บทที่ 548 การฝึกหมัดบางอย่างไม่เหมือนกัน

กระบี่จงมา! Sword of Coming

เฉินผิงอันย้อนกลับไปยังเรือนในนครเหนือเมฆพร้อมกลิ่นเหล้าคละคลุ้ง

เขาวาดยันต์รอยหิมะลงบนกำแพงเรือนไปรอบหนึ่ง ป้องกันโจรเล็กๆ ได้ แต่ป้องกันเทพเซียนที่บรรลุมรรคาไม่ได้ แต่ก็ดีกว่าไม่มีเลย

เดินเข้ามาในลานบ้าน เฉินผิงอันสะบัดชุดเขียวเบาๆ สลายกลิ่นสุราทั่วร่าง เดินเข้ามาในสถานที่ฝึกตนที่ผู้ถวายงานสวี่อยู่อาศัยตลอดทั้งปี นั่งลงบนเบาะใบหนึ่ง ที่สามารถรวบรวมปราณวิญญาณฟ้าดินได้ เฉินผิงอันเอากลอนคู่นั้นมาแขวนไว้บนผนังด้านหลัง เดิมทีเป็นเพียงห้องที่ว่างเปล่า แต่พอมีกลอนบทนี้ก็มีกลิ่นอายของ ห้องหนังสือเพิ่มขึ้นมาได้หลายส่วน เฉินผิงอันคิดว่าวันหน้ากลับไปถึงภูเขาลั่วพั่ว จะเอากลอนคู่นี้ไปแขวนไว้ที่ชั้นหนึ่งของเรือนไม้ไผ่ จะไม่มีทางเอาไปขายเด็ดขาด จะเก็บไว้เป็นสมบัติสืบทอดของตระกูล เหมือนกับเทียบอักษรแบบหวัดที่เสี้ยนเว่ย (ตำแหน่งขุนนางใต้บังคับบัญชานายอำเภอ คอยดูแลเรื่องความสงบปลอดภัย ในอำเภอ) คนนั้นเขียนหลังจากเมามาย

เฉินผิงอันหยิบแผ่นไม้พุทราสีชาดของลัทธิเต๋าแผ่นนั้นออกมา จำเป็นต้อง รีบหลอมมันให้สำเร็จก่อน ไม่อย่างนั้นไม่ว่าผู้ฝึกลมปราณคนใดที่ได้ไปก็สามารถ เปิดประตูเข้าไปด้านในได้ตามสบาย ลำพังเพียงแค่หลอมเล็กให้กลายเป็นภาพมายา เก็บเข้าไปในช่องโพรงลมปราณนั้น ไม่ได้มีความหมายมากนัก

การหล่อหลอมวัตถุบนโลก หลอมเล็กกลายเป็นมายา อย่างเงินเทพเซียนในมือ ย่อมมีไปมีมาอย่างเลี่ยงไม่ได้ หลอมกลางจะเหมือนการสร้างศาลบรรพจารย์ ของสำนักบนภูเขา เป็นการหยั่งรากลงบนช่องโพรงลมปราณอย่างแท้จริง ส่วนการหลอมใหญ่ก็คือวัตถุแห่งชะตาชีวิตของผู้ฝึกตน

ก่อนจะหลอมวัตถุจื่อชื่อ เฉินผิงอันเอาสมบัติสามชิ้นออกมาชื่นชมให้สบายตาสบายใจ

ตอนนั้นที่อยู่ในตำหนักน้ำ เฉินผิงอันใช้ยันต์ทำการค้ากับนักพรตซุนสามครั้ง

เทวรูปหยวนจวินไม้แกะสลักที่มีชีวิตชีวาเหมือนจริง ให้ความรู้สึกงดงามดั่งลมพัดน้ำไหล

พัดทรงกลมเล่มหนึ่งที่น่าสนใจมากที่สุด ภาพที่ปักลงบนตัวพัดคือภาพของสตรีในห้องส่วนตัวคนหนึ่งที่ถือพัดกลมไว้ในมือ สตรีเรือนกายสะโอดสะองในภาพวาดกำลังหยอกล้อนกขมิ้นตัวหนึ่งที่อยู่บนกิ่งไม้

ข้องราชามังกร ทั้งยังเป็นคู่ แบ่งออกเป็นสลักคำว่า ‘ชนเจียว’ ‘ซ่อนผาน’ (ผานหลง มังกรขดตัว)

เฉินผิงอันคิดว่าจะมอบเทวรูปไม้แกะสลักให้หลี่ไหว

ส่วนพัดทรงกลมนั้นจะมอบให้กับเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพู บนภูเขาลั่วพั่ว อันที่จริงคนที่ยุ่งที่สุดในทุกๆ วันไม่ใช่ผู้ดูแลใหญ่จูเหลี่ยน แล้วก็ไม่ใช่เฉินยวนจีที่มุมานะ ฝึกวิชาหมัด ยิ่งไม่ใช่เจิ้งต้าเฟิงที่ทุกวันเอาแต่นั่งอาบแดดอาบแสงจันทรา มีเพียงเด็กหญิงอย่างเฉินหรูชูคนเดียวเท่านั้น เฉินผิงอันถึงขั้นเชื่อมั่นว่า ขอแค่ภูเขาลั่วพั่วยังคงอยู่ เฉินหรูชูก็จะยุ่งทำงานง่วนแบบนี้ต่อไป หิ้วถังน้ำ ถือผ้าเช็ดโต๊ะ ตรงเอว ห้อยกุญแจเป็นพวงที่ส่งเสียงกระทบกันเบาๆ ต่อให้ฟ้าผ่าก็ไม่สะเทือน นางจะต้องเอ่ยทักทายชุยเฉิงบนเรือนไม้ไผ่ ยื่นเมล็ดแตงส่งให้เผยเฉียน รดน้ำใส่กระถางดอกไม้ เช็ดเรือนไม้ไผ่จนสะอาดมันวับ แล้วก็จะต้องไปเยือนเมืองเล็กทุกๆ ช่วงเวลาที่กำหนดไว้เพื่อซื้อของจำเป็นมาจากในเมือง

ในสายตาเฉินผิงอัน นี่จะไม่ใช่เรื่องใหญ่ได้อย่างไร?

ใหญ่นักล่ะ

หากใครที่ไม่ใช่คนตาบอด ก็ควรจะมองเห็น และเก็บมาใส่ใจ

อย่าว่าแต่ผู้ฝึกตนสำนักอื่นนอกภูเขาลั่วพั่วของเขตการปกครองหลงเฉวียนเลย ต่อให้เป็นบนภูเขาลั่วพั่วบ้านของตัวเอง ใครกล้ารังแกเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพู ก็ลองดูสิ?

นี่ไม่ใช่ว่าเฉินผิงอันลำเอียง แต่ในสายตาของเฉินผิงอัน เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูคือบุคคลที่ไม่มีทางทำความผิดมากที่สุดไม่ว่าใครก็เปรียบเทียบไม่ได้ แม้แต่ ตัวเฉินผิงอันเองก็ยังไม่ใช่ข้อยกเว้น

นี่จึงเป็นเหตุให้เขาพูดคุยเรื่องฟ้าดินและใจคนกับนักพรตซุน

ถึงได้ยอมรับฟังเรื่องหยุมหยิมยิบย่อยของจินซานผู้ฝึกตนอิสระ

เฉินผิงอันรู้สึกสบายใจอย่างยิ่ง แต่เป็นความสบายใจสองอย่างที่แตกต่างกัน

เฉินผิงอันหยิบข้องสานไม้ไผ่ใบเล็กขึ้นมาหนึ่งใบ กรงไม้ไผ่อีกใบที่เชื่อมกันอยู่ จึงแกว่งส่ายตามมาเบาๆ ด้วย

ตอนนี้ที่ส่ายไปส่ายมาอยู่บนมือของตัวเองคือภูเขาเงินภูเขาทองสมชื่ออย่างแท้จริง

จะจัดการกับข้องราชามังกรคู่นี้อย่างไร อันที่จริงเฉินผิงอันยังตัดสินใจไม่ได้ หนึ่งเพราะข้องราชามังกรคู่นี้เสียหายอย่างหนัก หากคิดจะซ่อมแซมย่อมต้องใช้ เงินเทพเซียนก้อนใหญ่ สองเพราะวัตถุอย่างข้องราชามังกรนั้น แม้จะบอกว่า มีประโยชน์อย่างถึงที่สุด สามารถจับพวกเผ่าพันธุ์เจียวหลงบนโลกได้ มีวิชาในการสยบกำราบมาตั้งแต่กำเนิด แต่กลับมีข้อที่ต้องพิถีพิถันเยอะมาก ไม่ค่อยเหมือนกับสมบัติมากมายที่สามารถนำมาใช้โจมตีได้ หากไม่มีวิชาเซียนเฉพาะใช้ควบคู่ไปด้วย ก็มีความเป็นไปได้ว่าข้องราชามังกรนี้จะเป็นซาลาเปาไส้เนื้อที่ขว้างหมาไปแล้ว ไม่กลับคืนมา

เฉินผิงอันคิดไปคิดมาก็ยังคงตัดสินใจว่าจะค่อยๆ ดูไปทีละก้าว

ในเมื่อตอนนี้มีวัตถุจื่อชื่อเพิ่มขึ้นมาชิ้นหนึ่งแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องออกเงินส่วนเกินอีก ถ้าอย่างนั้นกระบี่จำลองวัตถุแห่งชะตาชีวิตเซียนกระบี่ที่ภูเขาชังกระบี่สร้างขึ้นต้อง ได้เข้ามาอยู่ในมือสองเล่มอย่างแน่นอน

หากราคาถูกกว่าที่คิดว่า สามเล่มก็ยังได้

พอไปถึงถ้ำสวรรค์วังมังกรแห่งนั้นก็ยืนยันราคาของข้องราชามังกรให้แน่ใจก่อน แล้วค่อยดูว่ามีคนหลอกง่ายที่ความร่ำรวยพวยพุ่งทะลุฟ้าหรือไม่

วัตถุที่ร้อยปีก็ยากจะพานพบประเภทนี้ จะมาพูดเรื่องเงินซ่อมแซมกับข้าทำไม?

แต่ข้องราชามังกรหากไม่ต้องขายได้ก็จะไม่ขาย

เพราะถึงอย่างไรในเรื่องของของขวัญนั้น หากจะเอาจำนวนไปหลอกลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของตนตลอดทุกครั้งก็คงไม่เข้าท่านัก

เฉินผิงอันเริ่มสงบจิตใจหลอมวัตถุจื่อชื่อที่เป็นแผ่นป้ายแผ่นนั้น

เรื่องนี้ไม่รีบร้อน แล้วก็ไม่สามารถทำให้เสร็จได้ในก้าวเดียว

สองชั่วยามผ่านไป เฉินผิงอันก็หยุดมือในด่านหนึ่งของการหลอม สวมชุดคลุมอาคมตัวหนึ่งไว้บนร่าง หันไปหลอมปราณวิญญาณที่ซ่อนแฝงอยู่ในชุดคลุมอาคมแทน ปล่อยจิตใจจมจ่อมอยู่กับการหล่อหลอม

โดยไม่รู้ตัวก็มาถึงยามจื่อแล้ว เฉินผิงอันลืมตาขึ้น พ่นลมหายใจขุ่นมัวออกมาหนักๆ แล้วโบกมือสลายมันไป

ตามคำพูดที่ลี้ลับประโยคนั้นของชุยตงซาน ฟ้าดินขนาดเล็กในร่างกายมนุษย์ มนุษย์ธรรมดาในโลกล้วนต้องแลกเปลี่ยนมาด้วยหลายชีวิต

การฝึกตนของผู้ฝึกลมปราณนั้นก็ยิ่งพิถีพิถันในเรื่องขจัดสิ่งสกปรกเหลือส่วนที่ยอดเยี่ยมที่สุดเอาไว้ อาศัยปราณวิญญาณของฟ้าดินมาหล่อหลอมเส้นเอ็น กระดูก บุกเบิกช่องโพรงลมปราณ ขัดเกลาจิตวิญญาณ ล้วนเป็นส่วนที่ต้องอาศัยความละเอียดอ่อนทั้งสิ้น

เป็นเหตุให้ผู้ฝึกตน เป็นคน แต่ก็ไม่ใช่คน

นี่ไม่ใช่แค่คำข่มขู่อย่างเดียวเท่านั้น

เฉินผิงอันตั้งใจพาดวงจิตไปสำรวจช่องโพรงลมปราณ

จวนวารียังคงไม่ได้ปิดประตู กระแสน้ำที่แฝงไว้ด้วยปราณวิญญาณชะตาน้ำ เส้นนั้นไหลริกๆ นี่ยังเป็นเพียงแค่ภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังจากเฉินผิงอันดื่มหยดน้ำที่ปลายใบไผ่สีเขียวไปอย่างเดียวเท่านั้น ยังไม่ทันได้ดูดซับโชคชะตาน้ำอิฐเขียว ที่เข้มข้นยิ่งกว่ามาเลยด้วยซ้ำ พวกเด็กๆ ชุดเขียวยิ่งทำงานกันอย่างมานะฮึกเหิม ภาพวาดฝาผนังสายน้ำที่เป็นภาพเค้าโครงขาวดำถูกพวกเด็กๆ ชุดเขียววาดให้เกิดเป็นสีสันเปล่งประกายมากขึ้นเรื่อยๆ

บ่อน้ำขนาดเล็กที่อยู่ด้านใต้ตราประทับอักษรน้ำแห่งนั้นก็ดูเหมือนว่าปากบ่อเล็กๆ ได้ขยายใหญ่ไปแล้วหลายส่วน น้ำก็ลึกมากกว่าเดิม

เฉินผิงอันกำลังสองจิตสองใจว่าควรจะเอาอิฐเขียวของอารามเต๋ามาหลอมกลาง แล้วนำมาปูพื้นของจวนน้ำดีหรือไม่ ต่อให้จะเป็นอิฐเขียวที่ไม่มีโชคชะตาน้ำอยู่ แม้แต่เสี้ยวเดียว ทว่าตัววัสดุของอิฐเขียวเองก็มีค่าอย่างมาก

แรกเริ่มเฉินผิงอันคิดว่าวันหน้าจะพามันกลับไปที่ภูเขาลั่วพั่วด้วยกัน อิฐเขียวสามสิบหกก้อนที่ถูกดูดดึงปราณวิญญาณไปจนเกลี้ยงสามารถนำมาปูเป็นทางเส้นเล็กหกเส้น นำมาใช้ฝึกท่าเดินนิ่งหกก้าวของตำราหมัดเขย่าขุนเขาได้พอดี

ตัวเขาเอง เผยเฉียน จูเหลี่ยน เจิ้งต้าเฟิง เฉินยวนจี

แน่นอนว่ายังมีหลูป๋ายเซี่ยงที่เขาถูกชะตามากอีกด้วย

ส่วนเว่ยเซี่ยนนั้นก็ช่างเถิด

สุยโย่วเปียนก็ช่างนางเหมือนกัน ไปอยู่ที่สำนักกุยหยกของใบถงทวีปแล้ว เปลี่ยนจากผู้ฝึกยุทธเต็มตัวคนหนึ่งหันไปฝึกตน อยากจะกลายเป็นเซียนกระบี่หญิง ที่ถือกระบี่บินทะยานอยู่ในใต้หล้าไพศาล

แต่หากอิฐเขียวสามารถเป็นดั่งบุปผาที่ปักลงบนผ้าแพรให้กับจวนน้ำได้ ถ้าอย่างนั้น อิฐเขียวหกก้อนในนั้นที่ถือว่าเป็นของเฉินผิงอันก็สามารถนำมาหลอมกลางได้

ตราประทับอักษรน้ำลอยอยู่กลางอากาศ บนพื้นปูด้วยอิฐเขียว บนผนังมีภาพวาดฝาผนัง

เฉินผิงอันรู้สึกว่าเมื่อเป็นเช่นนี้ จวนน้ำของบ้านตนก็สามารถเรียกได้ว่ามี ภาพปรากฎการณ์ที่ไม่เล็กแล้ว

กระเบื้องแก้วมรกตหนึ่งร้อยยี่สิบสองแผ่นคงต้องเก็บไว้ก่อนชั่วคราว เพราะประวัติความเป็นมาของมันไม่แน่ชัด

ตอนนั้นขนาดหวงอวิ๋นก็ยังไม่กล้าให้ข้อสรุปที่แน่ชัด แค่แน่ใจว่าพวกมันต้องมีมูลค่าควรเมืองอย่างแน่นอน หากมีต้นกำเนิดเดียวกับหอแก้วของนครจักพรรดิขาวที่อยู่ในแผ่นดินกลางแห่งนั้น นั่นต้องยิ่งน่าตกตะลึงอย่างแน่นอน

เล่าลือกันว่าวัตถุที่มีค่ามากที่สุดของหอแก้วหลังนั้น นอกจากเสาคานใหญ่ที่เป็นแก้วมรกตยี่สิบต้นแล้ว ก็คือกระเบื้องแก้วที่อยู่บนหลังคานั่นเอง

เฉินผิงอันเก็บดวงจิตกลับมา ลุกขึ้นเดินออกไปจากห้อง ไปฝึกเดินนิ่งหกก้าวอยู่ในลานบ้าน

คิดไม่ถึงว่าจะมีแขกมาเยี่ยมเยือนอย่างรีบร้อน

คืออู่ชวินผู้คุมกฎแห่งศาลบรรพจารย์จวนไช่เฉวี่ย นางไม่ปกปิดความปิติยินดีบนใบหน้าแม้แต่น้อย

เฉินผิงอันจึงพาอู่ชวินไปที่ศาลาบนยอดเขาจำลองหลังนั้น การเดินทางมาเยือนครั้งนี้ของอู่ชวินก็เพื่อนำชุดคลุมอาคมชั้นเยี่ยมชิ้นหนึ่งของจวนไช่เฉวี่ยมามอบให้ เฉินผิงอัน

อู่ชวินบอกว่าหลังจากที่เจ้าจวนขนฝ้าเพดานชิ้นนั้นกลับไปที่จวนไช่เฉวี่ย มันก็เข้ากับภูเขาสายน้ำของบ้านพวกนางได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังไม่เพียงแต่ทำให้ภูเขาสายน้ำมั่นคง ยังสามารถรวบรวมปราณวิญญาณจากแปดทิศมาได้ด้วย นี่ยังไม่ทันได้ หล่อหลอมเลยด้วยซ้ำ เพียงแค่เอาไปวางไว้ในศาลบรรพจารย์ชั่วคราวก็มีสัญญาณ ที่มหัศจรรย์เช่นนี้แล้ว

หลังจากหล่อหลอมไปแล้ว นั่นจะไม่ยิ่งร้ายกาจหรอกหรือ? เรียกได้ว่ามันคือวัตถุอันเป็นรากฐานที่ศาลบรรพจารย์ตระกูลเซียนสำนักใหญ่เท่านั้นถึงจะสามารถครอบครองได้ ดังนั้นการค้าที่นครเหนือเมฆครั้งนี้ นางซุนชิงได้กำไรมาอย่างมหาศาล มโนธรรมในใจไม่อาจสงบลงได้ จึงจำเป็นต้องเอาชุดคลุมอาคมชิ้นหนึ่งมาเป็น ของชดเชย หากเซียนกระบี่เฉินไม่รับไว้ ก็ได้เหมือนกัน ถึงอย่างไรนางซุนชิงก็แสดงความเกรงใจไปแล้ว หากเซียนกระบี่เฉินก็ยังจะเกรงใจด้วย ถ้าอย่างนั้นนางก็ ไม่เกรงใจแล้ว

เฉินผิงอันพูดติดต่อกันว่าไม่เกรงใจ ข้าไม่เกรงใจ แล้วรับชุดคลุมอาคมที่หรูหรางดงามและยังมีระดับยอดเยี่ยมอย่างถึงที่สุดชิ้นนั้นเก็บไปไว้ในวัตถุจื่อชื่อ

ข้อเสียเพียงอย่างเดียวก็คือลักษณะของชุดคลุมอาคมจวนไช่เฉวี่ยชิ้นนี้มีกลิ่นอายของสตรีหนักไปหน่อย ไม่เหมือนชุดคลุมอาคมเกล็ดหิมะของผีสาวเมืองฟูนี่ตัวนั้น ที่เขาเฉินผิงอันสามารถสวมใส่ได้

อู่ชวินไม่ได้รั้งอยู่นานนัก แค่ทิ้งใบชาไว้หลายโถใหญ่ บอกว่านี่ก็คือกำแพงดำน้อยที่เหลืออยู่ของปีนี้ของจวนไช่เฉวี่ยแล้ว

สุดท้ายอู่ชวินยิ้มกล่าวว่า “หากเซียนกระบี่เฉินจะนำไปขาย ก็โปรดขายในราคาสูง ไม่อย่างนั้นจะผิดต่อชื่อเสียงของกำแพงดำน้อยแห่งจวนไช่เฉวี่ย”

เฉินผิงอันรู้สึกลำบากใจเล็กน้อย จึงเอ่ยว่า “รบกวนบอกเจ้าสำนักซุนสักคำ ข้าจะเก็บกำแพงดำน้อยโถหนึ่งไว้มอบให้คนอื่น”

อู่ชวินยิ้มอย่างเข้าใจ นางพยักหน้ารับแล้วทะยานลมจากไป

อู่ชวินเพิ่งจากไป เสิ่นเจิ้นเจ๋อก็มาเยือน

เฉินผิงอันที่เพิ่งจะนั่งลงจึงได้แต่ลุกขึ้นยืนรอต้อนรับอีกครั้ง

เจ้านครเหนือเมฆท่านนี้ยิ้มกล่าว “อู่ชวินคงไม่ได้มาเชิญให้ท่านเฉินไปเป็นผู้ถวายงานของภูเขาหรอกกระมัง? ไปไม่ได้นะ ไปไม่ได้ มีแต่เสียงเจื้อยแจ้ว ชวนให้คนเวียนหัวตาลาย มีแต่จะถ่วงเวลาการฝึกตนของท่านเฉิน”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “จวนไช่เฉวี่ยไม่ได้มีความคิดเช่นนั้น”

หลังจากนั่งลงแล้ว เสิ่นเจิ้นเจ๋อก็เอ่ยว่า “ท่านเฉิน ในเมื่อจวนไช่เฉวี่ยมีตาแต่ ไร้แววเช่นนี้ ไม่สู้ท่านเฉินแขวนชื่อไว้ที่สำนักข้าดีกว่าไหม? นอกจากจะได้ เงินเทพเซียนของผู้ถวายงานทุกปี เรือนแห่งนี้ รวมไปถึงถนนซู่อวี้ทั้งเส้นของ นครเหนือเมฆแล้ว ร้านค้าน้อยใหญ่สามสิบสองร้านล้วนจะเป็นของท่านเฉินทั้งหมด”

เฉินผิงอันเอ่ย “ไม่ใช่ว่าข้าไม่อยากตอบรับเจ้านคร แต่เป็นเพราะไม่อาจตอบรับได้จริงๆ”

การเดินทางมาเยือนอุตรกุรุทวีป มีภัยและเรื่องให้ต้องกังวลมากมาย

เกาเฉิงแห่งนครจิงกวานชายหาดโครงกระดูก คนเบื้องหลังที่จ่ายเงินจ้างนักฆ่าของภูเขาเกอลู่ รวมถึงการตายของไหวเฉียน

เฉินผิงอันไม่ยินดีจะลากคนที่มากกว่านี้เข้ามาเกี่ยวข้อง เดินทางไปทั่วสารทิศเพียงลำพัง มีเพียงหมัด กระบี่และสุราอยู่เคียงข้าง สบายใจกว่ามาก

เสิ่นเจิ้นเจ๋อจึงไม่เอ่ยอะไรมากอีก

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เจ้านคร แม้ว่าจะไม่อาจตอบรับเจ้า กลายมาเป็นผู้ถวายงานที่นอนรับเงินค่าเช่าของนครเหนือเมฆได้ แต่ความหวังดีของเจ้านคร ข้ารับไว้แล้ว เมื่อไหร่ที่ข้ารู้สึกว่าถึงเวลาที่เหมาะสม ย่อมต้องเป็นฝ่ายมาขอถนนซู่อวี้ทั้งสายจากนครเหนือเมฆเอง”

เสิ่นเจิ้นเจ๋อพยักหน้ารับ “ถ้าอย่างนั้นก็ตกลงตามนี้”

ต่อให้เขาเสิ่นเจิ้นเจ๋อรอได้ไม่ถึงวันนั้น ก็ไม่เป็นไร นครเหนือเมฆยังมีสวีซิ่งจิ่ว

เสิ่นเจิ้นเจ๋อเป็นคนฉับไวตรงไปตรงมาคนหนึ่ง

เขาไม่ได้อยู่นานนัก หลังจากพูดคุยธุระจบก็จากมาทันที

เฉินผิงอันจึงถือโอกาสนี้ขอรายงานภูเขาสายน้ำส่วนหนึ่งมาจากนครเหนือเมฆ เก่าใหม่ล้วนไม่เป็นไร

เสิ่นเจิ้นเจ๋อตอบรับทันที บอกว่าเดี๋ยวจะให้สวีซิ่งจิ่วนำมาให้

เฉินผิงอันเดินวนอ้อมโต๊ะหินอยู่ในศาลา ฝึกท่าหมัดเดินนิ่ง คล้ายหลับแต่ไม่หลับ ปณิธานหมัดไหลรินไปทั่วร่าง

หลังจากฝึกหมัดได้สองชั่วยามก็กลับห้องไปพักครู่เล็กๆ เขานั่งลงบนเบาะใบนั้นแล้วเริ่มหลอมปราณวิญญาณอีกครั้ง

ขยับเข้าใกล้ช่วงเที่ยงวัน เฉินผิงอันก็หยิบวัตถุวิเศษที่ได้รับมาจากท่าเรือ สำนักพีหมาชิ้นนั้นออกมา เอาวางไว้บนโต๊ะหินในศาลามันคือที่ล้างพู่กัน กระเบื้องเคลือบซึ่งเชื่อมโยงอยู่กับรากฐานภูเขาสายน้ำของภูเขาตี่ลี่ ดังนั้นหากทางฝั่งของภูเขาตี่ลี่คลายตราผนึกออกก็จะมีภาพเหตุการณ์บนภูเขาเหมือนบุปผาใน คันฉ่องจันทราในสายน้ำปรากฎขึ้น ขอแค่ผู้ฝึกตนไม่ได้ออกไปจากอุตรกุรุทวีปก็ล้วนสามารถเห็นภาพที่เกิดขึ้นบนภูเขาตี่ลี่ได้อย่างชัดเจน หากอยู่ห่างไกลไปอีกทวีปหนึ่ง ก็จะเห็นเป็นภาพที่พร่าเลือนอย่างมาก

แม้เฉินผิงอันจะสร้างจวนน้ำขึ้นมาได้แล้ว แต่อันที่จริงกลับไม่มีวิชาน้ำติดกาย เขาจึงได้แต่หยิบเอายันต์มหานทีไหลสะพัดแผ่นหนึ่งออกมาบีบให้แตกเบาๆ ทันใดนั้นก็มีน้ำเอ่อเต็มที่ล้างพู่กัน ไอน้ำลอยอบอวล

เพียงชั่วพริบตาเหนือที่ล้างพู่กันก็มีหินเขียวราบเรียบขนาดใหญ่ยักษ์ก้อนหนึ่งลอยขึ้นมา นี่ก็คือภูเขาตี่ลี่ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในอุตรกุรุทวีป ผู้ฝึกตนทั้งทวีปล้วน รู้จักดียิ่งกว่าขุนเขาใหญ่ของราชสำนักต่างๆ

บนภูเขาเขียวที่ราบเรียบนั้น ทั้งสองฝ่ายต่างก็ยังไม่ปรากฏตัว

มองไม่เห็นภาพปรากฎการณ์ด้านนอกภูเขา เห็นเป็นเพียงหมอกขาวโพลนเหมือนตอนอยู่ในซากปรักจวนเซียนแห่งนั้น นี่ก็คือเส้นแบ่งขอบเขตที่ชัดเจนเส้นหนึ่ง

นี่ทำให้เฉินผิงอันรู้สึกเสียดายเล็กน้อย เดิมทียังนึกอยากจะเห็นภูเขาชมศึกลูกที่สำนักฉงหลินซื้อไว้สักหน่อย

และสำนักการค้าที่ถูกขนานนามว่า สองแขนเสื้อมีลมเย็นสำนักฉงหลิน ขอบเขตหยกดิบพลังสังหารไร้เทียมทาน แห่งนี้ก็คือหนึ่งในเป้าหมายที่เฉินผิงอัน อยากคบค้าสมาคมด้วยมากที่สุดในการเดินทางมาเยือนอุตรกุรุทวีปครั้งนี้

แน่นอนว่าไม่ได้เป็นเพราะเลื่อมใสเจ้าสำนักขอบเขตหยกดิบที่ ‘เซียนกระบี่ ยอมแพ้ห้าขอบเขตบน’ ท่านนั้น แต่เป็นเพราะสำนักฉงหลินที่มีเงินทองไหลมาเทมาแห่งนี้คือผู้ซื้อเครื่องปั้นแห่งชะตาชีวิตในถ้ำสวรรค์หลีจูรายใหญ่ที่สุดจากต่างทวีป ในปีนั้น ไม่มีหนึ่งใน

แน่นอนว่าเฉินผิงอันไม่มีทางเป็นฝ่ายไปประจบเอาใจสำนักฉงหลิน

ร้านผ้าห่อบุญของเฉินผิงอันไม่ได้เป็นอย่างเสียเปล่า จำเป็นต้องให้อีกฝ่ายเป็นฝ่ายมาหาเขาด้วยตัวเอง ทั้งสองฝ่ายจะเจอหน้ากันที่ไหนอย่างไร สมเหตุสมผลแค่ไหน ล้วนจำเป็นต้องให้เฉินผิงอันวางแผนไปทีละก้าว ปูพื้นไปอย่างระมัดระวัง กะแรงไฟ ให้ดี

สำนักที่มีอักษรจงอยู่ในชื่อซึ่งปล่อยให้ผู้ฝึกตนทั้งทวีปพูดจาเย้ยหยันเหน็บแนม ได้ตามใจ หมายความว่าอีกฝ่ายมีความอดทนเป็นเลิศ ขณะเดียวกันกับที่อดทน ก็ไม่แน่ว่าเวลาทำอะไรย่อมไม่มีเส้นบรรทัดฐาน นี่ต่างหากจึงจะเป็นคู่ต่อสู้ที่น่ากลัวอย่างแท้จริง

สวีซิ่งจิ่วหอบเอารายงานภูเขาสายน้ำปึกใหญ่มาเยี่ยมเยียน ยิ้มกล่าวว่า “ท่านเฉินก็กำลังดูศึกที่ภูเขาตี่ลี่เหมือนกันหรือ?”

เฉินผิงอันรับรายงานมา ยิ้มเอ่ยทักทาย “หากไม่ยุ่งก็นั่งลงดูด้วยกันเถอะ”

เฉินผิงอันหยิบเหล้าหมักตระกูลเซียนออกมาสองกา ยื่นส่งให้สวีซิ่งจิ่วหนึ่งกา คนทั้งสองนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกัน ต่างคนต่างดื่มเหล้าไปช้าๆ

ศึกบนภูเขาตี่ลี่ ในกลุ่มสิบคนรุ่นเยาว์ของอุตรกุรุทวีป หวงซีผู้ฝึกตนอิสระและ ผู้ฝึกยุทธซิ่วเหนียงลำดับขั้นอยู่ใกล้กันมาก คนหนึ่งอันดับที่สี่ คนหนึ่งอันดับที่ห้า

ช่วงนี้ในรายงานภูเขาสายน้ำฉบับหนึ่งมีเรื่องการคาดเดาใหม่มากๆ เกี่ยวกับสาเหตุที่คนทั้งสองเปิดศึกเป็นตายกัน บ้างก็บอกว่าคนทั้งสองเปลี่ยนจากรักเป็นแค้น แล้วก็มีคนบอกว่าชีวิตนี้หวงซีอายุไม่มาก แต่กลับฆ่าคนมากมาย ไม่ทันระวัง จนลามมาฆ่าญาติสนิทอย่างผู้ฝึกยุทธซิ่วเหนียง

สวีซิ่งจิ่วหยิบเงินเกล็ดหิมะเหรียญหนึ่งออกมาโยนใส่ที่ล้างพู่กันบนโต๊ะเบาๆ เพียงชั่วพริบตาก็หายวับไป กลายมาเป็นปราณวิญญาณกลุ่มหนึ่งที่ผสานรวมเข้าไปในโชคชะตาขุนเขาสายน้ำของภูเขาตี่ลี่ สมบัติอาคมวัตถุวิเศษบนโลกที่สามารถรองรับบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำได้เช่นนี้ล้วนมีวิชาอภินิหาร ‘กินเงิน’ เหมือนกันทั้งหมด

คราวก่อนหลิวจิ่งหลงแห่งสำนักกระบี่ไท่ฮุยกับนักพรตหญิงหวงถิงแห่งภูเขาไท่ผิงจับคู่ต่อสู้กัน ทั้งสองฝ่ายต่างก็เป็นผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดที่ติดอยู่ตรงคอขวด อันที่จริงขนาดของภูเขาตี่ลี่มีอิทธิพลไม่น้อย หลังจากศึกหนึ่งผ่านไป ปราณวิญญาณของ ภูเขาตี่ลี่ก็เสียหายอย่างหนัก หากห้าขอบเขตบนเข่นฆ่ากันขึ้นมา คาดว่าคงเป็นดั่งปลาวาฬกลืนกินปราณวิญญาณฟ้าดินอย่างแน่นอน ทว่าภูเขาตี่ลี่ก็ยังคงมี ปราณวิญญาณที่เปี่ยมล้นถึงเพียงนี้ แน่นอนว่าสาเหตุต้องเป็นเพราะมีผู้ฝึกตนที่ คอยชมศึกจำนวนนับไม่ถ้วนพากันโยนเงินเทพเซียนเข้าไปอย่างต่อเนื่อง

สวีซิ่งจิ่วลังเลอยู่เล็กน้อย ก่อนจะถามหยั่งเชิงว่า “ท่านเฉิน วันหน้าหากข้า มีโอกาสลงจากภูเขาออกเดินทางไกล สามารถไปเยี่ยมเยือนท่านหลิวที่สำนักกระบี่ ไท่ฮุยได้หรือไม่?”

สวีซิ่งจิ่วรู้สึกเขินอายเล็กน้อย “ข้าเลื่อมใสท่านหลิวมาโดยตลอด”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ข้าสามารถช่วยนำความไปบอกเขาแทนเจ้าก่อนได้ แต่ไม่รับประกันว่าหลิวจิ่งหลงจะยอมพบเจ้าหรือไม่”

สวีซิ่งจิ่วดวงตาเป็นประกาย รีบลุกขึ้นยืนประสานมือขอบคุณ

เฉินผิงอันเอ่ย “จำเอาไว้ว่า ในอนาคตหากไปเยี่ยมเยือนหลิวจิ่งหลงที่สำนักกระบี่ไท่ฮุย จะต้องเอาสุราดีๆ ไปด้วยหลายๆ กา หากพบหน้ากันแล้ว เจ้าก็ไม่ต้องพูด อะไรมาก แค่กระดกเหล้าอึกๆ ดื่มคารวะเขาก็พอ หลิวจิ่งหลงผู้นี้เป็นคนชอบดื่มเหล้ามาก แต่เวลาปกติไม่ยอมวางมาดลง จึงต้องมีคนเป็นผู้นำพา หากเขาบอกว่าตัวเขา ไม่ดื่มเหล้า เจ้าก็อย่าไปเชื่อเขา นั่นต้องเป็นเพราะเจ้าสวีซิ่งจิ่วยังดื่มได้ไม่มากพอ อย่างแน่นอน”

สวีซิ่งจิ่วกล่าวอย่างปลงอนิจจัง “ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง ข้าเข้าใจแล้ว! ท่านหลิวสมกับเป็นเจียวหลงบนบกในจินตนาการของผู้น้อยไม่มีผิดเพี้ยน! เป็นเซียนกระบี่ ที่ยินดีใช้เหตุผลสยบผู้อื่น ก็แสดงว่าจะต้องเป็นคนที่เปี่ยมไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกอย่างแน่นอน!”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับอย่างแรง “นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว”

เฉินผิงอันมองไปยังภูเขาตี่ลี่ที่อยู่บนโต๊ะ โบกชายแขนเสื้อสองข้างหนึ่งครั้ง หินเขียวราบเรียบของภูเขาตี่ลี่ก็พลันขยายออกไปสี่ด้านแปดทิศ

เขากับสวีซิ่งจิ่วจึงเหมือน ‘ทวยเทพผู้ยิ่งใหญ่สององค์’ ที่เยื้องกรายลงมาเยือนภูเขาตี่ลี่ด้วยตัวเอง

เพียงแต่ว่ายิ่งเป็นสถานที่สำคัญแห่งขุนเขาสายน้ำ ตราผนึกก็ยิ่งใหญ่ และ ระดับขั้นสูงต่ำของวัตถุวิเศษที่สามารถรองรับบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำสูง หรือต่ำก็จะส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพในการชมศึกเช่นกัน

เฉินผิงอันสังเกตเห็นว่าที่ล้างพู่กันกระเบื้องเคลือบใบนี้ของตน หากไม่ผิดไปจากที่คาดก็คงได้แค่มองเห็นเงาร่างของหวงซีและซิ่วเหนียงที่เล็กเท่าเมล็ดข้าวสารเท่านั้น

เฉินผิงอันเคยถามฉีจิ่งหลงว่า ปราณกระบี่ของเซียนกระบี่ใหญ่จะสามารถอาศัยโอกาสนี้สังหารคนบนภูเขาตี่ลี่ทั้งที่อยู่ห่างไปไกลเป็นหมื่นลี้ได้หรือไม่

ตอนนั้นฉีจิ่งหลงส่ายหน้ายิ้มเอ่ยว่า บางทีขอบเขตเซียนเหรินอาจจะยังพอ มีโอกาสทำได้อยู่บ้าง แต่ขอบเขตหยกดิบนั้นอย่าได้เพ้อฝันเลย เพราะปราณกระบี่ ของผู้ฝึกกระบี่ให้ความสำคัญกับปณิธานกระบี่มากที่สุด ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่บริสุทธิ์เหมือนปราณวิญญาณของเงินเทพเซียนที่ไม่มีอย่างอื่นเจือปนเลยแม้แต่น้อย และสิ่งเจือปนที่ว่านี้ก็จะทำให้วัตถุวิเศษที่สามารถรองรับบุปผาในคันฉ่องจันทรา ในสายน้ำที่บอบบางระเบิดแตกคาที่ได้โดยตรง แต่ฉีจิ่งหลงเองก็บอกว่าบนภูเขา ก็มีวิชาอภินิหารเก่าแก่ และวิชานอกรีตบางอย่างที่ในประวัติศาสตร์เคยอาศัย สะพานเชื่อมอย่างบุปผาในคันฉ่องจันทราในน้ำนี้มาทำลายภูเขาลูกอื่นที่หวังช่วงชิงผลประโยชน์จากการชมบุปผาในคันฉ่องจันทราในน้ำนี้อยู่จริงๆ แต่ผู้ฝึกตนที่ใช้วิธีการเช่นนี้จะต้องอำพรางตัวตนอย่างระมัดระวัง ไม่อย่างนั้นก็ง่ายที่จะกลายเป็นศัตรูของคนทั้งทวีป ยกตัวอย่างเช่นอาจทำให้พวกผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตเซียนเหริน หรือแม้แต่ขอบเขตบินทะยานเกิดใจอยากรู้ว่าเป็นใคร

ยังเหลือเวลาอีกหนึ่งก้านธูปกว่าจะถึงเที่ยงวัน

เฉินผิงอันพลันสังเกตเห็นว่าบนม่านฟ้าของภูเขาตี่ลี่มีริ้วคลื่นเล็กๆ กระเพื่อมขึ้นมา

จากนั้นก็มีเสียงคนพูดกลั้วหัวเราะดังขึ้นว่า “ขอบเขตหยกดิบใต้หล้าไร้ศัตรูของสำนักฉงหลินผู้นั้น อยู่ที่ไหนเล่า?”

เพียงไม่นานบนม้วนภาพภูเขาตี่ลี่ก็มีริ้วคลื่นกระเพื่อมขึ้นมาอีก แล้วก็มีคน ตอบรับว่า “ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสมีอะไรจะชี้แนะ”

เห็นได้ชัดว่าคนที่เปิดปากพูดก่อนได้โยนเงินเทพเซียนเข้ามาอีกเหรียญ แล้วพูดกลั้วหัวเราะว่า “เสียใจที่ปีนั้นให้กำเนิดเจ้าน่ะสิ”

ผู้ฝึกตนขอบเขตหยกดิบ เจ้าสำนักฉงหลินผู้ยิ่งใหญ่ก็ใจเย็นยิ่งนัก ไม่เพียงแต่ ไม่ด่ากลับไป กลับกันยังโยนเงินฝนธัญพืชอีกเหรียญหนึ่งเข้ามา แล้วตอบอย่าง นอบน้อมว่า “ผู้อาวุโสล้อเล่นแล้ว”

แล้วคนทั้งสองก็ไม่เอ่ยอะไรอีก

แต่จู่ๆ ก็มีเสียงกลั้วหัวเราะเบาๆ ดังขึ้นว่า “เจ้าสำนักเฮ้อ พิจารณาเสร็จแล้วหรือยัง? หากเจ้าไม่พูด ข้าก็จะถือว่าเจ้าตอบตกลงแล้วนะ”

สวีซิ่งจิ่วเอ่ยเสียงเบา “ต้องเป็นสวีเซวี่ยนผู้นั้นแน่นอน”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ

ลูกศิษย์ของป๋ายฉางเซียนกระบี่ใหญ่อันดับหนึ่งแห่งทิศเหนือ สวีเซวี่ยน อันดับที่สองในบรรดาคนรุ่นเยาว์ทั้งสิบ ลำดับขั้นยังอยู่ก่อนหน้าฉีจิ่งหลงอีกด้วย

มีน้ำเสียงแก่ชราเสียงหนึ่งดังขึ้น “โอ้โห จะได้ดื่มสุรามงคลของเจ้าสวีเซวี่ยนกับเฮ้อเสี่ยวเหลียงแล้วหรือ? คู่สร้างคู่สมเช่นนี้ สุรามงคลจอกนี้ ถึงอย่างไรข้าผู้อาวุโส ก็ต้องดื่มให้ได้”

มีเสียงสตรีพูดขึ้นอย่างเย็นชาว่า “ข้ามีคู่บำเพ็ญเพียรแล้ว”

หินหนึ่งก้อนก่อให้เกิดลูกคลื่นพันชั้น

“ยินดีกับเจ้าสำนักเฮ้อด้วย”

“ขอถามเจ้าสำนักเฮ้อว่าคนที่ผูกสมัครเป็นคู่บำเพ็ญเพียรกับเจ้า คือเทพเซียนจากที่ใด?”

“เทพธิดาเฮ้อ จิตแห่งเต๋าของข้าแหลกสลายเสียแล้ว นับแต่วันนี้ไปคงขาดคน ให้หลงรักไปอีกหนึ่งคน”

สุดท้ายเป็นประโยคของสวีเซวี่ยนที่ทำให้เสียงฮือฮาทั้งหลายเงียบลงไป “ไม่เป็นไร พอเขาตาย เจ้าก็ไม่มีคู่รักเทพเซียนอีกแล้ว”

เฮ้อเสี่ยวเหลียงหัวเราะหยัน “ไม่สู้เจ้าและข้าสองคนนัดหมายเวลาไปพบกันที่ภูเขาตี่ลี่สักครั้งดีไหมเล่า? ขอแค่เจ้ากล้าฆ่าคนผู้นี้ ข้าก็จะทำให้ป๋ายฉางต้องควันธูปขาดสะบั้น”

สวีเซวี่ยนจึงไม่เอ่ยอะไรอีก

สวีซิ่งจิ่วพูดอย่างเสียดายว่า “คิดไม่ถึงว่าเทพเซียนอย่างเจ้าสำนักเฮ้อจะมี คู่บำเพ็ญเพียรอยู่ก่อนแล้ว ไม่รู้จริงๆ ว่าเป็นบุรุษคนใดที่โชคดีขนาดนี้”

แล้วสวีซิ่งจิ่วก็พลันสังเกตเห็นว่าผู้อาวุโสเซียนกระบี่ที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามมีสีหน้าที่ไม่ค่อยน่ามองเท่าใดนัก

เฉินผิงอันก้มหน้าดื่มเหล้าหนึ่งคำ สีหน้ากลับคืนมาเป็นปกติ

กำลังจะถึงช่วงเที่ยงวัน

รุ้งยาวเส้นหนึ่งก็แหวกอากาศมาถึง ก่อนจะพลิ้วกายลงตรงตำแหน่งใจกลางของก้อนหินราบเรียบบนภูเขาตี่ลี่

ริมขอบของภูเขาตี่ลี่มีสตรีสวมหมวกม่านคลุมหน้าคนหนึ่งเดินขึ้นมาบนหินเขียว ตรงเอวของนางห้อยดาบยาวและกระบี่สั้น

เฉินผิงอันบังคับม้วนภาพภูเขาตี่ลี่ที่มีไอเมฆหมอกลอยอบอวลแห่งนี้ พยายามจะให้ ทั้งสองฝ่ายปรากฎตัวในม้วนภาพให้ได้มากที่สุด ส่วนข้อที่ว่าจะมองเห็นโฉมหน้าของคนทั้งสองชัดเจนหรือไม่ ก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญเลยแม้แต่น้อย

ในความเป็นจริงแล้ว ผู้ฝึกลมปราณส่วนใหญ่ที่ใช้บุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำมาชมศึกบนภูเขาตี่ลี่ก็อาจจะมองเห็นไม่ชัดเจนด้วยซ้ำว่าทั้งสองฝ่ายลงมืออย่างไรกันแน่ พวกเขาก็แค่มาชมเรื่องสนุกเท่านั้น

เพราะผู้ฝึกตนห้าขอบเขตกลางหลายคนล้วนถูกกำหนดมาแล้วว่าจะมองเห็นบุคคลในม้วนภาพได้แค่ไม่กี่ครั้งเท่านั้น อย่างมากสุดก็แค่ได้เห็นประกายแสง พร่างพราวที่เกิดจากสมบัติอาคมโจมตีหรือปลดปล่อยมาจากวิชาเซียนเท่านั้น

ดังนั้นบนภูเขาของอุตรกุรุทวีปจึงมีถ้อยคำหนึ่งสืบทอดกันมาตลอดว่า หากไม่ใช่เซียนดินโอสถทองก็ไม่ต้องหวังเลยว่าจะมองกลยุทธการจับคู่ต่อสู้ใดๆ บนภูเขา ตี่ลี่ออก

เกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของซิ่วเหนียงผู้ฝึกยุทธหญิงคนนี้ โดยเฉพาะประวัติการเรียนวรยุทธของนาง ไม่ว่าจะเป็นรายงานภูเขาสายน้ำฉบับใดของอุตรกุรุทวีป ก็ล้วนไม่สามารถบอกกล่าวได้อย่างชัดเจน

เพียงไม่นานสวีซิ่งจิ่วก็รู้สึกว่าโชคดีที่ตัวเองมาที่นี่ ไม่ได้อยู่ชมศึกบนภูเขาตี่ลี่ ข้างกายอาจารย์ ในอดีตเวลาชมศึกบนภูเขาตี่ลี่ร่วมกับอาจารย์ เสิ่นเจิ้นเจ๋อก็มักจะปรับมุมของม้วนภาพ ขยายหรือไม่ก็หดขนาดของม้วนภาพอยู่ตลอด แต่กระนั้น ก็ยังพลาดฉากที่สำคัญไปมากมาย ทว่าในสายตาของสวีซิ่งจิ่ว เขากลับรู้สึกว่า อาจารย์ไม่สามารถปรับให้เห็นฉากการต่อสู้ได้อย่างแม่นยำเหมือนผู้อาวุโสเซียนกระบี่ตรงหน้า ซิ่วเหนียงที่ปรากฏตัวอย่างลึกลับ รวมไปถึงการออกหมัดของนาง และ การปล่อยวิชาคาถาและสมบัติโจมตีที่มืดฟ้ามัวดินของผู้ฝึกตนอิสระหวงซี แม้ว่าจะยังมีบางจุดที่พลาดไปอย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่สวีซิ่งจิ่วก็เพิ่งค้นพบว่านี่เป็นครั้งแรกที่ตนเองเห็นศึกบนภูเขาตี่ลี่ได้ ‘สมจริง’ ขนาดนี้ แต่ละฉากร้อยเรียงต่อเนื่องกัน จะดีจะชั่ว ก็สามารถมองเห็นเส้นทางการเข่นฆ่าระหว่างสองฝ่ายได้คร่าวๆ

เฉินผิงอันรวบรวมสมาธิ ขยับหมุนม้วนภาพอย่างต่อเนื่อง

ศักยภาพแท้จริงที่ผู้ฝึกยุทธหญิงคนนั้นแสดงออกมาในตอนนี้ คือขอบเขตเดินทางไกลตัวจริงคนหนึ่ง นางออกหมัดเร็วมาก และเรือนกายก็แข็งแกร่งอย่างถึงที่สุด

นี่นางยังไม่ได้ชักดาบชักกระบี่ออกจากฝักเลยด้วยซ้ำ

ส่วนจะใช่ผู้ฝึกยุทธขอบเขตยอดเขาหรือไม่ ก็ต้องคอยดูกันต่อไป

แม้ว่าใบหน้าและอายุของปรมาจารย์วิถีวรยุทธจะไม่ชวนให้คนคาดเดาได้ยากเหมือนผู้ฝึกตนบนภูเขา แต่ยิ่งขอบเขตของผู้ฝึกยุทธเต็มตัวสูงเท่าไร ยิ่งเดินขึ้นเขา ได้เร็วเท่าไร สองอย่างนี้ก็ยิ่งไม่เกี่ยวข้องกันโดยตรงเท่านั้น

โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ฝึกยุทธหญิงที่คิดดูแล้วก็น่าจะยิ่งเป็นเช่นนี้ น่าจะชะลอ ความเสื่อมโทรมของรูปโฉมได้เหมือนกัน

หวงซีคือผู้ฝึกตนขอบเขตก่อกำเนิดที่หนุ่มมากคนหนึ่ง เมื่อเทียบกับฉีจิ่งหลงแล้วยังอายุน้อยกว่าหลายปี อันดับที่สามและอันดับที่สี่บนกระดานต่างก็มีอายุไม่ถึงร้อยปี

ผู้มีพรสวรรค์ด้านการฝึกตนเช่นนี้ เดิมทีก็คือแรงกดดันอย่างหนึ่งที่ทำให้ พวกเซียนดินโอสถทองที่อายุสองสามร้อยปีรู้สึกว่าเวลาส่วนใหญ่ของตนถูกหมา คาบไปกินหมดแล้วหรือไม่

แล้วทันใดนั้นม้วนภาพภูเขาสายน้ำก็เริ่มพร่าเลือน ส่ายไหวไม่หยุดนิ่ง

เฉินผิงอันอึ้งตะลึงไปเล็กน้อย

สวีซิ่งจิ่วรีบโยนเงินเกล็ดหิมะหลายเหรียญเข้าไปด้วยท่าทางคุ้นเคย ม้วนภาพ จึงกลับมาชัดเจนอีกครั้ง

นี่ทำให้เฉินผิงอันรู้สึกว่าบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำของภูเขาตระกูลเซียนคือการค้าที่ได้กำไรเป็นกอบเป็นกำดีจริงๆ หากวันหน้าภูเขาลั่วพั่วก็มีกิจการเช่นนี้ จะหาเงินมาจากสิ่งใด? หรือว่าจะอาศัยการเล่านิทานของจูเหลี่ยนกับเจิ้งต้าเฟิง? เฉินผิงอันกังวลจริงๆ ว่าวันหน้าชื่อเสียงของภูเขาลั่วพั่วจะฉาวโฉ่ไปทั่วทุกหัวถนน ในอนาคตพอลูกศิษย์ลงจากภูเขาไปฝึกประสบการณ์ บางทีหากเป็นสตรีคงดีหน่อย แต่หากเป็นบุรุษจะไม่ถูกผู้คนป้องกันราวกับพวกเขาเป็นโจรผู้ร้ายเลยหรอกหรือ?

ส่วนช่องทางอื่น เฉินผิงอันก็ยังคิดไม่ออกจริงๆ หรือจะให้ลากฉีจิ่งหลงไปเป็นอาจารย์สอนหนังสือบนภูเขาลั่วพั่ว ให้เขานั่งลงถกปัญหาสักครั้งสองครั้ง? ให้จูเหลี่ยนพ่อครัวผู้เฒ่าทำกับข้าวหลากหลายวางไว้เต็มโต๊ะ? หรือจะให้เผยเฉียนแสดงวิชา กระบี่มารคลั่ง? ให้เว่ยป้อเล่นหมากล้อมกับคนอื่น?

เฉินผิงอันกำจัดความคิดวุ่นวายทั้งหลายแล้วเพ่งสมาธิชมศึกต่ออีกครั้ง

ไม่รู้ว่าทำไม ดูเหมือนว่าทั้งสองฝ่ายต่างก็ไม่รีบร้อนที่จะตัดสินเป็นตายกัน

สวีซิ่งจิ่วดูจนเริ่มเวียนหัวตาลาย ต้องดื่มเหล้าอึกหนึ่งระงับความตกใจ

เฉินผิงอันยังคงนั่งนิ่งดุจขุนเขา และยังคอยขยับเคลื่อนม้วนภาพบุปผาใน คันฉ่องจันทราในสายน้ำนั้นอย่างต่อเนื่อง

ทำเอาสวีซิ่งจิ่วที่มองดูยิ่งเลื่อมใสเข้าไปใหญ่

เฉินผิงอันถาม “ศึกใหญ่บนภูเขาตี่ลี่ครั้งที่ยาวนานที่สุด สู้กันนานแค่ไหน?”

สวีซิ่งจิ่วตอบ “ศึกใหญ่ที่ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์คือเซียนกระบี่ขอบเขตหยกดิบคนหนึ่งกับผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนเหรินคนหนึ่ง คนหนึ่งทุ่มกำลังโจมตี อีกคนหนึ่งพยายามป้องกันอย่างสุดชีวิต ฝีมือทั้งสองฝ่ายสูสีกัน ดูเหมือนจะสู้กันอยู่เกือบเดือน”

เฉินผิงอันยื่นนิ้วมานวดคลึงหว่างคิ้ว หากชมศึกจนถึงช่วงสุดท้ายจะต้องกินเงินเกล็ดหิมะไปกี่เหรียญกัน?

สวีซิ่งจิ่วเอ่ยอีกว่า “ในประวัติศาสตร์ยังมีการเข่นฆ่าของเซียนกระบี่สองท่าน ที่ใช้เวลาแค่ครึ่งชั่วยามก็ทำให้ปราณวิญญาณของภูเขาตี่ลี่เหือดหาย ไม่ว่าผู้ฝึกตน ที่ชมศึกจะทุ่มเงินเทพเซียนอย่างบ้าคลั่งแค่ไหนก็ล้วนเป็นดั่งน้ำถ้วยเดียวที่ไม่อาจ ดับไฟไหม้รถทั้งคันได้ ดังนั้นศึกใหญ่ที่สะท้านฟ้าสะเทือนดินครั้งนั้นจึงมีเพียงภูเขา ที่อยู่ใกล้กับภูเขาตี่ลี่เท่านั้นที่พอจะมองเห็นผลสรุปได้คร่าวๆ

แต่ก็ได้ยินมาว่ามีปราณกระบี่กระเพื่อมล้นออกมาจากภูเขาตี่ลี่ เพื่อปกป้องภูเขาไม่ให้ต้องติดร่างแหเดือดร้อนไปด้วย สำนักฉงหลินจึงได้แต่เปิดใช้ค่ายกลใหญ่ ผลาญเงินฝนธัญพืชไปรวดเดียวร้อยกว่าเหรียญ แล้วยังต้องขอยืมอีกสองร้อยเหรียญมาจากผู้ฝึกตนบนภูเขา หลังจบเรื่องค่อยมีการชดเชยให้ นับแต่นั้นมาบนภูเขาของสำนักฉงหลินจึงต้องมีเงินฝนธัญพืชเตรียมไว้สามร้อยเหรียญตลอด”

แล้วทันใดปราณวิญญาณก็แผ่ล้นไปทั่วร่างของสวีซิ่งจิ่ว เขาพลันลุกขึ้นยืน เตรียมจะบอกลาจากไป

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เป็นเรื่องดี เมื่อประตูถ้ำสถิตเปิดออกก็ขึ้นหอไปชมมหาสมุทร”

สวีซิ่งจิ่วทะยานลมจากไป ทางนครเหนือเมฆได้เตรียมสถานที่สำหรับฝ่าทะลุขอบเขตไว้ให้เขาเรียบร้อยแล้ว

หลายวันมานี้เขาวนเวียนแตะอยู่ริมขอบของการฝ่าทะลุขอบเขตอยู่ตลอดเวลา รอแค่โอกาสอันดีก็เท่านั้น

หลังจากสวีซิ่งจิ่วจากไป เสิ่นเจิ้นเจ๋อผู้เป็นอาจารย์ก็จะช่วยเป็นผู้ปกป้องมรรคาให้เขาเอง

ช้าสุดสามวันห้าวัน นานสุดคือสองสามปี ไม่ว่าใครก็ไม่อาจบอกได้แน่ชัด แล้วก็ไม่แน่เสมอไปว่ายิ่งฝ่าด่านเร็วเท่าไรก็ยิ่งดีเท่านั้น แล้วก็ไม่ใช่ว่ายิ่งฝ่าด่านช้า แล้วจะยิ่งมั่นคง ยังคงต้องดูที่โชควาสนาของใครของมัน

โครงกระดูกและช่องโพรงลมปราณเกิดลมเย็นพัดโชยเป็นระลอก กลางบ่อน้ำ มืดลึกมองทะลุไปเห็นรูปโฉมที่แท้จริง

น่าเสียดายที่ตอนนี้เฉินผิงอันยังไม่เคยเห็นภาพปรากฎการณ์เช่นนี้มาก่อน

ผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสามอย่างเขา เส้นทางที่เดินมานี้อ้อมไปไกลมาก แล้วก็มีอุปสรรคเล็กๆ อยู่ตลอดเวลา

เฉินผิงอันชมศึกต่ออีกครั้ง

บนภูเขาตี่ลี่ ทั้งสองฝ่ายที่ประมือกันต่างก็มีจิตสังหารเข้มข้น

เพียงแต่ว่าต่างก็กำลังหยั่งเชิงกันและกัน เห็นได้ชัดว่ากำลังหาโอกาสโจมตีเอาชีวิตกันอยู่

เฉินผิงอันโยนเหรียญเกล็ดหิมะไปหลายเหรียญแล้ว

ดื่มเหล้าไปหลายอึก ก็มีแต่จะคีบกับแกล้มขึ้นมาจากจาน ไหนเลยจะมีหลักการ ที่โยนกับแกล้มลงจาน

การเข่นฆ่าของคนทั้งสองนี้ไม่ค่อยมีคุณธรรมสักเท่าไรเลย

หนึ่งชั่วยามผ่านไป

เฉินผิงอันนั่งขัดสมาธิอยู่บนโต๊ะหิน เอามือข้างหนึ่งเท้าคาง ข้างมือมีเงิน เกล็ดหิมะที่กองกันเหมือนภูเขาลูกย่อม

ดูจากท่าทางของคนทั้งสองแล้วน่าจะยังสู้กันอีกนาน

ผ่านไปอีกประมาณหนึ่งชั่วยาม ยอดเขาเงินเกล็ดหิมะของเฉินผิงอันก็ถูกปาดเรียบไปแล้ว

มีคนทุ่มเงินฝนธัญพืชไปหนึ่งเหรียญ ด่าอย่างขันๆ ปนฉุนว่า “หากคู่สุนัขชายหญิง ที่ทั้งรักทั้งแค้นกันอย่างพวกเจ้าคิดจะฆ่ากันจริงๆ เหตุใดต้องหลอกเอาเงินเทพเซียนของคนอื่นด้วย! หวงซี ในเมื่อเจ้าเป็นผู้ฝึกกระบี่ หากไม่ตายอยู่บนภูเขาตี่ลี่ ไม่ช้าก็เร็วเจ้าก็ต้องได้กินกระบี่จากข้า!”

ที่แท้หวงซีผู้ฝึกตนอิสระคนนั้นก็เป็นถึงผู้ฝึกกระบี่ที่อำพรางตัวตนอย่างลึกลับ

ส่วนซิ่วเหนียงผู้ฝึกยุทธก็ทำให้ทุกคนประหลาดใจมากเหมือนกัน เพราะนางเชี่ยวชาญวิชาตระกูลเซียนมากมาย

แม้จะบอกว่าดูเหมือนคนทั้งสองจะกำลังขัดเกลาตบะให้แก่กันและกัน แต่ยามที่ประมือกันก็มีปราณสังหารเข้มข้นทั้งคู่ เฉินผิงอันเริ่มใคร่รู้แล้วว่าระหว่างคนทั้งสอง มีความรักความแค้นแบบใดเกิดขึ้นกันแน่ ถึงได้คิดจะให้ทุกคนเป็นพยานในความเป็นความตายของพวกเขาบนภูเขาตี่ลี่แห่งนี้

ผ่านไปได้ประมาณหนึ่งก้านธูป ทันใดนั้นเฉินผิงอันก็ลุกขึ้นยืน บีบเงินเกล็ดหิมะกองใหญ่ให้สลายเป็นปราณวิญญาณไปโดยตรง พยายามประคับประคองม้วนภาพภูเขาสายน้ำที่ที่ล้างพู่กันกระเบื้องเคลือบสร้างขึ้นเอาไว้

ดูเหมือนว่าผู้ฝึกยุทธหญิงคนนั้นจะเรียกอาวุธหนักบนภูเขาที่ระดับขั้นสูงมาก ชิ้นหนึ่งออกมา ประหนึ่งดวงตะวันสาดแสงแรงกล้า กลบทับไปทั่วทั้งภูเขาตี่ลี่ ต่อให้จะเพียงแค่มองผ่านม้วนภาพภูเขาสายน้ำ เฉินผิงอันก็ยังรู้สึกแสบตา

เป็นเหตุให้โชคชะตาขุนเขาสายน้ำของภูเขาตี่ลี่ถูกก่อกวนจนกลายมาเป็นเหมือนบ่อน้ำขุ่นๆ ทำให้คนที่ชมศึกมองเห็นภาพได้ไม่ชัดเจน

เฉินผิงอันเห็นเพียงว่ามีเส้นสีดำบางๆ เส้นหนึ่งตัดผ่าแสงสว่างเจิดจ้าที่กลบทับ ฟ้าดินนั้น

ครู่หนึ่งต่อมา

บนหินราบเรียบของภูเขาตี่ลี่

หวงซีที่เลือดเนื้อสลายหายไปเกินครึ่งจนแทบจะกลายเป็นโครงกระดูกครึ่งร่างกลับไม่ตาย กลับกลายเป็นซิ่วเหนียงผู้ฝึกยุทธหญิงที่ลงมืออย่างน่าตะลึงผู้นั้น ที่ร่างหายไปแล้ว ไม่รู้ว่าทั้งร่างกายและจิตวิญญาณล้วนสลายหายไป หรือสามารถ หนีรอดไปได้ท่ามกลางเส้นแบ่งความเป็นความตายกันแน่

หวงซียืนโงนเงน หลังจากเดินออกมาได้สองสามก้าวก็ทะยานลมขึ้นสูง ไปจากภูเขาตี่ลี่

เฉินผิงอันทอดถอนใจไม่หยุด ขอแค่เป็นการจับคู่ต่อสู้ที่ขอบเขตไม่ได้แตกต่างกันมากนัก ร้อยพันคาถาอาคม สุดท้ายก็สู้หนึ่งกระบี่ไม่ได้

หนึ่งกระบี่ทลายหมื่นอาคม

เฉินผิงอันเก็บที่ล้างพู่กันกระเบื้องเคลือบและเงินเกล็ดหิมะกองนั้นมา

การชมศึกครั้งนี้ ถึงอย่างไรก็ยังมีผลเก็บเกี่ยว

วิธีการออกหมัดและปณิธานของซิ่วเหนียงผู้ฝึกยุทธคนนั้น มีความหมายค่อนข้างมาก ดูเหมือนว่าจะเป็นอีกด้านหนึ่งที่สุดโต่งต่างไปจากหมัดเขย่าขุนเขาของ กู้โย่วและวิชาหมัดของชุยเฉิงแห่งเรือนไม้ไผ่

เฉินผิงอันที่อยู่ในศาลาเดินนิ่งออกหมัดช้าๆ เลียนแบบกระบวนท่าหมัด อย่างหยาบๆ ของอีกฝ่าย รวมไปถึงวิธีการปล่อยหมัดและฝ่ามือของผู้ฝึกยุทธหญิง ผู้นั้น

ครู่หนึ่งต่อมาเฉินผิงอันก็หยุดเดินแล้วเก็บหมัด เพราะเขาเรียนรู้ไม่เป็นแม้แต่น้อย ไม่มีปณิธานหมัดอยู่บนร่างเลยสักนิด

แต่เดิมทีผลเก็บเกี่ยวก็ไม่ได้อยู่ที่กระบวนท่าหมัด เฉินผิงอันคาดการณ์ได้ล่วงหน้าอยู่แล้ว ผลประโยชน์ที่แท้จริงอยู่ที่ความรู้ความเข้าใจที่เฉินผิงอันมีต่อวิชาหมัด บนโลกนี้ที่กว้างมากขึ้น ในอนาคตเมื่อต้องนำมารับมือกับศัตรู ในใจก็จะยิ่งมี ความมั่นใจมากกว่าเดิม

เฉินผิงอันเริ่มหลับตาทำสมาธิ พยายามจะจดจำปณิธานหมัดของนางให้มากขึ้น ต่อให้ตัวเองจะสามารถเลียนแบบได้เหมือนทางรูปลักษณ์แค่ไม่กี่ส่วน แต่จะดีจะชั่ว ก็นำมาทำเป็นเวทอำพรางตาได้

หลังจากลืมตาขึ้นมา เฉินผิงอันก็เริ่มสาวเท้าเดิน ฝึกฝนให้มาก เมื่อในใจพอจะมีความมั่นใจได้คร่าวๆ แล้ว อยู่ดีๆ ก็คิดถึงเรื่องที่ชวนให้เสียใจเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้

กระดาษยันต์สีทองพวกนั้นเหลืออยู่อีกไม่มากแล้ว

เหลืออยู่สิบแผ่นสุดท้าย

จำเป็นต้องคิดคำนวณอย่างละเอียด

ยันต์โบราณทั้งหลายที่บันทึกอยู่ใน ‘มหัศจรรย์ที่แท้จริงตำราสีชาด’ ตอนนี้ เฉินผิงอันเพิ่งจะเป็นผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสาม นอกจากยันต์ขั้นพื้นฐานอย่าง พวกยันต์ปราณหยางส่องไฟแล้ว เขาก็ไม่สามารถวาดได้เลย

ถึงขั้นที่ว่าเฉินผิงอันใช้สถานะของผู้ฝึกยุทธไปวาดยันต์ยังง่ายกว่าใช้สถานะของ ผู้ฝึกลมปราณวาดยันต์ด้วยซ้ำ ยันต์ที่วาดออกมาได้ก็มีระดับขั้นสูงกว่า

น่าเสียดายที่ยันต์ที่ผู้ฝึกยุทธวาดไม่สามารถปิดประตูผนึกภูเขา แสงวิญญาณจิตแห่งยันต์จะไหลหายไปเร็วมาก

เฉินผิงอันหยิบเอายันต์สีทองสิบแผ่นออกมาจากในวัตถุจื่อชื่อ พลิกไปพลิกมา เพื่อนับจำนวนของพวกมัน แน่นอนว่าไม่มีทางที่จะเพิ่มขึ้นมาจากเดิม

ออกจากศาลา เดินไปนั่งบนเบาะในห้องแห่งนั้น ปลดเจี้ยนเซียนลงมาจากผนัง เอามาวางพาดไว้บนหัวเข่า จากนั้นก็หยิบน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ออกมา ควบคุมเศษซากปราณกระบี่กลุ่มนั้นออกมาจากน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่อย่างระมัดระวัง

หลังจากนั้นสิบวันเต็ม

ในตลาดนอกนครเหนือเมฆก็ไม่มีร่างของร้านผ้าห่อบุญหนุ่มที่เปิดแผงขายยันต์ปรากฏตัวอีกเลย

……

เมืองหลวงต้าหลี ฮ่องเต้หนุ่มอายุน้อยกำลังเปิดประชุมเล็กๆ ตามกำหนดการอยู่ในห้องทรงพระอักษร

ขุนนางยี่สิบกว่าคนมารวมตัวกัน ห้องทรงพระอักษรไม่ใหญ่นัก เมื่อมีคนเพิ่มขึ้นมา จึงดูแออัดอย่างเห็นได้ชัด

คนที่มีอายุมากที่สุดก็คือนายท่านผู้เฒ่ากวนเจ้ากรมการคลัง ดูเหมือนว่า การประชุมใหญ่จะเผาผลาญจิงชี่เสินของผู้เฒ่ามากเกินไป เวลานี้เขาจึงกำลังนั่ง งีบหลับอยู่บนเก้าอี้ ในมือประคองเตาอุ่นมือขนาดเล็กที่ห่อหุ้มด้วยผ้าฝ้ายอย่างประณีตบรรจง นี่เป็นสิ่งของที่ฮ่องเต้พระองค์ก่อนพระราชทานให้ อีกทั้งยังมีขันที ในวังรับผิดชอบคอยดูแล ขอแค่เป็นการประชุมเล็กในช่วงหน้าหนาว ไม่จำเป็นต้องให้นายท่านผู้เฒ่ากวนเอ่ยเตือนก็จะมีคนนำมามอบให้เจ้ากรมผู้เฒ่าที่อายุร้อยปีผู้นี้ ด้วยตัวเอง

เวลานี้นายท่านผู้เฒ่าส่งเสียงกรนออกมาเบาๆ ทว่านับตั้งแต่ฮ่องเต้ไปจนถึง ขุนนางคนสำคัญคนอื่นๆ ของต้าหลี ต่างก็ไม่มีใครคิดจะเปิดปากเอ่ยเตือนท่านผู้เฒ่า ถึงอย่างไรหากถึงช่วงเวลาที่เจ้ากรมผู้เฒ่าคิดว่าเป็นเรื่องสำคัญ เขาก็จะตื่นขึ้นมาพูดคำสองคำเอง

ตอนนี้รองเจ้ากรมอาญาที่อยู่ในวัยฉกรรจ์หนุ่มแน่นกำลังรายงานเรื่องสำคัญ เรื่องหนึ่งให้ใต้เท้าทั้งหลายฟัง

ผู้ฝึกตนหญิงที่ใช้นามแฝงว่าสือชิวผู้นั้น ตอนนี้ได้ถูกคนช่วยพาตัวไปแล้ว ไม่รู้ว่าไปอยู่ที่ไหน

ก่อนหน้านี้ผู้ถวายงานและนักรบเดนตายของราชวงศ์จูอิ๋งสองกลุ่มมีตบะทั้งสูงและต่ำ ทว่าทุกคนล้วนเป็นสายลับเก่าแก่ที่ทำงานรอบคอบระมัดระวังเหมือนกันได้ทยอยกันข้ามทวีปไปเยือนอุตรกุรุทวีปเพื่อทำการสืบบันทึกคดีของคนทุกคนที่อยู่บนเรือ ข้ามฟากภูเขาต่าเจี้ยวในปีนั้น ด้วยหวังว่าจะหาเบาะแสสำคัญที่เกี่ยวข้องกับ ผู้ฝึกกระบี่ของต้าหลีซึ่งร่วมมือกับภูเขาต่าเจี้ยวทำร้ายจูอิ๋งได้เจอ

อันที่จริงมีกลุ่มหนึ่งในนั้นที่ทำสำเร็จแล้ว พวกเขาไม่ได้นั่งเรือข้ามทวีปเดินทางกลับมายังแจกันสมบัติทวีป แต่เดินทางอ้อมไปบนมหาสมุทร เพียงแต่ว่าถูกผู้ฝึกตนของต้าหลีไปดักฆ่าอยู่บนทะเล

คนที่เป็นปัญหาที่สุดก็คือสตรีของภูเขาต่าเจี้ยวที่มีชื่อว่าชิวสือผู้นั้น

มีครั้งหนึ่งขณะที่เป็นการแสดงผ่านบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำ นางกลับเปิดเผยความลับสวรรค์ บอกว่าเจี้ยนเวิงเซียนเซิงของอุตรกุรุทวีปต่างหาก จึงจะเป็นคนที่โยนความผิดให้แก่ราชวงศ์จูอิ๋ง สตรีผู้นี้หวังว่าจะมีคนนำเรื่องนี้ไปบอกกล่าวแก่เทียนจวินเซี่ยสือ นางชิวสือยินดีใช้ความตายของตัวเองมาพิสูจน์ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริงแท้แน่นอน

ตอนนี้ภูเขาที่รับตัวชิวสือไว้ได้ถูกผู้ฝึกลมปราณต้าหลีปิดภูเขาป้องกัน อย่างเข้มงวด

นายพลเอกตระกูลหยวนคือผู้เฒ่าใบหน้าผอมตอบคนหนึ่ง เขาใช้ฝ่ามือถูกัน ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “สมกับคำว่ากระตุกผมเส้นเดียวสะเทือนทั้งร่างจริงๆ ก็ไม่รู้ว่า ศาลาคลื่นมรกตของใต้เท้าราชครูพวกเรามัวยุ่งทำงานอะไรกันอยู่”

เจ้าประมุขตระกูลเฉาที่มีเรือนกายกำยำเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ หัวเราะเสียงหยันเอ่ยว่า “ต่อให้ศาลาคลื่นมรกตจะทำผิดพลาด แต่ก็ยังลงมือทำเรื่องเป็นการเป็นงานมากกว่าเจ้าหยวนอวิ๋นสุ่ยที่ดีแต่จะพ่นน้ำลายอยู่ในท้องพระโรงกระมัง พลเอกใหญ่หยวน เอาแต่ด่าฟ้าด่าดินด่าสหายร่วมงานอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ความสามารถในการหาเรื่องติผู้อื่นของเจ้าหยวนอวิ๋นสุ่ยนั้นร้ายกาจที่สุดจริงๆ”

เจ้าประมุขสกุลหยวนยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เฉาเฉียว ตอนนี้ข้ายังเป็นพลเอก เสาค้ำยันแคว้น ส่วนเจ้าจะคิดว่าตัวเองเป็นเสาค้ำยันแคว้นใหญ่หรือไม่ ข้าก็ไม่ค่อยแน่ใจแล้ว”

เจ้ากรมพิธีการเหม่อลอยอยู่ตลอดเวลา

และเป็นเช่นนี้เสมอมา

เจ้ากรมอาญาที่ดูแลเรื่องเทพผีภูเขาสายน้ำมากมายเหมือนกัน หากไม่เป็นเพราะชุดขุนนางที่สวมสะดุดตามากเกินไป เขาก็คือชายฉกรรจ์วัยกลางคนรูปลักษณ์สามัญ เขากลับเป็นฝ่ายเปิดปากเข้าร่วมวงเรื่องเละเทะของใต้เท้าเสาค้ำยันแคว้นทั้งสองท่านด้วยตัวเอง ด้วยการพูดหน้าเคร่งว่า “ใต้เท้าเฉา ใต้เท้าหยวน ทุกคำที่พูดอยู่ ในการประชุมเล็กครั้งนี้จะต้องตัดสินความเป็นความตาย ความสุขความทุกข์ของราษฎรต้าหลี บุญคุณความแค้นของพวกเจ้าควรจะวางไว้ก่อนหรือไม่?”

ผู้เฒ่าที่เป็นเชื้อพระวงศ์สกุลซ่งคนหนึ่ง ตอนนี้ทำหน้าที่ดูแลทำเนียบวงศ์ตระกูลเชื้อพระวงศ์สกุลซ่งต้าหลีพูดกลั้วหัวเราะขึ้นมาว่า “มารดาข้า เกือบจะนึกว่าต้าหลี แซ่หยวนหรือไม่ก็แซ่เฉาซะแล้ว ทำเอาตาแก่แซ่ซ่งอย่างข้าตกใจแทบตาย”

แม่ทัพบู๊คนหนึ่งที่ไม่อาจนำกองทัพม้าเหล็กกรีฑาทัพลงใต้ได้อย่างเฉาผิง ซูเกาซาน มีร่างกายเล็กเตี้ย ทว่ากล้ามเนื้อกลับกำยำล่ำสัน เขาที่นั่งอยู่บนเก้าอี้มองดูแล้ว ชวนขบขันอย่างเห็นได้ชัด เพียงแต่ว่ายามที่เปิดปากพูดกลับมีน้ำหนักไม่น้อย เขาเอ่ยเสียงทุ้มหนักว่า “มีเวลาว่างเช่นนี้ก็ไม่สู้ให้คนไปจัดการผู้ฝึกตนหญิงภูเขาต่าเจี้ยว ที่ขวางหูขวางตาคนนั้นซะ ศาลาคลื่นมรกตชอบกินอาหารแห้ง ถ้าอย่างนั้นก็ให้ ผู้ฝึกตนติดตามกองทัพใต้บังคับบัญชาของข้าเป็นคนลงมือ รับรองว่าแม้แต่ คนเบื้องหลังที่ช่วยเหลือนางก็จะถูกจัดการไปพร้อมกันด้วย”

ฮ่องเต้หนุ่มไม่ได้นั่งอยู่ด้านหลังโต๊ะทรงงาน เขาย้ายเก้าอี้มานั่งอยู่ใกล้ๆ กับ เหล่าขุนนาง อีกทั้งตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ได้เปิดปากพูดอะไร เวลานี้เขาที่นั่งอยู่ข้างกระถางไฟค้อมเอวยื่นมือไปอังไฟหาความอบอุ่น

ด้านข้างวางเก้าอี้ไม้หวงหยางที่ธรรมดาตัวหนึ่ง และเก้าอี้ตัวนี้ก็ถูกวางอยู่ใน ห้องนี้มาร้อยกว่าปีแล้ว

ฮ่องเต้ราชวงศ์ต้าหลีหลายพระองค์ต่างก็ถูกเก้าอี้ตัวนี้ ‘มองพวกเขาเติบโต’ มา

ตอนเด็กๆ อดีตฮ่องเต้ก็ได้แต่เคยลูบ ไม่เคยนั่ง เขาที่เป็นฮ่องเต้พระองค์ใหม่ ตอนเด็กก็ได้แต่ลูบไม่เคยได้นั่งเหมือนกัน

บัลลังก์มังกรตัวนั้นเปลี่ยนฮ่องเต้มาหลายพระองค์แล้ว มีเพียงเก้าอี้ตัวนี้ที่ไม่มี คนมานั่ง ไม่เคยเปลี่ยนคนนั่งมาก่อน

กลางระเบียงนอกห้องทรงพระอักษร ขันทีเฒ่าเอ่ยเสียงเบา “ราชครูมาถึงแล้ว”

ขุนนางสำคัญของต้าหลีที่มีคุณสมบัติเข้าร่วมการประชุมเล็กครั้งนี้พากันลุกขึ้นยืน แม้แต่ท่านผู้เฒ่ากวนก็ยังขยับก้น เอาฝ่ามือสองข้างดันไว้บนที่เท้าแขนเก้าอี้ ดูท่าทางน่าจะตื่นแล้ว จากนั้นก็ลุกขึ้นยืนต้อนรับซิ่วหู่ผู้นั้น

แม้ว่าฮ่องเต้หนุ่มจะไม่ได้ลุกขึ้นยืนต้อนรับ แต่ก็ขยับเอวยืดตรง

ผู้เฒ่าลัทธิขงจื๊อเดินข้ามธรณีประตูเข้ามา ประสานมือคารวะฮ่องเต้ สีหน้า ไม่มีความเย่อหยิ่งลำพองใจแม้แต่น้อย

ฮ่องเต้ซ่งมู่พยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม

ชุยฉานนั่งลงบนเก้าอี้ หันหน้ามามองเจ้ากรมผู้เฒ่าของกรมขุนนาง ยิ้มกล่าว “เจ้ากรมกวน นี่คิดจะลุกขึ้นยืนหรือว่าจะนั่งกันแน่?”

นายท่านผู้เฒ่ากวนยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “ใต้เท้าราชครูโปรดอภัย อายุปูนนี้แล้ว นอกจากนั่งยองในห้องส้วมไม่ยอมถ่าย ฉกฉวยผลประโยชน์เล็กๆ น้อยๆ แล้ว เรื่องอื่นก็ล้วนทำได้ยากลำบากทั้งสิ้น”

ชุยฉานโบกมือ “พูดเรื่องธุระสำคัญ”

พอราชครูมาถึง บรรยากาศของห้องทรงพระอักษรก็เปลี่ยนมาเป็นจริงจัง

ทุกคนต่างก็อดทำตัวให้กระปรี้กระเปร่าขึ้นจากเดิมอีกสิบสองส่วนไม่ได้

ชุยฉานเอ่ย “วันนี้ข้าคิดจะพูดเรื่องสถานการณ์ปัจจุบันและทิศทางการดำเนินไปของราชวงศ์จูอิ๋ง ทะเลสาบซูเจี่ยนและแคว้นชิงหลวนกับทุกท่าน หากสามารถ วางแผนการรับมือกับแต่ละฝ่ายได้ ในอนาคตบนภูเขาล่างภูเขาของแจกันสมบัติทวีป ก็จะมีขั้นตอนให้ทำตาม มีหลักการให้ปฏิบัติ ดังนั้นการประชุมในวันนี้จึงพูดได้ว่าสามารถตัดสินสถานการณ์ของแคว้นต้าหลีในอนาคตไปอีกร้อยปี คำพูดของทุกคน ในวันนี้จะถูกจดบันทึกโดยไม่ตกหล่นแม้แต่คำเดียว ใครกระแอมกี่ที สัปหงกกี่ครั้ง ระหว่างนั้นใครดื่มชากี่ถ้วย ใครพูดจาวางโตที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ใดๆ ต่อแคว้น ใครพูดจามีวิสัยทัศน์สร้างคุณประโยชน์แก่โชคชะตาแคว้นต้าหลี วันหน้าต้าหลีและ ขุนนางสำคัญทั้งหลายที่มีคุณสมบัติจะได้นั่งอยู่ในห้องนี้ล้วนจะได้อ่านกัน อย่างชัดเจน”

สุดท้ายชุยฉานเอ่ยว่า “ฮ่องเต้จะสามารถกลายเป็นจักรพรรดิอันดับหนึ่งในประวัติศาสตร์ของแจกันสมบัติทวีปได้หรือไม่ กองทัพม้าเหล็กต้าหลีของพวกเราจะสามารถสั่งสอนให้ทุกคนในใต้หล้าไพศาลว่าจำต้องเบิกตาให้กว้าง มองราชวงศ์ต้าหลีของเราให้ดีๆ จดจำให้แม่นว่าฮ่องเต้ราชวงศ์ต้าหลีของพวกเราชื่ออะไรแซ่อะไร ได้หรือไม่ แล้วข้างกายฮ่องเต้จะมีขุนนางผู้มีชื่อเสียง มีแม่ทัพผู้มากฝีมือคนใดอยู่บ้าง ก็ขึ้นอยู่กับคำพูดและการกระทำของทุกท่านในวันนี้แล้ว”

ชุยฉานลุกขึ้นยืน สีหน้าเคร่งเครียด

ในการประชุมเล็ก

ฮ่องเต้หนุ่มลุกขึ้นยืนช้าๆ แผ่นอกกระเพื่อมไม่หยุด

ขุนนางบุ๋นลุกขึ้นยืนประสานมือคารวะ

แม่ทัพบู๊ลุกขึ้นยืนกุมหมัด

……

ทวีปเกราะทอง บนซากปรักสมรภูมิรบโบราณแห่งหนึ่ง ทั่วทุกหนแห่งล้วน เต็มไปด้วยเศษซากเทวรูปที่กองระเกะระกะ

พายุลมกรดของที่แห่งนี้มากพอจะทำให้ผู้ฝึกลมปราณคนใดก็ตามที่อยู่ต่ำกว่าเซียนดินโอสถทองลงไป ต่อให้จะอยู่ที่นี่แค่หนึ่งก้านธูป ก็ยังต้องรู้สึกเหมือนอยู่ ไม่สู้ตาย

ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวหลายคนชอบมาหล่อหลอมเรือนกายที่นี่ เพียงแต่ว่าส่วนใหญ่ล้วนไม่สามารถมีชีวิตรอดจากไปได้ พายุลมกรดที่อยู่ดีๆ ก็พัดโหมขึ้นมาเหล่านั้น ไม่มีร่องรอยให้ตามหา บางครั้งเป็นปราณกระบี่ที่กระจัดกระจายเล็กละเอียด เหมือนขนห่านที่ปลิวปราย

บางครั้งพายุลมกรดบางลูกก็สามารถแผ่ปกคลุมไปทั่วรัศมีสิบลี้ เหมือนมี เซียนกระบี่ออกกระบี่ พายุลมกรดหลายลูกที่พอพัดผ่านไปแล้ว ต่อให้เจ้าจะเป็น ผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองก็ยังไม่เหลือแม้แต่โครงกระดูก

สตรีอายุน้อยคนหนึ่งเคยใช้ขอบเขตห้าที่แข็งแกร่งที่สุดในใต้หล้าฝ่าทะลุคอขวด อาศัยพรสวรรค์ที่มีเฉพาะตัวบนโลก ถึงสามารถพเนจรอยู่ที่นี่ได้นานหลายปี

ตอนนี้นางกำลังเดินเข้าหาบุรุษชุดขาวคนหนึ่งช้าๆ ทว่ากลับออกหมัดรวดเร็ว ราวกับสายฟ้า

อีกฝ่ายเป็นเพียงแค่ขอบเขตร่างทองเท่านั้น

ขอบเขตร่างทองที่มีเรือนกายธรรมดาทั่วไป บางทีแค่หมัดเดียวของนางก็ตายได้แล้ว

ทว่าเผชิญหน้ากับผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองที่อายุน้อยยิ่งกว่านาง นางออกหมัดไปหลายพันครั้งแล้ว ทว่าทุกหมัดกลับถูกปณิธานหมัดบนร่างของอีกฝ่ายสลายทอนจนสิ้นซากเหมือนกันหมดอย่างไม่มีข้อยกเว้น

พูดง่ายๆ ก็คืออีกฝ่ายยังไม่ได้ลงมือเอาคืน ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวที่มีหวังว่าจะใช้ขอบเขตหกที่แข็งแกร่งที่สุดเลื่อนสู่ขอบเขตร่างทองอย่างนางก็ไม่อาจสัมผัสได้แม้แต่ชายเสื้อของเขาด้วยซ้ำ

ขอบเขตร่างทองของบุรุษหนุ่มชุดขาวคนนี้เป็นเพียงแค่ขอบเขตร่างทองจริงๆ

น่าเสียดายที่อีกฝ่ายคือเฉาสือที่เดินทางไกลจากทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางมาถึงที่นี่

ทุกขอบเขตของเฉาสือล้วนเป็นขอบเขตวิถีวรยุทธที่ไม่เคยมีใครทำได้มาก่อน

นางที่ตอนเป็นเด็กสาวก็มาฝึกประสบการณ์ที่นี่แล้วเคยไม่เชื่อในคำกล่าวนั้น

จากนั้นนางก็ได้ผ่านเส้นทางในหัวใจที่วนรูปแบบซ้ำซากจากอารมณ์ฮึกเหิม พร้อมต่อสู้ ออกหมัดหยั่งเชิง ทุ่มเทพลังเต็มที่ แล้วก็ต้องค่อยๆ ผิดหวัง จนกระทั่ง มีแนวโน้มว่าจะชินชาซ้ำไปซ้ำมา

นาทีที่นางคิดจะหยุดออกหมัด ในที่สุดเฉาสือก็เอ่ยเป็นประโยคที่สองว่า “ในเมื่อปณิธานหมัดของเจ้าเพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ เหตุใดถึงจะหยุดหมัดซะเล่า?”

หลังจากนั้นมาหญิงสาวก็กัดฟันยืนหยัด ออกหมัดอย่างเดือดดาล

ประโยคแรกของเฉาสือก่อนหน้านี้ เขาเอ่ยหลังตามหลังหลิวโยวโจวผู้นั้น

ตอนนั้นหลิวโยวโจวแห่งธวัลทวีปที่อาศัยว่ามีเฉาสืออยู่ข้างกายพูดจาร้ายกาจกับนางประโยคหนึ่งว่า “ไหวเฉียนพูดถูกแล้ว ในสายตาของเฉาสือ ขอบเขตหกอย่างเจ้า ก็คือรูปปั้นดินกระดาษเปียก ไม่อาจทานรับการโจมตีได้”

เฉาสือไม่อยากให้นางเข้าใจผิด จึงเอ่ยประโยคแรกหลังจากได้พบหน้านางว่า “ข้าไม่เคยพูดอะไรแบบนี้”

เวลานี้หลิวโยวโจวนั่งอยู่บนฝ่ามือของเทวรูปองค์หนึ่งที่ล้มกองอยู่กับพื้น บนฝ่ามือขนาดใหญ่ยักษ์นั้นมีพุ่มหญ้าหนาแน่นขึ้นอยู่กอหนึ่ง

พวกมันกลับไม่ถูกพายุลมกรดของสนามรบโบราณม้วนหอบให้หายไป ก็ถือว่าเป็นเรื่องประหลาดเหมือนกัน

หลิวโยวโจวไม่ค่อยเข้าใจนัก สำนักชั้นสูงที่คนแทบทุกรุ่นล้วนได้เลื่อนสู่อันดับ สิบคนของแผ่นดินกลาง กับชนชั้นสูงในโลกมนุษย์ของแผ่นดินกลางที่ทุกรุ่นจะต้องมี ผู้ฝึกยุทธมากมายดุจก้อนเมฆ นางกับไหวเฉียนที่เหมาะสมกันขนาดนี้ เหตุใดถึง ต่างฝ่ายต่างหนีงานแต่งงาน ทำตัวให้เป็นที่ขบขันของทุกคนแบบนี้ ไม่ใช่ว่าจะให้ พวกเขาผูกสมัครเป็นคู่บำเพ็ญเพียรกันเสียหน่อย

ก็แค่มีสัญญาแต่งงานบนกระดาษเพิ่มมาแผ่นหนึ่งเท่านั้น ชื่อที่อยู่บนกระดาษนี้ไม่ได้สร้างพันธนาการที่แท้จริงใดๆ ให้กับคนทั้งสอง หากเปลี่ยนมาเป็นเขา หลิวโยวโจว ขอแค่ให้ราคาที่เป็นธรรม เขาก็สามารถขายตัวเองได้แล้ว

เฉาสือไล่สายตามองไปตามเทวรูปที่อยู่บนซากปรัก ไล่มองไปจนครบทุกองค์

อยากจะมองให้ออกถึงจิตวิญญาณแห่งวิชาหมัดบางอย่าง

และในความเป็นจริงแล้ว เขาก็มองออกไม่น้อยจริงๆ

ดังนั้นการออกหมัดของสตรีผู้นั้นก็ถูกกำหนดมาแล้วว่าต้องเสียแรงเสียเวลาเปล่า

เพราะการเพิ่มขึ้นของปณิธานหมัดนางมีแต่จะช้ายิ่งกว่าเขาเฉาสือ

เฉาสือนั่งยองอยู่ตรงหน้าเทวรูปที่มีเพียงครึ่งตัว แล้วปักเท้านั่งนิ่งอยู่ตรงนั้น เขาเงยหน้ามองไป ดูเหมือนว่าจะถูกหนึ่งกระบี่ฟันผ่าตั้งแต่ตรงบ่าลากยาวไปถึงด้านข้างของเอว

สตรีที่เปลือยเท้าสวมชุดขาวผู้นั้นหยุดออกหมัดชั่วขณะ ก้มหน้าค้อมเอว เอามือสองข้างยันหัวเข่า กระอักเลือดออกมาคำใหญ่

ทำเอาหลิวโยวโจวที่มองดูอยู่ชาไปทั้งหนังศีรษะ ดูเหมือนว่าผู้ฝึกยุทธเต็มตัวที่คุณสมบัติดีทุกคนในใต้หล้านี้ล้วนเป็นพวกบ้าคลั่งกันทั้งนั้น

ยังคงเป็นการฝึกตนที่ดีกว่า

ขอแค่สมบัติอาคมบนร่างมีมากพอ ก็สามารถหลบซ่อนตัวเป็นเต่าหดหัวอยู่ในกระดองได้อย่างสบายใจ

ยกตัวอย่างเช่นครั้งนี้เขาออกจากบ้านมาฝึกประสบการณ์ เดินทางเป็นเพื่อนเฉาสือมาไกลมาก ไปเยือนหลิวเสียทวีป ตอนนี้ยังมาที่ทวีปเกราะทอง บนร่างของเขาหลิวโยวโจวนอกจากชุดคลุมอาคมที่เป็นสมบัติล้ำค่าหลายชิ้นแล้ว ลำพังเพียงแค่เกราะเทพเจ้าควันธูปก็มีถึงสองชิ้นแล้ว เพียงแต่ว่าชิ้นหนึ่งในนั้นได้มอบให้แก่สหายอย่างไหวเฉียนไปเมื่อหลายปีก่อน

บอกว่าเป็นสหาย อันที่จริงก็เป็นแค่เพื่อนเท่านั้น

ไม่ใช่เพื่อนแบบที่นิสัยเข้ากันได้ดี แต่เป็นเพราะความสัมพันธ์ของตระกูล แซ่กับแซ่จึงกลายเป็นสหายกัน

แต่เมื่อเทียบกับพวกที่เป็นพี่น้องกันแต่ปาก สหายบนโต๊ะเหล้าทั่วไปแล้ว ไหวเฉียนที่คิดจะ ‘ขอยืม’ สมบัติอาคมบางส่วนไปจากบุตรชายโทนของเทพแห่ง โชคลาภของธวัลทวีปอย่างเขาไป ‘ชั่วคราว’ อันที่จริงหลิวโยวโจวก็ค่อนข้างถูกชะตากับไหวเฉียนที่ไม่ชอบเอาเปรียบตนอยู่มาก

ในความเป็นจริงแล้วหลายๆ ครั้งแล้วหลิวโยวโจวอยากจะบอกกับ ‘พวกสหาย’ ที่ยืมสมบัติอาคมไปแล้วไม่ค่อยเอามาคืนพวกนั้นว่า ไม่ใช่ว่าพวกเจ้าฉลาดสักเท่าไรจริงๆ แต่เป็นเพราะข้าหลิวโยวโจวมีนิสัยแย่ๆ อย่าง ‘หากไม่แจกจ่ายเงิน ไม่มอบสมบัติจะรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัว’ มาตั้งแต่เด็กๆ อยู่แล้ว ยังดีที่พ่อแม่ของเขาไม่เคย มาควบคุม มีครั้งหนึ่งที่เขามอบสมบัติให้กับสหายสนิทคนหนึ่งด้วยความจริงใจ อย่างที่หาได้ยาก สุดท้ายถึงได้ค้นพบว่าคนผู้นั้นไม่เห็นตนเป็นสหาย ทำเอา หลิวโยวโจวที่ตอนนั้นเพิ่งอายุแค่สิบกว่าขวบร้องไห้ปานจะขาดใจ จากนั้นพ่อเขา ก็พาเขาไปที่ภูเขาเก็บสมบัติของสกุลหลิวบ้านตัวเอง นั่นคือภูเขาลูกหนึ่งจริงๆ บุรุษที่เป็นมหาเศรษฐีใหญ่ของทวีปถามบุตรชายโทนของเขาว่า สมมติว่าต้องเอาสมบัติไปให้คนอื่นวันละหนึ่งชิ้น ชั่วชีวิตนี้เจ้าควรต้องใช้เวลากี่ปีถึงจะสามารถมอบของบน ‘ภูเขาสมบัติ’ ทั้งลูกนี้ออกไปได้หมด

หลิวโยวโจวนับนิ้วคำนวณแล้วบอกจำนวนที่แน่นอน

ผลกลับกลายเป็นว่าท่านพ่อของเขาโบกชายแขนเสื้อเปิดตราผนึกลับออก ภูเขาสมบัติที่อยู่ตรงหน้าก็กลายมาเป็นภูเขาสมบัติที่มโหฬารมากกว่าเดิม สมกับคำว่านอกภูเขามีภูเขาอย่างแท้จริง รัศมีแสงอัญมณีเจ็ดสีพวกนั้นเกือบแทงดวงตาทั้งคู่ของเด็กน้อยให้บอด

หลิวโยวโจวแผดเสียงร้องไห้จ้าออกมาทันใด

เหตุใดบ้านของตนถึงได้มีเงินมากขนาดนี้ล่ะ

วันนั้นเด็กน้อยเอาสมบัติมาห้อยไว้เต็มร่าง เดินอาดๆ ออกจากพื้นที่ต้องห้าม ของตระกูล ส่งเสียงกรุ๊งกริ๊งไปตลอดทาง เด็กน้อยยิ้มหน้าบานเป็นกระด้ง ยังไม่ลืมเช็ดน้ำมูกน้ำตาลงบนแขนเสื้อของบิดา

แต่วันนั้นเทพเจ้าแห่งโชคลาภของธวัลทวีปที่ไม่ค่อยจะสนใจอบรมสั่งสอนบุตรชายกลับถ่ายทอดคำสอนข้อหนึ่งของศาลบรรพชนให้แก่หลิวโยวโจว ‘แต่ไหน แต่ไรมาการหาเงินนั้นเป็นเรื่องง่าย แต่ยากตรงที่จะเก็บเงินไว้อย่างไรโดยไม่เรียกหายนะมาสู่ตัว จะใช้จ่ายเงินอย่างไรโดยไม่นำภัยมาสู่ตัว’

แล้วบุรุษก็เล่าบทเรียนอันน่าอนาถที่เลือดนองเป็นสายน้ำในประวัติศาสตร์ของตระกูลให้เด็กคนหนึ่งที่ตัวโตเท่าก้นฟัง

หลิวโยวโจวถึงได้รู้ว่า ที่แท้ตระกูลใหญ่ที่มีรากฐานครอบครัวแน่นหนา หากไม่มีหัวคิดสักหน่อย จะเอาแต่ใช้วิธีการเดิมๆ หาเงินอย่างเดียว ถ้าอย่างนั้นหลายๆ ครั้งการมีเงินก็คือภัยปลิดชีพ การใช้จ่ายเงินก็ยิ่งเป็นการเรียกหายนะเข้าประตูบ้านมา

หลิวโยวโจวโตมาขนาดนี้ มีครั้งเดียวที่ถูกบิดาตบบ้องหู คือครั้งที่หลังจาก ตระกูลหนึ่งซึ่งชอบหาเงินสกปรกอย่างไร้คุณธรรมเกิดเรื่อง เขาให้สหายที่น่าสงสาร ซึ่งร่ำร้องอ้อนวอนขอให้เขาช่วยเหลือยืมเงินก้อนหนึ่งเพื่อช่วยให้เขาและตระกูล ข้ามผ่านด่านยากลำบากครั้งนั้นไปได้ แล้วยังเอ่ยปลอบใจอีกฝ่ายหลายคำ ช่วยด่า เจ้าตัวการร้ายผู้นั้นแทนเพื่อน

แน่นอนว่าส่วนแบ่งที่ควรได้รับ เขาหลิวโยวโจวก็ไม่พลาดไปแม้แต่เหรียญเดียว ผลกลับกลายเป็นว่าเพื่อนคนนั้นเพิ่งจะจากไป บิดาของเขาหลิวโยวโจวก็ปรากฏตัว ตบฉาดจนใบหน้าของหลิวโยวโจวเต็มไปด้วยเลือดสดๆ ถามหลิวโยวโจวว่ารู้หรือไม่ว่าผิดตรงไหน หลิวโยวโจวบอกว่าไม่ควรให้ยืมเงิน ผลคือโดนตบซ้ำอีกทีจนเขา ร่วงไปกองกับพื้น

หลิวโยวโจวดิ้นรนลุกขึ้นมานั่งบนพื้น แล้วก็ไม่พูดอะไรอีก

บุรุษหัวเราะเสียงหยัน พูดหลักการค้าในการทำการค้ามีอะไรผิด ใต้หล้านี้ สิ่งที่สะอาดที่สุดก็คือเงิน

จนถึงตอนนี้หลิวโยวดจวก็ยังไม่ได้คำตอบครึ่งหลังมาจากปากบิดา

อาจเป็นเพราะในอดีตบรรพบุรุษสำนักการค้าผู้นั้นได้ทิ้งกระดาษแผ่นหนึ่งให้กับบรรพบุรุษสกุลหลิว

บนกระดาษสีแดงที่ถูกเจ้าประมุขทุกรุ่นของสกุลหลิวตั้งบูชาไว้ในศาลบรรพชนแผ่นนั้นเขียนอักษรไว้แปดคำ ร่ำรวยเกิดมโนธรรม ไม่มีก็มลายหายสิ้น

เวลานี้หลิวโยวโจวนั่งอยู่ในกอหญ้าบนฝ่ามือของเทวรูปที่ผุพังองค์หนึ่ง เขาถอนหายใจ ทุกบ้านล้วนมีคัมภีร์ที่อ่านยาก หวังเพียงว่าตนจะได้เป็นเจ้าประมุขสกุลหลิวช้าสักหน่อย จะได้ไม่ต้องคอยคบค้าสมาคมกับมโนธรรมในใจ

หลิวโยวโจวใช้เสียงในใจสอบถามเฉาสือที่อยู่ห่างออกไป “เจ้าว่าไหวเฉียนจะกลับมาจากอุตรกุรุทวีปเมื่อไหร่”

เฉาสืออืมหนึ่งที

หลิวโยวโจวเหลือกตามองบน

นี่ก็คือคำตอบของเฉาสือ แสดงให้รู้ว่าเขาไม่เคยคิดถึงมาก่อน แล้วก็ไม่มีทางคิดด้วย

หลิวโยวโจวมักจะถามปัญหาสารพัดสารพันกับเขา เฉาสือคงรู้สึกว่าหากไม่ตอบรับสักหน่อยจะดูไม่มีมารยาทเกินไป ส่วนใหญ่จึงมักจะอืมรับหนึ่งทีเพื่อแสดงให้รู้ว่าตัวเองได้ยินแล้ว

หญิงสาวผู้นั้นรู้สึกว่ามีโอกาสให้ฉกฉวย จึงปล่อยหมัดออกไปเต็มแรง ผลกลับกลายเป็นว่าตรงข้อมือมีเสียงลั่นกร๊อบดังขึ้นมา รอจนนางพลิ้วกายลงพื้น ไหล่ก็สะบัดส่าย พอยืนได้มั่นคงแล้ว แขนทั้งแขนก็ห้อยลู่ลงอย่างหมดแรง

หลิวโยวโจวยื่นสองมือออกมานวดคลึงจุดไท่หยาง เขามักจะรู้สึกว่าการที่ยุแยงให้เฉาสือมาเยือนซากปรักแห่งนี้ เพื่อฉวยโอกาสมาดูว่าเป็นสตรีแบบใดกันแน่ที่ไม่ ชื่นชอบไหวเฉียน ถือเป็นความคิดที่ไม่ค่อยดีสักเท่าไร

หลิวโยวโจวจึงคิดว่าสตรีที่มีความเป็นไปได้มากว่าจะเป็นขอบเขตหกที่แข็งแกร่งที่สุดในใต้หล้าผู้นี้จะต้องการสมบัติอาคมอะไรหรือไม่ ที่เขาโยวโจวมีอยู่ไม่น้อย เชิญนางเอาไปได้ตามสบาย ต่อให้ตัวนางเองไม่ได้ใช้ แต่ออกจากบ้านเกิดมานานหลายปีขนาดนี้ คราวนี้เดินทางกลับบ้าน ในตระกูลจะไม่มีเด็กรุ่นหลังสักคนสองคนบ้างเลยหรือ? ถือว่าเป็นเงินยาสุ้ยที่เอาไว้มอบให้พวกเด็กๆ ตอนปีใหม่ก็ได้นี่นา

……

หลังจากเขตการปกครองหลงเฉวียนได้เลื่อนขั้นเป็นจังหวัด

บริเวณใกล้เคียงกับภูเขาลั่วพั่วก็มีผู้ว่าคนใหม่ที่มาจากแคว้นหวงถิงซึ่งเป็น แคว้นใต้อาณัติ เทพอภิบาลเมืองก็มีแล้ว ส่วนจวนที่แขวนป้ายน้ำใสลมเย็นหลังนั้น เทพหยินแซ่กู้ก็ได้เลื่อนขั้นตามคุณูปการที่สร้างไว้ กลายเป็นซานจวินของอดีตขุนเขาเหนือต้าหลีเหมือนได้เดินขึ้นฟ้าในก้าวเดียว ส่วนผีสาวสวมชุดแต่งงานตนนั้น ก็ได้ย้อนกลับมาที่จวนตัวเองอีกครั้ง เก็บตัวเงียบไม่ออกไปไหน มีเพียงเทพวารี แม่น้ำซิ่วฮวาเท่านั้นที่จะไปเยี่ยมเยียนเป็นบางคราว

องค์เทพของอดีตห้าขุนเขาต้าหลี สี่องค์ในนั้นถูกย้ายออกจากภูเขาเดิมให้ไป ยึดครองภูเขาลูกอื่นของแจกันสมบัติทวีป ดังนั้นนอกจากเทพหยินแซ่กู้ที่ไร้สัญชาติ ไร้นามผู้นั้นแล้ว จึงยังมีองค์เทพประจำท้องถิ่นของต้าหลีอีกสามองค์ที่ได้ เลื่อนตำแหน่งสูงหลังจากตรากตรำสร้างคุณความชอบอย่างยากลำบาก ได้เลื่อนขั้น ไปตามลำดับขั้นตอน ต่อให้จะไม่ใช่องค์เทพแห่งขุนเขาทั้งห้า แต่ก็สามารถกลายเป็นซานจวินสิ่งศักดิ์สิทธิ์ลำดับหนึ่งของแจกันสมบัติทวีปรองจากขุนเขาใหม่ทั้งห้าได้แล้ว

เว่ยป้อแห่งขุนเขาเหนือเริ่มปิดด่านแล้ว

แถบของภูเขาพีอวิ๋นจึงมีการป้องกันอย่างเข้มงวด

ราชสำนักต้าหลีให้ความสำคัญกับเรื่องนี้อย่างถึงที่สุด นอกจากอริยะหร่วนฉงแล้วก็ยังส่งสวี่รั่วให้มาช่วยคุ้มครองการฝ่าทะลุขอบเขตของเว่ยป้อโดยเฉพาะ

บนภูเขาลั่วพั่ว จูเหลี่ยนกับเจิ้งต้าเฟิงกำลังเล่นหมากล้อมกัน

ก่อนหน้านี้เด็กชายชุดเขียวนั่งดูอยู่พักหนึ่ง ยิ่งดูก็ยิ่งง่วง จึงฟุบตัวลงบนโต๊ะหินด้านข้างแล้วกรนเสียงดัง บนโต๊ะนองไปด้วยน้ำลาย เจิ้งต้าเฟิงจึงกดศีรษะนั้นไว้ บิดข้อมือหนึ่งที เอาซีกหน้าของเฉินหลิงจวินเช็ดน้ำลายให้สะอาด แล้วค่อยผลักหัวนั้นออกไปให้ห่างจากกระดานหมากล้อมอีกนิด

จูเหลี่ยนนวดคลึงปลายคาง พูดเนิบช้าว่า “ต่อให้หลังจากเว่ยป้อฝ่าทะลุขอบเขตแล้วจัดงานเลี้ยงท่องราตรีขึ้นมาอีกครั้ง ก็ยังขาดแคลนอยู่อีกไม่น้อย”

เจิ้งต้าเฟิงเอ่ย “หากไม่ได้จริงๆ ก็ส่งจดหมายฉบับหนึ่งไปหาเจ้าขุนเขาที่ออกไปท่องเที่ยวภูเขาสายน้ำของพวกเราท่านนั้น บอกให้เขาควักสมบัติออกมาเติมเต็มส่วนที่ขาดสักหน่อย ข้าไม่เชื่อหรอกว่าไปเตร็ดเตร่อยู่ในอุตรกุรุทวีปมานานขนาดนี้ ขนาดสตรีสวยๆ ยังถูกเขาหลอกมาที่แจกันสมบัติทวีปได้ แล้วในกระเป๋าจะไม่มีเงินส่วนเกินเหลือเก็บบ้างเลยหรือ?”

จูเหลี่ยนยิ้มกล่าว “พี่ใหญ่ต้าเฟิง เจ้าเขียนตัวอักษรได้สวยยิ่งนัก นั่นต้องเรียกว่ามองแล้วสบายตาสบายใจ ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็เป็นคนเขียนจดหมายฉบับนี้แล้วกัน นายน้อยของข้าเห็นแล้วจะต้องอารมณ์ดีขึ้นมากแน่นอน”

เด็กหญิงสองคนนั่งเคียงไหล่กันอยู่ฝั่งตรงข้ามกับเฉินหลิงจวิน แม่นางน้อย ชุดดำโจวหมี่ลี่ กับแม่นางน้อยชุดกระโปรงชมพูเฉินหรูชู

โจวหมี่ลี่รีบกระแอมขึ้นมาทันใด

เจิ้งต้าเฟิงหันหน้าไปมอง แล้วแสร้งพูดอย่างตกใจว่า “ภูตน้ำใหญ่ตนนี้มาจาก ที่ใดกัน?!”

โจวหมี่ลี่ยกสองแขนกอดอก “บังเอิญนัก ข้าเองก็มาจากอุตรกุรุทวีปเหมือนกัน นั่นคือสถานที่แห่งหนึ่งที่เรียกว่าทะเลสาบคนใบ้!”

ทางฝั่งเรือนไม้ไผ่พลันมีเสียงระเบิดดังปัง

เจิ้งต้าเฟิงหนังตากระตุก ก่อนจะพูดอย่างจริงจังว่า “เล่นหมากล้อมๆ เรื่องเงินๆ ทองๆ ต้องปล่อยให้เป็นไปตามชะตาฟ้าลิขิต”

โจวหมี่ลี่ไหล่ลู่คอตก

เฉินหรูชูยื่นฝ่ามือที่เต็มไปด้วยเมล็ดแตงส่งไปให้เบาๆ

โจวหมี่ลี่ส่ายหน้า ไม่รู้สึกอยากกิน

เฉินหรูจูเอ่ยขอตัว เก็บเมล็ดแตง แล้วพาโจวหมี่ลี่วิ่งไปที่เรือนไม้ไผ่ด้วยกัน

คาดว่าผ่านไปอีกเกือบครึ่งชั่วยาม ความเคลื่อนไหวที่ชั้นสองของเรือนไม้ไผ่ ก็น่าจะหยุดลงแล้ว

เป็นอย่างนี้ทุกวัน

นางกับโจวหมี่ลี่จะต้องไปช่วยกันต้มน้ำก่อน จากนั้นก็ไปแบกคนลงมาจากชั้นสอง

ท่ามกลางม่านราตรีของคืนนี้

เผยเฉียนที่นั่งอยู่ในห้องแสยะปากแยกเขี้ยวอยู่นาน นางต้องกระโดดยืดเส้นยืดสาย อยู่พักใหญ่ ถึงได้แสร้งเดินออกมาจากชั้นหนึ่งด้วยสีหน้าปลอดโปร่ง เฉินหรูชูกับ โจวหมี่ลี่ต่างก็นั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ตัวเล็กสองตัวที่หน้าประตู

เผยเฉียนยื่นมือไปคว้า ไม้เท้าเดินป่าที่อยู่ในมือของโจวหมี่ลี่ก็เข้ามาอยู่ในมือนาง

โจวหมี่ลี่ร้องว้าว แล้วก็เริ่มปรบมือ ดวงตาสองข้างสาดประกาย “ฝึกวิชาเทพสำเร็จแล้ว!”

เผยเฉียนพยักหน้ารับ “ตาเฒ่าบนชั้นสองก็คิดแบบนี้เหมือนกัน เขาบอกว่า หากไม่ใช่พรุ่งนี้ก็วันมะรืน หรือไม่อย่างมากสุดก็วันมะเรื่อง บางทีเขาอาจจะ ไม่สามารถถ่ายทอดวิชาหมัดที่มากกว่านี้ให้ข้าได้แล้ว ตอนที่พูดประโยคนี้ ตาแก่นั่นร้องไห้น้ำตานองหน้า แต่ในดวงตาพร่ามัวคู่นั้นก็เต็มไปด้วยแววตาหวาดผวายำเกรงหลังจากที่รอดชีวิตมาได้…”

ชุยเฉิงที่อยู่บนชั้นสองพูดกลั้วหัวเราะ “ฝึกวิชาหมัดกลางดึกก็ไม่เลวเหมือนกัน ว่าไหม?”

เผยเฉียนพูดอย่างเดือดดาล “โจวหมี่ลี่ เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไร ฝึกหมัดเป็นเรื่องแค่วันสองวันงั้นหรือ?!”

โจวหมี่ลี่ยู่หน้า พูดอย่างได้รับความอยุติธรรมว่า “ข้าผิดไปแล้ว”

เผยเฉียนแอบยกนิ้วโป้งให้

มีความรับผิดชอบ

ไม่เสียแรงที่เป็นผู้พิทักษ์ฝ่ายขวาของร้านยาสุ้ยตรอกฉีหลง มีความจงรักภักดี

ผู้พิทักษ์ฝ่ายซ้ายที่วันๆ ดีแต่จะเที่ยวเล่นเตร็ดเตร่ไปทั่วนั่นน่าเตะอย่างมาก

ชุยเฉิงเอ่ย “ยังไม่รีบไสหัวไปช่วยป้อนหมัดให้เฉินยวนจีอีกรึ?”

เผยเฉียนร้องอ้อหนึ่งที เดินอยู่บนพื้นที่ว่างเปล่า เงยหน้าถามว่า “ถ้าอย่างนั้น จะให้ข้าออกแรงกี่ส่วน?”

ชุยเฉิงตอบ “ขึ้นอยู่กับอารมณ์ของเจ้า”

เผยเฉียนคิดแล้วก็ขมวดคิ้วแน่น เริ่มใคร่ครวญปัญหาข้อนี้อย่างจริงจัง

ตาเฒ่านี่ร้ายจริงๆ ให้ป้อนหมัดหนักๆ เพราะคิดจะให้เฉินยวนจีซ้อมตนสินะ?

ชุยเฉิงกล่าว “ไม่ว่าอารมณ์เจ้าจะเป็นแบบใด หากยังไม่รีบไสหัวไปไกลๆ จะบอกให้รู้ไว้ว่าข้าอารมณ์ไม่ค่อยดีนัก”

เผยเฉียนทอดถอนใจ หันไปทำหน้าผีใส่ชั้นสองของเรือนไม้ไผ่ หลังจากแยกเขี้ยวกางเล็บใส่เงียบๆ แล้วก็โยนไม้เท้าเดินป่าไปให้โจวหมี่ลี่เบาๆ

เห็นเพียงนางเอามือหนึ่งไพล่หลัง มืออีกข้างหนึ่งกำเป็นหมัดเบาๆ บิดข้อเท้า หนึ่งทีเสียงปังก็ดังขึ้น ตามมาด้วยฝุ่นที่คลุ้งตลบ

ร่างพุ่งทะยานจากไปดุจควันเขียวกลุ่มหนึ่ง

เฉินยวนจีกำลังเดินฝึกวิชาหมัดอยู่บนขั้นบันไดของภูเขาลั่วพั่ว

ทันใดนั้นเส้นเอ็นหัวใจของนางก็หดเกร็งรัดตัว หันขวับกลับมา

มีหมัดของคนผู้หนึ่งกระทบลงบนหน้าผากของนางเบาๆ จากนั้นเรือนกาย ก็พุ่งผ่านไหล่นางไป พริบตาเดียวก็ไม่เหลือร่องรอย

เฉินยวนจีเหงื่อแตกเต็มร่าง มองไปยังจุดที่เงาร่างนั้นหายไป เห็นเป็นเรือนกายบอบบางที่คุ้นเคยของคนผู้หนึ่ง

เท้าหนึ่งของนางยืนอยู่บนกิ่งไม้เล็กบางของต้นสนสูงใหญ่ เท้าอีกข้างหนึ่ง เหยียบอยู่บนหลังเท้าตัวเอง

เฉินยวนจีรู้ว่าช่วงนี้เผยเฉียนฝึกหมัดอยู่ที่ชั้นสองตลอดเวลา

ทว่าแม่นางน้อยตัวดำเป็นถ่านผู้นี้เพิ่งจะฝึกหมัดได้กี่วันเอง?

เผยเฉียนพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “พี่หญิงเฉิน เมื่อครู่นี้ข้าทักทายเจ้า ต่อจากนี้ จะช่วยป้อนหมัดให้เจ้า เจ้าห้ามลงมือกับข้ารุนแรง เจ้าอายุมากกว่า ฝึกหมัด มานานกว่า ตัวก็สูงกว่า ต้องยอมให้ข้าหน่อย”

เฉินยวนจีสูดลมหายใจเข้าลึก ตั้งท่าหมัดแล้วพูดเสียงหนัก “เชิญ!”

ประหนึ่งเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจ

เผยเฉียนตระหนกเล็กน้อย ทำอะไรน่ะ พวกเราก็แค่เจ้าส่งมาข้าส่งกลับ เลียนแบบเจ้าห่านใหญ่ตัวนั้น แค่ทำให้พอเป็นพิธีก็พอแล้วนี่นา

เผยเฉียนเริ่มลังเล ก่อนจะรีบคีบยันต์แผ่นหนึ่งออกมาแปะไว้บนหน้าผากของตัวเอง

เพิ่มความกล้าให้ตัวเองก่อน

ดูท่าคงต้องจริงจังซะแล้ว ไม่อย่างนั้นหากถูกหนึ่งหมัดของเฉินยวนจีต่อยให้ร่อแร่ใกล้ตายจะทำอย่างไร?

เผยเฉียนรู้ชัดเจนดียิ่งกว่าใครว่า พี่หญิงเฉินผู้นี้ตั้งใจฝึกหมัดทุกวัน ไม่หยุดพัก ทั้งกลางวันกลางคืน เดินกลับไปกลับมาบนภูเขากับล่างภูเขา พ่อครัวเฒ่าก็มัก จะพูดว่านี่ต่างหากจึงจะเป็นความยืนหยัดที่คนฝึกหมัดสมควรมี

เผยเฉียนดีดปลายเท้า

กิ่งไม้ใต้ฝ่าเท้าก็ตวัดเป็นวงโค้งใหญ่ยักษ์ ทว่ากลับไม่หัก จากนั้นเมื่อเผยเฉียนเพิ่มแรงกดที่ปลายเท้าอีกครั้ง กิ่งไม้ก็พลันดีดตัว แล้วร่างของนางก็หายวับไปกลางอากาศ

ในชั่วเวลาที่เฉินยวนจีอึ้งตะลึงอยู่นั้น นาทีถัดมานางก็ถูกคนใช้หนึ่งหมัดต่อยลงกลางหลัง ร่างลอยหวือลงจากภูเขาไป

แล้วก็ถูกคนใช้ศอกตีใส่กระดูกสันหลังกลางอากาศอีกครั้ง ร่างของเฉินยวนจีกระแทกลงบนขั้นบันได เรือนกายดีดตัวขึ้นแรงๆ หนึ่งครั้ง สองตาเหลือกค้าง หมดสติไปทันที

เผยเฉียนพลิ้วกายลงบนพื้น ไปนั่งยองอยู่ด้านข้าง เหงื่อท่วมเต็มศีรษะนาง จนต้องยกมือเช็ดหน้าแรงๆ หนึ่งที นี่มันเรื่องอะไรกันเนี่ย?

จูเหลี่ยนกับเจิ้งต้าเฟิงที่ยืนอยู่บนขั้นบันไดหันมามองหน้ากันเอง

เผยเฉียนรีบจับประคองยันต์บนหน้าผาก ใช้มือข้างหนึ่งผลักเฉินยวนจีเบาๆ พลางหันหน้ามาตะโกนพูดเสียงดัง “ฟ้าดินเป็นพยาน! นี่ไม่เกี่ยวกับข้านะ เฉินยวนจีหมดสติไปเอง! ข้าประคองนางไว้ไม่อยู่!”

เรือลำหนึ่งล่องผ่านนครเหนือเมฆและกำลังจะไปถึงท่าเรือของถ้ำสวรรค์วังมังกร

เฉินผิงอันที่สวมชุดเขียวสะพายเจี้ยนเซียนไว้บนหลัง สะพายห่อสัมภาระเอียงๆ ไว้บนบ่าฟุบตัวอยู่บนราวระเบียง

อีกไม่นานเขาก็จะฝึกหมัดได้สองล้านครั้งแล้ว

เพียงแต่ไม่รู้ว่าที่ตรอกฉีหลง เผยเฉียนเรียนหนังสือเป็นอย่างไรบ้างแล้ว ช่วยทำงานหาเงินอยู่ในร้านจะถ่วงเวลาการคัดตำราของนางหรือไม่ และยังมี ภูตน้ำใหญ่แห่งทะเลสาบคนใบ้ที่ไม่รู้ว่าเข้ากันได้ดีหรือเปล่า