ตอนที่ 2300 น่านฟ้าเสรี

อัจฉริยะสมองเพชร

“ผมมียาเม็ดฝ่าด่านวรยุทธระดับราชันย์เทพเจ้าอยู่ 3 เม็ด ตั้งใจจะมอบให้ท่านพ่อท่านแม่กับซุนฉาง ถ้ารู้สึกว่าพร้อมจะฝ่าด่านวรยุทธเมื่อไหร่ล่ะก็ ยานี้จะช่วยมอบพละกำลังที่ต้องใช้ในการฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักรบระดับราชันย์เทพเจ้า” จางเซวียนพูดขณะยื่นยาเม็ดให้

เขาตั้งใจเตรียมไว้ให้ทั้งสามคนตั้งแต่แรกแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องเก็บไว้

“ซุนฉาง เราจะออกเดินทางไปน่านฟ้าดาบสวรรค์กันเดี๋ยวนี้ ผมอยากให้คุณหาที่เงียบๆสำหรับท่านพ่อท่านแม่และตัวคุณเองเพื่อฝึกฝนวรยุทธที่นั่น หากพวกคุณสำเร็จวรยุทธระดับราชันย์เทพเจ้าเมื่อไหร่ ให้มุ่งหน้าสู่กระท่อมดาบทันทีและตามหาชายหนุ่มที่เราได้พบเมื่อครู่”

แม้จางเซวียนจะอยากรีบเดินทางสู่น่านฟ้าเสรี แต่ก็ไม่อาจประมาทเลินเล่อในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของท่านพ่อท่านแม่ของเขา

หากพวกเขาเดินทางสู่น่านฟ้าดาบสวรรค์ด้วยวิธีการแบบทั่วไป ระหว่างการเดินทางอันยาวนาน อาจมีใครสักคนพยายามสะกดรอยตามท่านพ่อท่านแม่ของเขาเพื่อล้วงความลับเรื่องยาเม็ดเพิ่มความงามกับยาเม็ดฝ่าด่านวรยุทธ เพราะถึงอย่างไร มันก็เป็นธุรกิจกำไรดีที่ช่วยแก้ปัญหาทางการเงินให้กับกลุ่มอำนาจไหนก็ได้

คงจะปลอดภัยกว่ามากหากพวกเขาใช้ค่ายกลทะลุมิติขนาดใหญ่แทน

ด้วยความก้าวหน้าในวรยุทธของจางเซวียนกับความสามารถในการควบคุมมิติของหลัวฉีฉี พวกเขาน่าจะรับประกันความปลอดภัยของท่านพ่อท่านแม่กับซุนฉางได้

ทุกคนรีบมุ่งหน้าสู่ค่ายกลทะลุมิติขนาดใหญ่ จางเซวียนมอบตราสัญลักษณ์ของเขาให้ซุนฉาง ส่วนตัวเขาประกบท่านพ่อ และหลัวฉีฉีประกบท่านแม่ ทั้งห้าคนมุ่งหน้าสู่น่านฟ้าดาบสวรรค์ได้อย่างรวดเร็ว

โชคดีที่แม้การปกป้องใครสักคนระหว่างการเดินทางโดยใช้ค่ายกลทะลุมิติจะไม่ใช่เรื่องง่าย แต่พวกเขาก็ทำได้โดยไม่มีปัญหาใด

หลังจากกล่าวอำลาท่านพ่อท่านแม่แล้ว จางเซวียนมอบดาบราชันย์เทพเจ้าให้เซียนดาบชิง, ท่านพ่อของเขา และช่วยทำให้ดาบยอมจำนน

ด้วยศิลปะเพลงดาบของเซียนดาบชิงเหมิงและดาบราชันย์เทพเจ้า พวกเขาน่าจะเอาชนะได้แม้แต่นักรบระดับราชันย์เทพเจ้าโดยทั่วไป จึงไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องความปลอดภัย

“ไปน่านฟ้าเสรีกันเถอะ!” จางเซวียนพูด

ตัวเขากับหลัวฉีฉีเข้าสู่ค่ายกลทะลุมิติขนาดใหญ่อีกครั้ง

แม้จะยาก แต่เขาก็ตั้งใจแน่วแน่ว่าจะต้องยับยั้งการดวลระหว่างหลัวลั่วชิงกับปรมาจารย์ขงให้ได้

เพื่อสิ่งนี้ เขาพร้อมสละชีวิตของตัวเองเป็นเดิมพัน!

เมืองหลวงแห่งน่านฟ้าเสรีตั้งอยู่ที่ใจกลางสันเขาขนาดมหึมา

ที่นี่ไม่เหมือนกับเมืองหลวงอื่นๆของน่านฟ้าที่เหลือซึ่งมีกฏระเบียบเข้มงวด เมืองหลวงแห่งน่านฟ้าเสรีไม่มีทั้งกำแพงเมืองหรือองครักษ์ จึงดูไม่เป็นทางการหรือชวนให้อึดอัดเหมือนที่อื่น

มีพืชผักนานาพันธุ์ อสูรทุกชนิด อาวุธ และยาเม็ดวางขายอยู่ในเวิ้งตลาด อีกทั้งถ้วยชามรามไห เนื้อเค็ม และผักดองอีกมากมาย

ถ้าจางเซวียนจะต้องหาสักคำมาอธิบายความเป็นเมืองนี้ ก็คงต้องใช้คำว่าวุ่นวายสับสน

“ที่น่านฟ้าเสรี ทุกคนมีอิสระที่จะทำอะไรก็ได้ตามแต่ปรารถนา ไม่มีกฎเกณฑ์บังคับ” หลัวฉีฉีอธิบายขณะทั้งคู่เดินลัดเลาะไปตามถนน

เมืองนี้ไม่เหมือนกับอีก 8 น่านฟ้าที่เหลือ ไม่มีกฎเกณฑ์ ไม่มีองครักษ์ ไม่มีกองกำลังทหาร แต่ก็ไม่มีน่านฟ้าไหนกล้าเปิดศึกกับพวกเขาเช่นกัน

นักรบคนหนึ่งอาจมองว่าที่นี่คือสรวงสวรรค์ได้เลยทีเดียว

แม้จะวุ่นวายสับสน แต่ก็มีความเป็นระเบียบที่ไม่อาจมองเห็นหรือบรรยายได้ชัดเจนอยู่ในสถานที่แห่งนี้

จางเซวียนพยักหน้า

น่านฟ้าเสรีแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับสถานที่อื่นๆที่เขาเคยไป บรรดานักรบที่อาศัยอยู่ที่นี่มีความสุขสบายกว่าผู้ที่อาศัยอยู่ในน่านฟ้าอื่นๆมาก และพวกเขาก็พยายามปกป้องวิถีชีวิตของตัวเองอย่างเต็มที่ ใครก็ตามที่คิดจะทำลายวิถีชีวิตนี้จะต้องถูกเล่นงานอย่างสาสม

ซึ่งก็ด้วยวิถีทางที่เป็นเอกลักษณ์ของมันนี่เองที่ทำให้น่านฟ้าเสรีเติบโตผงาดเหนือกว่าน่านฟ้าอื่นๆที่เหลือ

จางเซวียนเดินเข้าตลาด เขาหยุดยืนตรงหน้านักรบระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นสูงคนหนึ่งและตั้งคำถาม “ขออภัยด้วยเถิด ไม่ทราบว่าคุณรู้หรือเปล่าว่าจอมราชันย์หลินชีพักอยู่ที่ไหน?”

เมื่อรับรู้ได้ถึงรังสีทรงพลังที่จางเซวียนกับหลัวฉีฉีแผ่ออกมา นักรบระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นสูงผู้นั้นตอบโดยไม่ลังเล “เท่าที่ผมรู้ ฝ่าบาทมักใช้เวลาฝึกฝนวรยุทธบนภูเขาหลินชีที่อยู่ตรงนั้น แต่การจะไปที่นั่นก็ไม่ง่าย…”

“ขอบคุณมาก!”

จางเซวียนมองตามทิศทางที่นักรบระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นสูงผู้นั้นชี้ไป เขาเห็นยอดเขาสูงตระหง่านอยู่ไกลๆ ปกคลุมด้วยชั้นหมอกหนา

ทั้งคู่รีบออกเดินทางไปยังจุดนั้น

ในตอนแรก ภูเขาก็ดูเหมือนจะอยู่ไม่ไกลเท่าไหร่ แต่ไม่ว่าหลัวฉีฉีกับจางเซวียนจะพยายามบินเข้าหามันอย่างไร ก็ไม่อาจเข้าใกล้มันได้เสียที ทั้งที่บินมาได้ราว 1 ชั่วโมงแล้ว แต่ก็ดูเหมือนทั้งคู่ไม่ได้เข้าใกล้ภูเขามากกว่าเดิมเลย หากเป็นอย่างนี้ คงไม่มีวันไปถึงแน่

จะว่าไป ก็เหมือนกับการที่ใครสักคนพยายามจะบินเข้าหาดวงอาทิตย์ มันอาจดูใหญ่โตและเจิดจ้าจนเห็นได้ชัด แต่ต่อให้ใครสักคนใช้เวลาทั้งชีวิตเดินหรือบินไป ก็ไม่มีวันเข้าถึง

เมื่อรู้แล้วว่าทำแบบนี้ไม่มีประโยชน์ จางเซวียนเงยหน้าและตะโกน “หลัวลั่วชิง ผมรู้นะว่าคุณก็รู้ว่าผมมา ผมอยากพบคุณ!”

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าหลัวลั่วชิงจะต้องทำอะไรบางอย่างเพื่อป้องกันไม่ให้ตัวเขาเข้าถึงภูเขาลูกนี้ได้

ซึ่งหากเป็นแบบนั้น ก็ต้องพูดกันให้รู้เรื่อง

เป็นอย่างที่คาดไว้ ทันทีที่จางเซวียนพูดจบ แรงกระเพื่อมของมิติชุดใหญ่ก็ปรากฏตรงหน้า ตามมาด้วยร่างของผู้หญิงคนหนึ่ง

เธอดูจะมีอายุราว 17-18 ปี สวมเสื้อคลุมสีเขียว

“นายน้อยจางเซวียน กรุณากลับไปเถอะ!”สาวน้อยเสื้อคลุมสีเขียวโค้งคำนับอย่างงามขณะพูดต่อ “ตอนนี้นายหญิงน้อยของเรากำลังเตรียมตัวสำหรับการต่อสู้กับจอมราชันย์พิชิตสวรรค์ที่ใกล้เข้ามา เธอไม่อาจปล่อยให้สมาธิของเธอสั่นคลอนได้ในช่วงเวลาแบบนี้ ถ้าคุณเป็นห่วงเป็นใยเธอจริงๆ ฉันคงต้องขอร้องคุณว่าอย่าทำเธอวอกแวกในสถานการณ์ที่กำลังคับขัน การปะทะกันระหว่างผู้เชี่ยวชาญ 2 คนน่ะ จุดอ่อนแม้เพียงนิดเดียวก็อาจส่งผลให้เกิดหายนะตามมาได้”

“ผม…” จางเซวียนกำหมัดแน่น

ในการต่อสู้ระหว่างนักรบผู้เชี่ยวชาญ 2 คน สมาธิที่หลุดไปเพียงนิดเดียวอาจนำมาซึ่งหายนะได้ทันที ซึ่งหากการปรากฏตัวอย่างกะทันหันของเขาส่งผลกระทบกับการต่อสู้ของหลัวลั่วชิงกับปรมาจารย์ขงล่ะก็ เขาจะไม่มีวันยกโทษให้ตัวเองเลย

แต่…

จางเซวียนก็ไม่ยอมแพ้เหมือนกัน เขาจะไม่มีวันปล่อยให้เกิดอะไรขึ้นกับหลัวลั่วชิงและปรมาจารย์ขงเด็ดขาด!

“ไม่มีวิธียับยั้งการต่อสู้ครั้งนี้ไม่ให้เกิดขึ้นเลยหรือ?” จางเซวียนกัดฟัน

แม้เขาจะเห็นปฏิกิริยาของจอมราชันย์อมตะกับจอมราชันย์แห่งกระท่อมดาบแล้ว แต่ก็ไม่อาจทำใจยอมรับได้

สาวน้อยเสื้อคลุมสีเขียวส่ายหน้า “ไม่มีอะไรยับยั้งไม่ให้เกิดการต่อสู้ครั้งนี้ได้หรอก”

“ทำไม?” จางเซวียนสวนทันควัน “ผมอยากฟังคำตอบจากปากของเธอ!”

“นายน้อย กรุณาอย่าทำให้คนรับใช้อย่างฉันต้องลำบากเลย สิ่งที่นายหญิงน้อยของเราต้องการในเวลานี้คือผู้สนับสนุน ไม่ใช่ใครสักคนที่สร้างแรงกดดันและเพิ่มความเครียดให้เธอมากขึ้นอีก หากเธอเอาชนะการดวลครั้งนี้ได้ แน่นอนว่าเธอจะต้องอธิบายทุกอย่างให้คุณฟังอยู่แล้ว แต่ถ้าเธอแพ้…ทุกเรื่องก็เป็นอันจบ คงไม่มีความจำเป็นต้องอธิบายอะไรอีก” สาวน้อยเสื้อคลุมสีเขียวตอบขณะก้มหน้างุด

“ก็ได้ ถ้าอย่างนั้นผมจะรอคำอธิบายของเธอ!”

เห็นความเด็ดเดี่ยวของสาวน้อยเสื้อคลุมสีเขียว จางเซวียนรู้ดีว่าไม่มีทางเปลี่ยนใจเธอได้ จึงหันหลังกลับและจากไป

ถ้าหลัวลั่วชิงตั้งใจแน่วแน่แล้วว่าจะไม่พบเขา ก็ไม่มีทางที่เขาจะทำให้อะไรๆเปลี่ยนแปลงได้ พูดไปก็มีแต่จะเปลืองลมหายใจเปล่า

หลัวฉีฉีตามจางเซวียนมาติดๆขณะถามว่า “เราจะล้มเลิกง่ายๆแบบนี้หรือ?”

พวกเขาอุตส่าห์ดั้นด้นมาถึงน่านฟ้าเสรีเพื่อยับยั้งการดวล คนอย่างจางเซวียนไม่น่าจะยอมหยุดเพียงเพราะคำพูดของคนคนเดียว

แม้เธอจะรู้ดีว่าคนที่จางเซวียนหลงรักอย่างจริงใจคือจอมราชันย์หลินชี และการที่ทั้งคู่ได้กลับมาเจอกันจะทำให้ความรู้สึกเดิมๆแนบแน่นขึ้นอีก แต่ก็ไม่อาจทนเห็นจางเซวียนอยู่ในสภาพนี้ได้

ชายที่เธอรักคือผู้ที่ยืนจังก้าท้าทายโลกใบนี้อยู่เสมอ ราวกับไม่มีอะไรในโลกที่จะสร้างปัญหาให้เขาได้เลย!

“ไม่อยู่แล้วล่ะน่ะ! ถ้าเธอไม่อยากพบผม ผมก็จะไปพบจอมราชันพิชิตสวรรค์” จางเซวียนตอบ

เห็นได้ชัดว่าหลัวลั่วชิงจงใจไม่ยอมพบเขาจนกว่าการดวลจะเริ่ม ซึ่งในเมื่อเป็นอย่างนั้น เขาตามหาปรมาจารย์ขงแทนก็ได้ ก็เหมือนกับการปรบมือที่ต้องใช้มือ 2 ข้าง การดวลคือการต่อสู้ระหว่างคนสองคน ก็แค่หาทางพบใครคนใดคนหนึ่งให้ได้เพื่อจะได้รู้ว่าเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังการต่อสู้ครั้งนี้คืออะไร

หลัวฉีฉีเข้าใจเจตนาของจางเซวียน แต่ก็ตั้งคำถามพร้อมกับส่ายหน้า “ว่าแต่คุณจะหาตัวเขาเจอได้อย่างไร? ตอนนี้เราไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่ไหนด้วยซ้ำ!”

9 จอมราชันย์ปกครองดูแลทั้ง 9 น่านฟ้า แต่จอมราชันย์พิชิตสวรรค์คือจอมราชันย์ที่เพิ่งขึ้นมามีอำนาจเมื่อ 40 ปีก่อน ยังไม่มีดินแดนเป็นของตัวเอง จึงไม่มีใครรู้ว่าเขาพำนักอยู่ที่ไหน จนกว่าอีกฝ่ายจะตัดสินใจปรากฏตัว ก็แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะรู้ตำแหน่งที่อยู่ของเขา

“ในเมื่อการดวลใกล้เข้ามาเต็มทีแล้ว ก็มีความเป็นไปได้สูงที่ตอนนี้เขาจะอยู่ในเมืองหลวงแห่งน่านฟ้าเสรี” จางเซวียนพูด “ขอแค่เราสำรวจให้ทั่ว ก็น่าจะพบตัวเขา”

ทั้งคู่รีบกลับสู่เมืองหลวงแห่งน่านฟ้าเสรี

เห็นตึกรามบ้านช่องมากมายที่อยู่รอบตัว หลัวฉีฉีอุทาน “เราจะพบตัวเขาได้อย่างไรท่ามกลางคนมากมายในเมืองหลวงอันกว้างใหญ่แห่งนี้?”

หากจะไปซักถามใคร ก็คงไม่มีใครโง่เง่าพอจะเปิดเผยที่อยู่ของจอมราชันย์และเอาตัวเองเข้ามาเสี่ยง แต่หากทั้งคู่ออกตามหาให้ทั่วเมืองด้วยตัวเอง จะต้องใช้เวลานานขนาดไหนถึงจะสำรวจประชากรหลายร้อยล้านคนภายในเมืองได้หมด?

“เอาเถอะ เราไปที่สภาปรมาจารย์ของเมืองหลวงแห่งน่านฟ้าเสรีก่อนก็ได้” จางเซวียนพูด

หลัวฉีฉีนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้า

จริงด้วย!

ในเมื่อสภาปรมาจารย์คือกลุ่มอำนาจที่อยู่ในสังกัดของปรมาจารย์ขง ก็น่าจะมีวิธีติดต่อเขาได้ หากพวกเขามุ่งหน้าสู่สภาปรมาจารย์ ก็อาจได้ข้อมูลบางอย่างจากที่นั่น

สภาปรมาจารย์คือกลุ่มอำนาจที่ผงาดขึ้นมาเป็นผู้นำในช่วง 2-3 ทศวรรษที่ผ่านมา การเสาะหาตำแหน่งที่ตั้งของพวกเขาจึงไม่ได้ยากเกินไป ไม่ช้าจางเซวียนกับหลัวฉีฉีก็มาถึงที่หมาย