อัจฉริยะแพทย์สาว ข้ามภพรักอ๋องเทพสงคราม บทที่ 1189 คำโกหก
“พูดจากะล่อนปลิ้นปล้อน ใครจะรู้ว่าคำพูดไหนของเจ้าเป็นความจริง คำพูดไหนโกหก”
“สำหรับคนอื่นคือโกหก สำหรับท่านคือความจริง”
กู้ชูหน่วนโน้มตัวเข้าใกล้เขา ชำเลืองมองเขาด้วยความรู้สึกผูกพันลึกซึ้ง
เดิมทีเย่จิ่งหานคิดจะดุว่านางให้อยู่ห่างไปหน่อย ทันทีที่เห็นสายตาอันคุ้นเคยคู่นั้น คำพูดมาถึงปากเขาก็พูดไม่ออกแล้ว ในสมองล้วนสะท้อนเป็นกู้ชูหน่วนที่เดี๋ยวขมวดคิ้วเดี๋ยวยิ้มสลับไปมา
ไม่นานมานี้ นางก็ใช้สายตาอันผูกพันลึกซึ้งเช่นนี้มองดูเขา
เย่จิ่งหานอาลัยอาวรณ์ถึงสายตาเช่นนี้ เขายื่นมือออกไปอยากจะสัมผัส เพิ่งจะขยับ โซ่ตรวนอันเย็นยะเยือกที่ข้อมือทำให้เขาได้สติขึ้นในพริบตา
มองเข้าไปอีกครั้ง นั่นเห็นได้ชัดว่าเป็นมู่หน่วน ไม่ใช่กู้ชูหน่วนโดยสิ้นเชิง
เย่จิ่งหานเบือนหน้า ไม่ไปที่มองดวงตาที่ทั้งแปลกหน้าและทั้งคุ้นเคยนั่นอีก กล่าวอย่างเย็นชาว่า “ห้ามใช้สายตาเช่นนี้มองข้าอีก”
“ได้ ท่านช่วยให้ข้าพุ่งขึ้นไประดับห้าก่อนสิ”
เย่จิ่งหานรู้สึกถึงลมปราณที่มั่นคงของนาง
แม้ว่าจะได้รับบาดเจ็บ แต่ศักยภาพคือขั้นกลางระดับสี่แล้วจริงๆ ทั้งยังแข็งแรงมาก
ขึ้นไปสู่ขั้นกลางระดับสี่ได้ในเวลาอันสั้นเช่นนี้ แถมยังไม่มีกลิ่นอายของจิตมารครอบงำหรือลมปราณแปรปรวนเลยสักนิด?
“มียอดฝีมือช่วยเจ้า?”
กู้ชูหน่วนลูบจมูก “นับว่าใช่ล่ะมั้ง”
ท่าทางการลูบจมูกของนางเหมือนกู้ชูหน่วนทุกอย่าง แม้แต่การพูดจาการเคลื่อนไหวก็เหมือนเป็นที่สุด
หากไม่ใช่เพราะรู้ว่าเป็นเพียงเพราะวิญญาณของกู้ชูหน่วนสถิตอยู่ในร่างกายของนาง เย่จิ่งหานก็แทบจะคิดว่านางเป็นกู้ชูหน่วนจริงๆ
แล้ว
“แม้ว่าขั้นกลางระดับสี่ของเจ้าจะเสถียรแล้ว ก็ไม่เหมาะที่จะบุ่มบ่ามอีก โดยทั่วไปในโลกก็ไม่เคยมีใครนี้ที่มีพลังบำเพ็ญได้รวดเร็วจนเกินจริงเช่นนี้มาก่อน”
“ก่อนหน้านี้คนสมัยก่อนไม่มี ก็ไม่ได้หมายความว่าคนรุ่นหลังจะไม่มี”
เย่จิ่งหานไม่ไหวติง
กู้ชูหน่วนนั่งอยู่หน้าเตียงของเขา มือสองข้างกอดอก กล่าวอย่างเกียจคร้านว่า “อีกสองสามวันก็คือวันแต่งงานของท่านกับราชินี หากว่าท่านอยากแต่งงานกับนาง ข้าก็ไม่มีปัญหา”
“คนบ้า”
“ข้าคือคนบ้า ตั้งแต่ที่ตระกูลมู่ถูกฆ่าล้างตระกูลข้าก็เป็นบ้าแล้ว ทุกคนที่มีส่วนร่วมในการสังหารตระกูลมู่ ข้าจะไม่ปล่อยไว้สักคนเดียว”
เมื่อได้ยินว่าตระกูลมู่ถูกฆ่าล้างทั้งตระกูล เย่จิ่งหานก็นิ่งเงียบแล้ว
แม้ว่าเขาจะไม่ได้ฆ่าล้างตระกูลมู่ แต่หากว่าไม่ใช่เพราะเขาและเวินเส้าหยีปล่อยข่าวบางอย่างไป แต่ละพรรคก็คงจะไม่พุ่งเป้าไปที่ตระกูลมู่ ยิ่งจะไม่สังหารตระกูลมู่ทั้งตระกูล
พูดถึงที่สุด เขาและเวินเส้าหยีก็ล้วนเป็นฆาตกรทางอ้อมทั้งนั้น
“ไม่ใช่ว่าตระกูลไป๋หลี่ถูกเจ้าฆ่าล้างตระกูลไปแล้วหรือ? ความแค้นอันใหญ่หลวงของเจ้าได้ชำระแล้ว”
“นอกจากตระกูลไป๋หลี่ล่ะ พรรคอื่นๆ ตระกูลอื่นๆไม่ได้มีส่วนร่วมหรือไง?”
จิตใจของเย่จิ่งหานสั่นไหวทันที “เจ้าคิดจะสังหารทุกสำนักทุกตระกูลเหรอ?”
กู้ชูหน่วนเหลือบมองไปนอกหน้าต่างด้วยสีหน้าอันเฉยเมย ราวกับพูดถึงเรื่องปกติธรรมดา แต่คำพูดที่พูดออกมา กลับทำให้คนตกใจ
“ข้าไม่ได้โหดเหี้ยมอำมหิตขนาดนั้น มีหนี้ต้องสะสางมีแค้นต้องชำระ คนที่ไม่ส่วนร่วมข้าจะไม่ยุ่ง คนที่มีส่วนร่วมไม่ว่าเป็นผู้ใดก็ตาม ข้าจะทำให้พวกเขาเสียใจกับการกระทำในวันนั้นของเขา”
สองมือของเย่จิ่งหานกำแน่น ลังเลว่าจะบอกนางหรือไม่ วันนั้นเป็นเขาที่ปล่อยข่าวออกไป แต่ละพรรคถึงได้ไปหานาง ไปหาตระกูลมู่
แต่เขาคิดไม่ถึงว่าตระกูลมู่จะถูกฆ่าล้างตระกูลด้วยเหตุนี้
ยังไม่ทันคิดให้ดีว่าจะพูดหรือไม่ กู้ชูหน่วนก็เอ่ยปากขึ้นก่อนแล้ว “เหลืออีกเพียงสองสามวันก่อนวันแต่งงาน ท่านคิดดีแล้วหรือไม่? แม้ว่าข้าจะไม่ได้มั่นใจเต็มเปี่ยม แต่อย่างน้อยก็สามารถลองได้ บางทีอาจจะมีวิธีทำให้ท่านไม่ต้องแต่งงานกับราชินี”
“เวลาสองสามวัน แม้จะเป็นเทพเซียนก็ถึงระดับห้าไม่ได้”
เขาก็นับว่าเป็นผู้มีพรสวรรค์ จากขั้นกลางระดับสี่เพิ่มไปอีกระดับ เขาก็ต้องใช้เวลาหลายปี
เวลาสองสามวัน จะบรรลุได้อย่างไร
“ไม่ใช่ว่าท่านมีวิชาต้องห้ามมากมายหรือไง?”
“ไม่มี”
เย่จิ่งหานพูดด้วยความไม่สบอารมณ์ “แม้ว่าจะไม่มีเจ้า นางก็ทำให้ข้าเปรอะเปื้อนราคีไม่ได้ คิดเรื่องเหล่านี้ให้น้อยหน่อย”
กู้ชูหน่วนลูบคาง มองดูเขาที่ถูกจับมัดด้วยท่าทางการแขนกางขา พยักหน้าเหมือนว่าจะเป็นเช่นนั้น “เทพสงครามผู้สง่างาม ข้าเชื่อว่าท่านมีความสามารถ เพียงแค่โซ่เหล็กพันปีจิ๊บจ๊อยจะมัดท่านไว้ได้อย่างไร ยิ่งกว่านั้นบาดแผลของท่านก็ฟื้นฟูขึ้นมากแล้วด้วย”