ภาคที่ 7 ศึกสุดท้าย บทที่ 102 ยามเหมันต์มาเยือนเทพเจ้า (2)

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 102 ยามเหมันต์มาเยือนเทพเจ้า (2)

เสียงกังวานจากการล่มสลายของอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ของเก๋อลี่อูดังก้อง

เมื่อหิมะหยุดตก เสียงสวดในอาณาจักรก็เงียบลงเช่นกัน… สงครามสิ้นสุดลงแล้ว

ซูเฉินก้าวออกมาจากอาณาจักรที่ถูกทำลายราวกับว่ากำลังกลับมาสู่ดินแดนบ้านเกิดของตัวเอง

แต่สีหน้าของเขาดูประหลาดยิ่งนัก

ราวกับว่าชายหนุ่มได้พบบางอย่างที่เหนือความคาดหมายในการต่อสู้ครั้งนี้

หลังจากครุ่นคิดแล้วซูเฉินก็กล่าวขึ้น “เรื่องนี้จบแล้วล่ะ กลับไปทำหน้าที่เดิมของตัวเองได้”

ทหารกลุ่มหนึ่งสลายตัวไปและทิ้งให้กังเหยียนอยู่ข้างซูเฉินตามลำพัง

เมื่อทุกคนไปแล้ว ซูเฉินจึงพูดต่อ “ไปกันหมดแล้ว”

บรรพชนมนุษย์ปรากฏกายขึ้นกลางอากาศ

“มีบางอย่างที่ข้าไม่เข้าใจ” ซูเฉินกล่าว

“เจ้าอยากรู้ว่าทำไมข้าถึงไม่เข้ามาแทรกแซงในระหว่างการต่อสู้ครั้งใหญ่กับพวกเทพเจ้าใช่ไหม” บรรพชนมนุษย์ถามกลับพร้อมกับเผยยิ้ม

ซูเฉินพยักหน้า

บรรพชนมนุษย์หายถอนใจ “ข้าก็อยากทำอย่างนั้นอยู่หรอก แต่น่าเสียดายที่ข้าทำไม่ได้ ข้ามีเพียงตัวคนเดียวแต่พวกนั้นมีกันตั้งยี่สิบสองชีวิต ข้าไม่ได้แข็งแกร่งถึงเพียงนั้น”

“ข้าก็ยังคิดว่าท่านสามารถทำได้ด้วยการใช้พลังอย่างเต็มที่ อย่างไรเสียการควบคุมและสะกดผู้คนก็เป็นสิ่งที่ท่านเชี่ยวชาญไม่ใช่หรือ” ซูเฉินพูดต่อ

บรรพชนมนุษย์หัวเราะแห้ง ๆ “ข้ารู้ว่าเจ้าคิดอะไรอยู่ เจ้าเชื่อว่าข้าเป็นเจ้าแห่งแดนฝันสินะ”

“แล้วข้าคิดผิดหรือ” ซูเฉินสวนกลับ “ถ้าท่านไม่ใช่ แล้วทำไมถึงมีหลายอย่างเหลือเกินที่มันไม่เข้าเค้า อย่างเช่นเรื่องที่เจ้าแห่งแดนฝันไม่สามารถเห็นตัวจริงของข้าผ่านการปลอมตัวเป็นเทพนภาไร้เงาได้ ทำไมเจ้าแห่งแดนฝันถึงรู้เกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในดินแดนต้นกำเนิดมากมายนัก แต่กลับไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับดินแดนของตัวเอง แล้วตอนที่ข้าสังหารเผ่าวิญญาณนั่นก็ด้วย บางทีนั่นอาจเป็นส่วนหนึ่งในแผนการใหญ่ของท่านที่จะใช้เป็นโอกาสในการเตือนข้า หากท่านไม่ใช่เจ้าแห่งแดนฝัน ข้าก็บอกได้เพียงว่าเขาโง่เหลือเกิน ข้าเชื่อว่าเทพเจ้าทำผิดพลาดได้ แต่ข้าไม่คิดว่าเทพจะโง่ได้ถึงขนาดนี้ เอาล่ะ ทีนี้ท่านจะยืนยันอยู่ไหมว่าท่านไม่ใช่เขา”

บรรพชนมนุษย์ถอนใจ “บางอย่างก็ไม่ชัดเจนได้อย่างที่เจ้าคิดหรอก ข้าไม่สามารถเข้าไปแทรกแซงได้จริง ๆ ไม่ใช่ว่าข้าไม่อยากทำ”

คำตอบนั้นทำให้ซูเฉินผงะไปเล็กน้อย

จนตอนนี้บรรพชนมนุษย์ก็ยังไม่ยอมรับความจริงอยู่อีกหรือ

“เมื่อเวลานั้นมาถึงเดี๋ยวเจ้าก็จะได้รู้เอง ส่วนตอนนี้ เจ้าควรสนใจแต่เรื่องของตัวเองไปก่อน” สิ้นประโยคนั้นจุดแสงสีแดงก็ลอยเข้าไปในร่างของซูเฉิน “นี่คือที่ที่เทพเจ้าอีกสองคนซ่อนตัวอยู่ พวกนี้เป็นสองคนสุดท้ายที่ข้ารู้ การรุกราน อาณาเขตคุนของเจ้าทำให้พวกนั้นสงสัยข้าอย่างมากแล้ว เทพเจ้าหลายคนไม่ยอมเปิดเผยที่อยู่ของตัวเอง ข้ารู้ตำแหน่งของสององค์นี้ก็เพราะข้าใช้วิธีการพิเศษหาตัวพวกเขา ไม่นานหลังจากนี้พวกนั้นก็จะโจมตีข้า เจ้าต้องจัดการให้เรียบร้อยก่อนที่มันจะเกิดขึ้น”

ซูเฉินถามต่อไป “ดังนั้นถ้าข้าเห็นว่าพวกเทพโจมตีเจ้าแห่งแดนฝัน ข้าควรช่วยเขาหรือเปล่าล่ะ”

ไม่น่าเชื่อว่าบรรพชนมนุษย์ตอบคำถามนั้นทันทีโดยไม่ลังเลว่า “ไม่ต้องช่วยหรอก ปล่อยให้เขาตายไปเถอะ!”

คำตอบของเขาทำให้ซูเฉินต้องผงะอีกครั้ง

บรรพชนมนุษย์ไม่ใช่เจ้าแห่งแดนฝันจริง ๆ หรือนี่

แต่ถ้าเป็นเช่นนั้น ก็จะมีปริศนามากมายที่ไม่มีคำตอบ!

“วันหนึ่งเจ้าจะเข้าใจ” บรรพชนมนุษย์กล่าว “นี่ไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ พวกเทพเจ้าคิดแผนการใหม่ขึ้นมาแล้ว”

“แผนอะไรกัน”

“ข้าบอกไม่ได้” บรรพชนมนุษย์ส่ายหน้า

“ท่านบอกไม่ได้หรือ หมายความว่าอย่างไรกัน”

“หลังศึกแห่งทวยเทพ เทพเจ้าหลายองค์ตายไป แต่ก็มีเทพเจ้าจำนวนหนึ่งที่ทิ้งเครื่องมือศักดิ์สิทธิ์เอาไว้ อย่างไม้เท้าแห่งกาลเวลาของเจ้าแห่งเวลาที่ทำนายอนาคตได้ แน่นอนว่ามันก็เหมือนกับไม้เท้ากระดูกต้นกำเนิดของเจ้าที่ต้องการการสังเวยเพื่อจะทำงานได้ และไม่สามารถใช้ในการทำนายผู้ที่มีพลังแข็งแกร่งมากไป ในบรรดาเครื่องมือศักดิ์สิทธิ์ มีสิ่งหนึ่งที่เรียกว่า นภาไร้เสียง มันส่งผลกระทบได้แม้กระทั่งกับเทพเจ้า และทำให้พวกเขาไม่สามารถฝ่าฝืนคำสาบานใด ๆ ที่กล่าวไว้ด้วยนภาไร้เสียงได้”

ซูเฉินเข้าใจทันที

นภาไร้เสียงนี้ถูกใช้กับเทพเจ้าทั้งหมดอย่างไม่ต้องสงสัย รวมถึงบรรพชนมนุษย์เองก็เช่นกัน มันทำให้เขาไม่สามารถบอกซูเฉินถึงสิ่งที่เกิดขึ้นได้ แม้ว่าจะรู้ก็ตาม

การใช้นภาไร้เสียงนั้นมีราคาสูงมาก มันจะถูกนำมาใช้ในสถานการณ์อันละเอียดอ่อนที่จะตัดสินชะตาของเหล่าเทพเท่านั้น นั่นทำให้บรรพชนมนุษย์ไม่สามารถบอกถึงแผนการของเทพเจ้าได้

ซูเฉินพลันนึกขึ้นได้ว่าบรรพชนมนุษย์เคยบอกไว้ว่าเขาไม่สามารถบอกบางอย่างกับซูเฉินได้

ในที่สุดตอนนี้เขาก็เข้าใจแล้วว่าทำไมบรรพชนมนุษย์ถึงไม่พูด

อันที่จริงแล้วนภาไร้เสียงและคำสาบานของบรรพชนมนุษย์ถูกผูกมัดกันไว้เพื่อป้องกันไม่ให้เขาปล่อยข้อมูลรั่วไหลออกไป

สาเหตุเพียงอย่างเดียวที่เขาไม่สามารถพูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนั้นได้ก็เพราะเทพเจ้าอ่อนแอลงมาก ตอนนี้นภาไร้เสียงถูกนำมาใช้กับเทพเจ้าราวยี่สิบองค์ ทำให้บรรพชนมนุษย์ที่เป็นหนึ่งในนั้นพูดถึงข้อมูลต่าง ๆ ได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น

“ผลของแผนการครั้งนี้จะรุนแรงไหม”

“ข้าบอกไม่ได้”

“ถ้าแผนนั่นสำเร็จ พวกเราจะล่มสลายไหม”

“ข้าบอกไม่ได้”

“เทพเจ้าที่ยังมีชีวิตอยู่จะเข้าร่วมด้วยหรือเปล่า”

“ข้าบอกไม่ได้”

“ก็ได้ ดูเหมือนว่าเรื่องนี้จะถูกปิดบังไว้เป็นอย่างดีทีเดียว” ซูเฉินตอบอย่างช่วยไม่ได้

ช่วงชีวิตที่ยาวนานของเทพเจ้าหมายความถึงการที่พวกเขาไม่ต้องการจะคิดแก้ไขปัญหา แต่นั่นก็เพราะเหล่าเทพขี้เกียจเท่านั้น ไม่ได้แปลว่าพวกเขาไร้สมอง เมื่อภัยคุกคามครั้งใหญ่เกิดขึ้น เทพทั้งหลายก็ไม่มีทางทำผิดพลาดและปล่อยช่องมีช่องโหว่ไว้ให้ซูเฉินแน่

“แล้วข้าควรทำอย่างไรต่อ” ซูเฉินถามหลังจากคิดคำนวณดู

“หาพวกนั้นให้พบและสังหารให้หมดอย่างเร็วที่สุดเท่าที่เจ้าจะทำได้!” บรรพชนมนุษย์ตอบอย่างแน่วแน่

“เข้าใจแล้ว” ซูเฉินพยักหน้า “น่าเสียดายที่ท่านมีเป้าหมายให้ข้าเพียงสองคน เทพเจ้าคนอื่น ๆ คงซ่อนตัวเป็นอย่างดีคงไม่ได้หาพบง่าย ๆ แน่”

“นั่นมันปัญหาของเจ้า”

เมื่อพูดจบ ร่างของบรรพชนมนุษย์ก็เริ่มจางหายไป

ซูเฉินมองดูอย่างเงียบ ๆ

กังเหยียนกล่าวขึ้น “นายท่านคิดว่าบรรพชนมนุษย์กำลังคิดจะทำอะไรกันแน่ สรุปแล้วเขาเป็นเจ้าแห่งแดนฝันหรือเปล่า”

ซูเฉินส่ายหน้า “ข้าเองก็ไม่รู้ แต่ต่อให้เขาไม่ใช่ ข้าก็เชื่อว่าเทพสององค์นั้นจะต้องมีบางอย่างเกี่ยวข้องกันอย่างใกล้ชิดแน่”

กังเหยียนยักไหล่ “ถ้าเช่นนั้นบางทีเราอาจคลายข้อบังคับต่อเจ้าแห่งแดนฝันในดินแดนต้นกำเนิดก็ได้”

“ไม่จำเป็นหรอก” ซูเฉินตอบ “เจ้าไม่ได้ยินที่เขาพูดก่อนหน้านี้หรือ ต่อให้เราเจอเจ้าแห่งแดนฝันที่นี่ เราก็ควรจะสังหารเขาเหมือนกัน”

“เรื่องนี้ข้าไม่เข้าใจเลยจริง ๆ” กังเหยียนยังคงสับสน

แต่ตอนนี้ซูเฉินสนใจแผนการลับที่บรรพชนมนุษย์พูดถึงมากกว่า

เขาหมายถึงแผนการอะไรกันนะ

ซูเฉินอดคิดไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างหลังจากที่เขาสังหารเก๋อลี่อู

หลังจากปลิดชีวิตเก๋อลี่อูแล้ว ซูเฉินก็ไม่สามารถสกัดเอาพลังศักดิ์สิทธิ์ของเขามาได้

ชายหนุ่มไม่เข้าใจเลยจริง ๆ

ชิ้นส่วนพลังสกัดนั้นจะก่อตัวขึ้นหลังจากที่เทพเจ้าตาย มันประกอบไปด้วยพลังที่เทพเจ้าผู้นั้นเคยมีมาก่อน

แต่พลังนี้ดูเหมือนว่าจะสลายหายไปในอากาศเสียอย่างนั้น

เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับแผนการที่บรรพชนมนุษย์พูดถึงหรือเปล่านะ

แต่แผนการนั่นมันคืออะไรกันแน่

ซูเฉินคิดไม่ออกเลยจริง ๆ

แต่ในเมื่อมันเป็นเช่นนี้ ก็ไม่มีประโยชน์ที่เขาจะคิดถึงมันต่อไป

เขาควรทำตามที่บรรพชนมนุษย์บอกและเริ่มลงมือสังหารเทพเจ้าให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ นั่นคือทางเลือกที่ดีที่สุดในตอนนี้

“ถ้าเช่นนั้นก็สังหารพวกนั้นให้หมด หลังจากศึกแห่งทวยเทพก็ได้เวลาที่เทพเจ้าจะตกอยู่ในห้วงเหมันต์แล้ว! เหมันต์ครั้งนี้จะคงอยู่อย่างถาวร พวกนั้นจะไม่มีทางฟื้นคืนกลับมาได้อย่างแน่นอน”

สิ้นคำสั่งของซูเฉิน การค้นหาเทพเจ้าก็เริ่มขึ้นทันที

ผู้ฝึกตนจากดินแดนต้นกำเนิดกระจายตัวไปทั่วอาณาเขตคุนเพื่อหาสัญญาณของเทพเจ้า

ซูเฉินยังได้สร้างอุปกรณ์ตรวจจับพลังสูญขนาดใหญ่ขึ้นมาอีกด้วย หากเทพเจ้าองค์ใดเข้าใกล้มัน อุปกรณ์นี้ก็จะทำงานทันที

แผนการนี้สำเร็จ

หลังจากพยายามอย่างหนัก ทัพดินแดนต้นกำเนิดก็พบเทพเจ้าอีกสามองค์และสังหารพวกเขาโดยไม่รอช้า

แต่พวกเทพก็ไม่ได้โง่เขลา เมื่อรู้ว่าตัวเองตกอยู่ในสถานการณ์เช่นไร พวกเขาก็เริ่มจะระมัดระวังอุปกรณ์ของซูเฉินมากขึ้นเช่นกัน เป็นธรรมดาที่ฝ่ายเทพเจ้าจะพบอุปกรณ์ของซูเฉินได้ง่ายกว่าที่อุปกรณ์จะหาพวกเขาพบ นั่นจึงทำให้สิ่งประดิษฐ์ของชายหนุ่มดูไร้ประโยชน์ แต่กระนั้นซูเฉินก็ไม่ยอมแพ้และพัฒนาอุปกรณ์ที่ส่งแรงสั่นสะเทือนอย่างแรงจนทำให้เทพเจ้าต้องออกมาจากที่ซ่อน

ในที่สุดพวกเขาก็พบเทพเจ้าอีกจำนวนหนึ่ง

แต่แล้วเทพเจ้าก็ปรับตัวเพื่อรับมือกับอุปกรณ์ชิ้นใหม่นี้ได้อีกครั้งและพบวิธีการที่จะหาอุปกรณ์ของซูเฉินได้พบอีกเช่นเคย

ทั้งสองฝ่ายเหมือนแมวที่กำลังวิ่งไล่จับหนู ซึ่งในระหว่างการไล่ล่านี้ เทพเจ้าราวสิบองค์ถูกสังหาร และฝ่ายทหารดินแดนต้นกำเนิดก็เกิดการสูญเสียไม่ต่างกัน

ทว่าจนกระทั่งตอนนี้ก็ยังไม่มีเทพเจ้าระดับสูงปรากฏเลยสักคน

สถานการณ์ในตอนนี้ทำให้ซูเฉินรู้สึกไม่สบายใจ เทพเจ้าที่เพิ่งถูกสังหารไปนั้นไม่ได้ทิ้งพลังศักดิ์สิทธิ์เอาไว้เลย

ต้องขอบคุณเม็ดกลมทั้งสองที่เขาได้มาจากการต่อสู้แรกเริ่มที่ทำให้พาเยี่ยเฟิงหานกับเล่อเฟิงเข้าไปยัง ดินแดนปฐมแห่งวิญญาณ ได้

และกู่ชิงลั่วกับจูเซียนเหยาก็สร้างยาเม็ดสีทองขึ้นได้แล้วเช่นกัน

ตอนนี้มีผู้ฝึกตนพลังต้นกำเนิดจำนวนหนึ่งที่เชี่ยวชาญในพลังอมตะ หลายคนบรรลุถึงขั้นก่อร่างแล้วด้วย

ดังนั้นในทุกวันที่ผ่านไป ความแข็งแกร่งของเผ่าพันธุ์มนุษย์จึงเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ อย่างมั่นคง

เทพเจ้าถูกค้นพบและสังหารมากขึ้นเรื่อย ๆ

แต่ซูเฉินก็ยังไม่สามารถสลัดความรู้สึกไม่สบายใจนั้นออกไปได้

ราวกับว่ามีพายุขนาดใหญ่กำลังก่อตัวอยู่ที่เส้นขอบฟ้า เขาไม่สามารถละเลยความรู้สึกนั้นไปได้เลยจริง ๆ

แต่ถึงอย่างนั้นซูเฉินก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากล่าเทพเจ้าทั้งหลายต่อไป

เวลาสามปีผ่านไปในชั่วพริบตา

ณ ทุ่งดาวล้านดวง

ที่นี่เป็นดินแดนต้องห้ามซึ่งเกิดขึ้นตามธรรมชาติในอาณาเขตคุน ซึ่งปรากฏว่าเป็นเขตแดนของเทพแห่งความตาย แม้กระทั่งตอนนี้ทุ่งดาวล้านดวงก็ยังเปล่งรังสีแห่งความตายที่น่าขนลุกนัก สิ่งมีชีวิตใดก็ตามที่เข้าใกล้ต่างก็ต้องเกรงกลัวและรู้สึกถูกคุกคามอย่างประหลาด

แต่ผู้ฝึกตนของดินแดนต้นกำเนิดก็ค้นหาที่นี่จนทั่วมามากกว่าสิบหกครั้งแล้ว ความมุ่งมั่นนี้แสดงให้เห็นแล้วว่าพวกเขาแน่วแน่เพียงไรในการตามหาเทพเจ้าที่อาจซ่อนตัวอยู่

ในวันนั้นผู้ฝึกตนดินแดนต้นกำเนิดอีกกลุ่มได้เดินทางมาถึง

ทว่าผู้ฝึกตนกลุ่มนี้ไม่ใช่ผู้ฝึกตนธรรมดา ๆ …เป็นซูเฉินที่เดินทางมาด้วยตัวเอง

เขาตรวจดูทั่วทั้งทุ่งดาวล้านดวงอย่างใจเย็นโดยมีศิษย์นิกายไร้ขอบเขตจำนวนนับไม่ถ้วนติดตามไปด้วย

ขณะที่มองออกไปยังทุ่งที่แห้งแล้ง ซูเฉินก็ร้องขึ้น “ออกมาได้แล้วโหยวหม่าเค่อ ซ่อนอยู่ที่นี่ไม่ได้ทำให้ท่านปลอดภัยอีกต่อไปหรอก”

ไม่มีเสียงตอบรับ

ซูเฉินหัวเราะ “จะไม่ยอมจนกว่าจะจนมุมจริง ๆ สินะ”

จากนั้นชายหนุ่มก็ยกมือขึ้นและคว้าออกไปที่ตรงหน้า

มวลอากาศที่เบื้องหน้าซูเฉินพลันฉีกขาดออกและเงาดำมืดก็ปรากฏขึ้น เงานั้นแผ่รังสีแห่งความตายออกมาและมีชิ้นส่วนอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ของเขาล้อมรอบอยู่

แม้แต่ซูเฉินก็ยังต้องตกใจกับภาพที่เห็น

อาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ของโหยวหม่าเค่อถูกทำลายแล้วหรือ

ผู้ศรัทธาที่เคยอยู่ที่นี่ต่างนอนกระจัดกระจายอยู่ตามพื้นในสภาพที่น่าสังเวชราวกับว่าทุกคนติดโรคระบาดที่รุนแรงอย่างไรอย่างนั้น

แต่พวกเขาก็ยังมีชีวิตและยังคงอธิษฐานขันแข็งเพื่อมองความศรัทธาให้กับโหยวหม่าเค่อ

“ในที่สุดเจ้าก็มา” เสียงของโหยวหม่าเค่อแหบพร่า

เขาปรากฏกายอยู่เหนืออาณาจักรที่ล่มสลายของตัวเองและเผยให้เห็นใบหน้าที่ดูแสนจะธรรมดา ใบหน้านั้นไม่ได้มีราศีหรือดูลึกลับอย่างที่เทพเจ้าควรจะเป็นเลย

แม้แต่ซูเฉินก็ยังอดพูดขึ้นไม่ได้ “นี่ท่านตกต่ำถึงเพียงนี้เชียวหรือ ดูเหมือนว่าเวลาของท่านจะหมดลงแล้ว ต่อให้ข้าไม่ได้มาที่นี่ก็ตาม”

โหยวหม่าเค่อหัวเราะขมขื่น “ดูเหมือนว่าเจ้าจะพอใจที่ได้เห็นสภาพของข้าเช่นนี้สินะ ใช่แล้ว ครั้งนี้เจ้าอาจเป็นฝ่ายชนะและหาข้าพบ สิ่งเดียวที่ข้าเสียใจก็คือข้าไม่สามารถอยู่ต่อไปจนถึงตอนจบของเรื่องนี้ได้! แต่ก็ไม่เป็นไรหรอก ต่อให้ข้าไม่ได้เป็นหนึ่งในเทพเจ้าที่จะได้ยินดีกับความสำเร็จ แต่ก็ถือว่าข้าได้ทำในหน้าที่ในส่วนของข้าแล้ว”

เมื่อได้ยินดังนั้น ความไม่สบายใจในอกของซูเฉินก็พลันรุนแรงขึ้น “ท่านหมายความว่าอะไรโหยวหม่าเค่อ”

โหยวหม่าเค่อหัวเราะร่วน

ไม่ช้าเศษซากอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ของเขาและผู้ศรัทธาทั้งหลายก็พลันลุกไหม้ด้วยไฟกัลป์

พร้อมกันนั้นพลังศักดิ์สิทธิ์ที่คุ้นเคยก็เปล่งประกายขึ้นอีกครั้ง

นี่เป็นการแสดงพลังครั้งสุดท้ายของโหยวหม่าเค่อ!

แต่เขาไม่ได้กำลังใช้พลังทั้งหมดที่มีเพื่อต่อกรกับซูเฉิน อาณาจักรศักดิ์สิทธิ์และผู้ศรัทธาทั้งหลายกำลังถูกแผดเผาขณะที่โหยวหม่าเค่อยังคงหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง

นี่เป็นครั้งแรกที่ซูเฉินได้พบกับเทพเจ้าที่เสียสติถึงเพียงนี้

ร่างของโหยวหม่าเค่อเริ่มติดไฟด้วยเช่นกัน ไฟลามไปทั่วทั้งร่างของเขาในที่สุด พลังที่อันแข็งแกร่งถูกปลดปล่อยออกมาเมื่อร่างของโหยวหม่าเค่อถูกใช้เป็นเชื้อเพลิงให้เปลวไฟลุกโชนไปทั่วทุกทิศทาง

กฎแห่งพลังที่ไม่เคยเห็นมาก่อนนี้ทำให้ซูเฉินรู้สึกไม่ปลอดภัยขึ้นมาทันที

ในที่สุดเขาก็เข้าใจถึงแผนการทั้งหมดของเหล่าเทพเจ้าแล้ว

“แย่ล่ะ!” ชายหนุ่มร้องขึ้น

ตู้ม!

เสียงระเบิดดังสนั่นขึ้น

เสียงนั้นยาวนานเหลือเกิน มันดังไปถึงอาณาเขตคุนและดินแดนต้นกำเนิด ทุกคนและสิ่งมีชีวิตทั้งหมดในทั้งสองดินแดนต่างได้ยินเสียงอันสนั่นหวั่นไหวนี้และสัมผัสได้ถึงสิ่งที่ไม่เคยขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์…

ปราการเทพเจ้าล่มสลายแล้ว