อู๋ฉยงปี้ไม่อาจคิดหาคำตอบได้ ไม่อาจเข้าใจว่าการรวมพลังของผู้เยาว์สองคนจะต้านทานการโจมตีที่รวมการบำเพ็ญเพียรทั้งหมดของนางได้อย่างไร
ขนาดผู้โจมตีอย่างนางยังไม่เข้าใจ พวกคนที่อยู่บนที่ราบสูงซึ่งมองเห็นไม่ชัดด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้นย่อมสับสนยิ่งกว่า
อันที่จริงแม้แต่เฉินฉางเซิงกับสวีโหย่วหรงเองก็ยังไม่เข้าใจมากนักว่าเกิดอะไรขึ้น
พวกเขามองหน้ากัน พอจะคาดเดาบางอย่างได้ กระนั้นก็ไม่กล้าพูดออกมา
“เป็นไปไม่ได้!”
อู๋ฉยงปี้ฉุนเฉียวและไม่ยินยอมอย่างที่สุด สะบัดแส้หางม้าลงอีกครั้ง ใบบัวเขียวส่ายไหวอย่างบ้าคลั่ง แผ่คลื่นแห่งการดับสูญนับไม่ถ้วนออกมา คลื่นยักษ์ลอยสูงขึ้นจากผิวทะเลและถล่มใส่หน้าผา ราวกับว่ากฎของโลกได้ปกคลุมที่ราบสูงนี้
ผู้บำเพ็ญเพียรที่อ่อนแอไม่อาจแม้แต่จะคิดที่จะต้านทาน ภาพนี้ทำให้เส้นทางแห่งจิตของพวกเขาป่นเป็นผงและทำลายความต้องการที่จะต่อสู้ไปจนหมด
โก่วหานสือ ฮู่ซานสือเอ้อร์และคนอื่นรู้ว่าไม่อาจที่จะหยุดการต่อสู้นี้ได้ ดังนั้นพวกเขาจึงหยุดอยู่รอบนอก
การต่อสู้เข้าสู่จุดที่วิกฤตที่สุด ถังซานสือลิ่วไม่อาจสงบอารมณ์และละสายตาจากเปี๋ยยั่งหงไปมอง
ศิษย์สถานศึกษาหนานซี ยอดฝีมือราชสำนักและผู้พิทักษ์ของสองตระกูล ผู้อาวุโสของสำนักต่างๆ ในแดนใต้… ทุกคนล้วนมองไป
ผู้บำเพ็ญเพียรบนที่ราบสูงต่างมีจุดยืนและความลำเอียงต่างกันไป แต่ในตอนนี้ทุกคนกลับมีความคาดหมายเหมือนกันอย่างน่าอัศจรรย์
เรื่องแบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน นี่เป็นเรื่องน่าทึ่งแม้ว่าออกจะเหลวไหลไปบ้าง
ทว่าวันนี้ ทุกคนได้เห็นภาพนี้กับตาตัวเอง เมื่อมันเกิดขึ้นมาแล้วครั้งหนึ่ง มันจะเกิดขึ้นอีกหรือไม่
ลมพัดหวีดหวิวเมื่อแส้หางม้าของอู๋ฉยงปี้นำทะเลบัวที่ดูเหมือนมีจริงและไม่จริงท่ามกลางคลื่นแห่งการดับสูญเข้าหาเฉินฉางเซิงกับสวีโหย่วหรง
กระบี่จำศีลลอยขึ้นผ่านท้องฟ้า ส่องแสงศักดิ์สิทธิ์นับไม่ถ้วนเข้าสู่ทะเลบัว เป็นภาพที่งดงามเจิดจ้า
ในเวลาเดียวกันหรือบางทีห่างกันแค่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น กระบี่ไร้ราคีก็ลอยขึ้นด้านหลังแสงพวกนั้น ตามหลังกระบี่จำศีลไปติดๆ ลุกไหม้ด้วยเปลวเพลิงนับไม่ถ้วน ส่องสว่างและงดงาม
ประกายกระบี่สองสายสนับสนุนซึ่งกันและกัน ส่องสว่างทะเลบัวที่มืดมัว
เจตจำนงกระบี่สองสายสะท้อนกันและกัน ส่องสว่างแรงจ้ายิ่งกว่าเดิม พลังอันน่าทึ่งของพวกมันตัดผ่ากลิ่นอายแห่งการดับสูญที่ปกคลุมที่ราบสูงจนเกิดช่องว่าง
เพลงกระบี่ทั้งสองของเฉินฉางเซิงกับสวีโหย่วหรงดูเสมือนจะรวมเป็นหนึ่ง พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ กระบี่ของพวกเขาดูเป็นหนึ่งเดียวกัน
พลังกระบี่ของพวกเขาแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า ถึงกับสามารถตัดกฎแท้จริงแห่งโลกที่อยู่ในทะเลบัวได้!
ฝุ่นลอยขึ้นอย่างฉับพลันและค่อยๆ สงบลง
เฉินฉางเซิงยืนอยู่ตรงหน้าสวีโหย่วหรงเลือดไหลออกมาจากมุมปากของเขาและเสื้อฟ้าก็มีรอยฉีกขาดเพิ่มขึ้นหลายรอย เขาได้รับบาดเจ็บไม่น้อยเลย
ผมของสวีโหย่วหรงเสียทรงไปบ้าง เส้นผมสีดำหลายเส้นลอยไปตามสายลม บดบังดวงตางดงามของนางไปครึ่งหนึ่ง
สังฆราชก็อยู่ในสภาพน่าสงสารทีเดียว ปกเสื้อด้านหน้าของชุดนักพรตถูกตัดขาด มวยผมหลุดและเส้นผมตกลงประบ่า ถูกสายลมพัดพลิ้ว
ทว่าทั้งหมดนี้ไม่สำคัญ
ที่สำคัญก็คือเฉินฉางเซิงกับสวีโหย่วหรงไม่ได้ถอยไปแม้แต่ก้าวเดียว
อู๋ฉยงปี้ไม่ได้ก้าวไปข้างหน้าแม้แต่ก้าวเดียว
ทั้งสองฝ่ายสู้เสมอกัน
ทุกคนสามารถมองเห็นได้ แต่ไม่มีใครยอมเชื่อ แม้ว่านี่จะเป็นครั้งที่สองที่ได้เห็นก็ตาม
ผู้บำเพ็ญเพียรที่ยังไม่เข้าสู่เขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์กลับสามารถที่จะปะทะซึ่งหน้ากับยอดฝีมือเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์และผลออกมาเสมอกัน!
พวกเขาไม่ได้ใช้ของวิเศษอันใด ใช้แค่การบำเพ็ญเพียรในวิถีกระบี่เท่านั้น!
เรื่องแบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์!
นับจากตอนที่แผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์ตกลงมายังใจกลางต้าลู่ เรื่องแบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน!
……
……
ที่ราบสูงยังคงนิ่งเงียบ ไม่มีใครพูดอะไร ทุกคนตกใจเกินไป
ไม่ว่าจะเป็นโก่วหานสือหรือรองเจ้าสำนักต้นไหว ไม่ว่าจะเป็นหญิงชราตระกูลมู่ท่าหรือผู้นำตระกูลอู๋ ไม่ว่าจะเป็นขุนพลเทพพยัคฆ์ขาวหรือเซียงอ๋อง พวกเขาล้วนตกใจเกินกว่าจะพูด
ไม่มีใครสังเกตว่าที่มุมหนึ่งของที่ราบสูง ผู้บำเพ็ญเพียรจากสำนักเล็กๆ คนหนึ่งสวมชุดสีน้ำเงินและหมวกไม้ไผ่สาน กำลังเดินเข้าใกล้จุดต่อสู้ ไม่มีใครสังเกตว่าในคณะทูตราชสำนักมีทหารที่ไม่โดดเด่นอันใดกำลังเดินเข้าใกล้ขุนพลเทพพยัคฆ์ขาว
อู๋ฉยงปี้ร่อนลงบนที่ราบสูง ตามองแส้หางม้าในมือด้วยสีหน้างงงวย
นางอยู่ในเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์มาหลายปีและบำเพ็ญเพียรมาเป็นเวลายาวนานกว่า แม้แต่นางก็ไม่อาจนับเรื่องประหลาดที่นางเคยพบเจอมาได้ถ้วน
แต่ไม่มีเรื่องไหนที่สะเทือนใจนางมากกว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นช่วงสองวันมานี้
มีใครกล้าลงมือสังหารลูกรักของนางได้อย่างไร
ผู้เยาว์สองคนสามารถสู้เสมอกับนางได้อย่างไร
นางนึกถึงเพลงกระบี่ทั้งหมดที่นางเคยพบเห็นมาตลอดชีวิตแต่ก็ยังไม่อาจเข้าใจได้
สวีโหย่วหรงได้ใช้กระบวนท่าที่แปดของเพลงกระบี่เบื้องต้นสถานศึกษาหนานซีในขณะที่เฉินฉางเซิงใช้เพลงกระบี่สันดาปที่ซูหลีสอนเขา อย่าว่าแต่คล้ายคลึงกันเลย เพลงกระบี่ทั้งสองเรียกได้ว่ามีเจตจำนงที่ตรงกันข้ามกันอย่างสิ้นเชิง ไม่อาจเข้ากันได้ในทุกแง่มุม แต่ทำไมเพลงกระบี่ทั้งสองกลับผสานกลมกลืนกันได้อย่างดีเช่นนี้
ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่ไม่ใช่การผสานเพลงกระบี่ธรรมดา การผสานรวมนี้สมบูรณ์แบบจนไม่ใช่แค่มีเจตนาใช้ออกมาร่วมกัน มันดูเหมือนว่ามันจะเป็นไปตามกฎของโลกอย่างลับๆ เป็นไปตามธรรมชาติ การป้องกันไร้จุดอ่อน การโจมตียากหยั่งถึง พลังกระบี่เพิ่มขึ้นในยามที่ความแข็งแกร่งทบทวีขึ้นไม่หยุดหย่อน!
ยอดฝีมือที่ชาญฉลาดหลายคนบนที่ราบสูงก็ครุ่นคิดถึงคำถามนี้เช่นเดียวกับอู๋ฉยงปี้
เฉินฉางเซิงกับสวีโหย่วหรงก็เช่นเดียวกัน
ในครั้งแรกสวีโหย่วหรงออกจากการกักตนและบินมาในรูปของหงส์เพลิง ตั้งใจใช้เจตจำนงกระบี่ที่สะสมมาสองปีระหว่างการกักตนเพื่อเปิดทางเข้ามา
นางไม่คาดคิดว่าการโจมตีของเฉินฉางเซิงจะส่งผลกระทบใหญ่หลวงเช่นนี้
ตอนที่กระบี่ของนางกับกระบี่ของเขาพบกัน พวกมันก็ดูเหมือนจะสร้างการเชื่อมโยงขึ้น
มันเป็นการเชื่อมโยงที่ลึกลับอย่างยิ่ง สามารถสัมผัสถึงได้แต่ยากที่จะบรรยายออกมาเป็นคำพูด
พวกเขาใช้เพลงกระบี่ที่ต่างกันแต่ความเชื่อมโยงนี้ทำให้พวกเขาประสานงานกันได้อย่างเป็นธรรมชาติ แม้แต่เจตจำนงกระบี่ของพวกเขาก็ยังดูเหมือนกลายเป็นหนึ่งเดียว
ในครั้งที่สองความรู้สึกนี้ชัดเจนยิ่งขึ้น แจ่มแจ้งยิ่งขึ้น
พวกเขาถึงกับสัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่ได้อย่างถูกต้อง
กระบี่ทั้งสองดูเหมือนว่าสัมผัสได้ถึงมุมและเส้นทางของอีกฝ่ายได้เช่นกัน
เพลงกระบี่ทั้งสองยังคงต่างกัน แต่เจตจำนงกระบี่เป็นหนึ่งเดียว
เหมือนกับหยกสองก้อนซ่อนอยู่ใต้ชั้นหินที่คลุมด้วยตะไคร่ เสียดสีกันและกันจนเผยรูปลักษณ์ที่แท้จริงออกมาจากนั้นก็รวมเป็นหยกที่งดงามไร้ที่ติก้อนเดียว
แต่ว่าเกิดอะไรขึ้นกัน มันเกิดขึ้นได้อย่างไร
สวีโหย่วหรงยิ้มให้เขาและถาม “เจ้าเรียนเพลงกระบี่ประสานรวมตั้งแต่เมื่อไหร่”
สวีโหย่วหรงตอบ “ตอนที่ข้าไปหาเจ้าบนยอดเขาเมื่อวานนี้ ข้าเบื่อขึ้นมาก็เลยอ่านหนังสือไปสองสามเล่ม”