ภาคที่ 7 ศึกสุดท้าย บทที่ 99 ต่อสู้กับเทพเจ้า (3)

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 99 ต่อสู้กับเทพเจ้า (3)

ทันทีที่ฝูเหม่ยลาสิ้นลม ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของนางก็สั่นไหวอย่างรุนแรงก่อนจะพังทลายลงเป็นซากปรักหักพัง

ใช่แล้ว ฝูเหม่ยลาสิ้นชีพก่อนที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของนางจะถูกทำลาย พูดอีกอย่างคือซูเฉินไม่ได้สังหารนางด้วยการทำลายดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของฝูเหม่ยลา แต่เขาสังหารนางด้วยพลังของตัวเอง

หลินเฉ่าเซวียนและคนอื่น ๆ ล้วนอับอายอย่างถึงที่สุด

ไม่ใช่ว่าเขาควรจะถ่วงเวลาฝูเหม่ยลาไว้ขณะที่พวกเขาโจมตีจุดอ่อนของนางหรอกหรือ?

แต่ตอนนี้เมื่อศัตรูตายแล้วจะโจมตีจุดอ่อนของนางต่อไปทำไมล่ะ?

“ไม่เป็นไรหรอกเจ้านาย อย่างไรเสียเขาก็คือซูเฉิน” คนของหลินเฉ่าเซวียนพยายามปลอบประโลมเจ้าตัว

ณ จุดนี้ เป็นเรื่องธรรมดาที่จะได้ยินคำพูดนี้เกี่ยวกับซูเฉิน

ราวกับว่าเขากลายเป็นเทพเจ้าเสียเอง

แน่นอนว่าเขาไม่ได้เป็นเทพเจ้าจริง ๆ แต่ตอนนี้ซูเฉินได้พิสูจน์แล้วว่าเขาสามารถสังหารเทพเจ้าได้

“ข้าสังหารนางได้ง่ายดายยิ่งนักก็เพราะความพยายามลดทอนกำลังของพวกเจ้าเท่านั้น” ซูเฉินกล่าว ทำให้หลินเฉ่าเซวียนต้องปิดปากเงียบก่อนที่จะเปลี่ยนท่าทาง ลูกแก้วเรืองแสงปรากฏขึ้นในมือของเขา

ฝูเหม่ยลาสิ้นชีพลงอย่างสะอาดหมดจด นางไม่ได้ทิ้งศพไว้ด้วยซ้ำ ยิ่งไปกว่านั้น พลังศักดิ์สิทธิ์ที่เคยอยู่ในร่างกายนางก็ถูกเก็บรักษาไว้โดยสมบูรณ์

“นั่นเป็นสมบัติที่มีค่ามากทีเดียว” ทุกคนเอ่ยขึ้น ดวงตาส่องประกายไปด้วยความปรารถนา

สิ่งใดก็ตามที่ถูกทิ้งไว้โดยเทพเจ้านั้นมีค่าเป็นอย่างมาก

“ใช่ ถ้าพวกเราแจกจ่ายมันอย่างเหมาะสม เราสามารถสร้างกองกำลังผู้เชี่ยวชาญยาเม็ดทองคำได้อีก อย่างไรแล้วอวิ๋นเป้า กังเหยียน และเซียนเหยาก็เกือบจะสำเร็จแล้ว อ้อใช่ พวกเราควรจะทิ้งบางส่วนไว้ให้เยี่ยเฟิงหานและเล่อเฟิงด้วย” แล้วซูเฉินก็ยื่นมันให้กับกู่ชิงลั่ว

“เจ้าจะไม่ใช้มันเองหรือ?” กู่ชิงลั่วประหลาดใจในความใจกว้างของซูเฉิน

ซูเฉินส่ายหัว “ข้าไม่ได้ขาดพลังอมตะในตอนนี้ ข้าจำเป็นต้องจดจ่อกับการค้นหาเส้นทางที่ถูกต้อง การขึ้นไปสู่แดนใหม่จำเป็นต้องใช้มากกว่าแค่พลังอมตะที่เพียงพอ ข้าจำเป็นต้องมีทิศทางใหม่ ผู้นำใหม่ และความเข้าใจใหม่”

หลังจากที่พูดจบ ซูเฉินก็ถอนหายใจยาว “อีกอย่าง ฝูเหม่ยลาอ่อนแอเกินไป ความช่วยเหลือที่นางมอบให้ข้าได้นั้นมีอยู่จำกัด”

ทุกคนต่างก็พูดไม่ออก

บางทีคงมีแค่คนอย่างซูเฉินที่พูดได้เต็มปากเต็มคำว่าเทพเจ้านั้นอ่อนแอ

แม้ว่าซูเฉินดูจะจัดการฝูเหม่ยลาได้อย่างง่ายดาย แต่แท้ที่จริงแล้วนางก็แข็งแกร่งพอ ๆ กับเทพอสูรเป็นอย่างต่ำ พูดอีกอย่างคือนางสามารถทำลายทั้งอาณาจักรให้ราบเป็นหน้ากลองได้ด้วยตนเอง

ดังนั้นแล้วคงเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้นอกจากว่าพลังของซูเฉินได้ไปถึงจุดที่น่าหวาดกลัวจนเขาสามารถต่อสู้กับทั้งอาณาจักรด้วยตนเองได้แล้ว

สายตาของซูเฉินเริ่มสอดส่อง

การต่อสู้กับฝูเหม่ยลาครั้งนี้ใช้พลังอมตะของตัวเขาไปไม่น้อย แต่ในสภาพแวดล้อมนี้ พลังศักดิ์สิทธิ์ก็มีพร้อมใช้งานเสมอ เขาสามารถดูดซับและเปลี่ยนมันเป็นพลังอมตะเพื่อฟื้นฟูพลังสำรองได้อย่างง่ายดาย

ซูเฉินพบเป้าหมายต่อไปอย่างรวดเร็ว

นั่นคือเจ้าแห่งพายุ อาเค่อหลู่ตานปา ผู้ที่ร่างแยกของซูเฉินสังหารไปเมื่อไม่นานมานี้

ตานปาคือเทพเจ้าระดับต่ำ แต่สถานการณ์ของเทพองค์นี้ก็แปลกประหลาดทีเดียว

ในตอนแรกเริ่ม เขาเคยเป็นเทพเจ้าระดับสูง

เมื่อครั้งเทพเจ้าปกครองแดนต้นกำเนิด เจ้าแห่งพายุนั้นโด่งดังไม่น้อย

แต่โชคไม่ดีนัก หลังจากที่เทพเจ้าถูกผนึกไว้ภายในอาณาเขตคุน ข้อจำกัดของที่นี่ก็ยากลำบากเกินกว่าที่เจ้าแห่งพายุจะสามารถปรับตามมันได้อย่างลื่นไหล

ภายในอาณาเขตคุนซึ่งตั้งอยู่โดดเดี่ยวภายในปราการแห่งเทพเจ้า พลังของเจ้าแห่งพายุก็ถดถอยลงมหาศาล และในฐานะเทพเจ้าแห่งธาตุ จำนวนผู้นับถือบูชาเขาก็ต่ำเตี้ยเรี่ยดินตั้งแต่แรกอยู่แล้ว เขาจึงได้สัมผัสการสูญเสียความยิ่งใหญ่เป็นครั้งแรก เทพเจ้าจำนวนไม่น้อยต้องพบกับชะตากรรมเดียวกัน อย่างเทพแห่งความตาย เทพแห่งความเที่ยงธรรม เทพแห่งแสงสว่าง เทพแห่งเวลา และอื่น ๆ อีกมากมาย

บางคนต้องทุกข์ทรมานกับชะตากรรมที่น่าสังเวชยิ่งกว่านี้เสียอีก ยกตัวอย่างเช่น เทพแห่งความตายได้สูญเสียการติดต่อกับแม่น้ำวิญญาณที่คนตายจะต้องเดินทางไป เขาเสียชีวิตแทบจะทันทีหลังจากที่ศึกแห่งทวยเทพเริ่มต้นขึ้น แต่เขาก็ได้ส่งชิ้นส่วนวิญญาณไปยังแดนต้นกำเนิดก่อนที่จะสิ้นใจ

คนอื่น ๆ นั้นดีกว่านิดหน่อย เทพอนารยะหลงเก๋อก็เคยเป็นเทพระดับสูงมาก่อน ต่อมาเขาก็ตกลงมาสู่ระดับกลาง แต่ก็สามารถรักษาตำแหน่งไว้ได้ เขาจึงยังมีตำแหน่งที่มั่นคงอยู่ แต่นิสัยของเขาก็ยังเหมือนกับวันวานในระดับสูง และพฤติกรรมหุนหันพลันแล่นของเขาก็มักจะทำให้ได้รับการตำหนิติเตียนจากเทพองค์อื่น ๆ อยู่เสมอ

อย่างไรก็ตาม อาเค่อหลู่ตานปาถูกกาลเวลาทอดทิ้ง ชีวิตในปัจจุบันของเขานั้นยากลำบากทีเดียว

แต่ร่องรอยสถานะเทพเจ้าระดับสูงของเขาก็ยังคงอยู่ แม้ว่าพลังศักดิ์สิทธิ์จะลดลง เขาก็ยังเชี่ยวชาญวิชาเก่าแก่ของตนได้ดังเดิม พลังต่อสู้ของเขาจึงเทียบได้กับเทพเจ้าระดับกลางเลยทีเดียว

หากฝูเหม่ยลาต่อสู้กับอาเค่อหลู่ตานปา นางจะต้องเป็นกระสอบทรายให้เขาซ้อมอย่างแน่นอน

การที่ซูเฉินเลือกเขาเป็นเป้าหมายต่อไปนั้นจองหองไม่น้อย แต่ก็เป็นความจริงที่ฝูเหม่ยลาอ่อนแอเกินไปสำหรับชายหนุ่ม การต่อสู้นางแทบจะไม่สร้างประโยชน์ให้เขาเลย

ชายหนุ่มต้องการศัตรูที่ทรงพลังยิ่งกว่านี้

อย่างไม่มีใครคาดคิด ก่อนที่เมืองล่องนภาจะได้เปลี่ยนทิศทางไปยังเป้าหมายใหม่ เหล่าเทพเจ้าก็ปรับเปลี่ยนตำแหน่งเสียก่อน

“ออกไปจากที่นี่! พวกเราไม่อาจต่อสู้อย่างเต็มกำลังที่นี่ได้!” เทพธิดาแห่งดวงจันทร์แผดเสียงลั่น

งั้นพวกเขาก็รู้ตัวแล้วว่าการต่อสู้แบบนี้ต่อไปมีแต่จะทำให้พ่ายแพ้หรือ?

ข้อจำกัดทางพื้นที่ในสถานที่แห่งนี้ทำให้เทพเจ้าไม่อาจปลดปล่อยพละกำลังสูงสุดได้ พวกเขาจำเป็นต้องมีพื้นที่และสนามรบที่กว้างใหญ่กว่านี้

ในเชิงของความแข็งแกร่งล้วน ๆ เทพอสูรบรรพกาลเป็นฝ่ายชนะ แต่หากเทพเจ้าต้องการจะจากไปก็ไม่มีสิ่งใดที่เทพอสูรบรรพกาลจะทำเพื่อบังคับให้พวกเขาอยู่ต่อไปได้

ทันทีที่คำสั่งนั้นออกมา เทพเจ้าก็เริ่มถอยทัพไปพร้อมกับดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของตนเอง วิหารแห่งเทพเจ้าก็เริ่มเลือนหายไปด้วยเช่นกัน

เมื่อเห็นดังนั้น ซูเฉินก็ไม่ได้พยายามไล่ตามแต่อย่างใด เขากลับพึมพำอยู่เงียบ ๆ ราวกับว่ากำลังคุยกับใครบางคนไกลออกไป “เจ้าไม่ได้กำลังคิดจะหยุดพวกเขาใช่ไหม?”

หลังจากผ่านไปสักพัก ซูเฉินก็ยิ้มเล็กน้อย “เข้าใจแล้ว นั่นฟังดูดีเลย เราค่อยเป็นค่อยไปก็อาจจะดี”

แล้วเขาก็หันไปมองเทพปกปักเอ่อร์เจ้อ

เทพเจ้าที่เหลือได้หลบหนีไปแล้ว รวมถึงเป้าหมายเดิมของเขา อาเค่อหลู่ตานปาด้วย แต่เทพปกปักคนนี้ก็โชคร้ายจนถูกทิ้งไว้ข้างหลังขณะที่เขายังติดพันอยู่กับเหยี่ยนหลี

เหยี่ยนหลีดูเหมือนอสรพิษบินไร้หัว ร่างกายของมันปกคลุมไปด้วยหมอกสีดำที่มีฤทธิ์กัดกร่อนรุนแรงอยู่เสมอ หมอกนี้จะละลายศัตรูของอสรพิษและเปลี่ยนพวกมันเป็นสารอาหาร เหยี่ยนหลีคือหนึ่งในเทพอสูรบรรพกาลเพียงไม่กี่ตัวที่ไม่ได้พึ่งพาความแข็งแกร่งทางร่างกายเพื่อต่อสู้กับศัตรู มันจะสกัดพละกำลังของพวกมันแทน กระทั่งระหว่างที่จำศีล เขตแดนรอบกายมันก็เป็นที่รู้จักกันว่าคือหนึ่งในพื้นที่ต้องห้ามที่อันตรายที่สุด สิ่งมีชีวิตใดที่บังเอิญก้าวเข้าไปในพื้นที่ของมันจะพบว่าตนเองถูกสูบพละกำลังจนแห้งเหือดและกลายเป็นอาหารบำรุงเหยี่ยนหลีในไม่ช้า นี่คือเหตุผลที่มันเอาชีวิตรอดมาได้จนถึงทุกวันนี้

เทพปกปักที่ติดพันอยู่กับเหยี่ยนหลีได้รับผลกระทบจากพลังกัดกร่อนในการโจมตีของมัน และริ้วสีเทามากมายก็ปรากฏขึ้นทั่วทั้งร่างกายของเขา

แต่หมอกรอบเหยี่ยนหลีก็ลดขนาดลงอย่างต่อเนื่อง ดูเหมือนว่าพลังศักดิ์สิทธิ์กัดกร่อนจะท้าทายมันไม่น้อย

“เทพเจ้าระดับต่ำอีกหนึ่งคน เขาไม่ได้แข็งแกร่งเท่าอาเค่อหลู่ตานปา แต่เขาแข็งแกร่งกว่าฝูเหม่ยลามาก เอาละ เหมือนจะต้องเป็นเจ้าแล้ว” ซูเฉินพึมพำกับตัวเองก่อนจะออกบิน “ศัตรูรายนี้ปล่อยให้ข้าจัดการเอง”

เหยี่ยนหลีเมินเขา

มันเป็นถึงเทพอสูรบรรพกาล มันจะสนใจคำสั่งของมนุษย์ได้อย่างไร?

แต่บรรพชนเสวียก็เอ่ยขึ้น “ปล่อยให้เขาไป เหยี่ยนหลี ให้เราได้ดูว่ามนุษย์สามารถทำอะไรได้”

เหยี่ยนหลีไม่ยอมถอย

ตอนนั้นเองที่เอ่อร์เจ้อนึกขึ้นได้ว่าเทพเจ้าคนอื่น ๆ ถอยทัพไปนานแล้ว

“ข้าถูกทิ้งแล้วงั้นหรือ?” เอ่อร์เจ้อพร่ำบ่น น้ำเสียงเปี่ยมไปด้วยความเศร้าโศกเสียใจ

“ไม่ต้องตกใจไป นี่เป็นแค่การกระทำที่สมเหตุสมผลที่สุดก็เท่านั้น ทีนี้ให้ข้าดูหน่อยว่าพลังศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าแข็งแกร่งขนาดไหนกันเชียว” ซูเฉินพูดพร้อมทำท่าเตรียมพร้อม

“ไร้สาระ!” เอ่อร์เจ้อคำรามลั่น

ตามหลังเสียงตะโกนนี้มาคือลำแสงศักดิ์สิทธิ์ที่พุ่งเข้ามาหาซูเฉิน

แต่ก่อนที่ลำแสงนี้จะมาถึงตัวซูเฉิน มันก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย

“กฎแห่งพลังสูญหรือ?” เอ่อร์เจ้อเอ่ยออกมาด้วยความประหลาดใจ “งั้นเจ้าก็ควบคุมกฎแห่งพลังได้ด้วยสินะ”

“อ้อ มันก็งั้น ๆ แหละ” ซูเฉินตอบอย่างถ่อมตน

แต่เอ่อร์เจ้อก็มีท่าทีเคร่งขรึมขึ้นมา “ใครก็ตามที่สามารถควบคุมกฎแห่งพลังได้เช่นนี้สามารถรับสถานะของเทพเจ้าชั่วคราว หากพวกเขาสร้างโบสถ์และดูดซับความศรัทธาของผู้บูชาได้เลยนะ เจ้าไม่รู้หรือ?”

“ข้ารู้ดี” ซูเฉินตอบพร้อมพยักหน้า

เอ่อร์เจ้อพูดถูก ด้วยความเข้าใจในกฎแห่งพลังของซูเฉินในปัจจุบัน เขาสามารถเลื่อนขั้นไปสู่ระดับเทพเจ้าได้อย่างง่ายดายหากเขาดูดซับพลังศักดิ์สิทธิ์เข้าไปมากพอ

แต่ซูเฉินจะทำแบบนั้นทำไมล่ะ?

เขาไม่เคยสนใจจะเป็นเทพเจ้าตั้งแต่แรกอยู่แล้ว

ซูเฉินต้องการกวาดล้างพวกเขาต่างหาก

ซูเฉินส่งยิ้มให้เล็กน้อย “ข้าเกรงว่าข้าจะไม่อยากเป็นเทพเจ้า หากแต่เป็นอมตะต่างหาก”

“อมตะหรือ?” เอ่อร์เจ้อตะลึงงัน

“ใช่! อมตะ อย่างที่เจ้าเห็น” พลังอมตะระเบิดออกมาจากร่างกายของซูเฉินราวกับคลื่นที่พลุ่งพล่านออกไปทุกทิศทาง

“พลังต้องห้าม!” เอ่อร์เจ้อคำรามด้วยความเกลียดชัง “เจ้ายืนยันที่จะฝืนธรรมชาติไปจนถึงที่สุดเลยหรือ?”

ในทางกลับกัน ซูเฉินดูจะแน่วแน่ยิ่งขึ้นหลังจากที่ได้ยินคำประณามของเอ่อร์เจ้อ “เจ้าคือเทพเจ้าผู้สูงส่งบนสวรรค์ เจ้าสามารถควบคุมกฎแห่งพลังได้แต่กำเนิด และจึงควบคุมทั้งโลกได้ด้วย เจ้าเชื่อว่าเจ้าคือเจ้าของโดยชอบธรรมของแดนนี้ ในขณะเดียวกัน พลังอมตะนั้นมาจากโลกภายในตัวบุคคล และมีอยู่ในโลกภายนอกด้วยตัวเองได้โดยสมบูรณ์ เส้นทางอันยิ่งใหญ่นี้ควรจะแข็งขืนต่อสวรรค์ ซึ่งก็คือเหตุผลที่พวกเจ้าห้ามใช้มัน เพราะมันคือพลังที่ต่อต้านสวรรค์ขณะที่เจ้าต่อต้านมัน อันที่จริง มันสามารถกลืนกินพลังศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าได้ด้วยซ้ำ…เจ้ากลัวมันไหมเล่า?”

“หุบปากสามหาวของเจ้าซะ!” เอ่อร์เจ้อคำรามลั่น แสงศักดิ์สิทธิ์เริ่มหลั่งไหลเป็นคลื่นหนาแน่นออกมาจากร่างกายของเขา

ซูเฉินหน้าบึ้ง “ให้ข้าหุบปากหรือ? เจ้ากับกองทัพอะไรนั่นน่ะนะ? ไหนดูซิว่าเจ้าจะปิดปากข้าก่อนที่จะถูกข้ากระทืบได้ไหม!”

จักรวาลอสูรปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง มังกรสุริยะขดตัวอยู่บนท้องฟ้าและปลดปล่อยรัศมีสง่างามออกมา

จักรวาลอสูรที่ตอนนี้ได้รับการสนุบสนุนจากพลังอมตะนั้นทรงพลังพอที่จะทำให้โลกใบนี้สั่นสะท้านได้ กระทั่งเอ่อร์เจ้อ เทพปกปัก ก็รู้สึกความหวาดกลัวตามสัญชาตญาณที่โถมเข้ามา

แต่ในตอนนี้ เขารู้แล้วว่าไม่มีพื้นที่ให้หวาดกลัวอีกแล้ว

ด้วยสถานการณ์หลังชนฝา เทพปกปักแสดงให้เห็นถึงจิตใจที่แข็งแกร่งและความเด็ดเดี่ยวอันเยือกเย็นที่เทพเจ้าตัวจริงควรจะมี

เขาส่งเสียงโห่ร้องยาวเหยียดขึ้นไปบนท้องฟ้า “ศิษย์ของข้า! เผาเพื่อความรุ่งโรจน์ของเทพเจ้า!!!”

หลังจากเสียงนั้นจบสิ้นลง นักรบทั้งหมดที่อาศัยอยู่ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของเขาก็ส่งเสียงตอบรับ

เสียงผู้สวดมนต์ไร้ที่สิ้นสุดดังกึกก้องในท้องฟ้า

ตามหลังจากผู้สวดมนต์เหล่านี้คือทหารศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดที่สลายกลายเป็นเถ้าถ่านขณะที่พวกเขาหายวับไป

พวกเขากำลังสังเวยตนเอง!

แสงสีทองบนร่างกายของเทพปกปักพวยพุ่งออกมาด้วยพลังที่ไม่เคยมีใครพบเห็นมาก่อน ร่างของเขาที่เคยถูกกัดกร่อนโดยเหยี่ยนหลีก่อนหน้านี้เริ่มฟื้นฟูในทันใด มันแข็งแกร่งขึ้นกว่าก่อนเสียด้วยซ้ำ

“เจ้าคิดจะเอาจริงเอาจังแล้วหรือ?” บรรพชนเสวียบ่นอุบอิบ

“เจ้าคิดว่าเด็กนั่นจะหยุดเขาได้จริงหรือ?” บรรพชนซู่ถามจากข้างกายเขา

“เขาจะทำได้หรือไม่ได้ก็แล้วแต่” บรรพชนเสวียตอบ “ข้ารู้เพียงแค่ว่ามนุษย์คนนี้ได้ทำลายข้อจำกัดของเผ่าพันธุ์มนุษย์ไปนานแล้ว พวกเขามีอนาคตที่สดใส บางที่อาจไร้ขีดจำกัดเลยก็ได้”

เส้นทางของความเป็นอมตะได้เริ่มแพร่กระจายในเผ่าพันธุ์มนุษย์เรียบร้อยแล้ว

ในอนาคต มนุษย์จำนวนมากขึ้นและมากขึ้นจะไปถึงยังระดับที่ซูเฉินเคยไปถึง

พูดอีกอย่างคือจะมีซูเฉินจำนวนมากขึ้นนั่นเอง

บรรพชนซู่เงียบกริบ “ข้าไม่ชอบแบบนั้นเลย”

“เจ้าไม่จำเป็นต้องชอบมันหรอก เจ้าแค่ต้องทำตัวให้คุ้นชิน โลกที่กำลังเปลี่ยนแปลง ไม่สนใจหรอกว่าเจ้าจะชอบมันหรือไม่” บรรพชนเสวียแนะนำอย่างใจเย็น

สูงขึ้นไปบนท้องฟ้า การต่อสู้ระหว่างซูเฉินกับเอ่อร์เจ้อได้เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการแล้ว

แต่ไม่ว่ากระบวนการการต่อสู้นี้จะดูเป็นอย่างไร ผลลัพธ์ก็ได้ถูกกำหนดไว้แล้ว