ภาคที่ 7 ศึกสุดท้าย บทที่ 100 ร่างเซียน

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 100 ร่างเซียน

นี่คือสงครามอย่างไร้ข้อกังขา

ทันทีที่เอ่อร์เจ้อจุดชนวนดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของตนเพื่อระเบิดพลังครั้งสุดท้าย การพลีชีพย่อมเกิดขึ้น

ทั้งหมดที่เขาต้องการในตอนนี้คือการสำแดงพลังครั้งสุดท้ายให้สมควรแก่ความยิ่งใหญ่ที่เขารู้สึกว่าควรจะได้รับ แม้ต้องสิ้นใจเขาก็อยากจะลากซูเฉินไปด้วย

รัศมีของเอ่อร์เจ้อเริ่มพรั่งพรูออกมา กระทั่งบรรพชนเสวียและเทพอสูรบรรพกาลตนอื่น ๆ ต่างก็เริ่มรู้สึกปวดหัวเมื่อครุ่นคิดว่าตนจะจัดการพวกเขายังไง

ในช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต เอ่อร์เจ้อฟื้นฟูขึ้นไปยังจุดสูงสุดของตนเอง

รูม่านตาของซูเฉินหดตัวลง

เทพที่มีพลังงานเต็มเปี่ยมนั้นไม่อาจดูถูกได้ ข้อแตกต่างระหว่างเอ่อร์เจ้อในปัจจุบันและในตอนที่อ่อนแอนั้นไม่อาจกล่าวเกินจริงได้

ในตอนนี้ พลังศักดิ์สิทธิ์ของเอ่อร์เจ้อพวยพุ่งออกมา กระทั่งบรรพชนเสวียก็ไม่อาจห้ามตัวเองไม่ให้สั่นไหวได้ ราวกับว่าความทรงจำอันหดหู่ในอดีตของเขากำลังหลั่งไหลกลับเข้ามาอีกครั้ง

“ใช่แล้ว นี่คือพลังแท้จริงที่พวกเทพเจ้าควรจะมี” บรรพชนเสวียพึมพำกับตนเอง “ปราการทำให้พวกเขาอ่อนแอลงมากจริง ๆ!”

แล้วเขาก็ตะโกนเสียงดังสนั่น “ระวังตัวด้วยนะซูเฉิน ยามที่เทพเจ้ามีพละกำลังสูงสุดนั้นแข็งแกร่งกว่าพวกเราเสียอีก! และในเมื่อเขาสังเวยดินแดนศักดิ์สิทธิ์เพื่อโจมตีครั้งสุดท้ายไปแล้ว อีกไม่นานนี้ก็คงจะบรรลุพลังขั้นนั้นแล้ว!”

“ข้ารู้”

ซูเฉินเองก็สัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับเอ่อร์เจ้อได้เช่นกัน ความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายนั้นทรงพลังจนน่าใจหาย

มันทำให้รู้สึกราวกับว่าเขากำลังต่อสู้กับโลกทั้งใบและเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง

แต่ในตอนนั้นเอง ความรู้สึกดื้อด้านเป็นปฏิปักษ์อย่างรุนแรงก็พุ่งพรวดขึ้นมาจากก้นบึ้งหัวใจ

ถ้าต้องเผชิญกับโลกทั้งใบแล้วยังไงล่ะ?

ข้ามีเส้นทางของตัวเอง

ข้าจะเป็นโลกของข้าเอง!

พลังอมตะพลุ่งพล่านออกมาจากร่างกายของซูเฉินจนแทบจะควบคุมไม่ได้

แม้พลังอมตะของซูเฉินจะไม่ได้ยิ่งใหญ่และงดงามตระการตาเท่าพลังศักดิ์สิทธิ์ของเอ่อร์เจ้อ แต่มันก็มีความทนทรหดและมีเจตจำนงที่แน่วแน่ไม่ลดละ ไม่ว่าพลังศักดิ์สิทธิ์อันไร้ขีดจำกัดจะกดดันและมีทีท่าว่าจะกลืนกินมันเข้าไปมากเพียงไร หากในมหาสมุทรมีกระแสน้ำรุนแรง พลังอมตะนี้ก็ยังจะปกป้องซูเฉินต่อไป เป็นดั่งก้อนหินในทะเล แข็งกระด้าง… ไร้ความกลัว…

นี่เป็นเพียงการเผชิญหน้าเพียงระดับพื้นผิวเท่านั้น ไม่ใช่การประชันวาดลวดลายเป็นศาสตร์ศิลป์ระหว่างแดนฝั่งเทพเจ้าและแดนต้นกำเนิดแต่อย่างใด

ทว่าภาพมวลพลังอมตะและพลังศักดิ์สิทธิ์กำลังต่อสู้กันนั้นกลับคล้ายกับการแสดงแสงสีที่น่าตื่นตาเสียเหลือเกิน พลังศักดิ์สิทธิ์ของเอ่อร์เจ้อนั้นเป็นเหมือนผู้รักษาตำแหน่งคนเก่า ในขณะที่พลังอมตะของซูเฉินเป็นผู้ท้าชิงหน้าใหม่ ชายหนุ่มอาจอ่อนแอกว่าแต่กำลังวังชาและความมีชีวิตชีวาของวัยหนุ่มสาวก็ชดเชยจุดอ่อนนั้นได้เป็นอย่างดี

ผู้ท้าชิงหน้าใหม่คนนี้ต้องอดทนต่อการโจมตีของผู้รักษาตำแหน่ง ร่างของเขากะพริบวูบไหวครั้งแล้วครั้งเล่าราวกับดวงไฟเล็ก ๆ ที่กำลังจะถูกความมืดมิดกลืนกิน มันช่างดูน่าอดสู ด้วยดูเสมือนพลังอมตะที่ห่อหุ้มซูเฉินไว้นั้นอาจดับมอดลงเมื่อไรก็ได้

ไม่ว่าพลังที่ปลดปล่อยออกมานั้นจะดูแข็งแกร่งเพียงไร แต่เมล็ดพันธุ์แห่งขบถก็เอาตัวรอดไปได้เสมอและจะแน่วแน่ไปจนถึงลมหายใจสุดท้าย

ตราบใดที่เอาชีวิตรอดไปได้ เขาก็จะชนะ

ซูเฉินต่อสู้สุดฝีมือเพื่อให้สามารถต้านทานการโจมตีของอีกฝ่ายได้

ชายหนุ่มไม่จำเป็นต้องโจมตีกลับไปเพราะเทพปกปักกำลังเผาผลาญพลังศักดิ์สิทธิ์ของตนเองไปอย่างถาวร แม้ว่าการทำเช่นนี้จะทำให้ฝ่ายเทพได้เปรียบชั่วคราว แต่มันก็เป็นบั่นอายุตัวเองให้สั้นลงและตายไวขึ้นเช่นกัน

ยิ่งไปกว่านั้น ซูเฉินต้องการใช้แรงกดดันมหาศาลจากการต่อสู้กับเอ่อร์เจ้อเพื่อค้นหาวิธีพัฒนาไปสู่แดนต่อไปอีกด้วย

แต่แรงกดดันอันเข้มข้นนี้ก็เจ็บปวดเสียจนซูเฉินเลือดตาแทบกระเด็น

เขาไม่มีเวลาเปลี่ยนพลังศักดิ์สิทธิ์ให้เป็นพลังอมตะแม้แต่อึดใจเดียว มิหนำซ้ำการพยายามจะทำเช่นนั้นในขณะที่ตัวยังเผชิญหน้ากับพายุโหมกระหน่ำเช่นนี้ก็ดูจะเป็นเรื่องน่าขันไปเสียเปล่า ๆ

สิ่งเดียวที่ซูเฉินทำได้คืออดทนให้นานที่สุดและใช้แรงกดดันเพื่อบ่มเพาะและขัดเกลาตนเอง นี่คือกุญแจสำคัญในการเอาชีวิตรอดผ่านสถานการณ์นี้

ยามนี้ซูเฉินจำไม่ได้แล้วว่าเขาตกอยู่ในสภาวะอันตรายเช่นนี้ครั้งสุดท้ายเมื่อไร

หลังจากที่ไปถึงยังด่านหยั่งรู้ฟ้าดินก็ไม่มีศัตรูคนใดกดดันเขาในการต่อสู้ได้หนักหนาถึงเพียงนี้ เพราะตั้งแต่ตอนนั้นเขาก็เอาชนะศัตรูทุกคนมาได้อย่างง่ายดายเสมอ

แต่ในวันนี้ พลังเก่าแก่โบราณอันยิ่งใหญ่ที่ถาโถมอยู่ ก็ช่วยให้ชายหนุ่มนึกออกว่าการเสี่ยงชีวิตนั้นเป็นอย่างไรได้ในที่สุด

ใช่ ภัยคุกคาม!

ภัยคุกคามที่อันตรายอย่างแท้จริง นี่ไม่ใช่แค่การต่อสู้ธรรมดาแต่เป็นการดิ้นรนระหว่างความเป็นและความตาย

ยามใดที่เขายอมแพ้ย่อมเป็นเวลาที่เขาต้องสิ้นใจ กระทั่งบรรพชนเสวียก็ไม่อาจช่วยซูเฉินได้หากเป็นเช่นนั้น

แต่นั่นก็แค่สิ่งที่มันควรจะเป็น

ด้วยการข้ามผ่านความยากลำบากเช่นนี้เท่านั้นที่เขาจะสามารถค้นพบเส้นทางที่กำลังตามหาได้

ซูเฉินต่อสู้ด้วยพละกำลังทั้งหมดที่มี แต่มันก็ดูราวกับว่าพลังของเอ่อร์เจ้อนั้นไม่มีที่สิ้นสุด พลังศักดิ์สิทธิ์มากมายราวมหาสมุทรยังคงหลั่งไหลออกมา

เวรเอ๊ย เจ้านั่นยังมีพลังศักดิ์สิทธิ์เหลืออยู่มากขนาดนี้ได้ยังไงกัน?

ซูเฉินสัมผัสได้ว่าความตายกำลังพุ่งเข้ามาหาอย่างรวดเร็วหากไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลง

แต่เขาก็ยอมแพ้ไม่ได้! ไม่ใช่ตอนนี้!

ชายหนุ่มจ้องเอ่อร์เจ้อเขม็งขณะที่กลั่นพลังอมตะออกมาจากร่างกายจนหยดสุดท้ายด้วยความหมดหวัง

ออกมาสิ! ซูเฉินคำรามลั่นอยู่ในใจ

ในตอนนั้นเอง ทุกส่วนในร่างกายของเขาก็ดูจะส่งเสียงโอดครวญภายใต้แรงกดดัน เสียงแตกร้าวและระเบิดปะทุดังไปทั่วทั้งสนามรบ

มันดูราวกับว่าบางสิ่งกำลังแตกหักอยู่ภายในร่างกายของซูเฉิน แม้มันจะเงียบมาก เสียงนี้ก็ดูจะสะท้อนไปมาอยู่ในใจของผู้คนทั่วสนาม

คลื่นพลังจิตไร้รูปร่างแพร่กระจายออกไปถึงผู้ร่วมเหตุการณ์ทุกคน มันทั้งบริสุทธิ์และอ่อนโยน ความรู้สึกอบอุ่นปรากฏขึ้นในหัวใจของพวกเขา กระตุ้นให้รู้สึกสุขสบายจนน่าเหลือเชื่อ

แล้วพวกเขาก็หันไปมองสนามรบอีกครั้ง

ราวกับว่าเวลาถูกแช่แข็งอยู่กับที่ ความสงบสุขอันเงียบงันเข้าปกคลุมทั่วทั้งบริเวณ

ทุกสิ่งดูจะหยุดชะงักลง

แล้วพลังศักดิ์สิทธิ์ก็ระเบิดออกมาด้วยความแข็งแกร่งที่ฟื้นฟูขึ้นมาใหม่ในทันใด

แต่คราวนี้ซูเฉินยังคงนิ่งสนิท

แสงสีขาวโชติช่วงออกมาจากร่างกายของเขา ป้องกันไม่ให้พลังศักดิ์สิทธิ์แตะต้องเขาได้ ไม่เพียงเท่านั้น กลีบดอกไม้เริ่มร่วงโรยลงมาจากท้องฟ้ารอบกายซูเฉินและร่อนลู่ลมลงไปสู่พื้นดินอย่างแผ่วเบา

คลื่นพลังศักดิ์สิทธิ์แสนทรงพลังไม่อาจทำลายกลีบดอกไม้พวกนี้ได้แม้แต่กลีบเดียว

แล้วท้องฟ้าซึ่งเคยเต็มไปด้วยเปลวเพลิงสีแดงฉานก็กลับไปสู่สภาพปกติของมันในทันใด

“เป็นไปไม่ได้!” เอ่อร์เจ้อคำรามอย่างไม่เชื่อสายตา

เขาสัมผัสได้ถึงพลังของศัตรูที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

ความรู้สึกถึงอันตรายร้ายแรงผุดขึ้นมา มันยากเกินกว่าจะอธิบายด้วยคำพูดได้ด้วยซ้ำ

มันไม่ใช่การหวาดกลัวความตาย อย่างไรเอ่อร์เจ้อก็จะต้องตายอยู่แล้ว แต่มันคือความรู้สึกกลัวพละกำลังของศัตรูต่างหาก

ศัตรูของเขาได้สร้างพัฒนาการครั้งยิ่งใหญ่ในสภาพแวดล้อมที่อันตรายต่อชีวิตถึงเพียงนี้

และยังเป็นพัฒนาการในเส้นทางต้องห้ามอีกด้วย

นี่ทำให้เอ่อร์เจ้อรู้สึกสิ้นหวัง

เขารู้ว่าซูเฉินยังอ่อนแอกว่าหากเขามีพละกำลังเต็มเปี่ยม ซูเฉินยังไปไม่ถึงจุดที่เขาสามารถควบคุมโลกใบนี้และสยบเทพเจ้าได้ด้วยตัวคนเดียว

แต่ชายผู้นี้ก็กำลังรุกล้ำพลังของพวกเขาอย่างช้า ๆ

และเพียงเสี้ยวกะพริบตาแห่งความอ่อนแอ ซูเฉินก็ก้าวข้ามเทพเจ้าที่อ่อนแอกว่ามาได้

“ไม่!” เอ่อร์เจ้อร้องลั่นอย่างสิ้นหวัง

เทพเจ้าเชื่อว่าจะมีโอกาสชนะตราบใดที่พวกเขาแทรกซึมเข้าไปในแดนต้นกำเนิด

แต่ตอนนี้เมื่อมนุษย์คนหนึ่งมาจนถึงที่นี่จริง ๆ เทพเจ้าก็อาจสูญเสียโอกาสสุดท้ายไปแล้ว

เขาต้องการบอกเทพเจ้าคนอื่น ๆ ว่าพลังต้องห้ามของซูเฉินได้ไปถึงระดับที่ทรงพลังจนน่าหวั่นเกรงแล้ว

แต่โชคไม่ดีนัก เขาพบว่าตนเองไม่อาจส่งข้อความได้อีกต่อไปแล้ว

ความผันผวนไร้รูปร่างของพลังจิตแสนทรงพลังของซูเฉินแยกเขาออกมาทางกระแสจิต ทำให้เอ่อร์เจ้อไม่อาจติดต่อสื่อสารกับเทพเจ้าองค์อื่น ๆ ได้ เช่นเดียวกันกับการแทรกแซงความคิดของเขา

ช้าก่อน ข้อจำกัดทางจิตไร้รูปร่างของความคิดอันแสนทรงพลัง…

เอ่อร์เจ้อนึกบางสิ่งขึ้นได้ในทันใด

เขาพึมพำ “งั้นก็เป็นเจ้า… เจ้าซ่อนตัวได้ดีทีเดียว…”

แล้วเขาก็ไม่อาจกล่าวสิ่งใดต่อได้อีกก่อนจะล้มคะมำลงไป

ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของเอ่อร์เจ้อถูกใช้จนหมดสิ้นในที่สุด เขาไม่เหลือทหารศักดิ์สิทธิ์อีกแล้ว แม้แต่พลังศักดิ์สิทธิ์ก็เหือดแห้งไปด้วย โดยไร้ซึ่งแก่นของพลังศักดิ์สิทธิ์แล้ว เพียงความศรัทธาจากผู้นับถือก็ไม่อาจประทังชีวิตของเขาเอาไว้ได้อีกต่อไป

ลมหายใจของเอ่อร์เจ้อเริ่มหมดลง

สิ่งมีชีวิตผู้อาศัยอยู่มานานกว่าหลายหมื่นปีตัวนี้ได้หวนคืนสู่ฝุ่นผงที่เคยเป็นในที่สุด

เปลวเพลิงของซูเฉินพวยพุ่งออกมาและอาบไปทั่วร่างกายของเอ่อร์เจ้อ

เช่นเดียวกันกับฝูเหม่ยลา เอ่อร์เจ้อถูกเผาไหม้จนทั้งหมดที่เหลือคือพลังศักดิ์สิทธิ์ควบแน่นก้อนหนึ่งเท่านั้น

เปลวเพลิงบนฟ้ากำลังลุกโชน

เห็นได้ชัดว่าการต่อสู้ยังไม่จบลง

มวลเปลวเพลิงพากันเริงระบำอยู่รอบกายชายหนุ่ม ดูราวกับไฟที่อาบบนห่วงเหล็กในคณะละครสัตว์ โดยที่มีซูเฉินยืนอยู่ตรงกลางขณะที่พวกมันส่งประกายอย่างแรงกล้าชนิดที่ไม่เคยมีใครพบเห็นมาก่อน ในตอนนี้ ภาพดังกล่าวนั้นให้ความรู้สึกว่าซูเฉินคือผู้ควบคุมเปลวเพลิงเหล่านี้

“ซูเฉิน!” ทั้งกู่ชิงลั่วและจูเซียนเหยาต่างส่งเสียงเรียกเขาเพื่อเข้าสวมกอดชายอันเป็นที่รัก

“อย่าขยับ” แต่บรรพชนเสวียก็หยุดพวกนางไว้ “เขาไปถึงช่วงวิกฤตของการฝึกตน อย่ารบกวนการรับรู้ของเขา”

“การรับรู้? เขากำลังรับรู้อะไรหรือ?” ทั้งสองต่างสับสนงุนงง

ในโลกของการฝึกตน สิ่งที่สำคัญที่สุดคือความสามารถในการใช้พลังงาน แต่ผู้คนก็แทบจะไม่จดจ่อกับการรับรู้ถึงพลังงานเท่าไรนัก

บรรพชนเสวียอธิบายอย่างใจเย็น “เขากำลังรับรู้ตัวเองและโลกรอบกาย นั่นคือสิ่งที่จะเข้าใจได้หลังจากที่บรรลุไปถึงระดับ ๆ หนึ่งเท่านั้น”

กู่ชิงลั่วและจูเซียนเหยาต่างก็สงสัยอย่างหนัก “เจ้ารู้ได้ยังไง?”

บรรพชนเสวียส่ายหน้า “ที่จริงข้าก็ไม่รู้หรอก แต่…ข้าเคยพบคนคนหนึ่ง”

“คนคนหนึ่งหรือ?” ทั้งสองตะลึงงันไปครู่หนึ่งก่อนที่จะเข้าใจในที่สุด “เจ้ากำลังบอกว่า…”

บรรพชนเสวียพยักหน้าเบา ๆ “มนุษย์คนแรกที่ก้าวเดินบนโลกใบนี้ บรรพชนมนุษย์”

กระทั่งบรรพชนของตระกูลกู่ กู่ฮุยหมิง ก็โกรธเกรี้ยวขึ้นมาเมื่อได้ยินสิ่งที่บรรพชนเสวียพูด “เจ้ากำลังบอกข้าว่าพวกเราเผ่าพันธุ์มนุษย์เคยควบคุมพลังอมตะได้เมื่อครั้งที่บรรพชนมนุษย์ตระเวนไปทั่วทั้งโลกได้อย่างอิสระงั้นหรือ?”

บรรพชนเสวียพยักหน้า “ใช่ เผ่าพันธุ์มนุษย์เคยเป็นเผ่าพันธุ์ที่สำคัญและแข็งแกร่งมาก่อน แม้ว่าจะถูกสร้างขึ้นโดยบังเอิญก็ตาม อันที่จริง มนุษย์ในตอนนั้นแข็งแกร่งพอที่จะโค่นล้มเทพเจ้าได้เลยทีเดียว”

เมื่อได้ยินดังนั้น ทุกคนล้วนตกตะลึง

นั่นหมายความว่ายังไง?

มนุษย์เคยแตกต่างจากเผ่าพันธุ์อัจฉริยะอื่น ๆ หรือ? มนุษย์เคยเป็นมากกว่าเผ่าพันธุ์เล็ก ๆ ที่อ่อนแอหรือ? ไม่ใช่ว่ามนุษย์เป็นเพียงผู้บูชาเทพเจ้าและเป็นอาหารให้แก่เทพอสูรบรรพกาลหรอกหรือ?

มนุษย์เป็นเผ่าพันธุ์ที่ถูกสร้างขึ้นโดยบังเอิญที่แข็งแกร่งพอจะโค่นล้มกระทั่งเทพเจ้าตั้งแต่เมื่อไร?

บรรพชนเสวียกำลังจะตอบคำถาม แต่แล้วซูเฉินก็เคลื่อนไหว

ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นช้า ๆ ในขณะเดียวกันเปลวเพลิงสีขาวรอบกายก็เริ่มถอยกลับและควบแน่นจนพวกมันรวมกันเป็นขั้นบันไดที่ดูเหมือนจะทอดยาวจนสูงขึ้นไปถึงสรวงสวรรค์

ซูเฉินเริ่มเดินขึ้นไปตามขั้นบันไดช้า ๆ ทุกครั้งที่ชายหนุ่มก้าวเดิน บันไดข้างหลังเคยเหยียบย่ำไปก็จะแข็งแรงยิ่งขึ้นกว่าเดิม

รัศมีสง่าผ่าเผยอันไร้ขอบเขตหลั่งไหลออกมา

ซูเฉินก้าวเดินครั้งแล้วครั้งเล่าจนกระทั่งเขาไปถึงขั้นบนสุดและหันมามองทุกคน

ชายหนุ่มคลี่ยิ้มกว้างและส่งความรู้สึกของสายลมฤดูใบไม้ผลิซึ่งปลุกเร้าหัวใจของทุกคนตรงนั้นออกมา

กู่ชิงลั่วถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “สามี เจ้าทะลวงด่านสำเร็จแล้วหรือ?”

ซูเฉินคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงตอบ “ไม่ ข้าไม่ได้ทะลวงด่าน ข้าบุกทะลวงด่านต่างหาก”

ทุกคนตะลึงในคำตอบของซูเฉินจนทำตัวไม่ถูก

ซูเฉินอธิบายต่อไป “ตอนที่ข้ากำลังจะเลื่อนขั้น ข้าสัมผัสถึงโลกโดยรอบได้อย่างชัดเจน ทำให้ข้าเข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตกาลนานมาแล้วได้ บรรพชนเสวียพูดถุูก พวกเราเผ่ามนุษย์ไม่เคยเป็นสิ่งมีชีวิตธรรมดา เพราะพวกเราไม่เพียงถูกสร้างขึ้นโดยเทพเจ้า แต่พวกเรายังมีความแข็งแกร่งมหาศาล ทำให้เราสามารถเอาชนะสิ่งมีชีวิตที่สรรค์สร้างและครอบครองของเทพเจ้าองค์อื่น ๆ ได้ พวกเราอ่อนแอลงเพราะเทพเจ้าค้นพบการมีอยู่ของเราและเกิดหวาดกลัวขึ้นมา พวกเขาจะผนึกพวกเราไว้เพื่อให้มีขนาดเล็กและอ่อนแอ…”

ขณะที่ซูเฉินพูด รอยยิ้มบางก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้า “แต่วันนี้ พวกเรากลับมาสู่ความรุ่งโรจน์ตามเดิมแล้ว พวกเราจะทำลายขีดจำกัดเหล่านี้และนำสิ่งที่ควรจะเป็นของเรากลับคืนมา ตำแหน่งของพวกเราจะกลับมา!”

ขณะที่พูด เขาก็ยกแขนขึ้นและหันไปมองกองทัพแดนต้นกำเนิดอีกครั้ง “โซ่เส้นสุดท้ายที่เทพเจ้าล่ามพวกเราไว้สะบั้นลงในที่สุด ผนึกที่เคยจำกัดพวกเราไว้มานานต่อนานนั้นไม่มีอีกแล้ว! ในวันนี้ เผ่าพันธุ์มนุษย์จะทะยานขึ้นสู่ความยิ่งใหญ่ ข้าตัดสินใจจะตั้งชื่อด่านนี้ว่าร่างเซียน!”

“ร่างเซียน!”

“ร่างเซียน!”

“ร่างเซียน!”

มนุษย์ทุกคนตะเบ็งเสียงกู่ก้องขนานนามด่านใหม่นี้อย่างพร้อมเพรียงกัน