บทที่ 1760 เวรเอ๊ย! แบบนี้ก็ได้เหรอ

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

จากคำพูดของนาง เหมียวอี้ฟังออกถึงอะไรบางอย่างแล้ว แม้แต่นางก็กวาดกลัวอานุภาพของค่ายกลดวงดาวเช่นกัน ไม่กล้าล่วงล้ำเข้าไปง่ายๆ

แต่จะว่าไปแล้ว ก่อนหน้านี้เหมียวอี้ก็ไม่รู้จริงๆ ว่าที่นี่มีค่ายกลดวงดาวอะไรนี่อยู่ด้วย รู้เพียงว่าที่นี่มีดาวเคราะห์ประหลาดอยู่ดวงหนึ่ง ตอนนี้พอได้ยินอวี้หลัวช่าเอ่ยขึ้น ถึงได้เข้าใจว่าความประหลาดของดาวเคราะห์ดวงหนึ่งเกิดจากค่ายกลดวงดาว

คิดไปคิดมาก็เห็นด้วย ค่ายกลที่สามารถขังวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่แตกดับของพระปีศาจหนานโปได้นานขนาดนี้ ก็ย่อมไม่ธรรมดาอยู่แล้ว

ขณะเดียวกัน เหมียวอี้ก็เข้าใจแล้วเช่นกัน ว่าอวี้หลัวช่ายังยืนยันไม่ได้ว่านี่คือกับดักหรือไม่ เขาจึงกล้าวกลั้วหัวเราะ “เจ้านี่ขี้สงสัยจริงๆ เลยนะ”

อวี้หลัวช่าแสยะยิ้ม “ถ้าไม่ระวังตัวมากหน่อย ข้าจะรอดชีวิตมาจนถึงตอนนี้เหรอ?”

“ต่อให้มีค่ายกลอะไร แต่ข้าคิดว่ามันคงไม่ใช่กับดักอะไรหรอก” เหมียวอี้กล่าวอย่างลังเล

“ทำไมเจ้ามั่นใจขนาดนี้?” อวี้หลัวช่าถาม

เหมียวอี้บอกว่า “สมบัติลับอาจจะถูกปกป้องเอาไว้ในค่ายกลอะไรนั่นจริงๆ ก็น่าจะแค่ไม่ให้คนเอาสมบัติออกไปง่ายๆ ข้าแค่สงสัยว่าจะเกี่ยวข้องกับสูตรหาสมบัติที่ข้ารู้หรือเปล่า ไม่แน่ว่าสูตรหาสมบัติอาจจะเป็นกุญแจสำคัญในการเปิดค่ายกลเพื่อเอาสมบัติลับออกมา”

อวี้หลัวช่าเงียบไปประเดี๋ยวเดียว นางรู้สึกวที่เขาพูดก็มีเหตุผลเหมือนกัน “บอกสูตรมาให้ฟังหน่อย”

“เจ้าคิดจะข้ามแม่น้ำแล้วรื้อสะพานทิ้งเหรอ?” เหมียวอี้เตือนทันที

อวี้หลัวช่าทำเสียงฮึดฮัด “ถ้าข้าคิดจะข้ามแม่น้ำแล้วรื้อสะพานทิ้ง อีกประเดี๋ยวพอหาสมบัติลับเจอ ข้าก็ต้องข้ามแม่น้ำแล้วรื้อสะพานทิ้งอยู่ดีไม่ใช่เหรอ”

เหมียวอี้จงใจพูดแบบนี้ เขาไม่รีบให้อีกฝ่ายติดกับดัก เพราะรู้ว่าบางอย่างถ้าใจร้อนจะทำไม่สำเร็จ ต้องค่อยๆ ทำให้อีกฝ่ายหายระแวง “ในเมื่อพูดถึงขั้นนี้แล้ว พวกเรามาเจรจาเงื่อนไขกันเถอะ ข้าจะเชื่อได้ยังไงว่าเจ้าจะไม่ข้ามแม่น้ำแล้วรื้อสะพาน?”

“มาถึงขั้นนี้แล้ว เจ้ายังใสเจรจาเงื่อนไขกับข้าอีกเหรอ ไม่รู้สึกว่าสายเกินไปหรือไง?” อวี้หลัวช่าถาม

เหมียวอี้ส่ายหน้า “ไม่สายหรอก!เพราะข้ารู้ว่าสมบัติลับถูกค่ายกลใหญ่ปกป้องไว้จริงๆ ถ้าดันทุรังเปิดโดยไม่ใช้วิธีการที่ถูกต้อง สมบัติข้างในก็จะเสียหาย ใครจะไปรู้ว่าข้างในมีของล้ำค่าอะไรบ้างที่ห้ามถูกทำลาย มาถึงขั้นนี้แล้ว ข้าว่าเจ้าคงไม่อยากมาล้มเหลวตอนจบหรอกมั้ง? จานป่านนี้แล้ว ข้าไม่มีทางถอยอีก เจ้าเองก็ไม่ต้องขู่ข้าหรอก ถ้ารับประกันความปลอดภัยไม่ได้ ข้าก็ตายสถานเดียว ต่อให้เจ้าสังหารข้าตาย ข้าก็ไม่พูดอยู่ดี”

“งั้นเจ้าจะให้ข้าทำยังไง เจ้าถึงจะเชื่อว่าข้าจะไม่ข้ามแม่น้ำแล้วรื้อสะพานทิ้ง” อวี้หลัวช่ากล่าวถามเสียงเรียบ

“สาบานสิ” เหมียวอี้ตอบ

“สาบานแล้วจะมีประโยชน์เหรอ?” อวี้หลัวช่าเลิกคิ้ว

เหมียวอี้บอกว่า “ข้าเหลือทางหนีทีไล่ไว้แล้ว ถ้าข้ารอดชีวิตกลับไปไม่ได้ เรื่องระหว่างข้ากับเจ้าก็จะเปิดเผยทันที บวกกับคำสาบานของเจ้าอีก อย่างน้อยข้าก็มีหลักประกันสองอย่างแล้ว ทำไม เจ้าไม่ยอมสาบานเพื่อพิสูจน์ความจริงใจของตัวเองเหรอ?”

อวี้หลัวช่าจ้องเขาด้วยสายตาเย็นเยียบครู่หนึ่ง แล้วสุดท้ายก็กล่าวอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า “ข้าอวี้หลัวช่าขอสาบานตรงนี้ ว่าหลังจากได้สมบัติแล้ว ถ้าข้าทำเรื่องไม่ดีต่อหนิวโหย่วเต๋อ ขอให้ข้าโดนสวรรค์ลงโทษ ขอให้ไม่ตายดี!ตอนนี้เจ้าพอใจรึยัง?”

เหมียวอี้ส่ายหน้า แสดงออกว่ายังไม่พอใจชัดเจนมาก “เจ้าแสดงความจริงใจหน่อยได้มั้ย มาถึงขั้นนี้แล้วยังเล่นลิ้น จะทำให้ข้าสงสัยกว่าเดิมนะ หลังจากได้สมบัติลับแล้วหมายถึงอะไร? หมายความว่าถ้าเจ้าฆ่าข้าทิ้งหลังจากบอกสูตร ก็ไม่ถือว่าผิดคำสาบานใช่มั้ย?”

อวี้หลัวช่าแสยะยิ้ม “ยังมาบอกอีกว่าข้าขี้ระแวง คนที่ขี้ระแวงก็คือเจ้าต่างหาก?”

“ถ้าไม่ระวังตัวไว้สักหน่อย ข้าจะรอดชีวิตมาถึงตอนนี้ได้ยังไง?” เหมียวอี้ตอบกลับด้วยคำพูดของนาง

เดินมาถึงหน้าธรณีประตูแล้ว อวี้หลัวช่าไม่มีอารมณ์จะมาเถียงกับเขา จึงสาบานอีกครั้ง “ข้าอวี้หลัวช่าขอสาบานตรงนี้ ขอเพียงหนิวโหย่วเต๋อไม่ทำเรื่องไม่ดีต่อข้า ข้าก็ไม่ทำเรื่องไม่ดีต่อหนิวโหย่วเต๋อ ไม่อย่างนั้นขอให้สวรรค์ลงโทษ ต้องไม่ตายดี!”

เหมียวอี้พูดไม่ออก ผู้หญิงคนนี้ไม่ธรรมดาจริงๆ มาจนป่านนี้แล้วยังคิดเงื่อนไขเพิ่มเติมได้อีก  ต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่ว่าเขาไม่ทำร้ายนางก่อน

ทว่าคำสาบานของอีกฝ่ายก็มีเหตุผล ทำให้เขาเถียงอะไรไม่ได้เช่นกัน

“มัวเหม่ออะไรอยู่ได้ จะบอกสูตรได้หรือยัง?” อวี้หลัวช่าถาม

เหมียวอี้กล่าวอย่างชัดเจนว่า “เริ่มจากมุมตะวันตกเฉียงเหนือ กลางเผิงไหลสามพัน” เขาพูดมั่วไปอย่างนั้นเอง

“นี่คือสูตรหาสมบัติเหรอ?” อวี้หลัวช่าขมวดคิ้ว

เหมียวอี้พยักหน้า “ถูกต้อง”

“แค่สองประโยคเนี่ยนะ?” อวี้หลัวช่าสงสัย

เหมียวอี้ตอบว่า “ประโยคแรกที่บอกว่า ‘เริ่มจากมุมตะวันตกเฉียงเหนือ’ ก็คือกุญแจสำคัญในการคลายปริศนาแผนที่ซ่อนสมบัติ ส่วนมุมตะวันตกเฉียงเหนือของแผนที่ซ่อนสมบัติก็คือจุดเริ่มต้นบริเวณชายแดนน่านฟ้าเถาะติง ประโยคหลัง ‘กลางเผิงไหลสามพัน’ ตอนนี้ข้ายังไม่รู้ว่าหมายความว่าอะไร คาดว่าต้องไปถึงสถานที่จริงก่อนถึงจคลายปริศนาได้”

อวี้หลัวช่านำลูกกลมโลหะออกมาตรวจสอบทันที พบว่าเป็นอย่างที่เหมียวอี้บอกจริงๆ ตรงมุมตะวันตกเฉียงเหนือก็คือจุดเริ่มต้นของแผนที่ซ่อนสมบัติ นางจึงเก็บลูกกลมโลหะเงียบๆ แล้วมองดาวเคราะห์รอบด้านที่เหมือนค่ายกล พอมองดาวเคราะห์งดงามที่เป็นสถานที่เป้าหมาย ก็เหมือนจะยังระแวงสงสัย

เพื่อจะทำลายความหวาดระแวงของนาง เหมียวอี้ถอนหายใจแล้วบอกว่า “ในเมื่อเจ้าไม่วางใจ งั้นเอาอย่างนี้แล้วกัน ข้าจะไปสืบทางก่อน ถ้ามีอะไรไม่ชอบมาพากลเจ้าก็จะเห็น ถ้ามีอันตรายข้าก็จะแบกรับไว้ก่อน แบบนี้คงทำให้เจ้าเชื่อได้แล้วใช่มั้ย?”

อวี้หลัวช่าไม่พูดอะไร แต่ปล่อยมือที่คว้าแขนเขาเอาไว้ออกแล้ว เห็นได้ชัดว่าเห็นด้วยที่จะให้เขาไปสืบทางดูก่อน

มารดาเจ้าเถอะ!ช่างเห็นแก่ตัวจริงๆ อีกประเดี๋ยวข้าจะคอยดูว่าเจ้าจะร้องไห้ยังไง…เหมียวอี้พึมพำด่าในใจ แล้วหันหน้าไปหาดาวเคราะห์ดวงนั้น

รอจนดาวเคราะห์ที่หมุนรอบตัวเองดวงนั้นย้ายไปบริเวณเดียวกับเครื่องหมายบนแผนที่แล้ว เหมียวอี้ถึงได้เหาะเข้าไป เหาะไปทางวัดที่ทำเครื่องหมายไว้ แต่ไม่ได้เหาะเร็วเท่าไรนัก

อวี้หลัวช่าพลันใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์จ้อง และตามหลังไปอย่างไม่ใกล้ไม่ไกล เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดคิด

สิ่งที่ทำให้นางงุนงงก็คือ ชั่วพริบตาที่เหมียวอี้ทะลุฝ่าชั้นบรรยากาศ ก็เห็นเหมียวอี้พลันชักกระบี่ด้ามหนึ่งออกมา พร้อมทั้งปล่อยเหยี่ยวมารวานรยักษ์ออกมาตัวหนึ่งด้วย เขาควบคุมเหยี่ยวมารวานรยักษ์ให้บินเร็วกว่าเดิม และหันกลับมาเป็นระยะ ทำท่าทางเหมือนกำลังจะหนี

อวี้หลัวช่าตระหนักได้ถึงความไม่ชอบมาพากลทันที ไม่สนว่าจะใช่หรือไม่ เอาเป็นว่านางรู้สึกว่าเหยี่ยวมารวานรยักษ์ตัวนั้นดูแปลกๆ เพราะความเร็วของเหยี่ยวมารวานรยักษ์ยังไม่เท่าเหมียวอี้ตอนเหาะเอง การปล่อยเหยี่ยวมารวานรยักษ์ออกมาตอนนี้แสดงว่ามีปัญหาแน่นอน ความคิดแรกของนางก็คือต้องกำจัดเหยี่ยวมารวานรยักษ์ตัวนี้ทิ้ง

อวี้หลัวช่าสะบัดมือปล่อยกระบี่บินด้ามหนึ่งออกมา ยิงกระบี่ออกไปราวกับสายฟ้า ตัวนางก็ตามไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน ฝ่าชั้นบรรยากาศตามไปแล้ว

เหมียวอี้ที่กำลังยัดสมุนไพรเซียนซิงหัวเข้าปากหันกลับมามองแวบหนึ่ง เขาตกใจมากทันที รีบเร่งความเร็วเหยี่ยวมารวานรยักษ์และถลันตัวหลบกระบี่ด้ามนั้น

ทว่ากระบี่บินของอวี้หลัวช่าเร็วเกินไป กอปรกับอวี้หลัวช่าตามหลังมาตลอด ระยะห่างระหว่างทั้งสองก็ไม่ได้ไกล ลงมือกะทันหันอย่างนี้ อีกทั้งเหยี่ยวมารวานรยักษ์ก็ไม่ได้ตัวใหญ่ จะหลบก็หลบไม่พ้น ขณะที่เอียงตัวหลบ ลำแสงสายหนึ่งก็ขูดตรงท้องเหยี่ยวมารวานรยักษ์จนเกิดฝนเลือดสายหนึ่ง

“วี๊ด…” เหยี่ยวมารวานรยักษ์กรีดร้อง พลิกตัวกลางอากาศทันที เหมียวอี้โผไปที่ตัวมัน ใช้แขนข้างหนึ่งคล้องคอเหยี่ยวมารวานรยักษ์ไว้แน่น กอดแน่นไม่ยอมปล่อย ทั้งตัวม้วนกลิ้งสะบัดไปสะบัดมากลางอากาศ วรยุทธ์ของตัวเองแทบจะไม่มีประโยชน์อะไร

อวี้หลัวช่าที่พุ่งฝ่าชั้นบรรยากาศตามเข้ามาติดๆพบว่าดวงตาอิทธิฤทธิ์ของตัวเองขุ่นมัว ภาพมายาดาวเคราะห์งดงามที่เปี่ยมพลังชีวิตดวงนั้นหายไปแล้ว เป็นแค่ดาวเคราะห์ธรรมดาที่เหมาะแก่การอยู่อาศัยเท่านั้น ไม่ได้งดงามน่าประทับใจเหมือนที่เห็นตอนอยู่ในดาราจักร

ภาพมายาค่ายกล? ในหัวอวี้หลัวช่ามีความคิดนี้แวบเข้ามาในหัว  สิ่งที่ทำให้นางยิ่งหวาดกลัวก็คือ จู่ๆ นางก็พบว่าพลังอิทธิฤทธิ์ของตัวเองปั่นป่วน กลายเป็นควบคุมไม่ได้ เหมือนมีพลังลึกลับบางอย่างรบกวนการใช้พลังอิทธิฤทธิ์ของนาง

ในขณะที่ตระหนกตกใจ อวี้หลัวช่าอยากจะรวบรวมพลังอิทธิฤทธิ์อีกครั้งเพื่อหนีออกจากดาวเคราะห์ดวงนี้ แต่ก็ไม่ทันแล้ว ร่างกายชะงักอยู่กลางอากาศ จากนั้นก็ตกลงพื้นอย่างรวดเร็วโดยที่ทำอะไรไม่ถูก

“หนิวโหย่วเต๋อ…” อวี้หลัวช่าแหกปากตะโกนอย่างดุร้ายน่ากลัว

นางคิดไม่ตก คิดไม่ตกจริงๆ ว่าทำไมหนิวโหย่วเต๋อถูกนางใช้โลหิตมารสวรรค์ควบคุมแล้วแต่ยังกล้าทำอย่างนี้ หรือว่าเขากำจัดโลหิตมารสวรรค์บนร่างกายตัวเองได้แล้ว?

อวี้หลัวช่าเรียกได้ว่าแค้นมาก ถ้ารู้แต่แรกว่าจะเป็นอย่างนี้ เมื่อครู่นางก็ไม่ควรใช้กระบี่ฟันเหยี่ยวมารวานรยักษ์ แต่ควรจะฟันไอ้สารเลวหนิวโหย่วเต๋อมากกว่า

เหยี่ยวมารวานรยักษ์ที่บาดเจ็บสาหัสกำลังม้วนกลิ้ง ไม่ง่ายเลยว่าเหมียวอี้จะพยายามควบคุมมันไว้ได้ บินส่ายไปส่ายมาอยู่บนฟ้าช้ามาก แต่ต่อให้ช้าอย่างไรก็ไร้ประโยชน์ ไม่ใช่แค่พลังอิทธิฤทธิ์ของอวี้หลัวช่าที่ใช้ไม่ได้ เขาเองก็สูญเสียความสามารถในการควบคุมพลังอิทธิฤทธิ์เช่นกัน รสชาติของการตกกระแทกพื้นนั้นทรมาน นี่ก็เป็นสาเหตุว่าทำไมเขาถึงพาเหยี่ยวมารวานรยักษ์ตัวนี้มาด้วย

เพราะเขารู้ตั้งแต่แรกว่าที่นี่ไม่ปกติ อยู่ที่นี่พลังอิทธิฤทธิ์ไม่มีประโยชน์ ถึงได้นำเหยี่ยวมารวานรยักษ์มาเป็นพาหนะตัวหนึ่ง

เดิมทีเขานึกว่าอวี้หลัวช่าตามมาเพราะเห็นว่าเขาจะหนี แต่ใครจะคิดว่านางตัวแสบจะทำร้ายสัตว์พาหนะของเขาก่อน พอลงมือก็โจมตีโดนจุดอ่อนของเขาเลย

ตรงท้องของเหยี่ยวมารวานรยักษ์มีเลือดไหล ส่งเสียงร้องทรมาน เหมียวอี้รู้ว่ามันจะทนได้ไม่นาน จึงหวังแค่ให้ตัวเองตกพื้นอย่างปลอดภัยก็พอ เขาไม่รู้จริงๆ ว่าคนที่บุกเข้ามาในนี้ทำไมตกกระแทกพื้นแล้วยังไม่ตายอีก

จู่ๆ ข้างหลังก็มีเสียงร้องของอวี้หลัวช่าดังขึ้น เหมียวอี้หันกลับไปมองแวบหนึ่ง เห็นรางๆ ว่าร่างของอวี้หลัวช่าหล่นโครมลงมา แต่มองเห็นไม่ค่อยชัด เพราะดวงตาอิทธิฤทธิ์ใช้งานไม่ได้ แต่ก็จินตนาการออกว่าตอนนี้อวี้หลัวช่าสะบักสะบอมขนาดไหน เขารู้สึกบันเทิงทันที หัวเราะลั่นและบอกว่า “นางตัวแสบ เจ้าก็มีวันนี้เหมือนกันเหรอ!”

เขารีบควบคุมเหยี่ยวมารวานรยักษ์ที่บินโคลงเคลงไล่ตามทางที่อวี้หลัวช่าตกลงมา ไม่ไล่ตามไม่ได้หรอก เพราะบนตัวอวี้หลัวช่ามีป้ายคำสั่งผ่านทาง ถ้าไม่ได้ป้ายคำสั่งแผ่นนั้นมา เกรงว่าตอนกลับคงจะยุ่งยาก ถ้าตอนนี้ไม่ไปเอาป้ายผ่านทางตรงจุดที่อวี้หลัวช่าตก ตอนหลังก็อาจยุ่งยาก เพราะอยู่ในขอบเขตที่กว้างใหญ่ทั้งยังสูญเสียพลังอิทธิฤทธิ์ เหยี่ยวมารวานรยักษ์ก็ใช้งานไม่ได้ ถ้าจะให้หาศพบนแผ่นดินกว้างใหญ่ไพศาลขนาดนั้นก็ลำบาก มิหนำซ้ำก็ยังไม่รู้ด้วยว่าอีกฝ่ายจะตกลงมาตายหรือเปล่า อย่างไรเสียศีลแปดก็ไม่ได้ตกลงมาตาย

จนกระทั่งเขาตามไปถึง จู่ๆ ก็พบความไม่ชอบมาพากล เหมือนร่างของอวี้หลัวช่าจะยังลอยอยู่กลางอากาศ

พอมองดูให้ดี ก็พบว่ายังไม่ตกลงมาจริงๆ เหมือนยังเหาะขึ้นมาได้ กำลังเหาะมาทางนี้ด้วย

นี่มันสถานการณ์อะไรกัน? อย่าบอกนะว่าผู้หญิงคนนี้ยังใช้พลังอิทธิฤทธิ์ได้อีก? หรือว่าค่ายกลใหญ่อะไรนั่นมีข้อจำกัดกับยอดฝีมือระดับสำแดงฤทธิ์?

พอคิดได้แบบนี้ เหมียวอี้ก็เริ่มกลัวแล้ว เพราะเขาโดนควบคุมพลังอิทธิฤทธิ์อยู่ ถ้าเป็นอย่างที่ตัวเองเดาจริงๆ อีกเดี๋ยวอวี้หลัวช่าจะต้องจับเขาไปทารุณจนตายแน่นอน

ด้วยความเร่งรีบ เขาควบคุมเหยี่ยวมารวานรยักษ์ที่บินโคลงเคลงให้เลี้ยวหนีทันที

แต่จนใจที่เหยี่ยวมารวานรยักษ์บินช้าเกินไป มันแค่กำลังประคับประคองไม่ให้ตัวเองตายเท่านั้น ขณะเดียวกันก็ตกลงข้างล่างอย่างช้าๆ มันบินไม่ไหวแล้ว

อวี้หลัวช่าที่อยู่ข้างหลังตามมาอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งเหมียวอี้ที่หันกลับมาเป็นระยะเห็นสถานการณ์ชัดเจน ดวงตาทั้งคู่ก็แทบถลนออกมา

เสื้อผ้าบนร่างกายอวี้หลัวช่าหลุดออกมาแล้ว เหลือเพียงชุดชั้นในไว้ปิดบังความอับอายเท่านั้น เรือนร่างนั้นทำให้คนรู้สึกเลือดลมสูบฉีด แต่เหมียวอี้จะมีอารมณ์มามองเสียที่ไหนกัน สิ่งที่เขาสนใจก็คืออวี้หลัวช่าที่กำลังกางแขนกางขาตรึงเสื้อผ้าไว้ข้างหลัง ทั้งตัวราวกับเป็นว่าวตัวหนึ่งที่ร่อนอยู่บนฟ้า ไม่รู้จริงๆ ว่านางทำออกมาได้อย่างไร

“เวรเอ๊ย! แบบนี้ก็ได้เหรอ…” เหมียวอี้อุทานคำหยาบออกมา

………………………