ภาคที่ 7 ศึกสุดท้าย บทที่ 98 ต่อสู้กับเทพเจ้า (2)

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 98 ต่อสู้กับเทพเจ้า (2)

แม้ซูเฉินจะพูดไว้ว่าพวกเขาสามารถพุ่งเป้าไปยังดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ความจริงแล้วพวกเขาต้องระมัดระวังในการเลือกเป้าหมายที่เป็นไปได้

ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของเทพเจ้าที่แข็งแกร่งมากกว่านั้นไม่ใช่เป้าหมายที่ดีเท่าไรนัก เพราะความแข็งแกร่งของเทพเจ้าและดินแดนนั้นสัมพันธ์กัน เมืองล่องนภาจึงเลือกเป้าหมายที่มีขนาดค่อนข้างเล็กแทน

ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของฝูเหม่ยลา เทพแห่งความรัก

ฝูเหม่ยลาคือเทพธิดาระดับกลาง แต่นางทำให้ชื่อ ‘เทพเจ้าระดับกลาง’ ต้องอับอาย พลังต่อสู้ของนางย่ำแย่ยิ่งกว่าเทพเจ้าระดับต่ำเสียอีก

แต่ถึงอย่างนั้น นั่นก็ไม่ได้ห้ามนางจากการอาศัยอยู่อย่างสุขสบาย ด้วยการพึ่งพาเสน่ห์แต่กำเนิด ฝูเหม่ยลาได้กลายเป็นสตรีอันเป็นที่รักของเทพเจ้าทั้งหมดที่ยังมีชีวิตอยู่ เทพเจ้าจำนวนมากยอมตายเพียงเพื่อให้มีโอกาสได้เสวยสุขกับนาง

แน่นอนว่านางก็ยังเป็นเทพเจ้าองค์หนึ่ง แม้นางจะอ่อนแอกว่าเทพเจ้าคนอื่น ๆ ฝูเหม่ยลาก็ยิ่งกว่าสามารถทำลายกองทัพขนาดใหญ่ด้วยตนเองได้

นางยังมีส่วนร่วมในสงครามนี้และกำลังต่อสู้กับเทพอสูรอีกด้วย

นางขวัญผวาอย่างหนักเมื่อเห็นว่าเมืองล่องนภาเริ่มมุ่งหน้าไปยังดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของนาง

“หยุดพวกเขาไว้! อย่าให้พวกเขาเข้าไป!” ฝูเหม่ยลาออกคำสั่งศักดิ์สิทธิ์ทันที

ภายในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ กองทหารของฝูเหม่ยลาเริ่มรวมตัวกันเป็นแนวรบ

ฝูเหม่ยลาชอบผู้ชายกำยำล่ำสัน ทหารของนางส่วนมากจึงร่างสูงใหญ่หน้าตาหล่อเหลาและเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ พวกเขาล้วนสวมใส่ผ้าคลุมไหล่สีแดงและกวัดแกว่งหอกสั้นพร้อมโล่ในมือเหมือนกับนักรบสปาร์ตา แต่ข้างหลังพวกเขาแต่ละคนมีวงกลมแสงลอยอยู่ บ่งชี้ว่าพวกเขาได้เสียชีวิตไปเมื่อนานมาแล้ว คนเหล่านี้ถูกเก็บไว้เพียงเพื่อป้องกันดินแดนศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น

ทหารศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้แข็งแกร่งอย่างถึงที่สุดแม้จะไม่มีชีวิตอยู่แล้ว ด้วยการสนับสนุนของพลังศักดิ์สิทธิ์ กระทั่งคนที่อ่อนแอที่สุดก็ยังแข็งแกร่งพอ ๆ กับผู้เชี่ยวชาญด่านสู่พิสดารเลยทีเดียว พวกเขาคือกองทหารที่แข็งแกร่งอย่างไม่ต้องสงสัย

แต่พวกเขาก็ไม่เคยเห็นอะไรอย่างเมืองล่องนภามาก่อน และพวกเขาก็ไม่รู้ว่าจะจัดการกับมันอย่างไรดี

ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขายังมีประสบการณ์การต่อสู้จริงอยู่น้อยนิดอีกด้วย

หลายพันปีของความสงบสุขหมายความว่าข้อขัดแย้งขนาดใหญ่ระหว่างผู้อยู่อาศัยในอาณาเขตคุนนั้นหายากอย่างถึงที่สุด ปกติแล้วจะมีเพียงการปะทะกันเล็กน้อย ไม่พอให้ผลิตกองทหารระดับสูงได้

ทั้งหมดที่พวกเขามีคือความศรัทธา

แต่หากความศรัทธานั้นถูกลบล้าง ความศรัทธาของพวกเขาก็จะถูกผนึก

ทหารทั้งหลายดูตั้งใจจะใช้พละกำลังปะทะกับพละกำลังเมื่อพวกเขาเห็นเมืองล่องนภาที่กำลังพุ่งเข้ามาหา

แม้จะเป็นทหารอมตะศักดิ์สิทธิ์ การพยายามใช้ร่างกายเพื่อต้านทานแรงเหวี่ยงของเมืองทั้งเมืองก็ฟังดูบ้าบอเกินไปหน่อย

ตู้ม!

เมืองล่องนภากระแทกเข้ากับดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของฝูเหม่ยลาอย่างรุนแรง การปะทะกันอันน่าหวาดกลัวของดินแดนขนาดมหึมาทั้งสองแห่งนี้ส่งคลื่นพลังงานออกไปทุกทิศทาง ขณะที่ทั้งสองฝ่ายสั่นสะท้านอย่างหนัก

เหล่าทหารศักดิ์สิทธิ์ที่พยายามจะหยุดเมืองล่องนภาไว้ถูกบดขยี้ก่อนที่พวกเขาจะมีโอกาสได้ส่งเสียงร้องแสดงความเจ็บปวดออกมาเสียอีก

แน่นอนว่าตราบใดที่พวกเขายังมีตัวตนอยู่ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ พวกเขาก็จะฟื้นคืนชีพกลับมาอย่างรวดเร็ว

แต่ไม่ว่าจะฟื้นคืนชีพกลับมาเร็วเท่าไร พวกเขาก็ไม่อาจเร็วไปกว่าอัตราการตายได้

ที่สำคัญยิ่งกว่านั้น การฟื้นคืนชีพแต่ละครั้งจำเป็นต้องใช้ความศรัทธามาสนับสนุน อีกไม่ช้า ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ก็จะไม่หลงเหลือความศรัทธาอีก และการฟื้นคืนชีพไม่อาจเกิดขึ้นได้อีก

ตูม! ตูม! ตูม! ตูม!

ปืนใหญ่ทลายสุริยันพ่นกระสุนอย่างไร้เมตตา

ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!

สลักทำลายล้างร่วงหล่นลงมาจากฟ้าราวกับห่าฝน

ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว!

กระจกส่องสว่างสะท้อนแสงไปมาอย่างต่อเนื่อง

มุกยิงตะวันที่ตั้งอยู่เหนือปราการอาร์คาน่าที่ถูกสร้างขึ้นใหม่ทั้งเก้าสิบเก้าที่ เรืองแสงสว่างไสวขณะที่ทักษะต้นกำเนิดโหมกระหน่ำออกมาจากพวกมัน

พลังต้นกำเนิดนั้นอ่อนแอกว่าพลังศักดิ์สิทธิ์ แต่พวกมันมีจำนวนมากกว่ามหาศาล เหมือนกันกับข้อแตกต่างระหว่างพลังศักดิ์สิทธิ์และพลังอมตะ

และโลกใบนี้ก็ยังเป็นโลกที่สร้างขึ้นจากพลังต้นกำเนิด

พลังต้นกำเนิดนี้ถูกแปรเปลี่ยนเป็นสายฟ้าทำลายล้างและเปลวเพลิงโหมกระหน่ำ ผสมผสานกันเป็นฉากที่น่าหวาดกลัวยิ่งนัก

สายลมพัดอย่างเกรี้ยวกราด เปลวไฟลุกขึ้นมามีชีวิต สายฟ้าฟาดผ่าลงมาจากท้องฟ้า และน้ำก็เอ่อล้นขึ้นท่วมเมือง

ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของฝูเหม่ยลาคือดินแดนที่งดงามที่สุดในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมด

อารามแสนยิ่งใหญ่และสง่างามปรากฏขึ้นบนผืนดิน ที่ใจกลางของอารามคือรูปปั้นที่ละเอียดลออและดูมีชีวิตชีวา สวนดอกไม้ห้อมล้อมมันไว้พร้อมด้วยสายธารน้ำนม ผลไม้หวานปรากฏอยู่ตามพื้นที่ขณะที่เส้นไหมทอมืออันบอบบางถักทอขึ้นเป็นลวดลายสง่างาม

แต่ถึงอย่างนั้น ทั้งหมดนี้ก็กลับกลายเป็นเถ้าถ่านสีดำทันทีที่เมืองล่องนภาปะทะเข้ากับมัน

ประติมากรรมแสนงดงามที่ถูกสรรค์สร้างขึ้นมาอย่างอุตสาหะกำลังถูกทำลายลงในพริบตา สิ่งที่เคยเป็นสรวงสวรรค์บนโลกในใจของผู้อยู่อาศัยตอนนี้เต็มไปด้วยแสงสีแดงของไฟนรก

ทหารศักดิ์สิทธิ์คำรามขณะที่พวกเขาพุ่งตัวออกไปอีกครั้ง

พวกเขาทั้งแข็งแกร่ง กล้าหาญ โหดร้าย และไร้ความเกรงกลัว

และแล้วพวกเขาก็ตาย

เมืองล่องนภาที่ได้รับการสนับสนุนและพัฒนาขึ้นมาหลายครั้ง ในตอนนี้แข็งแกร่งพอที่จะต้านทานกระทั่งการโจมตีของเทพอสูรบรรพกาลแล้ว

สิ่งนี้ทำให้พวกเขาสามารถทำอะไรได้ตามใจชอบภายในดินแดนศักดิ์สิทธิ์

การทำลายนั้นไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

“ไม่!” ฝูเหม่ยลาร้องออกมาด้วยความสิ้นหวัง

หากดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของนางถูกทำลาย นางก็ต้องตายไปด้วย

เทพเจ้านั้นแข็งแกร่ง แต่จุดอ่อนของพวกเขาก็ชัดเจนเกินไป

ผู้บูชาของพวกเขานั่นเอง

หากไร้ซึ่งผู้ศรัทธาบูชาแล้ว พวกเขาก็ไม่อาจอยู่ได้เพราะอายุขัยที่มากเกินไป

ฝูเหม่ยลาเลิกสนใจเทพอสูรตรงหน้าและพุ่งตัวออกไปด้านข้างขณะที่นางมุ่งหน้าไปยังดินแดนศักดิ์สิทธิ์อย่างหมดหวัง

“ในที่สุดเราก็ทำให้นางสนใจได้” ความตื่นเต้นแวบเข้ามาดวงตาของซูเฉิน

“เตรียมปืนใหญ่…” หลินเฉ่าเซวียนเกือบจะออกคำสั่ง

“ไม่ โจมตีดินแดนศักดิ์สิทธิ์ต่อไป ทำแบบนั้นก็เหมือนการโจมตีฝูเหม่ยลาโดยตรงแล้ว” ซูเฉินกล่าว

“แต่ฝูเหม่ยลากำลังมานะ”

“ข้าจะจัดการนางเอง” ซูเฉินตอบอย่างใจเย็นพร้อมบินขึ้นไปในอากาศ

คนอื่น ๆ ต่างตกตะลึงเมื่อได้ยินคำสั่งของเขา

เขาจะจัดการนางหรือ?

แม้ฝูเหม่ยลาจะเป็นเทพเจ้าผู้รอดชีวิตที่อ่อนแอที่สุด แต่นางก็ยังเป็นเทพเจ้า!

แม้ว่าซูเฉินในตอนนี้จะแข็งแกร่งพอที่จะล้มเทพอสูรได้ด้วยตัวคนเดียว กระนั้นช่องว่างระหว่างเทพอสูรและเทพเจ้าก็กว้างใหญ่เกินไป!

ซูเฉินรู้ว่าทุกคนกำลังครุ่นคิดจึงเอ่ยขึ้นอย่างใจเย็น “ไม่ต้องห่วง ไม่มีเหตุผลให้กลัวเทพเจ้าที่อ่อนแอพอ ๆ กับเทพอสูรหรอก”

ขณะที่พูดเขาก็บินไปหาฝูเหม่ยลา

“เจ้ากล้าทำลายความรุ่งโรจน์ของเทพเจ้าได้ยังไง เจ้าคนนอกรีต!” ฝูเหม่ยลาคำรามอย่างบ้าคลั่ง

ท่าทีสละสลวยของนางบิดเบี้ยวด้วยความโกรธแค้น ฉับพลันนั้นร่างทั้งร่างก็อาบไปด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์

นางผลักมือไปในทิศที่ซูเฉินอยู่ ส่งคลื่นเปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์ลุกโชนมุ่งหน้าไปหาเขา

เปลวไฟพวกนี้ถูกเสกขึ้นมาด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์ซึ่งหมายความว่าพวกมันไม่เพียงกลืนกินแค่วัตถุกายภาพแต่รวมไปถึงจิตใจด้วย

ทว่าซูเฉินนั้นกลับเผยยิ้มบาง ฉับพลันนั้นเองลักษณ์เจ็ดสายเลือดปรากฏขึ้นข้างหลังเขาเพื่อตอบโต้ เช่นเดียวกันกับดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ดินแดนแห่งนี้ดูเหมือนเป็นโลกด้วยตัวของมันเอง

แต่ในตอนนี้ ลักษณ์ของเขาไม่อาจถูกเรียกว่าลักษณ์เจ็ดสายเลือดได้อีกต่อไป ด้วยเพราะว่าตอนนี้มนุษย์เป็นพันธมิตรกับสัตว์อสูร เพราะฉะนั้นสายเลือดจึงต้องรวมไปถึงพลังของพวกสัตว์อสูรทั้งหมดด้วย ซูเฉินค้นหาตัวอย่างเลือดของพวกมันแต่ละตัวมาอย่างไม่รู้สึกละอายใจ ในตอนนี้เขาได้เก็บและผสมเลือดจากเทพอสูรบรรพกาลและเทพอสูรทั้งหมดที่รอดชีวิตเข้ามาไว้ในลักษณ์ของตน ลักษณ์นี้ยังได้ถูกจารึกไว้บนกำแพงของนิกายไร้ขอบเขตและกลายเป็นหนึ่งในสมบัติของนิกายอีกด้วย

สำหรับตัวซูเฉินเองแล้ว เขาจะไม่ยอมปล่อยให้ยาแม้แต่ขวดเดียวหลุดมือไปได้

ดังนั้น ตอนนี้ลักษณ์เจ็ดสายเลือดจึงพัฒนาไปเป็นลักษณ์จักรวาลอสูร

แม้จะมีสายเลือดมากมายที่รวมเข้าด้วยกันในลักษณ์นี้ แต่เทพอสูรทั้งเจ็ดที่คุ้นเคยก็ยังเป็นส่วนประกอบที่โดดเด่นที่สุด

โฮก!

เทพอสูรยักษ์ทั้งเจ็ดตัวก้าวออกมาจากแดนจำลอง ตะขาบมังกร เฟิงเหย่า เมิ่งเจียว หยุ่นจัว วิหคทอง ลั่วโหยว และเขี้ยวขาว

เทพอสูรทั้งเจ็ดเหล่านี้ดูสมจริงอย่างถึงที่สุด พวกมันกระทั่งมีพลังส่วนหนึ่งของเทพอสูรจริง ๆ ด้วยซ้ำ

เทพอสูรทั้งเจ็ดเงยหน้าและคำรามอย่างพร้อมเพรียงกัน รัศมีของพวกมันรวมกันไม่ได้อ่อนแอกว่ารัศมีของฝูเหม่ยลาแม้แต่น้อย

ในที่สุดมังกรสุริยะก็ปรากฏตัวขึ้นด้วยเช่นกัน ร่างกายมหึมาของมันออกมาจากลักษณ์อย่างยิ่งใหญ่ มันดูใหญ่โตราวกับภูเขาเลยทีเดียว

มังกรสุริยะร่ายรำอยู่เหนือลักษณ์จักรวาลอสูร เหนือศีรษะของมันมีเซวี่ยฝูเกาะอยู่

เซวี่ยฝูร่างนี้มีขนาดเล็กจิ๋วและไม่อาจสำแดงพลังเต็มที่ของบรรพชนเสวียได้แม้แต่ส่วนเดียว แต่เพราะร่างหลักของบรรพชนเสวียยังอยู่ใกล้ ๆ มันจึงมีอิสระไม่น้อย

ดวงตาของลักษณ์เซวี่ยฝูเริ่มเรืองแสงขณะที่มังกรสุริยะส่งเสียงคำรามและกระโดดออกมาข้างหน้า ตามมาด้วยเทพอสูรทั้งเจ็ดอย่างใกล้ชิด ฝูงอสูรรูปร่างคลุมเครืออยู่เบื้องหลังพวกเขา ทันใดนั้น พื้นที่รอบฝูเหม่ยลาและซูเฉินก็เต็มไปด้วยคลื่นความป่าเถื่อนไร้ขีดจำกัด

“เป็นไปได้ยังไง?” ฝูเหม่ยลาตะลึงงันเมื่อนางเห็นภาพตรงหน้า

เขาสร้างความวุ่นวายขนาดนี้ได้ยังไง? มนุษย์คนนี้สามารถระเบิดพลังออกมาได้ในทันทีหรือ?

กระทั่งเทพเจ้าคนอื่น ๆ ที่กำลังมองมาต่างก็สะเทือนขวัญอย่างหนักเมื่อเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น

“ระวังนะ ฝูเหม่ยลา!” คู่รักคนแรกของฝูเหม่ยลา เทพหกประสงค์ ตะโกนเสียงดังลั่น เขาพยายามที่จะช่วยเหลือนาง แต่เทพอสูรทั้งเจ็ดที่ห้อมล้อมเขาก็ทำให้เขาไม่อาจละความสนใจไปได้ เทพหกประสงค์ได้แต่มองดูอย่างช่วยไม่ได้ขณะที่ฝูงลักษณ์อสูรกระโดดเข้าไปหาฝูเหม่ยลาและเหยียบย่ำนาง

ฝูเหม่ยลารู้สึกราวกับว่านางกำลังจะถูกกระทืบจนตาย ในใจเปี่ยมไปด้วยความรวดร้าวและเดือดดาล

นางคือเทพเจ้านะ!

แม้ว่านางจะไม่ได้แข็งแกร่งอย่างเทพอสูรบรรพกาล พละกำลังของนางก็ยังแข็งแกร่งไม่น้อย

การโจมตีนี้ไม่อาจทำให้นางถึงแก่ความตาย แต่ความอับอายขายขี้หน้าที่นางรู้สึกทำให้หวังว่ามันจะฆ่าตนเองแทนเสีย

นางถูกโจมตีโดยมนุษย์คนหนึ่ง

โดยฝูงอสูรที่เขาเสกออกมา

และที่แย่ที่สุด นางไม่สามารถตอบโต้เขาได้ด้วยซ้ำ!

น่าอับอายอะไรเช่นนี้!

“อ๊าก!!!!” ฝูเหม่ยลากรีดร้อง เส้นผมยาวและสง่างามของนางสยายออกไปทุกทิศทางขณะที่สายฟ้าฟาดผ่านร่างกาย

“โอ้ ในที่สุดเจ้าก็จะจริงจังกับการต่อสู้นี้แล้วหรือ? ต้องแบบนี้สิ” ซูเฉินกระดิกนิ้วเรียกอย่างเย่อหยิ่ง “เข้ามา”

“เจ้ากล้าโจมตีเทพเจ้าหรือ? ข้าจะฆ่าเจ้า!” ฝูเหม่ยลาแผดเสียงด้วยความโกรธแค้น ฉับพลันนั้นสายฟ้าจากตัวนางก็ผ่าลงไปหาเขา

สายฟ้านี้ถูกทำให้เป็นรูปร่างของดาบที่แหลมคมและถูกปาไปในทิศทางของซูเฉินด้วยพละกำลังเหนือจินตนาการ

กระทั่งท่าทางของซูเฉินก็ดูเป็นจริงเป็นจังขึ้นมาเมื่อเขาเห็นการโจมตีนี้ “โอ้ อันนี้รุนแรงทีเดียว”

แล้วเขาก็ตอบโต้กลับไปด้วยการโจมตีของตัวเอง

ดัชนีสังหารเทพ!

พลังงานสีขาวจางพวยพุ่งออกมาปะทะกับดาบสายฟ้า ดาบทำลายล้างที่ทั้งน่าเกรงขามและน่าสะพรึงกลัวดูเหมือนจะละลายหายไปราวกับหิมะในน้ำร้อนทันทีที่มันสัมผัสพลังงานสีขาวนั้น

“นั่นมัน..!” ฝูเหม่ยลาอ้าปากค้าง ดวงตาเบิกโพลง

“ข้าคิดว่าเจ้าคงเรียกมันว่าพลังต้องห้าม” ซูเฉินกล่าวด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย

“ต้องห้าม!”

“ต้องห้าม!”

“ต้องห้าม!”

คำพูดของซูเฉินทำให้เทพเจ้าทั้งหมดเอะอะโวยวายด้วยเช่นกัน พวกเขาทุกคนสามารถสัมผัสได้ถึงพลังอันน่าเกรงขามที่พึ่งจะพลุ่งพล่านออกมาจากนิ้วของซูเฉิน

“ใช่ ถูกต้อง” ซูเฉินกล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “พลังต้องห้ามนี้จะเป็นความตายของเจ้า ไปเลย!”

เขาโจมตีอีกครั้ง

ทันใดนั้นเอง อสูรแต่ละตัวภายในฝูงก็เริ่มเรืองแสงสีขาวจางไปด้วย

ซูเฉินกำลังผสานลักษณ์ของเขากับพลังอมตะ ทำให้พวกมันมีคุณสมบัติที่เปลี่ยนแปลงไป

มังกรสุริยะพ่นเปลวไปออกมาทันทีหลังจากที่มันผสานเข้ากับพลังอมตะ

เปลวไฟอมตะ!

เพลิงที่แท้จริงของเทพอสูรบรรพกาลถูกทำซ้ำโดยลักษณ์ด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง

ในตอนนั้นมันทำให้รู้สึกราวกับว่ามังกรสุริยะได้ฟื้นคืนชีพกลับมาอีกครั้งจริง ๆ เลยทีเดียว

“โฮก!” ลักษณ์อสูรจำนวนนับไม่ถ้วนส่งเสียงคำรามตอบโต้กับการสำแดงพลังของมังกรสุริยะ

ฝูงสัตว์อสูรวนเวียนอยู่โดยรอบเพื่อรุมกระทืบฝูเหม่ยลาอีกครั้ง

ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของนางกำลังสั่นไหวอย่างรุนแรง และร่างกายของนางก็กำลังถูกฉีกทึ้งออกอย่างโหดเหี้ยม

ฝูเหม่ยลาโอดครวญด้วยความสิ้นหวัง แต่ก็ไม่มีสิ่งใดที่นางทำได้เพื่อหยุดสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับตัวเอง

ไม่นานหลังจากนั้น ฝูเหม่ยลาก็สิ้นลมหายใจ