ระหว่างทางที่เดินทางอยู่บนเรือข้ามฟากก็ได้พบเจอกับเรื่องประหลาด อีกมากมาย
มีผู้ฝึกตนหญิงสวมชุดสีสันสดใสกลุ่มหนึ่งเล่นโล้ชิงช้าอยู่ใต้ทะเลเมฆแห่งหนึ่ง เสียงหัวเราะพูดคุยสนุกสนานของพวกนางชักนำให้เกิดเสียงโห่ฮาของผู้ฝึกตนที่เป็นบุรุษมากมายบนเรือ เดิมทีก็ควรจะเดินสวนไหล่ผ่านกันไป ชีวิตนี้ไม่ได้เจอกันอีก คำพูดคำจาของพวกเขาจึงหยาบโลนไร้ความยำเกรง
ผลคือกลางทะเลเมฆค่อยๆ มีศีรษะใหญ่ยักษ์ของเจียวหลงโผล่ออกมา ทำเอาพวกผู้ฝึกตนหลายคนที่อยู่บนเรือตกใจอึ้งงันเป็นไก่ไม้ วัตถุลี้ลับที่ไม่ใช่เจียวหลงจริงๆ ตนนั้นใช้ศีรษะกระทบหางเรือข้ามฟากเบาๆ เรือข้ามฟากยิ่งพุ่งทะยานไปดุจลูกธนู
เฉินผิงอันจดจำภาพนี้เอาไว้ พอกลับเข้าไปในห้องพักก็ทำเรื่องธรรมดาเรื่องหนึ่งต่ออีกครั้ง
นับตั้งแต่ที่เดินทางจากภูเขาห้อยหัวมาถึงใบถงทวีป แยกทางกับลู่ไถ เฉินผิงอัน ก็พลัดหลงเข้าไปในพื้นที่มงคลดอกบัว พาเผยเฉียนและสี่คนในม้วนภาพออกมาจากอารามเต๋าแห่งนั้นด้วยกัน เฉินผิงอันก็ได้เริ่มเขียนบันทึกภูเขาสายน้ำที่ตัวเอง พบเจอมา อาศัยความทรงจำเขียนบันทึกนับตั้งแต่ออกจากภูเขาห้อยหัว ได้รู้จักกับ ลู่ไถ ไปถึงใบถงทวีป เดินทางผ่านถนนเรียกสวรรค์ของสำนักฝูจี จนกระทั่งเขียนมาถึงเหตุการณ์เจียวหลงในทะเลเมฆผลักเรือข้ามฟากของอุตรกุรุทวีปในวันนี้
กระดาษบนโต๊ะแบ่งออกเป็นสองฉบับ
ถูกเฉินผิงอันแบ่งออกเป็นฉบับร่างและฉบับคัดสำเนา ฉบับร่างมีการขีดฆ่าและแก้ไข ทบทวนตรวจทานซ้ำไปซ้ำมา เหมือนจดหมายฉบับหนึ่งที่ไม่ได้ส่งออกไป จดหมายฉบับนี้ เขียนไปเขียนมาก็เริ่มยาวไปสักหน่อย
ส่วนฉบับที่คัดเป็นสำเนาต่อจากนั้นกลับสะอาดสะอ้าน เป็นระเบียบเรียบร้อย เหมือนกับการบ้านฉบับหนึ่งที่นักเรียนส่งให้อาจารย์
บางครั้งหากไม่มีเรื่องที่จะให้เขียนจริงๆ ไม่ได้เห็นภูเขาสายน้ำหรือเรื่องราวของผู้คนที่น่าสนใจมานานเกินไป ถ้าไม่เขียนเลย บางครั้งก็จะเขียนลงไปหนึ่งประโยคว่า “วันนี้ไม่มีเรื่องอะไร สงบสุขปลอดภัย”
พื้นที่มงคลดอกบัว ฝูงนกแย่งชิงกันโผบิน ตกอยู่ท่ามกลางวงล้อมสังหาร ออกกระบี่ใส่บุคคลอันดับหนึ่งในพื้นที่ โรงเตี๊ยมริมชายแดนราชวงศ์ต้าเฉวียน เจอกับวิญญาณชนคนหนึ่งที่สามารถแต่งกลอนไม่มีสัมผัสคล้องจอง จิตหยินออกเดินทางไกล ได้พบเจอกับเจ้าแม่เทพวารีลำคลองหมายเหอที่อารมณ์ร้อน ได้ไปเยือนจวนปี้โหยว พูดเรื่องลำดับขั้นตอนกับเจ้าแม่เทพวารีที่เลื่อมใสในความรู้ของอาจารย์ผู้เฒ่า พักอาศัยอยู่ในร้านยาฮุยเฉินของนครมังกรเฒ่า พาเด็กหญิงตัวดำเป็นถ่านที่ยิ่งนาน ก็ยิ่งรู้ความไปเยือนแคว้นชิงหลวนที่อยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของแจกันสมบัติทวีป วันที่ห้าเดือนห้าของปีนั้น ได้รับของขวัญวันเกิดชิ้นแรกในชีวิต…
มีเพียงช่วงเวลาหลายปีที่ไปเป็นนักบัญชีอยู่ในทะเลสาบซูเจี่ยนเท่านั้นที่เฉินผิงอันไม่จับพู่กันเขียนเรื่องใดๆ
สุดท้ายตอนที่ได้กลับไปยังตรอกหนีผิงอันเป็นบ้านเกิด จุดตะเกียงเฝ้าคืนอยู่ในบ้านบรรพบุรุษเพียงลำพัง เฉินผิงอันคิดไปคิดมาก็เขียนลงไปแค่ประโยคเดียวว่า
“หลายปีมานี้ค่อนข้างยากลำบาก แต่ก็ล้วนผ่านมาได้ อันที่จริงก็ดูเหมือนว่า จะยังดีอยู่”
เฉินผิงอันเขียนเสร็จหนึ่งฉบับก็คัดลอกสำเนาอีกหนึ่งฉบับ กระดาษสองปึกใหญ่ ที่วางแยกกันไว้บนโต๊ะล้วนเขียนด้วยตัวอักษรแบบบรรจงขนาดเล็กที่เป็นระเบียบ คาดว่าเมื่อตัวอักษรพวกนี้อยู่ในสายตาของผู้เชี่ยวชาญ
หากไม่พูดถึงเนื้อหา ตัวอักษรยาวเหยียดสามแสนกว่าตัวนี้ อ่านไปอ่านมาก็คงเห็นแค่เพียงความเคร่งขรึมคร่ำครึ อยู่ในกรอบในระเบียบเท่านั้น
เฉินผิงอันเก็บพู่กันและหมึก ยื่นสองมือออกมากดลงบนกระดาษสองปึกที่เหมือนตำราสองเล่มซึ่งยังไม่ได้เข้ารูปเล่มให้เรียบร้อย แล้วลูบลงไปเบาๆ
ตอนนี้ยังไม่มีเรื่องให้ต้องกังวลก็เลยปล่อยจิตให้เหม่อลอยไปไกล พอคืนสติกลับมา เฉินผิงอันก็เอากระดาษสองปึกเก็บเข้าไปในวัตถุฟางชุ่น เริ่มลุกขึ้นฝึกหมัด ยังคงเป็นการฝึกสามท่ารวมเป็นหนึ่ง
ตอนนี้การฝึกหมัดของผู้ฝึกยุทธและการฝึกหลอมลมปราณต่างก็ใช้เวลากันคนละครึ่ง ช่วงเวลาระหว่างนี้การวาดยันต์ถือเป็นการฆ่าเวลาที่ใหญ่ที่สุด
หลังจากที่เฉินผิงอันซื้อรายงานภูเขาสายน้ำสองฉบับมาแล้ว เขาก็เดินทางไปถึงท่าเรือตระกูลเซียนของถ้ำสวรรค์วังมังกรอย่างสงบสุขตลอดทาง
ถ้ำสวรรค์วังมังกรก็เหมือนกับถ้ำสวรรค์หลีจูบ้านเกิด ล้วนเป็นหนึ่งในสามสิบหกอันดับของถ้ำสวรรค์ขนาดเล็ก มันคือกิจการบรรพบุรุษของสำนักมังกรน้ำ ถูกบรรพบุรุษผู้บุกเบิกขุนเขาของสำนักมังกรน้ำค้นพบและยึดครองเป็นคนแรก เพียงแต่ว่าพื้นที่แห่งนี้ทำให้คนอิจฉาตาร้อนมากเกินไป หลังจากเกิดมรสุม สองครั้งใหญ่ที่มีทั้งภัยภายนอกและภัยภายในรุมเร้า สำนักมังกรน้ำก็ลากเอาหน่วย ฉงเสวียนของราชวงศ์ต้าหยวนและทะเลสาบกระบี่ฝูผิงมาเข้าร่วมด้วย ถึงได้หยัดยืนอยู่บนเส้นแห่งความปลอดภัยที่มีการรับประกันรายได้ไม่ว่าจะเจอกับหายนะใดๆ ก็ตาม
เนื่องจากสำนักมังกรน้ำที่สร้างติดกับน้ำเป็นผู้จัดวางตราผนึกภูเขาสายน้ำ ผู้โดยสารที่อยู่บนเรือข้ามฟากจึงมองไม่เห็นเค้าโครงจวนเซียนของสำนักมังกรน้ำ เห็นเพียงว่าในอาณาเขตร้อยลี้รอบริมตลิ่งของลำน้ำใหญ่มีไอหมอกขมุกขมัว
รอจนเรือข้ามฝากลอยทะลุค่ายกลใหญ่เมฆหมอกที่มีปราณน้ำเข้มข้นตลอดทั้ง สี่ฤดูกาล กระทั่งค่อยๆ จอดลงบนท่าเรือแล้ว ถึงได้มองเห็นสิ่งปลูกสร้างที่ทอดยาวติดต่อกันอย่างยิ่งใหญ่อลังการของสำนักมังกรน้ำ
เฉินผิงอันค้นพบว่านี่เป็นครั้งแรกที่พอเรือจอดเทียบท่าแล้ว ผู้โดยสารเรือข้ามฟากของอุตรกุรุทวีปต่างก็พากันเดินเท้าลงจากเรือไปอย่างว่าง่าย
นึกถึงการกระทำอันกำเริบเสิบสานของฮ่องเต้สกุลหลูในแต่ละยุคสมัยของราชวงศ์ต้าหยวน เรื่องเล่าที่สืบทอดต่อกันมาของสกุลหยางตำหนักนภากาศหน่วย ฉงเสวียน บวกกับเซียนกระบี่หญิงลี่ไฉ่แห่งทะเลสาบกระบี่ฝูผิงที่เฉินผิงอันเคยพบเจอกับตัวเองมาก่อน นี่จึงไม่ทำให้เขาแปลกใจได้สักเท่าไร
ท่าเรือมู่หนูของสำนักมังกรน้ำปลูกต้นส้มตระกูลเซียนไว้กว่าพันต้น ล้วนเป็นบรรพบุรุษบุกเบิกภูเขาของสำนักมังกรน้ำที่ลงมือปลูกด้วยตัวเอง ก่อนจะลาจากโลกนี้ไปบรรพบุรุษท่านนี้เคยกล่าวไว้ว่า ไม่เอาไหนมาทั้งชีวิต มีเพียงต้นไม้พันต้นที่ท่าเรือ มู่หนูมอบให้แก่ลูกหลาน
เฉินผิงอันสวมชุดเขียวสะพายเจี้ยนเซียน ตรงเอวห้อยน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ ในมือ ถือไม้เท้าเดินป่าไผ่เขียว เดินเนิบช้าอยู่บนท่าเรือขนาดใหญ่ที่มีซุ้มประตูหิน บนซุ้มประตูหินแกะสลักตัวอักษรที่อริยะบางท่านของสำนักซูเจียเขียนด้วยลายมือตัวเองว่า ‘ถ้ำสวรรค์ใต้น้ำ’ ลำน้ำใหญ่ไหลผ่านสถานที่แห่งนี้ ผิวน้ำของที่นี่กว้างขวางอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ กว้างมากถึงสามร้อยลี้ และถ้ำสวรรค์วังมังกรก็อยู่ด้านใต้น้ำของลำน้ำใหญ่ คล้ายคลึงกับวังมังกรของทะเลสาบชางอวิ๋น แต่ไม่จำเป็นต้องให้ ผู้ฝึกตนใช้วิชาเลี่ยงน้ำเพื่อเดินทางท่องเที่ยวอยู่ที่นี่ เพราะสำนักมังกรน้ำได้ ทุ่มกำลังคนและทรัพยากรจำนวนมากสร้างสะพานใต้น้ำเส้นหนึ่งขึ้นมา แขกผู้มาเยือนสามารถลงน้ำมาท่องเที่ยวถ้ำสวรรค์วังมังกร แน่นอนว่าต้องจ่ายค่าผ่านทางก้อนหนึ่งเป็นเงินสิบเหรียญเกล็ดหิมะ
เมื่อจ่ายเงินแล้ว หากคิดจะข้ามสะพานยาวเดินเข้าไปในถ้ำสวรรค์วังมังกรที่ เล่าลือกันว่าในยุคบรรพกาลเคยมีเจียวหลงพันตัวขดตัวนอนอยู่เพื่อรอรับคำสั่งออกไปโปรยพิรุณด้านนอก ก็ยังต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมอีกส่วนหนึ่งเป็นเงินร้อนน้อย หนึ่งเหรียญ
นี่เห็นได้ชัดว่าจะฆ่าหมูแล้ว
พอเฉินผิงอันคิดถึงชุดคลุมอาคมเถาเถี่ยร้อยตาที่ได้มาจากร่างของหยางหนิงซิ่งแห่งตำหนักนภากาศก็รู้สึกว่า ให้จ่ายเงินเทพเซียนพวกนี้ก็ใช่ว่าจะรับไม่ได้เสียเลย
หุบเขาผีร้ายของชายหาดโครงกระดูก หยางหนิงซิ่ง ‘เทียนจวินน้อย’ แห่งสกุลหยางตำหนักนภากาศ
ริมชายแดนแคว้นอู่หลิง สุยจิ่งเฉิงลูกศิษย์ผู้สืบทอดของลี่ไฉ่แห่งทะเลสาบกระบี่ฝูผิง
ซากปรักจวนเซียนแห่งนั้น ป๋ายปี้ลูกศิษย์ผู้สืบทอดของศาลบรรพจารย์ สำนักมังกรน้ำที่อยู่ข้างกายจานชิงท่านโหวน้อย
ดูเหมือนว่าบนเส้นทางของการฝึกตน เส้นสายความสัมพันธ์เหล่านั้นก็คือ เชือกที่ขมวดพันกันยุ่งเหยิงก้อนหนึ่ง ปมน้อยใหญ่ทุกปมก็คือการพบเจอกันใน แต่ละครั้ง ทำให้คนเกิดความเข้าใจผิดนึกว่าแท้จริงแล้วฟ้าดินก็ใหญ่เพียงแค่นี้เอง
ท่าเรือมู่หนูมีผู้คนสัญจรแออัด เสียงดังจอแจจนไม่เหมือนท่าเรือตระกูลเซียน กลับเหมือนถนนที่เจริญรุ่งเรืองในเมืองของโลกมนุษย์มากกว่า เพราะวันที่สิบและวันที่สิบห้าของเดือนสิบต่อจากนี้ ล้วนเป็นวันสำคัญทั้งสองวัน ด้านล่างภูเขาเป็นเช่นนี้ บนภูเขาก็ยิ่งเป็นเช่นนี้
หนึ่งคือหนึ่งในเทพกาลสามผีใหญ่ อีกหนึ่งคือวันสุ่ยกวานขจัดเภทภัย
และสำนักมังกรน้ำก็จะจัดพิธีบวงสรวงของลัทธิเต๋าสองครั้งซึ่งเปิดให้คนนอก เข้ามาเยี่ยมชมได้ที่ถ้ำสวรรค์วังมังกร พิธีการเก่าแก่โบราณ ได้รับความเลื่อมใสบูชาจากผู้คนมากมาย ผู้ฝึกตนของสำนักมังกรน้ำจะจัดพิธีกรรมยันต์ทอง ยันต์หยก ยันต์เหลืองขึ้นมาตามช่วงเวลาที่แตกต่างกันเพื่อช่วยขอพรปัดเป่าเภทภัยให้แก่ ปวงประชา โดยเฉพาะอย่างยิ่งงานวันเกิดของสุ่ยกวานซึ่งจะจัดขึ้นเป็นพิธีที่สอง เนื่องจากองค์เทพเก่าแก่ท่านนี้คอยดูแลเทพเซียนสายน้ำมากมาย เป็นเหตุให้นี่เป็นวันที่สำนักมังกรน้ำให้ความสำคัญมากที่สุดมาโดยตลอด
นอกจากซุ้มป้ายใหญ่โตโอฬารแล้ว เฉินผิงอันยังสังเกตเห็นว่ารูปแบบการสร้างของสถานที่ค่อนข้างคล้ายคลึงกับซากปรักจวนเซียน ด้านหลังซุ้มป้ายก็คือ ศิลาแกะสลักหลายสิบแผ่น หรือว่าสถานที่ที่ใกล้ชิดกับน้ำซึ่งอยู่ใกล้กับลำน้ำใหญ่ ล้วนต้องมีข้อพิถีพิถันเช่นนี้? เฉินผิงอันจึงไล่มองไปทีละแผ่น คนที่เลือกจะทำแบบเขามีไม่น้อย และยังมีลูกศิษย์สวมชุดลัทธิขงจื๊อที่สะพายหีบตำราออกทัศนาจรหลายคนซึ่งดูเหมือนว่าจะมีชาติกำเนิดมาจากสำนักศึกษา กำลังก้มหน้าก้มตาคัดตัวอักษรที่อยู่บนป้ายศิลาอยู่ด้านข้าง เฉินผิงอันอ่าน ‘บันทึกกลุ่มปราชญ์สร้างสะพานหิน’ ของปี รัชสมัยไท่ผิง และ ‘หอมังกรโยนป้ายน้ำ’ ที่อริยะสำนักซูเจียของอุตรกุรุทวีปเป็นผู้เขียน เพราะป้ายศิลาสองจุดนี้อธิบายถึงขั้นตอนการสร้างสะพานหินกลางน้ำและ ต้นกำเนิดการขุดค้นถ้ำสวรรค์วังมังกรไว้อย่างละเอียด
กลุ่มคนต่อแถวยาวเหยียด เฉินผิงอันต้องรอเกือบครึ่งชั่วยามถึงจะได้เห็นหน้า ผู้ฝึกตนของสำนักมังกรน้ำที่รับหน้าที่เก็บเงินค่าผ่านทาง
จ่ายเงินเกล็ดหิมะไปสิบเหรียญ ได้รับตราประทับที่สลักมาจากไม้โบราณส้มเซียนแผ่นหนึ่งมา แผ่นไม้ลักษณะเก่าแก่เรียบง่าย ทว่าตัวอักษรที่สลักไว้เขียนได้งดงามอย่างถึงที่สุด ผู้ฝึกตนสำนักมังกรน้ำบอกว่าหากไปถึงอีกฝั่งหนึ่งของสะพานแล้ว แค่มอบมันให้กับผู้ฝึกตนสำนักมังกรน้ำที่อยู่ตรงนั้นก็พอ
นี่ยังเป็นครั้งแรกที่เฉินผิงอันได้เห็นตราประทับที่ทำมาจากไม้ของจวนตระกูลเซียน บนภูเขา ตัวอักษรที่สลักคือคำว่า ‘พักผ่อน’ ส่วนริมขอบสลักคำว่า ‘ชื่อเสียงเกียรติยศขึ้นอยู่กับตัวเอง เป็นตายขึ้นอยู่กับชะตาฟ้าลิขิต’
เฉินผิงอันจึงถามว่าตราประทับไม้พวกนี้มีขายหรือไม่
ผู้ฝึกตนหญิงสำนักมังกรน้ำยิ้มกล่าวว่าตราประทับไม้ส้มที่ใช้ผ่านสะพานถือเป็นของแทนตัวของสำนัก ไม่ขาย ตราประทับทุกชิ้นจะมีการจดบันทึกเอาไว้ ทว่าด้านในถ้ำสวรรค์วังมังกรมีร้านค้าที่ขายตราประทับรูปแบบต่างๆ โดยเฉพาะ ไม่เพียงแต่มี ตราประทับไม้ส้มตระกูลเซียนซึ่งมีเฉพาะสำนักมังกรน้ำเท่านั้น ยังมีตราประทับหิน อีกสารพัดรูปแบบ เมื่อไปถึงด้านในของถ้ำสวรรค์วังมังกรแล้ว ลูกค้าต้องสามารถ ซื้อสิ่งของที่ถูกตาต้องใจได้แน่นอน
เฉินผิงอันกำลังจะถามว่าตราประทับไม้ในถ้ำสวรรค์วังมังกรราคาเท่าไร
แต่กลับถูกคนด้านหลังสบถด่าไม่หยุด บอกให้เขารีบไสหัวไป อย่ามามัวเกี้ยวพาเทพธิดาอยู่ที่นี่
เฉินผิงอันจึงได้แต่หันกลับไปเอ่ยขออภัยหนึ่งคำ แล้วถึงได้รีบออกจากแถว เปิดทางให้คนที่อยู่ด้านหลัง เฉินผิงอันรู้สึกเสียดายเล็กน้อย สิ่งของน้อยใหญ่ในร้านตระกูลเซียน ไม่เพียงแต่ราคาแพง อีกทั้งยิ่งเป็นภูเขาของสำนักใหญ่ หากคิดจะเก็บตกของดีมาได้ก็ยิ่งยาก กลับกลายเป็นท่าเรือขนาดไม่ใหญ่อย่างหอชิงฝู ร้านผ้าห่อบุญท่าเรือหางผึ้งที่ยังพอจะมีโอกาสอยู่บ้าง
ตัวของสะพานยาวที่ผิวสะพานกว้างอย่างถึงที่สุดนั้นมีประสิทธิผลในการหลีกเลี่ยงน้ำ สะพานโค้งยังคงเป็นสะพานโค้ง เพียงแต่ว่าสะพานใต้น้ำแห่งนี้ เหมือนห้อยกลับด้าน ว่ากันว่าวงโค้งตรงกลางสะพานได้แนบติดกับพื้นน้ำของ ลำน้ำใหญ่แล้ว ไม่ต้องสงสัยเลยว่าต้องเป็นความมหัศจรรย์อีกอย่างหนึ่ง
ขึ้นมาบนสะพาน ก็เท่ากับว่าเดินเข้ามาในลำน้ำใหญ่แล้ว
ผิวสะพานกว้างมาก บนสะพานมีรถม้าเคลื่อนขบวนเป็นสาย เมื่อเทียบกับถนนเชื้อพระวงศ์ในเมืองหลวงของราชสำนักโลกมนุษย์ยังเกินจริงยิ่งกว่า
นี่จึงแสดงให้เห็นว่า ลำพังเพียงแค่ค่าผ่านทางที่สำนักมังกรน้ำรับมาในทุกๆ วัน ก็เป็นดั่งเงินทองที่ไหลมาเทมาแล้ว
เฉินผิงอันเงยหน้าขึ้นมองไป น้ำของลำน้ำใหญ่ที่ปรากฏให้เห็นเป็นสีใสกระจ่าง ไม่ได้ขุ่นมัวเหมือนน้ำของแม่น้ำลำคลองทั่วไป
สะพานยาวสามร้อยกว่าลี้ ดังนั้นทั้งสองฝั่งของสะพานหินจึงสามารถเช่ารถม้าโดยสารไปมาได้
บนลำน้ำใหญ่และอีกฝั่งหนึ่งของสะพานหิน ทางสำนักมังกรน้ำยังมีอาคาร สิ่งปลูกสร้างที่ทอดยาวต่อเนื่องออกไปอีก ทั้งสองฝั่งต่างก็มีบุรพาจารย์ขอบเขต หยกดิบคนหนึ่งเฝ้าพิทักษ์ ด้วยเหตุนี้จึงถูกแบ่งออกเป็นสำนักเหนือและสำนักใต้ ตามความเคยชินของผู้คน ศาลบรรพจารย์สร้างไว้ทางทิศเหนือของลำน้ำใหญ่ และอดีตของศาลบรรพจารย์สำนักมังกรน้ำก็คือหนึ่งในสามศาลยุคบรรพกาลของ ลำน้ำจี้ตู๋ ดังนั้นแต่ไหนแต่ไรมาลูกศิษย์ของสำนักเหนือจึงมักจะมองตัวเองสูงกว่า มาโดยตลอด ระหว่างพวกเขากับสหายร่วมสำนักที่อยู่ในสำนักใต้จึงมีเส้นแบ่งที่มอง ไม่เห็นอยู่เส้นหนึ่ง
เฉินผิงอันพอจะเข้าใจได้ ขอแค่ไม่เกี่ยวพันกับปัญหาเรื่องความถูกต้องและความไม่ถูกต้อง ความรู้สึกทั่วไปของคนเช่นนี้ เฉินผิงอันคิดว่าเป็นสิ่งที่ยากจะหลีกเลี่ยงได้
วันหน้าหากหลูป๋ายเซี่ยงไปแตกกิ่งก้านสาขาอยู่นอกภูเขาลั่วพั่ว ไม่แน่ว่าก็อาจเป็นเช่นนี้เหมือนกัน หากลูกศิษย์ผู้สืบทอดของหลูป๋ายเซี่ยงมาที่ศาลบรรพจารย์ บนภูเขาลั่วพั่วก็อาจจะรู้สึกไม่ค่อยมีอิสระเสรีนัก
ควรจะเตรียมการล่วงหน้าอย่างไร เป็นการทดสอบขนบธรรมเนียมของภูเขา ลูกหนึ่งได้มากที่สุด
เปิดตำราอ่านเรื่องราวของคนในยุคโบราณ ระหว่างทางพิศดูคนอื่นก็คือ พิศดูตัวเอง นี่คงจะเป็นจุดประสงค์ของคำว่าอ่านตำราหมื่นเล่ม เดินทางหมื่นลี้กระมัง
หลายๆ เรื่อง หากเอาแต่คิดอยู่คนเดียว พยายามใคร่ครวญแค่ไหนก็ใคร่ครวญ หาความรู้ที่แท้จริงออกมาไม่ได้ ต่อให้อนุมานหลักการเหตุผลออกมาได้ ก็ย่อม เลื่อนลอยอย่างเลี่ยงไม่ได้ ก็เหมือนอย่างที่ชุยตงซานกล่าว หลักการเหตุผลที่ดี เมื่อเอาออกจากท้องไปวางไว้บนเส้นทางใหญ่ของวิถีทางโลกที่มีแต่ความโลภและปรารถนาในวัตถุ ก็จะกลายเป็นว่าไม่อาจทานรับการโจมตี จะไม่เสียดายได้อย่างไร
เพียงแต่ว่าบางคนผ่านประสบการณ์มาหลายเรื่อง แต่กลับไม่สามารถเรียบเรียงเส้นสายออกมาได้สักเส้นสองเส้น หลังจากปล่อยตัวตามกระแสไปแล้ว ก็มักจะใช้เรื่องราวทางโลกมาปลอบใจตัวเอง ถึงแม้จะเป็นการกระทำที่จนใจ แต่ถึงอย่างไร ก็ยังน่าเสียดายอยู่ดี
ผลได้ผลเสียทั้งหมดนี้ เฉินผิงอันยังต้องค่อยๆ ทำไปช้าๆ ใช้เวลาครุ่นคิดช้าๆ
ต่อให้ทัศนียภาพของสะพานยาวกลางลำน้ำใหญ่จะมหัศจรรย์มากแค่ไหน แต่พอเดินไปได้หลายสิบลี้ อันที่จริงก็ไม่แปลกตาอีกต่อไป
ต่อให้บริเวณโดยรอบของสะพานยาวกลางน้ำจะมีปลาประหลาดที่เหมือน แสงตะเกียงว่ายวน และมีวัตถุหยินภายใต้บังคับบัญชาของพ่อปู่ลำคลองเทพวารีแหวกว่ายอยู่มากมาย แต่มองไปแล้วก็ยังทำให้คนหมดความสนใจได้อยู่ดี
เฉินผิงอันสังเกตเห็นว่าในระยะทางช่วงสิบกว่าลี้แรก แทบทุกคนล้วนเต็มไปด้วยอารมณ์ตื่นเต้นฮึกเหิม เหลียวซ้ายแลขวา พิงราวรั้วทอดสายตามองไปไกล ส่งเสียงฮือฮาดังสนั่น แต่จากนั้นก็จะเริ่มเงียบเสียงลงไป มีเพียงเสียงของรถม้าที่ขับเคลื่อนผ่านเท่านั้น
ความสนใจที่ใหญ่ที่สุดของเฉินผิงอันก็คือจดจำตัวอักษรที่สลักตรงกลางและ ตรงริมขอบของตราประทับไม้ที่พวกนักท่องเที่ยวแขวนไว้ตรงเอว
หากตราประทับไม้ส้มจวนเซียนที่ขายอยู่ในถ้ำสวรรค์วังมังกรแพงเกินไป ตนก็จะได้เลือกหาไม้ดีๆ มาแกะสลักเอง
เดินออกมาได้ร้อยกว่าลี้ บนสะพานก็มีร้านน้ำชาเหลาสุราสิบกว่าร้านตั้งเรียงราย คล้ายคลึงกับศาลาริมทางตามเส้นทางขุนเขาสายน้ำ
เฉินผิงอันเลือกเหลาสุราสูงห้าชั้นแห่งหนึ่ง สั่งเหล้าหมักตระกูลเซียนที่มีเฉพาะในสำนักมังกรน้ำอย่างเหล้าซานเกิงมาหนึ่งกา กับแกล้มสองจาน จากนั้นก็เพิ่มเงินถึงได้สามารถนั่งตรงตำแหน่งติดหน้าต่างที่การมองเห็นเปิดกว้าง ชั้นแรกมีผู้คนนั่งกันเต็มมองดูแออัด เฉินผิงอันเพิ่งจะนั่งลง เพียงไม่นานลูกจ้างร้านก็พาลูกค้ากลุ่มหนึ่งเดินมายิ้มถามว่าขอร่วมโต๊ะด้วยได้หรือไม่ หากลูกค้าตกลง ทางเหลาสุราจะมอบเหล้า ซานเกิงให้หนึ่งถ้วย เฉินผิงอันมองคนกลุ่มนั้น ชายสองหญิงหนึ่ง มองดูแล้วไม่เหมือนพวกคนดุร้ายอะไร ชายหนุ่มหญิงสาวทั้งไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวและไม่ใช่ผู้ฝึกตน เหมือนลูกหลานชนชั้นสูงมากกว่า ข้างกายพวกเขามีผู้ติดตามเฒ่าคนหนึ่ง น่าจะเป็น ผู้ฝึกยุทธขอบเขตหก เฉินผิงอันจึงตอบรับ คุณชายท่านนั้นผงกศีรษะส่งยิ้มให้ เฉินผิงอันจึงยกถ้วยเหล้าขึ้น ถือเป็นการแสดงมารยาทกลับคืน
อันที่จริงหากคิดจะชมทัศนียภาพที่งดงามกว่านี้ด้วยการเปลี่ยนขึ้นไปนั่งชั้นที่ สูงกว่า ก็ง่ายมาก แค่เพิ่มเงิน
เพียงแต่ว่าเดินทางมาร้อยกว่าลี้ เห็นทัศนียภาพใต้น้ำของลำน้ำใหญ่มาจนทั่วแล้ว เงินที่ควักเพิ่มก็เป็นแค่เงินที่เสียเปล่าเท่านั้น
แน่นอนว่าคนที่ไม่เห็นเงินเทพเซียนเป็นเงินก็มีอยู่เยอะมาก
เฉินผิงอันดื่มเหล้า รับฟังพวกลูกค้าในร้านพูดคุยกันเงียบๆ
กระดาษไม่อาจห่อไฟ ต่อให้ฮ่องเต้ราชวงศ์ต้าจ้วนจะออกคำสั่งห้ามอย่างเข้มงวดไม่ให้แพร่งพรายผลลัพธ์ของการประมือครั้งนั้น แต่คนมากสายตาก็มาก จึงเริ่มมี ข่าวลือเล็กๆ แพร่ออกมา สุดท้ายก็มาปรากฎอยู่บนรายงานภูเขาสายน้ำ ดังนั้นเรื่องที่จีเยว่เซียนกระบี่แห่งภูเขาวานรคำรามกับกู้โย่วผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบแลกชีวิต สังหารกันและกันจึงกลายมาเป็นเรื่องพูดคุยบนโต๊ะสุราของผู้ฝึกตนบนภูเขาใน ทุกวันนี้ ยิ่งนานวันก็ยิ่งคุยกันอย่างดุเดือด เมื่อเทียบกับเซียนกระบี่ใหญ่ทางทิศเหนือ ที่รบตายอยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่ก่อนหน้านี้ที่พอข่าวแพร่ไปทั้งอุตรกุรุทวีปแล้ว ก็มีเพียงการเซ่นกระบี่ของจีเยว่ที่เป็นเซียนกระบี่ร่วมทวีปเท่านั้นที่ยังได้รับ ความเคารพนับถือ แต่การที่เขากายดับมรรคาสลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องตาย ด้วยน้ำมือของผู้ฝึกยุทธเต็มตัวคนหนึ่ง ถ้อยคำที่ใช้บนรายงานภูเขาสายน้ำจึงไม่มีการให้เกียรติผู้ตาย ไม่มีการให้ความเคารพผู้ยิ่งใหญ่แม้แต่น้อย ยามที่ทุกคนพูดคุยกัน จึงยิ่งกำเริบเสิบสานไร้ความยำเกรง
คำวิจารณ์ของผู้คนในเหลาสุราแห่งนี้แทบจะเทไปด้านเดียว
ต่อให้จะเป็นผู้ฝึกกระบี่ก็ยังเลือกจะชื่นชมกู้โย่วปรมาจารย์ใหญ่ท่านนั้น ยามที่พูดถึงจีเยว่เซียนกระบี่กลับมีแต่คำเหน็บแนมและความแค้นเคือง
กู้โย่วมีวิชาหมัดเลิศล้ำ แต่กลับไม่มีลูกศิษย์เป็นผู้สืบทอด
ทว่าจีเยว่ยังมีภูเขาวานรคำรามที่มีบารมีไม่ธรรมดา ลูกศิษย์ในสำนักก็มีอยู่ ไม่น้อย เพียงแต่ว่าภูเขาวานรคำรามค่อนข้างจะชักหน้าไม่ถึงหลัง ทุกวันนี้จึงไม่มี ผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตบนเฝ้าพิทักษ์ภูเขาอยู่แล้ว
ตอนที่จีเยว่ยังมีชีวิตอยู่ ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตเซียนเหรินคนเดียวก็เพียงพอแล้ว
พอจีเยว่ตายไป นามของเซียนกระบี่ บารมีตอนที่ยังมีชีวิตอยู่กลับเหมือนกลาย มาเป็นโทษทัณฑ์ที่ไม่อาจให้อภัย
มีคนเอ่ยอย่างเดือดดาลว่า “เซียนกระบี่ใหญ่กับผายลมสุนัขอะไร ไม่กล้าไปสังหารปีศาจที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ แล้วยังต้องมาถูกผู้ฝึกยุทธคนหนึ่งใช้ชีวิต แลกชีวิตสังหาร ช่างขายหน้าผู้ฝึกกระบี่อย่างเราๆ เสียจริง!”
มีคนพยักหน้าเอ่ยคล้อยตามด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันว่า “ต่างก็บอกว่าช่วงเวลาที่ จีเยว่ได้เลื่อนเป็นขอบเขตเซียนเหรินยังสั้นไปนัก แต่ตามความเห็นข้า อันที่จริง เขาคงไม่ใช่ขอบเขตเซียนเหรินอะไรหรอก แต่เป็นแค่ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบ จีเยว่น่าจะแต่งตั้งตัวเองเป็นเซียนกระบี่ใหญ่มากกว่ากระมัง”
มีคนทอดถอนใจในความโชคร้าย และเจ็บใจในความไม่เอาไหนของเขาด้วยการกล่าวว่า “แม้จะบอกว่าฝั่งตรงข้ามคือหนึ่งในสี่ผู้ฝึกยุทธใหญ่ขอบเขตปลายทางของทวีปเรา แต่จีเยว่ผู้นี้ก็ตายน่าสมเพชเกินไปหน่อย ถึงขนาดถูกกู้โย่วผู้นั้นกักกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตแล้วใช้หนึ่งหมัดต่อยทั้งร่างให้เละเทะ สองหมัดต่อยโอสถทองก่อกำเนิดแหลกสลาย สามหมัดก็เอาชีวิตได้แล้ว เซียนกระบี่แห่งภูเขาวานรคำรามผู้ยิ่งใหญ่ เหตุใดถึงไม่ระวังตัวขนาดนี้ เขาไม่ได้ไปกำแพงเมืองปราณกระบี่นั่นแหละดีแล้ว ไม่อย่างนั้นจะยิ่งขายหน้าเข้าไปอีก จะทำให้พวกผู้ฝึกกระบี่ในพื้นที่เข้าใจผิดคิดว่าเซียนกระบี่ของอุตรกุรุทวีปล้วนเป็นหมอนปักลายบุปผาอย่างจีเยว่”
ครู่หนึ่งต่อมาก็มีพวกผู้ฝึกตนที่มีความเกี่ยวข้องและมีความสัมพันธ์ควันธูปกับภูเขาวานรคำรามออกเสียงอย่างโกรธเคือง “ตบะของเซียนกระบี่จีเป็นอย่างไร คนทั้งทวีปล้วนรับรู้ เหตุใดพอเซียนกระบี่จีรบตายไปแล้วต้องมาพูดจาเสียดสี เหน็บแนมกันอย่างนี้ด้วย ก่อนหน้านี้มัวไปทำอะไรกันอยู่ล่ะ?!”
มีคนจุ๊ปากพูด “โอ้โหแหะ ในที่สุดก็มีสหายของภูเขาวานรคำรามลุกขึ้นมา พูดทวงความยุติธรรมให้พวกเขาแล้ว”
มีคนจงใจ ‘กดเสียงลงต่ำ’ พูดกลั้วหัวเราะเบาๆ ว่า “พวกเราต้องระวังไว้สักหน่อย จีเยว่เซียนกระบี่ใหญ่แห่งภูเขาวานรคำรามมีสหายกว้างขวาง พวกเราพูดจาไม่ถูก หูคนเขาแบบนี้ เดี๋ยวก็ถูกคนเขาซ้อมจนต้องยอมปิดปากแต่โดยดี กฎเกณฑ์ของ ภูเขาวานรคำรามนั้นยิ่งใหญ่ ออกกระบี่ก็ยิ่งรวดเร็ว น่ากลัวจะตายอยู่แล้ว”
เพียงไม่นานก็มีคนร้องรับขึ้นมาเสียงหยัน “ทำไม จะให้พูดจาประจบ เซียนกระบี่ใหญ่จีได้อย่างเดียว ไม่ยอมให้มดตัวเล็กตัวน้อยอย่างพวกเราพูดจา ตามมโนธรรมในใจบ้างเลยหรือ? ผู้ฝึกกระบี่ภูเขาวานรคำรามนี่ช่างมีมาดใหญ่โต เสียจริง มีบารมีอำนาจยิ่งนัก ไม่ยอมให้คนนอกพูดจาเป็นธรรมสักคำครึ่งคำเลย ใช่ไหม?”
เฉินผิงอันดื่มเหล้า มองออกไปยังกระแสน้ำไหลนอกหอเรือน คล้ายผู้เฒ่าบื้อใบ้ ที่พันปีก็ไม่เคยเอ่ยคำใดคนหนึ่ง
แล้วก็มีคนตบโต๊ะลุกพรวดขึ้นยืน “ใต้หล้าไหนเลยจะมีเซียนกระบี่ที่ไม่ได้ความเช่นนี้ พวกเจ้าพูดจาไม่ใช้สมองกันบ้างเลยหรือ? หรือว่ารู้สึกว่าหากเปลี่ยนเป็นตัวเองที่ไปเข่นฆ่ากับผู้อาวุโสกู้โย่วแล้วจะเอาชนะได้?”
มีคนรีบแย้งขึ้นมาทันใด คนผู้นั้นตบจอกสุราลงกับโต๊ะหนักๆ พูดกลั้วหัวเราะเสียงดังว่า “ฮ่าๆ ทำไม ข้าผู้อาวุโสไม่ใช่เซียนกระบี่ก็พูดจาตามหลักเหตุผลไม่ได้ งั้นหรือ? ถ้าอย่างนั้นอุตรกุรุทวีปของพวกเรา นอกจากคนกลุ่มเล็กๆ กลุ่มนั้นแล้ว คนอื่นๆ ก็ต้องหุบปากกันหมดเลยน่ะสิ? ใต้หล้ามีเรื่องแบบนี้ด้วยหรือไร? หรือว่าเหตุผลก็ต้องมีร้านเหมือนกัน ภูเขาวานรคำรามเป็นคนเปิด บนโลกมีอยู่แค่ ร้านเดียว?”
เฉินผิงอันคลี่ยิ้ม
ดูเหมือนว่าจะมีเหตุผลอยู่มากจริงๆ
ผู้ฝึกตนจำนวนน้อยที่รู้สึกได้รับความไม่เป็นธรรมแทนจีเยว่และภูเขาวานรคำรามอัดอั้นตันใจกันอย่างถึงที่สุด
คนที่มากกว่านั้นกลับรู้สึกสาแก่ใจ หลายคนก็ยิ่งตะโกนสั่งเหล้าซานเกิงหลายกา มาจากทางร้าน และยังมีคนที่พอดื่มสุราอย่างเต็มคราบแล้วก็โยนกาเหล้าที่ยังไม่ได้เปิดผนึกดินออกไปนอกหอสุรา บอกว่าน่าเสียดายที่ชีวิตนี้ไม่เคยได้พบเจอผู้อาวุโสกู้คนนั้น ไม่ได้ชมศึกตายริมแม่น้ำอวี้ซีกับตาตัวเอง ต่อให้ตนจะเป็นผู้ฝึกตนที่ดูแคลน ผู้ฝึกยุทธล่างภูเขา แต่ก็ควรจะเซ่นสุรากาหนึ่งให้แก่ผู้ฝึกยุทธกู้โย่วอยู่ไกลๆ
คนสามคนที่นั่งร่วมโต๊ะกับเฉินผิงอันเพียงแค่กระซิบกระซาบกันเบาๆ
สตรีผู้นั้นเอ่ยเสียงเบาว่า “เว่ยฉี ผู้ฝึกตนของภูเขาวานรคำรามป่าเถื่อนนักหรือ? เหตุใดถึงทำให้ฝูงชนแค้นเคืองได้ขนาดนี้?”
บุรุษหนุ่มที่มีนามว่าเว่ยฉีส่ายหน้าเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “อันที่จริงยังนับว่าดี ภูเขาของผู้ฝึกกระบี่ มีที่ไหนบ้างที่ไม่เจ้าอารมณ์เอาเสียเลย แต่เมื่อเทียบกับสำนักกระบี่ไท่ฮุยทางทิศเหนือแล้ว ชื่อเสียงของภูเขาวานรคำรามก็ถือว่าแย่กว่าเล็กน้อย”
ผู้เฒ่าคนนั้นกล่าวอย่างเฉยเมยว่า “ด่าผู้ฝึกยุทธกู้โย่วคนนั้นจะมีความหมายอะไร ในฐานะผู้ฝึกตน ด่าเซียนกระบี่ใหญ่ หันกลับมาให้ความเคารพผู้ฝึกยุทธ นั่นต่างหากจึงจะแสดงให้เห็นถึงท่วงท่าสง่างาม”
สตรีถามอย่างใคร่รู้ “พวกผู้ฝึกตนที่ด่าแรงที่สุดนั่นมีความแค้นกับภูเขาวานรคำรามหรือเปล่า?”
เยว่ฉีส่ายหน้า ยิ้มเอ่ย “หากมีความแค้นกันจริงๆ พอได้ยินข่าวการตายของ จวีเยว่ก็ไม่มีทางนำข่าวมาแพร่งพรายข้างนอก พวกคนที่ในใจมีความแค้น อีกทั้ง ยังพูดโพล่งออกมา ไม่มีทางเป็นศัตรูคู่อาฆาตได้แน่นอน แต่เป็นพวกคนที่ไม่สนิทสนมกันแม้แต่น้อย
คำพูดคำจาของคนพวกนี้ ส่วนใหญ่มักจะสามารถล่อลวงจิตใจคนที่รับฟัง อยู่ด้านข้างได้มากที่สุด หมู่ชาวบ้านร้านตลาด วงการปัญญาชน วงการขุนนาง บนภูเขา ในยุทธภพก็เหมือนกันไม่ใช่หรือ เห็นมากเข้า ได้ยินมากเข้า อันที่จริง เรื่องมันก็มีอยู่แค่นั้นเอง”
เฉินผิงอันเหลือบมองเว่ยฉีและหญิงสาวที่ทำท่าจะพูดแต่ก็หยุดไปแวบหนึ่ง ก่อนจะใช้เสียงในใจเอ่ยเตือน “ผู้ฝึกตนหูดี คุณชายโปรดระวังคำพูด”
เว่ยฉีพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม เป็นฝ่ายยกถ้วยเหล้าให้กับลูกค้าชุดเขียว แล้วใช้ริ้วคลื่นในทะเลสาบหัวใจตอบรับ “ตามหลักแล้วควรเป็นเช่นนี้ แค่ดื่มเหล้าให้สบายใจ ไม่พูดเรื่องความถูกต้องไม่ถูกต้อง”
เฉินผิงอันตกตะลึงไปเล็กน้อย
คือผู้ฝึกลมปราณที่ขอบเขตไม่ต่ำคนหนึ่งหรือนี่?
ก่อนหน้านี้เฉินผิงอันมองไม่ออกเลยจริงๆ
แต่อันที่จริงในใจของเว่ยฉีก็ตกใจไม่น้อย จอมยุทธพเนจรสะพายกระบี่ที่มองดูเหมือนผู้ฝึกยุทธเต็มตัวขอบเขตสี่ห้าตรงหน้าผู้นี้ ที่แท้ก็เป็นผู้ฝึกลมปราณเหมือนกัน
ในห้องโถงใหญ่ของหอสุรา คนแปลกหน้าที่ความคิดเห็นตรงกันต่างก็เป็นคนโผงผาง ที่พร้อมใจกันด่าจีเยว่และภูเขาวานรคำราม แต่ละคนชูจอกสุราขึ้นสูงเพื่อดื่มคารวะกันและกัน
เฉินผิงอันถึงขั้นมองความจริงใจในดวงตาของพวกเขาออก ความมีชีวิตชีวา บนใบหน้ายามดื่มเหล้าไม่ใช่สิ่งที่เสแสร้งแกล้งทำกันได้ นี่ต่างหากจึงจะเป็นจุดที่น่าสนใจมากที่สุด
เฉินผิงอันไม่มีอคติใดๆ ต่อพวกเขา คนเรามีชีวิตอยู่บนโลก หากเจอกับเรื่อง ไม่ถูกใจจึงพูดออกมาเสียงดัง ก็น้อยครั้งนักที่จะสร้างความเสียหายได้อย่างแท้จริง พูดจบแล้ว อะไรที่ผ่านไปแล้วก็ผ่านเลยไป มีเรื่องครึกครื้นเรื่องใหม่ก็ค่อยใช้ถ้อยคำ ฮึกเหิมมาแกล้มสุราอีกครั้ง
เฉินผิงอันจับสังเกตคนส่วนหนึ่งมากเป็นพิเศษ พวกเขาพูดจารอบคอบรัดกุม หลักการเหตุผลไม่ได้สุดโต่งมากนัก เผยให้เห็นถึงความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น และ ฟังดูแล้วมีเหตุผล
ระหว่างถ้อยคำของคนบนโลก ราวกับว่ามีทั้งจิตเทพของอริยะปราชญ์ออก ท่องราตรี แล้วก็มีทั้งผีร้ายที่เดินกร่างกลางวันแสกๆ
คนเดินเท้าได้ยินเรื่องปีศาจใหญ่ตามป่าเขา ยอมถอยให้ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร
ผีพรายในสายน้ำมากมายแหวกว่ายในธารา แอบกระชากคนลงน้ำอย่างเงียบเชียบ
ทางฝั่งของชั้นสองก็กำลังพูดคุยเรื่องบนภูเขาอยู่เช่นกัน เพียงแต่ว่าเมื่อเทียบกับ การงัดข้อกันในห้องโถงใหญ่ทางนี้แล้ว คนบนชั้นสองต่างคนต่างคุยเรื่องของตัวเองไป ไม่ได้จงใจปิดบังร่องรอยของตัวเอง เฉินผิงอันจึงได้ยินว่ามีคนกำลังพูดคุยเรื่อง การปิดด่านของฉีจิ่งหลง รวมไปถึงการคาดเดาว่าสรุปแล้วจะเป็นเซียนกระบี่สาม คนใดที่ไปถามกระบี่ที่สำนักกระบี่ไท่ฮุยกันแน่ มีคนพูดถึงศึกระหว่างหวงซีกับ ซิ่วเหนียงบนภูเขาตี่ลี่ แล้วก็พูดถึงสำนักชิงเหลียงที่ลุกผงาดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว รวมไปถึงเจ้าสำนักสาวที่ป่าวประกาศว่าตัวเองมีคู่บำเพ็ญเพียรแล้วคนนั้น
ทางฝั่งของชั้นสาม เฉินผิงอันได้ยินว่ามีคนพูดถึงเรื่องการค้าขาย คำพูดคำจา วางโตอย่างมาก แต่น้ำเสียงกลับแผ่วเบา กำลังคุยโวว่าการค้าใดบ้างที่ได้กำไร หลายพันเหรียญเงินเกล็ดหิมะ
ส่วนบทสนทนาของชั้นสี่กลับได้ยินไม่ชัดเจนนัก อีกทั้งยังมีตราผนึกเวทอาคม อยู่หลายอย่าง แน่นอนว่าเฉินผิงอันไม่คิดจะลอบตรวจสอบโดยพลการ แค่อาศัยความสามารถในการฟังของตัวเองเท่านั้น ฟังได้แค่ไหนก็แค่นั้น
พอจะได้ยินแว่วๆ ว่ามีคนพูดถึงสถานการณ์ใหญ่ของแจกันสมบัติทวีป พูดถึงขุนเขาเหนือและเว่ยป้อ ที่มากกว่านั้นยังคงเป็นการพูดคุยถึงธวัลทวีปและ ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ยกตัวอย่างเช่นมีการคาดเดาเอาว่าเฉาสือผู้ฝึกยุทธหนุ่มของราชวงศ์ต้าตวน ตอนนี้ได้เลื่อนขั้นเป็นขอบเขตร่างทองแล้วหรือยัง แล้วจะ เลื่อนขั้นเป็นขอบเขตปลายทางของวิถีวรยุทธตอนอายุเท่าไร
ส่วนชั้นห้าที่อยู่บนสุดนั้น มีเพียงเสียงกระทบกันของจอกเหล้า เสียงตะเกียบกระทบจานอาหารที่ดังขึ้นเป็นระยะเท่านั้น
เฉินผิงอันดื่มเหล้าซานเกิงหนึ่งกาและหนึ่งถ้วยอย่างเนิบช้า แล้วจึงลุกขึ้นเดินไปคิดเงินที่โต๊ะคิดเงิน ก่อนจะเดินออกไปจากเหลาสุราเพียงลำพัง
ระหว่างนี้ยังไม่ลืมผงกศีรษะบอกกล่าวแก่คนทั้งสาม เว่ยฉียิ้มตอบรับ ยกจอกเหล้าขึ้นส่งเบาๆ ตามมารยาท
เฉินผิงอันเดินอยู่บนสะพานใหญ่กลางลำน้ำ ห่างออกไปไปไกลพลันมีรถม้าหรูหราลำหนึ่งพุ่งเข้ามาสู่สายตา ขบวนรถที่ยิ่งใหญ่อลังการเคลื่อนอยู่บนถนนใหญ่กลางน้ำ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็นตระกูลชนชั้นสูงที่ออกจากบ้านมาท่องเที่ยวนอก ชานเมือง มีผู้เฒ่าสวมชุดคลุมสีม่วงตรงเอวรัดเข็มขัดหยกในมือถือแผ่นป้ายหยก แล้วก็มีเทพเกราะเงินที่ถือทวนเหล็กไว้ในมือ แล้วยังมีเทพหญิงชุดขาวที่ระหว่าง สอดส่ายสายตามอง ในดวงตาจะมีประกายแสงสองกลุ่มไหลรินออกมา เนิ่นนานก็ยังไม่สลายหายไป
สิ่งมีชีวิตเหล่านี้ล้วนเป็นเซียนน้ำภูตน้ำที่ถูกบันทึกไว้ในเกร็ดพงศาวดาร อาศัยอยู่ในจวนน้ำมาเนิ่นนาน รับผิดชอบคอยดูแลลมและฝนของสถานที่แห่งหนึ่ง
ทางเข้าถ้ำสวรรค์วังมังกรอยู่ตรงมุมหนึ่งของสะพานยาวห่างออกไปห้าสิบลี้
ถ้ำสวรรค์วังมังกรคือ ซากปรักวังมังกรของจริงแห่งหนึ่ง
จากบันทึกที่อยู่บนป้ายศิลา สถานที่แห่งนี้เคยมีเซียนน้ำบรรพกาลอยู่อาศัย มีเจียวหลงขดตัวมาก่อนจริงๆ
เมื่อเทียบกับร่องเจียวหลงที่มีเผ่าพันธุ์ลูกหลานเจียวหลงอยู่อาศัยแล้ว วังมังกรแห่งนี้ก็เหมือนจวนบนภูเขาแห่งหนึ่ง ส่วนร่องเจียวหลงนั้นคือพรรคใน ยุทธภพแห่งหนึ่ง
เฉินผิงอันมองเห็นเค้าโครงของหัวเมืองแห่งหนึ่ง พอเดินเข้าไปใกล้ก็เห็นว่า บนป้อมกำแพงเมืองแขวนป้ายอักษรทองคำว่า ‘จี้ตู๋หลบร้อน’ ด้านใต้กรอบป้าย ที่ใหญ่ที่สุดยังมีกรอบป้ายอีกสิบกว่าแผ่นที่เขียนด้วยฝีมือของผู้มีชื่อเสียงเรียงทับ ซ้อนกัน มีทั้งลายมือของเซียนสายยันต์ที่ต่อให้ผ่านไปร้อยปีพันปีแสงศักดิ์สิทธิ์ใน แก่นยันต์ก็ไม่สลายหายไปไหน แล้วก็มีฝีมือของเซียนกระบี่ที่ปณิธานกระบี่เปี่ยมล้นอยู่ภายใน
คงเป็นเพราะต้องควักเงินร้อนน้อยหนึ่งเหรียญ ผู้คนตรงประตูเมืองจึง ไม่หนาแน่นเท่าตรงหัวสะพาน
ถ้ำสวรรค์ขนาดเล็กที่ถูกสำนักหนึ่งดูแลมานานเป็นร้อยเป็นพันปีอย่างถ้ำสวรรค์วังมังกรนี้ ไม่มีโชควาสนาทิ้งไว้ให้กับคนรุ่นหลัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนต่างถิ่น เพราะต่อให้มีวัตถุดิบวิเศษแห่งฟ้าดินชิ้นหนึ่งถือกำเนิดขึ้นมาตามโชคชะตาจริงๆ ก็จะต้องถูกสำนักมังกรน้ำหมายตาไว้ก่อนนานแล้ว และจะไม่ยอมให้คนนอกมา แตะต้อง ต่อให้งูเจ้าถิ่นอย่างสำนักมังกรน้ำจะสยบความละโมบของผู้ฝึกตนใหญ่ที่เป็นดั่งมังกรข้ามแม่น้ำบางคนไม่ได้ แต่จะดีจะชั่วก็ยังมีคาถาอสนีของสกุลหยาง ตำหนักนภากาศ มีกระบี่บินของทะเลสาบกระบี่ฝูผิงที่ช่วยเขย่าคลอนจิตใจผู้คน
ในประวัติศาสตร์ถ้ำสวรรค์วังมังกรเคยผ่านมรสุมใหญ่เทียมฟ้าที่วัตถุสยบ ความชั่วร้ายคว้าชัยชนะชิ้นหนึ่งถูกขโมยไป สุดท้ายสามฝ่ายร่วมมือกันตามคืน กลับมาได้ ตัวตนของคนที่ขโมยไปนั้นอยู่เหนือการคาดการณ์ของทุกคน แต่กลับสมเหตุสมผล คือเซียนกระบี่ที่มีชื่อเสียงโด่งดังคนหนึ่ง คนผู้นี้ใช้สถานะของนักการสำนักมังกรน้ำปลอมตัวเปลี่ยนชื่อแซ่แฝงตัวอยู่ในถ้ำสวรรค์มานานหลายสิบปี แต่สุดท้ายก็ยังทำไม่สำเร็จ สมบัติล้ำค่าโชคชะตาน้ำชิ้นนั้นถูกเขากุมไว้ยังไม่ทันร้อน ก็ต้องมอบออกไป ภายใต้การไล่ฆ่าของบรรพจารย์สามสำนัก โชคดีที่ไม่ตาย หนีไปถึงธวัลทวีป กลายไปเป็นผู้ถวายงานของเทพแห่งโชคลาภสกุลหลิว จนถึง ทุกวันนี้ก็ยังไม่กล้ากลับมาอุตรกุรุทวีป
เฉินผิงอันคิดจะจ่ายเงินร้อนน้อยหนึ่งเหรียญ คิดไม่ถึงว่าจะมีเสียงคนเอ่ย ห้ามปรามขึ้นมาเบาๆ “ประหยัดได้ก็ประหยัด ไม่จำเป็นต้องควักเงินจ่าย”
เฉินผิงอันหันหน้ากลับไปด้วยความตกตะลึงระคนดีใจ แต่กลับไม่ได้เอ่ยชื่อ อีกฝ่ายออกมา
ทว่าในสายตานั้นคือ ความยินดีที่ปกปิดไม่มิด
คิดไม่ถึงว่าจะเป็นหลี่หลิ่วที่เดิมทีควรจะฝึกตนอยู่บนยอดเขาสิงโต
ปีนั้นได้กลับมาเจอกันอีกครั้งที่สำนักศึกษาต้าสุย ตามคำบอกของหลี่ไหว พี่สาวของเขาคนนี้ ตอนนี้ได้กลายมาเป็นผู้ฝึกตนของยอดเขาสิงโตแล้ว ทุกวันจะต้องคอยยกน้ำส่งชาให้กับเทพเซียนผู้เฒ่าบนภูเขา ส่วนพ่อแม่ของเขาก็เปิดร้านในตลาดตรงตีนเขา ได้เงินมามาก เงินสินสอดแต่งเมียของเขาในอนาคตจึงมีเหลือเก็บแล้ว
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “บังเอิญจริง เดิมทีข้ายังคิดว่าเดินทางผ่านลำน้ำจี้ตู๋เสร็จ ผ่านภูเขาอิงเอ๋อร์ไปแล้วก็จะแวะไปหาพวกเจ้าที่ยอดเขาสิงโต”
หลี่หลิ่วส่ายหน้าเบาๆ ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ไม่ถือว่าบังเอิญหรอก เป็นข้าที่ตั้งใจ มาพบเจ้า”
เฉินผิงอันทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่ได้พูด สุดท้ายแล้วถ้อยคำทั้งหมดก็ถูกกลืนกลับลงท้องไป
เห็นได้ชัดว่าหลี่หลิ่วคือผู้ฝึกลมปราณที่ประสบความสำเร็จคนหนึ่งแล้ว อีกทั้งขอบเขตของนางต้องสูงมากแน่ๆ
เพียงแต่ว่าความรู้สึกนี้ของเฉินผิงอันเกิดขึ้นแวบเดียวก็หายไป
หลี่หลิ่วควักป้ายหยกชือหลงลักษณะโบราณแผ่นหนึ่งออกมา ผู้ฝึกตน สำนักมังกรน้ำที่เฝ้าประตูชำเลืองตามองแล้วก็รีบคารวะสตรีอายุน้อยที่ไม่รู้สถานะ แน่ชัดคนนี้ทันที หลี่หลิ่วพาเฉินผิงอันเดินตรงผ่านประตูเมืองเข้าไป เดินไป บนขั้นบันไดหยกขาวสายหนึ่งที่มองไม่เห็นจุดสิ้นสุด
ไม่รู้ว่าทำไม เฉินผิงอันหันหน้ากลับไปมอง ดูเหมือนว่าทางประตูเมืองจะมี การป้องกันเข้มงวดเพิ่มขึ้นอีก จึงไม่มีใครได้เข้ามาในถ้ำสวรรค์วังมังกรอีกแล้ว และกลุ่มคนที่อยู่ด้านหน้าก็ตัวเล็กเหมือนเมล็ดงา ค่อยๆ เดินไปสู่ที่สูง
หลี่หลิ่วเปิดปากพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ท่านเฉิน”
เฉินผิงอันรีบเอ่ย “เรียกชื่อข้าก็พอ ตอนนี้ใช้ชื่อเฉินคนดี”
ดวงตาทั้งคู่ของหลี่หลิ่วทอประกายน้ำระยิบระยับ นางยิ้มจนดวงตาหยีลง เป็นพระจันทร์เสี้ยว
เฉินผิงอันเองก็รู้สึกว่าตัวเองหน้าไม่อายไปสักหน่อย ในใจคิดว่าควรจะหานามแฝงนามใหม่ดีหรือไม่ ปากก็พูดไปด้วยว่า “ถ้าอย่างนั้นก็เรียกข้าว่าท่านเฉิน นั่นแหละ”
หลี่หลิ่วพยักหน้ารับ จากนั้นประโยคแรกที่นางเอ่ยก็เปี่ยมไปด้วยน้ำหนักอย่างยิ่ง “ทางที่ดีที่สุดท่านเฉินควรรีบเลื่อนเป็นขอบเขตร่างทอง ไม่อย่างนั้นหากช้าไป ทางฝั่งของทวีปเกราะทองจะเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น”
เฉินผิงอันลังเลเล็กน้อย ก่อนตอบว่า “จะพยายาม”
ประโยคที่สองของหลี่หลิ่วถึงกับทำให้จิตแห่งเต๋าของเฉินผิงอันไม่มั่นคง “ก่อนหน้านี้เจิ้งต้าเฟิงส่งจดหมายไปที่ยอดเขาสิงโต ข้าก็เลยไปเยือนภูเขาลั่วพั่ว มารอบหนึ่ง ตอนนี้พื้นที่มงคลดอกบัวถูกแบ่งออกเป็นสี่ส่วน ภูเขาลั่วพั่วได้ยึดครองส่วนหนึ่งในนั้น ร่มใบถงคันนั้นก็คือทางเข้า พวกจูเหลี่ยนจำเป็นต้องรีบเลื่อนขั้น เขตอิทธิพลที่ตอนนี้ใช้ชื่อชั่วคราวว่าพื้นที่มงคลรากบัวให้เป็นพื้นที่มงคลขนาดกลางโดยเร็วที่สุด ไม่อย่างนั้นจะเสียเปล่า ดังนั้นจึงจำเป็นต้องใช้เงินฝนธัญพืชสองสามพันเหรียญ”
เฉินผิงอันสีหน้าแข็งค้าง ถามอย่างระมัดระวังว่า “เงินฝนธัญพืช?”
หลี่หลิ่วพยักหน้ารับ “เงินฝนธัญพืช”
เฉินผิงอันทอดถอนใจ “ต่อให้ข้าทุบหม้อขายเหล็กก็ยังหาไม่ได้หรอก”
หลี่หลิ่วถึงได้เล่าสถานการณ์ล่าสุดทางฝั่งของจูเหลี่ยนให้เขาฟังคร่าวๆ หนึ่งรอบ
เฉินผิงอันถึงพอจะโล่งใจได้บ้าง
สามารถยืมเงินมาได้ จะดีจะชั่วก็เป็นความสามารถอย่างหนึ่ง
ยืมจากใคร ยืมเท่าไร จะใช้คืนอย่างไร จูเหลี่ยนมีขั้นตอนเป็นของตัวเองแล้ว เฉินผิงอันรับฟังอย่างละเอียดแล้วก็ไม่มีความเห็นต่าง มีจูเหลี่ยนเป็นผู้นำ และยังมี เว่ยป้อกับเจิ้งต้าเฟิงช่วยวางแผนให้ ไม่มีทางเกิดข้อผิดพลาดใดๆ แน่
ประเด็นสำคัญคือภาระหนักอึ้งในการใช้หนี้เงินฝนธัญพืชสองสามพันเหรียญนี้ สืบสาวกันถึงแก่นแล้วก็ยังต้องมาตกอยู่บนบ่าของเจ้าภูเขาหนุ่มอย่างเขา หนีอย่างไร ก็หนีไม่พ้น
แน่นอนว่าเฉินผิงอันเองก็ไม่คิดจะหนี เวลานี้เขาเริ่มเป็นนักบัญชีที่คิดคำนวณทรัพย์สมบัติที่ตนสะสมมาได้ระหว่างการเดินทางมาเยือนอุตรกุรุทวีปอีกครั้ง จากการเก็บตกของเล็กๆ น้อยๆ มาเป็นร้านผ้าห่อบุญ ไปจนถึงการขายของทั้งหมดที่ขายได้ออกไป ตนจะสามารถควักเงินฝนธัญพืชออกมาได้กี่เหรียญ ไม่นับรวมกับเงินที่ยืมมาจากทางนั้นนิดทางนี้หน่อยพวกนั้น เขาเฉินผิงอันจะสามารถชดเชยช่องโหว่ให้กับภูเขาลั่วพั่วได้ในรวดเดียวหรือไม่ คำตอบนั้นง่ายดายมาก ไม่ได้
รอจนเฉินผิงอันคืนสติ หลี่หลิ่วก็เปลี่ยนหัวข้อพูดคุยแล้ว “อันที่จริง เส้นทางเข้าออกแรกเริ่มสุดของถ้ำสวรรค์หลีจูก็ไม่ได้ต่างจากถ้ำสวรรค์วังมังกรแห่งนี้สักเท่าไร”
เฉินผิงอันกล่าวอย่างเสียดาย “ข้าไม่เคยเดินผ่าน รอจนข้าได้ออกไปจาก บ้านเกิด ถ้ำสวรรค์หลีจูก็หล่นลงหยั่งรากกับพื้นดินแล้ว”
หลี่หลิ่วยิ้มกล่าว “นั่งกันสักพักไหม? ถึงอย่างไรด้านหลังของพวกเราก็ไม่มีใครตามมาแล้ว”
เฉินผิงอันจึงนั่งลงบนขั้นบันไดอย่างไม่ลังเล เขาปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่มา ดื่มเหล้าหนึ่งอึก เหล้าที่จะดื่มได้ต่อจากนี้ก็คงเป็นได้แค่เหล้าหมักข้าวเหนียวแล้ว
หลี่หลิ่วกล่าว “ข้ามีแผ่นหยกแผ่นนั้น ทางสำนักมังกรน้ำจะไม่มีใครใช้วิชาอภินิหารมองขุนเขาสายน้ำผ่านฝ่ามือมาลอบตรวจสอบความเคลื่อนไหวของพวกเรา”
เฉินผิงอันยังคงไม่มีคำถามใดๆ
สำหรับหลี่หลิ่วผู้นี้ อันที่จริงความทรงจำที่เขามีต่อนางค่อนข้างตื้นเขิน ก็หนี ไม่พ้นว่านางคือพี่สาวของหลี่ไหว และเป็นสตรีที่หลินโส่วอีกับต่งสุ่ยจิ่งชื่นชอบในเวลาเดียวกัน
อันที่จริงเมื่อก่อนคนทั้งสองไม่ค่อยได้เคยพูดคุยกันสักเท่าไร
หลี่หลิ่วกล่าวอย่างลังเล “ท่านเฉิน ข้ามีสำเนาของบุปผาในคันฉ่องจันทรา ในสายน้ำบนภูเขาฉบับหนึ่งที่มีความเกี่ยวข้องกับเจ้า แต่ความเกี่ยวข้องนั้นมีไม่มาก เดิมทีไม่คิดจะมอบมันให้เจ้า ด้วยกังวลว่าจะเกิดปัญหาแทรกซ้อน ถ่วงเวลา การเดินทางหาประสบการณ์ของท่านเฉิน”
เฉินผิงอันรู้สึกสงสัยเล็กน้อย หลังจากใคร่ครวญอยู่ชั่วขณะก็เอ่ยว่า “ไม่เป็นไร ในเมื่อเป็นเรื่องที่ไม่ช้าก็เร็วต้องได้รู้ ก็ไม่สู้วางแผนรับมือไว้แต่เนิ่นๆ”
หลี่หลิ่วจึงหยิบสมบัติบนภูเขาลักษณะคล้ายเทียบตัวอักษรแผ่นหนึ่งออกมา เทียบตัวอักษรลอยตัวอยู่กลางอากาศ หลี่หลิ่วยื่นนิ้วออกไปแตะเบาๆ ริ้วคลื่น ก็กระเพื่อมแผ่ออก ตามมาด้วยไอน้ำที่ลอยอบอวล
บนม้วนภาพของเทียบตัวอักษรปรากฏเป็นร่างของสตรีที่นั่งตัวตรงอย่างสำรวมคนหนึ่ง
ใช้นามแฝงว่าสือชิว คือผู้ฝึกตนหญิงจากพรรคเล็กแห่งหนึ่งของแจกันสมบัติทวีป
มาจากภูเขาต่าเจี้ยวของอุตรกุรุทวีป รับหน้าที่เป็นสาวใช้อยู่บนเรือข้ามทวีป ลำที่ร่วงตกอยู่ในอาณาเขตราชวงศ์จูอิ๋งแจกันสมบัติทวีป
หลี่หลิ่วทอดสายตามองไปเบื้องหน้า วางตัวอยู่นอกสถานการณ์
ทุกข์สุขพบพรากในโลกมนุษย์ เห็นมามากเกินไป นางจึงแทบจะไม่มีอารมณ์สะเทือนใจใดๆ
ภาพสุดท้ายในบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำคือภาพสตรีที่ร้องขอความตายคนนั้นหยิบถุงผ้าใบหนึ่งที่เก็บรักษาเป็นอย่างดีมานานหลายปีขึ้นมาอย่างระมัดระวัง นางยู่หน้าคล้ายจะพยายามไม่ให้ตัวเองร้องไห้ แล้วเค้นร้อยยิ้มออกมา ชูถุงผ้าใบนั้นขึ้นสูง ส่ายเบาๆ เอ่ยเสียงอ่อนโยนว่า “นี่ เจ้าชื่ออะไรแล้วนะ ชิวสือชอบเจ้า ได้ยินหรือยัง? เห็นหรือยัง? หากไม่รู้ก็ไม่เป็นไร แต่หากรู้แล้ว ก็แค่รับรู้ไว้ก็พอ”
เฉินผิงอันนั่งนิ่งอยู่ที่เดิม รับฟังเรื่องราวนั้นไม่ให้ตกหล่นไปแม้แต่คำเดียว
นางคือพี่สาวของชิวสือ นามว่าชุนสุ่ย
เฉินผิงอันจำนางได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็น
สุดท้ายเฉินผิงอันพึมพำว่า “ตกลง ข้ารู้แล้ว”
เงียบงันไปนาน
หลี่หลิ่วเก็บเทียบตัวอักษรใส่ไว้ในชายแขนเสื้อ
เฉินผิงอันผูกน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ไว้ตรงเอวให้เรียบร้อย บนใบหน้าไม่มีสีหน้า เศร้าเสียใจหรือเจ็บแค้นใดๆ
หลี่หลิ่วเองก็ไม่ได้รู้สึกแปลกใจมากนัก
หลี่หลิ่วเพียงเอ่ยประโยคหนึ่งที่คล้ายกับว่าไม่เห็นอกเห็นใจผู้ใด “เรื่องมาถึง ขั้นนี้ นางทำอย่างนี้ นอกจากพาตัวไปตาย ก็ไม่มีความหมายใดๆ อีก”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “โดยทั่วไปแล้วก็เป็นเช่นนี้”
หลี่หลิ่วถาม “แล้วมีแบบ ‘ไม่ทั่วไป’ ด้วยหรือ?”
เฉินผิงอันไม่ได้ให้คำตอบ เขาหันหน้ามาพูดว่า “ข้าว่าจะออกเดินทางต่อ ไม่ไปชมถ้ำสวรรค์วังมังกรแล้ว ถึงอย่างไรก็ซื้ออะไรไม่ได้ เพียงแต่ว่าทำอย่างนี้ จะสร้างปัญหาให้เจ้าหรือไม่?”
หลี่หลิ่วยิ้มกล่าว “ท่านเฉินกังวลเกินไปแล้ว อยู่ในอุตรกุรุทวีป ข้าไม่มีปัญหาใดๆ อย่างน้อยที่สุดก็สามารถรักษาชีวิตรอดได้”
เฉินผิงอันบอกว่าจะออกเดินทางต่อ แต่กลับไม่ได้ลุกขึ้นยืนในทันที
เขานึกถึงกลอนคู่ที่วันหน้าจะนำไปแขวนไว้ในเรือนไม้ไผ่ของภูเขาลั่วพั่ว กลอนบทบนคือคำว่า ลมฝนนอกขุนเขากระบี่สามฉื่อ มีเรื่องถือกระบี่ลงภูเขา
เฉินผิงอันจึงปลดเจี้ยนเซียนที่สะพายไว้ด้านหลังลงมาห้อยไว้ตรงเอว
นี่น่าจะเป็นครั้งแรกที่เฉินผิงอันพกกระบี่ตามความหมายที่แท้จริง
เมื่อก่อนเคยชินอยู่กับการสะพายกระบี่เท่านั้น
หลี่หลิ่วถาม “ท่านเฉินคงจะไม่ได้ตรงไปถามกระบี่กับภูเขาต่าเจี้ยว แล้วค่อยไปถามกระบี่กับราชวงศ์ต้าหลี ตามด้วยเทียนจวินเซี่ยสือกระมัง?”
อันที่จริงหลี่หลิ่วไม่ค่อยชอบใช้กระบี่เท่าไรนัก ไม่ว่าจะเป็นองค์เทพบรรพกาลหรือเป็นผู้ฝึกตนอย่างในทุกวันนี้ นางก็ล้วนรู้สึกขวางหูขวางตา
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน แกว่งน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ ยิ้มกล่าว “ไม่หรอก ความสามารถไม่มากพอ หากให้ดื่มเหล้าก็ยังพอไหว”
หลี่หลิ่วยิ้มพลางพยักหน้ารับ นางนั่งอยู่ที่เดิม ไม่ได้ลุกขึ้นยืน เพียงแค่มองส่ง คนหนุ่มที่สวมชุดเขียวพกกระบี่คนนั้นค่อยๆ เดินลงบันไดไป
มีเรื่องควรทำอย่างไร?
ถือกระบี่ลงจากภูเขา
หากเรื่องราวทางโลกใหญ่เกินความสามารถล่ะ จะทำอย่างไร? ก็ไม่อย่างไร คำตอบก็ได้แต่เก็บไว้ในใจ วางไว้ในฝักกระบี่ก่อนชั่วคราว