบ

อวี้หลัวช่าบอกอีกว่า “เจ้าบอกว่าอาณาเขตดาวของจุดซ่อนสมบัตินั่นอยู่ในวงโคจรไม่หยุดนิ่ง เจ้าแน่ใจนะว่าตอนกลับจะมาตามเครื่องหมายบอกทางบนแผนที่ดาวได้?” ปัญหานี้สำคัญมาก นางต้องทำให้กระจ่าง ถ้าอาณาเขตดาวโคจรผิดตำแหน่งขึ้นมา ไม่สามารถกลับทางเดิมตามเครื่องหมายบอกทางได้ ต่อให้วรยุทธ์นางจะสูงกว่านี้ ดีไม่ดีนางอาจจะเหนื่อยตายอยู่ในดาราจักรอันไร้ที่สิ้นสุดนี้ อาจกลับมาไม่ได้อีก นี่ไม่ใช่สิ่งที่นางอยากเห็น

“เจ้าไม่ต้องห่วง ถึงจะอยู่ท่ามกลางการโคจร แต่ขอบเขตการย้ายตำแหน่งของดาวภายในหนึ่งปีก็ไม่ใหญ่มาก สามารถหาเจอแล้วกลับมาได้” เหมียวอี้ตอบ

“เจ้าแน่ใจนะ?” อวี้หลัวช่าถาม

เหมียวอี้จึงตอบว่า “นี่สุดสวย ข้ากำลังอยู่กับเจ้านะ ถ้าเจ้ากลับไม่ได้ ข้าจะไม่ซวยไปด้วยหรอกเหรอ ข้าจำเป็นต้องหลอกเจ้ามั้ย? หวังก็แต่ให้เจ้ารักษาคำพูด ไม่ข้ามแม่น้ำแล้วรื้อสะพานทิ้ง”

พอได้ยินเขาพูดแบบนี้ อวี้หลัวช่าก็หมดความสงสัยในใจแล้ว ไม่เปลืองคำพูดอีก คว้าแขนเขาไว้ ดึงเขาแฉลบไปยังจุดลึกของทะเลดาวอันกว้างใหญ่ด้วยกันอย่างรวดเร็ว

เหมียวอี้ที่ถูกพาเหาะด้วยความเร็วสูงกลับหยิบระฆังดาราออกมาติดต่ออวิ๋นจือชิว เตรียมจะบอกความจริงกับอวิ๋นจือชิว ถ้าเกิดเรื่องอะไรกับตนขึ้นมา อวิ๋นจือชิวจะได้ไม่ถึงขั้นไม่รู้อะไรเลย จะได้รู้ว่าจะเตรียมทางถอยอย่างไร

อวี้หลัวช่าเหล่ตามอง พร้อมเตือนว่า “เจ้าคิดจะทำอะไร? ข้าแนะนำว่าเจ้าอย่าเล่นตุกติก ไม่อย่างนั้นข้าจะทำให้เจ้าทรมานจนมีชีวิตอยู่มิสู้ตาย!”

เหมียวอี้ชูระฆังดาราขึ้นมาแล้วถอนหายใจ “คนสวย ข้าเป็นหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลนะ มีงานในมือต้องจัดการ ในเมื่อนแน่ใจแล้วว่าจะไปหาสมบัติจริงๆ ข้าก็ต้องวางแผนงานให้ลูกน้องหน่อยสิ ไม่อย่างนั้นถ้าลูกน้องติดต่อข้าไม่ได้ก็จะเกิดเรื่องแล้ว”

อวี้หลัวช่าเบะปาก เพื่อจะที่จะคุมให้เหมียวอี้พาไปหาสมบัติลับอย่างราบรื่น นางจึงตามใจ นางเชื่อว่าเหมียวอี้ไม่กล้าทำอะไรซี้ซั้วเมื่ออยู่ในมือนาง ไม่อย่างนั้นก็เท่ากับเอาชีวิตมาล้อเล่น

“คนระยำ!”

จวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาล หลังจากอวิ๋นจือชิวได้รู้ความจริง ก็อย่างโมโหเดือดดาล

นางลุกจากเก้าอี้ เดินไปเดินมาไม่หยุดด้วยสีหน้ากระวนกระวาย ร้อนใจเหมือนมดบนกระทะ นางคาดไม่ถึงเลยว่าเหมียวอี้จะคิดหาวิธีการที่เสี่ยงอันตรายขนาดนี้ได้ ไม่น่าเชื่อว่าจะอาศัยกำลังของอวี้หลัวช่าบุกฝ่าการตรวจสอบของกองทัพองครักษ์ ทั้งยังคิดจะกำจัดอวี้หลัวช่าอีก อวี้หลัวช่าเป็นตัวละครแบบไหนกัน? นี่ไม่ใช่การวางแผนเอาหนังเสือหรอกหรือ?

แต่เดินมาถึงขั้นนี้แล้ว ต่อให้นางอยากห้ามก็ห้ามไม่ไหว เหมียวอี้อยู่ในมืออวี้หลัวช่าแล้ว ไม่ใช่ว่านึกอยากจะกลับก็กลับได้ คนทางฝั่งนางก็ไม่มีทางหลบเลี่ยงการตรวจสอบของกองทัพองครักษ์ได้เช่นกัน ต่อให้อยากจะไปรับก็ทำไม่ได้

เห็นได้ชัดเจนมา เหมียวอี้วางแผนจะทำอย่างนี้มาตั้งแต่แรกแล้ว เขาถึงได้ปิดบังนาง ไม่อย่างนั้นถ้านางรู้ก่อน ก็จะไม่ให้เขาไปแน่นอน

“ฮูหยิน เป็นอะไรไปคะ?” เชียนเอ๋อร์ที่อยู่ข้างๆ ถามด้วยความกังวล

อวิ๋นจือชิวร้อนรนเพราะไร้หนทางแก้ไขปัญหา นางได้แต่ส่ายหน้าโดยไม่ได้พูดอะไร รู้ว่าพูดไปก็แก้ปัญหาไม่ได้อยู่ดี อย่างมากก็เพิ่มความกังวลให้สองคนนี้ จำเป็นต้องทำอย่างนั้นด้วยเหรอ? สุดท้ายนางก็หย่อนก้นนั่งลงที่เดิม เอามือจับหน้าผากเงียบๆ พูดจากใจจริง ตอนนี้นางค่อนข้างแค้นเจ้ารองศีลแปด ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้าเวรที่ไว้ใจไม่ได้คนนี้ พวกเขาสองสามีภรรยาจะต้องมาเสี่ยงอันตรายใหญ่หลวงขนาดนี้ได้อย่างไร? คนหนึ่งก็เจ้ารอง คนหนึ่งก็เจ้าสาม สองพี่น้องคู่นี้ไม่มีใครทำให้เบาใจได้สักคน ตอนนี้เจ้าสามถูกรับเป็นอนุภรรยาแล้วก็ยังดีหน่อย นับว่าสงบใจแล้ว แต่เจ้ารองนั่นกลับไว้ใจไม่ได้โดยแท้ เป็นคนระยำที่วางกับดักทำร้ายคนอื่นจริงๆ!

นางไม่เข้าใจเลย สามีตัวเองก็ใช้ชีวิตลำบากมากอยู่แล้ว ทำไมต้องมาเจอกับสองพี่น้องที่ไว้ใจไม่ได้คู่นี้ด้วย?

หลังจากเอามือกุมหน้าผากอย่างจนใจพักหนึ่ง ในใจก็พรั่งพรูความรู้สึกภาคภูมิใจ สุดท้ายตัวเองก็เลือกคนไม่ผิด ต่อให้ถูกความจริงชำระล้างบางอย่างไป แต่สุดท้ายผู้ชายของตัวเองก็มีคำว่า ‘คุณธรรมน้ำมิตร’ อยู่ในใจเสมอ ความตั้งใจแรกเริ่มยังไม่สูญสิ้นไป ถามหน่อยว่าในใต้หล้านี้จะมีสักกี่คนที่ไปเสี่ยงทำเรื่องเสี่ยงอันตรายแบบนี้โดยไม่มีผลประโยชน์ใดๆ เกี่ยวข้องเหมือนสามีนางบ้าง?

เหมียวอี้ทำก่อนแล้วค่อยบอกทีหลัง เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว นางรู้ว่าตอนนี้ร้อนใจอย่างไรก็ไม่มีประโยชน์ ต้องใจเย็นแล้วค่อยๆ คิด

พอลองคิดดูดีๆ ก็เข้าใจทุกอย่าง สามีนางดึงดันจะไปเพื่อยืนยันความปลอดภัยของเจ้ารอง ที่ไม่บอกนางเพราะไม่อยากให้นางห้าม เพราะถ้านางห้ามเขา ก็จะทำลายความรู้สึกระหว่างสามีภรรยาแน่นอน ตอนหลังถึงบอกนางให้ชัดเจน ให้นางเตรียมตัวเผื่อเหตุการณ์ไม่คาดคิด

ขณะเดียวกันเหมียวอี้ก็บอกแล้วจริงๆ ว่ารู้สถานการณ์เกี่ยวกับสถานที่ที่เจ้ารองถูกขังมาบ้างแล้ว  ภายในไม่กี่ปีนี้เขาอาจจะขาดการติดต่อไป ในช่วงนี้ต้องให้อวิ๋นจือชิวคิดหาทางรับมือกับทั้งข้างบนข้างล่าง รอเขากลับไป

อวิ๋นจือชิวนั่งขมวดคิ้วครุ่นคิดอยู่บนเก้าอี้ กำลังคิดว่าจะรับมือกับหลายปีต่อจากนี้อย่างไร โชคดีที่ปกติแล้วนางก็มีบารมีต่อกำลังพลเบื้องล่างอยู่บ้าง คำพูดของนางก็มีน้ำหนักเท่ากับเหมียวอี้ ถ้าไม่มีเหตุไม่คาดคิดอะไร นางออกหน้าเองก็น่าจะควบคุมสถานการณ์ไหว ไม่อย่างนั้นถ้าไม่มีข่าวคราวเหมียวอี้เลย เบื้องล่างจะต้องวุ่นวายแน่นอน

เรื่องที่เหมียวอี้ทำก่อนแล้วค่อยบอก นางเองก็ทำได้แค่พยายามให้ดีที่สุด ใครใช้ให้นางแต่งงานกับเจ้าเวรนี่ล่ะ…

ในจุดลึกของดาราจักรนิรนาม ในที่สุดชายหญิงคู่หนึ่งก็เดินทางตามเครื่องหมายบนแผนที่มาจนถึงปลายสุดแล้ว ขณะที่ตัวอยู่ในดาราจักร ก็รู้สึกได้ว่าดาวเคราะห์งดงามเปี่ยมพลังชีวิตอยู่ตรงหน้าแล้ว

ทั้งสองหยุดอยู่ในดาราจักร ดวงตาของอวี้หลัวช่าเบ่งบานไปด้วยความยินดีปรีดา ตรวจสอบแผนที่ซ้ำแล้วซ้ำอีก ไม่ผิดหรอก ดาวเคราะห์งดงามตรงหน้าก็คือจุดหมายปลายทางนั่นเอง

เหมียวอี้ดีใจแทบบ้าเช่นกัน ชี้ไปที่นั่งพลางตะโกนบอก “ถึงแล้วๆ ในที่สุดก็ถึงแล้ว” เขาชักแขนตัวเองออกจากมืออวี้หลัวช่า แล้วทำท่าจะพุ่งเข้าไป

ใครจะคิดว่าอวี้หลัวช่าจะถลันตัวมาคว้าแขนเขาเอาไว้ แล้วตะคอกว่า “เดี๋ยวก่อน ดาวเคราะห์ดวงนี้มีปัญหานิดหน่อย”

“…” เหมียวอี้ตะลึงงัน หันกลับมาถามว่า “จะมีปัญหาอะไรได้?”

“ถ้าจะมีก็อาจจะเป็นกับดัก!” อวี้หลัวช่าใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์ราวกับคบเพลิง กวาดมองดาราจักรรอบๆ

“กับดัก?” เหมียวอี้มองไปรอบๆ อย่างงุนงง มองเบาะแสอะไรไม่ออก จึงถามอย่างสงสัย “จะมีกับดักอะไรได้?”

อวี้หลัวช่าชี้ไปทางดาวเคราะห์น้อยใหญ่รอบๆ พร้อมกลาวเสียงต่ำ “ทิศทางการกระจายตัวของดาวเคราะห์พวกนั้นไม่ปกติ เหมือนค่ายกลที่วางเอาไว้ อาจจะมีผู้ยิ่งใหญ่สักคนใช้ประโยชน์จากดวงดาววางค่ายกลอะไรสักอย่างไว้”

เหมียวอี้แอบตกใจ ขนาดนี้ยังดูออกอีกเหรอ สมกับเป็นพุทธะหน้าหยก

เขาย่อมรู้ว่าดาวเคราะห์ดวงนี้มีปัญหา มีกับดักอยู่จริงๆ ถ้าไม่มีกับดักเขาจะกล้าพาอวี้หลัวช่ามาที่นี่ตามลำพังได้อย่างไร เขาอยากจะล่อให้อวี้หลัวช่ามาติดกับดัก นึกไม่ถึงว่ายังไม่ทันล่ออีกฝ่ายไปติดกับดัก อีกฝ่ายก็มองออกภายในปราดเดียวแล้ว สายตาแหลมคมจริงๆ

เหมียวอี้ถามกลับ “เป็นกับดักแบบไหน?” ขณะที่ถามคำนี้ ขนาดตัวเขาเองยังอกสั่นขวัญแขวน กังวลว่าอีกฝ่ายจะมองกับดักออก กลัวนางจะเดาออกว่าตนวางกับดักนาง แบบนั้นตัวเองก็จะแย่แล้ว ต่อให้ไม่ตายก็โดนถลกหนังแน่นอน

อวี้หลัวช่ากวาดตามองโดยรอบอย่างระแวดระวัง แล้วส่ายหน้าเบาๆ “ไม่รู้ว่าเป็นกับดักอะไร แต่ถ้าเป็นกับดักจริงๆ ค่ายกลที่เกิดจากดวงดาวมีอานุภาพไม่ธรรมดาแน่ ถ้าเข้าไปอยู่ในนั้นเมื่อไร ก็จะเป็นอันตรายมาก”

………………