บทที่ 101 ยามเหมันต์มาเยือนเทพเจ้า
การพ่ายแพ้ของเทพเจ้าได้ปิดผนึกอาณาเขตคุน
โลกใบนี้ที่ถูกแยกออกมาด้วยปราการนั้นถูกสร้างขึ้นใหม่อีกครั้ง ความศรัทธาที่เคยมีทั้งปวงล้วนเสื่อมไป เทพเจ้าทั้งหลายพากันซ่อนตัวไม่ต่างอะไรไปจากหนู ที่พวกเขายังพอยืดอายุขัยมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ในยามนี้ก็เพราะศรัทธาที่ยังพอจะมีเหลืออยู่ประมาณเศษเล็บ
ในเวลาเดียวกันนั้น เผ่าพันธุ์มนุษย์ของดินแดนต้นกำเนิดก็เข้าสู่สงครามศาสนาที่จะกำจัดองค์กรแห่งความศรัทธาทุกหนแห่งที่พวกตนพบ
บนเขาประจิมศักดิ์สิทธิ์
เขาลูกนี้เคยเป็นของเจ้าแห่งแสงมาก่อน
หลังจากที่เจ้าแห่งแสงถูกโค่นลง เทพธิดาแห่งดวงจันทร์หลายก็ตั้งให้ที่นี่กลายเป็นหนึ่งในดินแดนศักดิ์สิทธิ์สำหรับให้ผู้ศรัทธามาบูชา
อัจฉริยะจำนวนนับไม่ถ้วนถือกำเนิดขึ้นจากสถานที่แห่งนี้ และการได้สืบทอดโบสถ์นั้นถือเป็นพรยิ่งนัก บันทึกและบทความต่าง ๆ ของที่นี่ถูกรวบรวมไว้ในหอสมุดขนาดใหญ่ รูปปั้นอันงดงาม ภาพวาดสีน้ำมัน และศิลปะต่าง ๆ ถูกสรรค์สร้างขึ้นมากมาย
ทว่าเมื่อต้องเผชิญกับสงคราม จิตรกรรมทั้งหลายก็ดูจะซีดเซียวและเปราะบาง ไม่มีคุณค่าและประโยชน์อันใด
นอกหน้าต่างมีเสียงของสงครามดังก้อง เขม่าควันฟุ้งกระจายไปทั่วฟ้า
ราชาจี้เก๋อที่สิบสี่ กอดรูปปั้นเทพธิดาแห่งดวงจันทร์ไว้ขณะมองดูการสังหารเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตา
“ฆ่ามัน!”
สิ้นเสียงนั้น ลำแสงดาบก็พุ่งผ่านท้องฟ้าไป ร่างของทหารหนุ่มบนหลังม้ากระเด็นเข้าไปในวิหาร ร่างของเขากลิ้งไปไกลก่อนจะหยุดและแน่นิ่งไปในที่สุด
“หม่าเค่อ” ราชาจี้เก๋อเอ่ยชื่อทหารหนุ่มอย่างแผ่วเบา
นั่นเป็นทหารม้านายสุดท้ายของเขาแล้ว ทหารทุกคนต่างได้รับพรจากพระแม่ให้มีความสามารถที่เลิศล้ำ คนเหล่านี้ถูกเลือกไว้แล้วว่าจะได้เข้าไปยังอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ของนาง
ทว่าในตอนนี้ทหารกล้ากำลังตายไปทีละคน ไม่มีพรใดที่จะฉุดรั้งชีวิตพวกเขาไว้ได้เลย
เสียงฝีเท้าหนัก ๆ กับเสียงของโลหะที่กระทบกันดังใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ราชาจี้เก๋อรู้ว่าศัตรูผู้ที่สังหารหม่าเค่อเมื่อครู่นี้อยู่ไม่ไกลจากเขาแล้ว
ราชาหนุ่มไม่ได้เงยหน้าขึ้นและยังคงลูบไล้ใบหน้าของหม่าเค่อพร้อมกับรำพึงว่า “เขามาที่วิหารนี่ตอนอายุได้เจ็ดขวบ จนตอนนี้ข้าก็ยังจำได้ว่าเขาหมั่นเพียรร่ำเรียนวิชาดาบเพียงไร ครั้งหนึ่งเขาเคยฟันคู่ต่อสู้โดยไม่ได้ตั้งใจในระหว่างการซ้อม หม่าเค่อยังรู้สึกผิดแทบแย่จนต้องมาถามกับข้าว่าพระแม่จะยอมรับคนอย่างเขาที่ทำร้ายเพื่อนของตัวเองไหม ข้าบอกกับเขาไปว่านางจะยอมรับแน่ตราบใดที่หม่าเค่อสำนึกผิดและเรียนรู้จากความผิดพลาดพวกนั้น พระแม่ก็จะให้อภัยและยอมรับเขาอย่างแน่นอน…”
“ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นเด็กดีทีเดียวนะ” กังเหยียนกล่าวขึ้น เลือดที่ติดอยู่บนกำปั้นของเขาซึ่งแข็งราวเหล็กกล้านั้นยังคงไหลหยดลงพื้นหยดแล้วหยดเล่า “ข้าสังหารคนอื่น ๆ ที่คล้ายกับเขามาแล้ว ข้าเองก็อยากให้มีทางอื่นนะ อย่างไรเสียข้าก็ให้โอกาสพวกเขายอมละทิ้งความศรัทธาเพื่อจะได้รอดชีวิตแล้ว แต่ไม่มีใครเลือกรับข้อเสนอของข้าเลยสักคน”
ราชาจี้เก๋อได้ยินดังนั้นก็ยิ่งเดือดดาล “ต่อให้พวกข้าต้องตายก็ไม่มีทางทิ้งความศรัทธาไปแน่ แล้วเจ้ามีสิทธิ์อะไรกับที่จะมาบังคับพวกข้า ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะเลือกศาสนาของตัวเองทั้งนั้น”
“พูดได้ดีนี่!” กังเหยียนปรบมือ “อิสระทางศาสนาเป็นสิ่งที่ดีจริง ๆ แต่คนที่ไม่มีศาสนาล่ะ พวกนั้นจะได้รับอนุญาตให้ทำอะไรได้ตามต้องการด้วยไหม”
จี้เก๋ออ้าปากค้าง คราวนี้เขาพูดไม่ออกเสียแล้ว
กังเหยียนพูดต่อไป “ถ้าข้าจะไม่ผิด คนไร้ศาสนาถือเป็นบาปหนาในโลกของเจ้า ถูกไหม แม้แต่พวกนอกรีตก็ยังสูงส่งกว่าพวกไร้ศาสนาไม่มีความเชื่อ คนพวกนั้นได้รับการปฏิบัติที่รุนแรงนัก นั่นก็เป็นกฎในดินแดนของเจ้าไม่ใช่หรือ เจ้าไม่ยอมให้คนอื่นอยู่โดยไร้ศาสนา โดยการมอบความตายให้พวกเขา แล้วทำไมพวกนั้นถึงไม่มีอิสระทางศาสนาบ้างเล่า คุณธรรมและความยุติธรรมของเจ้าหายไปไหนเสียหมดล่ะ”
จี้เก๋อโกรธจนตัวสั่น
สิ่งนี้คือความจริงอันดำมืดที่ไม่สามารถปกปิดไว้ได้ การปฏิบัติของพวกเขาต่อผู้ที่ไม่มีความเชื่อนั้นรุนแรงเหลือเกินจริง ๆ เรื่องนี้ยังเป็นด้านมืดที่พวกเขาพยายามปกปิดไว้ด้วยแสงแห่งความศรัทธาอีกด้วย
เมื่อครั้งที่ยังมีอำนาจก็ไม่มีใครกล้าพอจะชี้ให้เห็นถึงความจอมปลอมของพวกเขา แต่ในตอนนี้กังเหยียนได้ขุดความเลวร้ายทุกอย่างออกมาให้เห็นคาตาแล้ว
ตั้งแต่ที่โบสถ์ทั้งหลายสังหารคนไร้ศาสนาตามใจชอบ ศิษย์ของนิกายไร้ขอบเขตก็มีสิทธิ์ทำอะไรก็ได้กับโบสถ์ด้วยเช่นกัน
กังเหยียนไม่ได้เป็นคนต้นคิดเรื่องนี้ขึ้นมา แต่เขาก็ยังเรียนรู้มันได้เป็นอย่างดี
แต่ถ้ามุมมองของเขาไม่สมเหตุสมผลแล้วมันจะทำไมกัน
ในโลกใบนี้ เหตุผลถูกตัดสินด้วยพลังอำนาจอยู่แล้ว
การให้เหตุผลตามหลักจริยธรรมมักเป็นเรื่องผิวเผิน ไม่ว่าจะมีเหตุผลที่แสนเบาบางนี้อยู่หรือไม่ สุดท้ายสิ่งที่ควรจะทำก็ต้องถูกกระทำอยู่ดี
กังเหยียนโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ “เผามันซะ”
เปลวเพลิงระลอกใหญ่พวยพุ่งขึ้นห่อหุ้มทั้งโบสถ์เอาไว้
กังเหยียนมองดูและยิ้มออกมา “เจ้าคิดจริง ๆ หรือว่าที่ที่อันตรายที่สุดจะเป็นที่ที่ปลอดภัยที่สุดจริง ๆ เผามันเลย!”
หุ่นเชิดยักษ์หลายร้อยตัวเหาะลงมาจากบนท้องฟ้าและปล่อยพลังมหาศาลลงมาพร้อมกัน
คลื่นพลังนี้ปะทะเข้าใส่เขาประจิมศักดิ์สิทธิ์ แต่กลับดูเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับมันเลย ไม่มีแรงสะท้อนจากการปะทะ ไม่มีแม้กระทั่งหินสักก้อนที่แตกกระจายออกด้วยซ้ำ
ทว่ามวลอากาศบริเวณหลังเขาพลันสั่นสะเทือนราวกับว่ามีบางอย่างกำลังจะผุดขึ้นมาจากบริเวณนั้น
ในที่สุดพื้นที่ตรงนั้นก็เปิดขึ้นจากพลังเพลิงของหุ่นเชิดจำนวนหลายร้อยตัว
ตู้ม!
อาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ขนาดมหึมาพลันปรากฏขึ้นกลางอากาศพร้อมกับเสียงสวดที่ดังก้องไปทั่ว
กังเหยียนหันไปมองแล้วก็ผงะ “หือ นี่ไม่ใช่อาณาจักรของเทพธิดาแห่งดวงจันทร์นี่ มันคืออาณาจักรของ เทพแห่งการลงโทษ”
เก๋อลี่อู เทพแห่งการลงโทษ เป็นเทพเจ้าระดับล่างทั่ว ๆ ไป
แม้ว่าจะเป็นเทพเจ้าระดับล่าง แต่พลังในการต่อสู้ของเก๋อลี่อูก็ไม่เลวเลย อย่างน้อยที่สุดเขาก็แข็งแกร่งกว่าฝูเหม่ยลา แม้ว่าเทพทุกคนจะมีพลังเหนือกว่าฝูเหม่ยลาอยู่แล้วก็ตาม
เมื่อกังเหยียนพบว่าเทพเจ้าที่ซ่อนตัวอยู่บนเขาประจิมศักดิ์สิทธิ์ไม่ใช่เทพธิดาแห่งดวงจันทร์ แต่เป็นเทพแห่งการลงโทษ เขาทำได้เพียงแค่เกาหัวด้วยความสับสน จากนั้นบางอย่างก็ดูเหมือนจะลงตัวพอดี… กังเหยียนพลันยิ้มกว้าง “ใครจะสนว่าเป็นเทพองค์ไหน การทำลายเทพสักองค์ก็ลดปัญหาลงไปแล้วเหมือนกัน”
กังเหยียนผิวปากยาว ที่ด้านหลังของเขาปรากฏเทพอสูรจำนวนหนึ่งที่มุ่งหน้าตรงไปยังอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์อย่างแข็งขัน
“ไร้สาระจริง ๆ เจ้าอยากจะสู้กับข้าที่เป็นเทพเจ้าด้วยเทพอสูรอ่อนแอพวกนั้นน่ะหรือ” น้ำเสียงของเก๋อลี่อูดูแคลนฝ่ายตรงข้ามอย่างเห็นได้ชัด
หากอีกฝ่ายเป็นเทพอสูรเพียงไม่กี่ตน เขาก็ไม่จำเป็นต้องกลัวเลยสักนิด อย่างไรแล้วเขาก็ตัวคนเดียวและไม่ต้องกังวลว่าจะดึงดูดกฎแห่งพลังจากสภาพแวดล้อมเข้ามามากเกินไป หรือส่งผลกระทบต่อพลังงานต้นกำเนิดในบริเวณโดยรอบมากนัก
เก๋อลี่อูในตอนนี้สามารถแสดงอิทธิฤทธิ์ได้อย่างเต็มกำลัง
ตู้ม ตู้ม ตู้ม ตู้ม!
พลังศักดิ์สิทธิ์หลั่งไหลออกมาจากอาณาจักรของเขา
คราวนี้เก๋อลี่อูฉลาดขึ้นแล้ว เขากำลังโจมตีจากภายในอาณาจักรของตัวเอง
อันที่จริงแล้วนี่เป็นการต่อสู้ที่เทพเจ้าจะปรารถนา เมื่อพวกเขาพึ่งพาการป้องกันจากอาณาจักรก็จะทำให้โจมตีฝ่ายตรงข้ามได้อย่างอิสระตามที่ต้องการ ใครก็ตามที่พยายามจะฝ่าเข้ามาในอาณาจักรจะต้องพบกับพลังสะท้อนที่รุนแรงเหนือสามัญสำนึก ยิ่งไปกว่านั้น ทหารศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่มีวันตายในอาณาจักรได้ พวกเขาจะฟื้นฟูร่างขึ้นมาใหม่ได้อีกครั้งแม้ว่าจะ ‘ถูกสังหาร’ ไปแล้วก็ตาม ดังนั้นการเคลื่อนทัพเข้าไปจึงเป็นเรื่องยากยิ่ง และเพราะเก๋อลี่อูใช้พลังของเขาอย่างเต็มที่ พลังในการต่อสู้ของเขาจึงรุนแรงกว่าในการต่อสู้ที่ผ่านมาก
การต่อสู้ก่อนหน้านี้จบลงเร็วเกินไปและเหล่าเทพเจ้าก็โอหังเหลือเกิน เมื่อพวกเขารู้ว่าเกิดอะไรขึ้นก็สายเกินไปเสียแล้ว ทว่าในคราวนี้ เก๋อลี่อูได้เตรียมการไว้เป็นอย่างดี และยังมียุทธวิธีที่ชาญฉลาด อาณาจักรศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้จะปกปักเจ้าของมันขณะที่โจมตีใส่ฝ่ายศัตรู บางทีแม้แต่เทพอสูรบรรพกาลก็อาจไม่สามารถโค่นเก๋อลี่อูได้ง่าย ๆ
แต่กังเหยียนไม่คิดเช่นนั้น
เมื่อเห็นว่าเทพแห่งการลงโทษหดหัวอยู่ในอาณาจักรและไม่ยอมออกมาเผชิญหน้ากันข้างนอก ชายหนุ่มจึงกล่าวเย้ยหยันกลับไป “ท่านคิดจริง ๆ หรือว่าการหดหัวอยู่ในกระดองนั่นจะช่วยชีวิตท่านได้ อย่าลืมสิว่าพวกข้าคิดไว้แล้วว่าจะเข้าล้อมเทพธิดาแห่งดวงจันทร์และจัดการกับนาง ท่านคิดหรือว่าจะรอดชีวิตจากวิธีการที่พวกเราตั้งใจจะใช้กับนาง”
สิ้นคำนั้นค้างคาวฝูงใหญ่ก็บินเข้าใส่คมแสงศักดิ์สิทธิ์ของเทพแห่งการลงโทษ ค้างคาวฝูงนั้นอ้าปากกว้างและพ่นเสียงที่คมปานใบมีดเพื่อทำลายแสงศักดิ์สิทธิ์ของเก๋อลี่อู
“ไอ้ค้างคาวเฒ่า!” เก๋อลี่อูคำรามด้วยความเกรี้ยวกราด แต่ดูเหมือนว่าเสียงของเขาจะแฝงด้วยแววความกลัวเสียแล้ว
ฝูงค้างคาวรวมตัวกันอีกครั้งก่อนจะก่อร่างขึ้นเป็นบรรพชนโลหิต “อย่ารีบนักเลย ข้าไม่ใช่คนที่จะจัดการกับเจ้าหรอก”
อะไรกัน ไม่ใช่เจ้าอย่างนั้นหรือ
เก๋อลี่อูผงะไปและถามขึ้นตามสัญชาตญาณ “แล้วเป็นใครกัน”
“ก็ข้าอย่างไรล่ะ” เสียงของซูเฉินลอยมาในอากาศ
เก๋อลี่อูหันไปพบว่าซูเฉินปรากฏกายขึ้นตรงนั้นเสียแล้ว
จากนั้นชายหนุ่มก็ก้าวเท้าเข้าไปในอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ของเทพแห่งการลงโทษ
นักรบชั้นสูงจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งตรงเข้ามาหาซูเฉินทันทีที่เขาก้าวเข้าไปและโจมตีเขาอย่างเต็มกำลัง พลังในการรบของคนเหล่านี้ถือว่าเพิ่มขึ้นอย่างมากในอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ บางคนที่แข็งแกร่งสักหน่อยอาจมีพลังที่ทำอันตรายเทพเจ้าได้เสียด้วยซ้ำ
แม้แต่ซูเฉินก็ไม่กล้าประมาทเมื่อต้องเผชิญหน้ากับการโจมตีเช่นนี้
ลักษณ์จักรวาลอสูรปรากฏขึ้นอีกครั้ง อสูรนับพันเผ่นโผนทะยานออกมา มังกรสุริยะโลดแล่นราวร่ายรำไปมาอยู่บนห้วงเวหา
นี่เป็นหนึ่งในวิชาที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดของซูเฉินที่ใช้ในการรับมือกับศัตรูกลุ่มใหญ่ รอบตัวเขาเต็มไปด้วยอสูรกายที่กำลังส่งเสียงคำรามรนและควบห้อทะยานไปมา
หากจะเรียกซูเฉินว่าเป็น ‘ราชาแห่งอสูร’ ก็คงไม่ผิดนัก
ทหารศักดิ์สิทธิ์มากมายแทบจะถูกสังหารในทันที
ที่แย่ไปกว่านั้นก็คือ เก๋อลี่อูได้ค้นพบในไม่ช้าว่านักรบที่ตายไปนั้นไม่สามารถคืนชีพได้อย่างเคย
การคืนชีพมีเงื่อนไขมากมายเช่นกัน
นักรบเหล่านี้เป็นตัวตนที่เกิดจากจิตวิญญาณ หากพวกเขาถูกสังหารก็จะสามารถเกิดใหม่ได้ในหอมรณสักขี
แต่ในตอนนี้พวกเขาไม่สามารถคืนชีพที่นี่ได้
เก๋อลี่อูเริ่มตระหนก
ด้วยข้อจำกัดทางพลังสูญ อาณาจักรศักดิ์สิทธิ์แต่ละแห่งจะมีทหารศักดิ์สิทธิ์ได้ไม่มากนัก ในขณะที่เทพเจ้าสูงสุดทั้งสามองค์มีทหารได้หลายล้านคน แต่เทพเจ้าระดับล่างอย่างเก๋อลี่อูนั้นมีทหารได้ราวแปดหมื่นคนเท่านั้น เพราะทหารเหล่านี้ฆ่าไม่ตายจึงถูกใช้เป็นโล่กำบัง แต่หากศัตรูแข็งแกร่งกว่าสักหน่อย โล่ที่ว่านี้ก็ไม่สามารถต้านทานได้และทำให้เก๋อลี่อูต้องต่อสู้เช่นกัน
แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะไม่มีสิ่งใดช่วยให้ที่กำบังแล้ว
วิญญาณที่ถูกสังหารไม่สามารถฟื้นคืนชีพได้อีกต่อไป
เก๋อลี่อูสัมผัสได้ว่าวิญญาณเหล่านั้นยังไม่ได้กลับไปยังหอมรณสักขี ดังนั้นพวกทหารจึงไม่คืนชีพกลับมา
ร่างเหล่านั้นเป็นเพียงศพที่กำลังย่อยสลายและจะกลายเป็นเพียงเศษดิน
เทพแห่งการลงโทษพบว่าตัวเองตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากเสียแล้ว
เขาเริ่มร้องด้วยความตระหนก “เป็นไปได้อย่างไรกัน ไม่มีทาง กลับมาหาข้าเดี๋ยวนี้ นักรบของข้า!”
“ไม่จำเป็นต้องโวยวายหรอก ถ้าไม่ได้รับการอนุญาตจากข้า พวกนั้นก็ไม่สามารถคืนชีพได้” ซูเฉินกล่าวอย่างใจเย็นขณะที่ยังเคลื่อนไปข้างหน้าเรื่อย ๆ
“ไม่! ไม่มีทาง! นี่มันโลกของข้า!” เก๋อลี่อูเริ่มโจมตีซูเฉินอย่างบ้าคลั่ง
ร่างของซูเฉินเริ่มเปล่งประกายแสงสีขาวที่ทำให้เขาสามารถต้านทานกับการโจมตีอย่างต่อเนื่องของเก๋อลี่อูได้ อสูรรอบตัวยังคงสร้างหายนะให้กับอีกฝ่ายและทิ้งร่างไร้วิญญาณเอาไว้มากมาย
ไม่มีนักรบคนใดสามารถคืนชีพกลับมาได้เลย
“ไม่! นี่มันดินแดนของข้า! ฟังคำสั่งของข้าและคืนชีพกลับมาเดี๋ยวนี้!” เก๋อลี่อูคำรามด้วยความไม่พอใจ
“ดินแดนของท่านหรือ” ซูเฉินเหยียด “นั่นแหละคือสิ่งที่ท่านคิดผิด ตอนนี้…ดินแดนนี้เป็นของข้าแล้ว!”
ลักษณ์จักรวาลอสูรกายพลันขยายใหญ่ขึ้นและกินพื้นที่ครอบคลุมทั่วทั้งอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์