บทที่ 550 วางกระบี่พาดเข่า กวาดตามองรอบด้านอย่างสนเท่ห์

กระบี่จงมา! Sword of Coming

ตรงหน้าประตูเมืองของถ้ำสวรรค์วังมังกรเกิดเสียงฮือฮา เพราะหลังจากที่ ชายหนุ่มหญิงสาวคู่หนึ่งเข้าไปในเมือง ประตูทางฝั่งนี้ก็ถูกปิดลง

ต่อให้เป็นผู้ฝึกตนที่เฝ้าประตูซึ่งฝึกวิชาน้ำของสำนักมังกรน้ำก็ยังไม่สังเกตเห็นว่ามีแสงสีทองเป็นจุดๆ ลอยออกมาจากกรอบป้ายจำนวนมากแล้วหล่นลงบนพื้น ประหนึ่งแสงหิ่งห้อยที่มารวมตัวกัน กลายมาเป็นเด็กหนุ่มสวมกวานสูงรัดเข็มขัด คนหนึ่ง เขาเดินก้าวยาวๆ เข้าไปในประตูเมือง แล้วประตูเมืองก็ปิดลง ผู้ฝึกตน สำนักมังกรน้ำที่เฝ้าประตูอยู่ทำตัวไม่ถูก นี่คือภาพเหตุการณ์ผิดปกติที่พันปีก็ไม่เคยเกิดขึ้น จึงรีบส่งกระบี่บินไปแจ้งทางศาลบรรพจารย์ทันที

ตอนนี้เฉินผิงอันเพิ่งเดินลงมาจากขั้นบันไดหยกขาวได้ไม่นานเท่าไร เด็กหนุ่มผู้นี้ ก็มาปรากฏตัวอยู่ข้างกายหลี่หลิ่ว ถวายการคารวะด้วยพิธีการโบราณเก่าแก่ ด้วยการหมอบกราบลงกับพื้น ภาษาที่เอ่ยออกมาจากปากก็ยิ่งยากจะฟังได้เข้าใจ อีกทั้งน้ำเสียงยังแหบพร่าเหมือนคนแก่ ไม่สอดคล้องกับใบหน้าแม้แต่น้อย

หลี่หลิ่วเพียงแค่นั่งอยู่ที่เดิม มองไปยังเรือนกายที่กำลังเดินลงจากภูเขา คงเป็นเพราะรังเกียจว่าเด็กหนุ่มตรงหน้าขวางหูขวางตาจึงยื่นฝ่ามือข้างหนึ่งออกมาโบกเบาๆ ผลักเด็กหนุ่มที่เพิ่งลุกขึ้นยืนให้ขยับห่างไปด้านข้างหนึ่งจั้ง

เด็กหนุ่มยืนตัวตรง ถูกปฏิบัติด้วยความดูแคลนเช่นนี้ เขากลับไม่รู้สึกอับอาย จนพานเป็นความโกรธ เพียงแค่หันกลับไปมองเรือนกายเล็กจ้อยที่ขยับเข้าใกล้ประตูแล้วเอ่ยเสียงเบา “มหามรรคาใกล้ชิดสายน้ำ นับว่าหาได้ยาก”

เขาไม่กล้าลอบตรวจสอบสถานการณ์บนขั้นบันไดหยกขาวโดยพลการ จึงมอง มือกระบี่ชุดเขียวอายุน้อยผู้นั้นว่าเป็นหนึ่งในเม็ดหมากของนาง

หลี่หลิ่วพูดเนิบช้าด้วยสีหน้าเฉยเมย “หลี่หยวน สามศาลของจี้ตู๋ ควันธูปศาลกลางของเจ้าเทียบกับศาลบนของหน่วยฉงเสวียนราชวงศ์ต้าหยวนไม่ได้มาโดยตลอด”

เด็กหนุ่มประหลาดที่มีชื่อเรียกว่าหลี่หยวนกล่าวอย่างละอายใจ “ทำหน้าที่ยิ่งใหญ่ที่ได้รับมอบหมายได้ไม่ดี มีโทษสมควรตาย”

ลำน้ำจี้ตู๋ที่ทอดตัวขวางทะลุออกจรดตกของอุตรกุรุทวีปเคยมีสามศาล ศาลล่างพังทลายหายสาบสูญไปนานแล้ว ศาลกลางถูกหล่อหลอมให้กลายเป็นศาลบรรพจารย์ของสำนัก ศาลบนถูกสกุลหยางตำหนักนภากาศหน่วยฉงเสวียนควบคุมไว้

หลี่หลิ่วเคยเจอกับหยางหนิงเจินที่หุบเขาผีร้ายชายหาดโครงกระดูกหนึ่งครั้ง แล้วได้เอ่ยถ้อยคำที่ทำให้หยางหนิงเจินไม่กล้าเชื่อแต่ก็จำต้องเชื่อ ในฐานะทายาท คนโตของสกุลหยางตำหนักนภากาศ พี่ชายของหยางหนิงซิ่งซึ่งเป็น ‘เทียนจวินน้อย’ หยางหนิงเจินเพียงแค่ใช้สถานะของผู้ฝึกยุทธเต็มตัวและนามแฝงก็ได้เลื่อนขั้น ติดอันดับสิบคนรุ่นเยาว์ของอุตรกุรุทวีป ทว่าศึกบนภูเขากระจกวิเศษ แม้จะบอกว่า หยางหนิงเจินไม่ถึงขั้นไม่เหลือเรี่ยวแรงให้เอาคืน แต่เมื่อต้องคุมเชิงกับหลี่หลิ่ว เขาก็ไม่มีโอกาสจะเอาชนะได้เลย

หลี่หลิ่วเอ่ยถาม “ทำหน้าที่ยิ่งใหญ่ที่ได้รับมอบหมายได้ไม่ดี? ให้เจ้าคอยจับตา มองควันธูปของศาลเล็กๆ แห่งนี้ เป็นเรื่องที่ใหญ่มากนักหรือ?”

หลี่หยวนบื้อใบ้ไร้คำตอบโต้

ดวงตาสีทองคู่นั้นหม่นแสงลง ทำให้ยิ่งดูแก่ชรามากขึ้นไปอีก

สิ่งศักดิ์สิทธิ์เก่าแก่ที่มีรูปลักษณ์เป็นเด็กหนุ่ม แต่กลับให้ความรู้สึกเสื่อมโทรมแก่ชรา ผู้นี้คือหนึ่งในสุ่ยเจิ้งสองคนที่เหลืออยู่ของลำน้ำจี้ตู๋ ความมากของอายุเขา เกรงว่าแม้แต่บรรพบุรุษบุกเบิกขุนเขาของสำนักมังกรน้ำก็ยังเทียบไม่ได้

ในใต้หล้าไพศาล สุ่ยเจิ้งก็คือตำแหน่งขุนนางเก่าแก่ที่ยังไม่ได้หายสาบสูญไป อย่างสิ้นเชิง แต่ชื่อเสียงกลับไม่โดดเด่นนัก

ส่วนใหญ่มักจะเป็นคนที่คอยดูแลควันธูปของศาลประจำลำน้ำใหญ่ ศาลบุ๋นของแผ่นดินกลางก็ไม่ได้ให้ความสนใจมากนัก ส่วนใหญ่มักจะปล่อยพวกเขาไป ตามยถากรรม ดังนั้นสุ่ยเจิ้งของลำน้ำใหญ่ทั้งหมดในใต้หล้า ทุกครั้งที่ร่างทอง เสื่อมโทรมพังทลายลงไป บนโลกก็จะมีสุ่ยเจิ้งน้อยลงหนึ่งคน

บุคคลที่เป็นเช่นนี้ทั้งไม่ได้รับการดูแลจากราชสำนักโลกมนุษย์ แล้วก็ไม่ได้มีการคบค้าสมาคมกับสำนักตระกูลเซียนมากนัก

แต่หากอยู่ที่ใต้หล้ามืดสลัวซึ่งมีลัทธิเต๋าเฝ้าบัญชาการณ์ สุ่ยเจิ้งกลับเป็น สิ่งศักดิ์สิทธิ์สำคัญที่มีบารมีอย่างหาที่สิ้นสุดไม่ได้ อีกทั้งยังมีการสืบทอดอย่างเป็นระบบระเบียบ ลำน้ำใหญ่สายหนึ่งจะมีสุ่ยเจิ้งเพียงคนเดียว ตำแหน่งฐานะสูงส่งยิ่งกว่าเทพวารีแม่น้ำลำคลองและเจ้าแห่งทะเลสาบทั้งหมด แม้แต่องค์เทพห้าขุนเขาใหญ่ของราชวงศ์ใหญ่แต่ละแห่งก็ยังยากที่จะทัดเทียมได้

มองดูเหมือนว่าสำนักมังกรน้ำหล่อหลอมศาลของลำน้ำจี้ตู๋ไปแล้ว แล้วก็ใช้สถานที่แห่งนี้เป็นต้นกำเนิดแห่งความรุ่งโรจน์ เป็นรากฐานในการหยัดยืน ใช้ต้านทานผู้ฝึกกระบี่มากมายที่กำเริบเสิบสานของอุตรกุรุทวีป แต่ในความเป็นจริงแล้วยังมี เรื่องวงในที่ซับซ้อนมากกว่านั้น

เมื่อต้องเผชิญหน้ากับสตรีที่มีสถานะสูงศักดิ์อย่างถึงที่สุดผู้นี้ หลี่หยวนก็เหมือนเสมียนปลายแถวลำดับล่างสุดของราชสำนักที่โชคดีได้พบเจอกับขุนนางใหญ่คนสำคัญ เขาจะไม่นอบน้อมและระมัดระวังตัวได้อย่างไร

ถูกว่ากล่าวตักเตือนคำสองคำก็ถือเป็นพระคุณล้นฟ้าแล้ว

ในสำนักมังกรน้ำที่กว้างใหญ่ คนที่รู้ตัวตนที่แท้จริงของนาง นอกจากสุ่ยเจิ้งตัวเล็กๆ อย่างเขาหลี่หยวนแล้วก็มีเพียงเจ้าสำนักมังกรน้ำที่ได้รับการบอกต่อสืบทอดกันมาปากต่อปากทีละยุคทีละสมัยเท่านั้น

ป้ายหยกชือหลงแผ่นนั้น มองดูเหมือนแผ่นหยกที่สำนักมังกรน้ำมอบให้แก่ผู้ถวายงาน ผู้สืบทอดและเค่อชิงของศาลบรรพจารย์ แต่ในความเป็นจริงแล้วแผ่นหยกของ บรรพบุรุษในรุ่นหลังทุกคนล้วนสร้างเลียนแบบแผ่นหยกที่อยู่ในมือของนาง อย่างประณีตบรรจง ผู้ฝึกตนของสำนักมังกรน้ำที่อยู่ตรงหน้าประตูเมืองมองไม่ออก ถึงความแตกต่างของพวกมัน ทว่าเขาหลี่หยวนกลับเห็นอย่างชัดเจน ดังนั้นต่อให้ สตรีจะเปลี่ยนแปลงรูปโฉม และตอนนี้ตัวตนก็เปลี่ยนไป แต่หลี่หยวนก็ยังรีบรุดเดินทางมาหานางอยู่ดี

หลี่หลิ่วพลันหัวเราะ

อันที่จริงวินาทีที่สุ่ยเจิ้งหลี่หยวนปรากฏตัว คนบ้านเดียวกันที่ตอนอยู่ในถ้ำสวรรค์หลีจูไม่เคยเจอหน้าและยิ่งไม่เคยพูดจากันคนนั้นก็สัมผัสได้ถึงร่องรอยของสุ่ยเจิ้งแล้ว เพียงแต่เขาไม่ได้หันหน้ากลับมามอง ทำเพียงเดินลงจากเขาไปเงียบๆ เท่านั้น

ผลกลับกลายเป็นว่าเจ้าหลี่หยวนผู้นี้ไม่รู้กาลเทศะ ไม่ได้รีบคลายตราผนึก ออกทันที เขาจึงได้แต่ไปยืนรออยู่ตรงหน้าประตูเมืองนั่น

หลี่หลิ่วคิดแล้วก็เอ่ยว่า “ก็ดีเหมือนกัน ให้ท่านเฉินอยู่ต่อที่นี่อีกสักสองสามวัน สภาพจิตใจจะได้มั่นคงมากขึ้น”

และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่หลี่หลิ่วมองหลี่หยวนเต็มตา “หลี่หยวน ด้านในมีสถานที่ ที่ปราณวิญญาณเข้มข้น อีกทั้งยังค่อนข้างเงียบสงบอยู่บ้างหรือไม่ หากมีก็จง เอาออกมารับรองแขกผู้สูงศักดิ์ หากไม่มีก็ให้คนที่อยู่ก่อนหน้าย้ายออกไป”

หลี่หยวนพยักหน้ารับ “มี”

ไม่มีก็ต้องมี

บุคคลคนหนึ่งที่สามารถทำให้นางเรียกว่า ‘ท่าน’ ได้นั้น ในฐานะคนเฝ้าประตู ถ้ำสวรรค์วังมังกรควบตำแหน่งทูตควันธูปของศาลกลางลำน้ำจี้ตู๋อย่างเขาหลี่หยวน หากไม่เป็นเพราะกังวลว่าจะเกิดเรื่องครึกโครมใหญ่โตเกินไปก็คงไล่คนออกไปหมดแล้ว

จะสนใจทำไมว่าสำนักมังกรน้ำพวกเจ้าจะจัดงานพิธีกรรมยันต์หยก จัดงานพิธีกรรมสุ่ยกวานหรือไม่? จะทำให้ไฟโทสะของพวกเซียนดินที่มาสร้างกระท่อมฝึกตนอยู่ในถ้ำสวรรค์ขนาดเล็กลุกโชนสามจั้งหรือไม่?

หลี่หลิ่วกล่าว “ทางฝั่งของสำนักมังกรน้ำ เจ้าอย่าเพิ่งแพร่งพรายอะไรออกไป บอกแค่ว่ามีลูกหลานของสหายเก่ามาเยี่ยมเยียน หรือหากเจ้ามีข้ออ้างที่ดีกว่านี้ก็เอามาใช้ได้ตามสบาย สรุปก็คืออย่าให้คนมารบกวนการฝึกตนอันเงียบสงบของท่านเฉิน”

หลี่หยวนประสานมือคารวะ “น้อมรับคำบัญชา!”

หลี่หลิ่วลุกขึ้นยืน ก้าวออกไปหนึ่งก้าวก็มาถึงหน้าประตูเมือง นางเอ่ยว่า “ท่านเฉิน เดินทางผ่านหนึ่งในสามสิบหกถ้ำสวรรค์ขนาดเล็ก เข้าประตูมาแล้วแต่ไม่ไปเยือน ด้านในก็ออกจะน่าเสียดายไปสักหน่อย ในถ้ำสวรรค์วังมังกรมีวัตถุดิบวิเศษแห่งฟ้าดินสะสมอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกที่ใกล้ชิดกับสายน้ำและไม้ แม้ราคาจะแพงไปสักหน่อย แต่ระดับขั้นก็ไม่ธรรมดา หากมีชิ้นใดที่ท่านเฉินถูกใจ อาศัยแผ่นหยกชิ้นนี้ และราคาต่ำกว่าหนึ่งร้อยเหรียญเงินฝนธัญพืชก็สามารถติดหนี้สำนักมังกรน้ำไว้ได้ก่อนหกสิบปี”

หลี่หลิ่วไม่ได้พูดความจริง

ติดหนี้?

ถ้ำสวรรค์วังมังกรที่ช่วยหาเงินมหาศาลให้กับสำนักมังกรน้ำ สกุลหยาง ตำหนักนภากาศและทะเลสาบกระบี่ฝูผิงแห่งนี้ ในอดีตคือหนึ่งในตำหนักพักร้อน ของนาง อีกทั้งขอแค่หลี่หลิ่วคิดจะทวงคืน ต่อให้บรรพจารย์แต่ละสมัยของสำนักมังกรน้ำพวกเจ้ามีวิธีการหล่อหลอมที่สูงส่งเลิศล้ำแค่ไหน ค่ายกลภูเขาสายน้ำที่ สร้างขึ้นอย่างยากลำบากสามารถต้านทานการโจมตีของเซียนกระบี่ได้มากเท่าไร แต่เมื่อมาเจอกับหลี่หลิ่ว จะมีความหมายอะไร? แล้วนับประสาอะไรกับที่บรรพบุรุษบุกเบิกภูเขาของสำนักมังกรน้ำในปีนั้นก็เป็นเพียงคนธรรมดาสามัญที่ไร้พรสวรรค์ คนหนึ่ง เขาสามารถเดินขึ้นมาบนเส้นทางของการฝึกตน แล้วจากนั้นก็ได้รับ โชควาสนาอย่างพอเหมาะพอเจาะ เดินขึ้นฟ้ามาทีละก้าวได้อย่างไร ในใจของ เจ้าสำนักรุ่นหลังๆ จะไม่รู้บ้างเลยหรือ?

ถ้าอย่างนั้นสรุปแล้วเป็นใครที่ติดหนี้ใครกันแน่? ไม่ต้องพูดก็รู้ได้แล้ว

ตอนนี้พอได้ยินคำว่า ‘เงินฝนธัญพืช’ เฉินผิงอันก็กลุ้มใจแล้ว

หลี่หลิ่วปลดแผ่นหยกลงมาอย่างไม่รีบร้อน แล้วเอ่ยอีกว่า “ขอแค่จิตใจท่านเฉินไม่สงบ ต่อให้เดินทางไกลแค่ไหน แท้จริงแล้วก็เหมือนถูกผีบังตาอยู่ดี”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ตกลง ถ้าอย่างนั้นก็รบกวนแม่นางหลี่แล้ว”

หลี่หลิ่วส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม “ท่านเฉินไม่จำเป็นต้องเกรงใจ ในใจหลี่ไหวคิดถึงท่านเฉินมาตลอดหลายปี ทุกครั้งที่เขียนจดหมายไปกลับระหว่างสำนักศึกษาซานหยากับยอดเขาสิงโต หลี่ไหวก็จะต้องพูดถึงท่านเฉินเสมอ บุญคุณยิ่งใหญ่ที่ช่วยถ่ายทอดมรรคาควบปกป้องมรรคานี้ หลี่หลิ่วไม่กล้าลืมอย่างแน่นอน”

เฉินผิงอันกล่าวอย่างจนใจ “แม่นางหลี่เกรงใจกว่าข้าเยอะเลย”

นี่เป็นความจริง ปีนั้นที่คอยช่วยดูแลพาหลี่ไหวไปส่งสำนักศึกษาต้าสุย เป็นเพียงแค่การทำตามคำสัญญาเท่านั้น แล้วนับประสาอะไรกับที่ตลอดเส้นทางนั้น นอกจาก จะซุกซนไปสักหน่อย หลี่ไหวก็ไม่เคยทำให้เฉินผิงอันเหนื่อยกายเหนื่อยใจใดๆ

แน่นอนว่าปากของหลี่ไหวตอนยังเด็กนั่น ทั้งเหมือนทาไว้ด้วยน้ำผึ้ง แล้วก็เหมือนเคลือบไว้ด้วยสารหนู โดยเฉพาะอย่างยิ่งความสามารถที่เก่งแต่ในโปงผ้าห่มที่เป็นอันดับหนึ่งในใต้หล้า แต่ถึงอย่างไรก็เป็นเด็กที่จิตใจใสซื่อบริสุทธิ์คนหนึ่ง ไม่จดจำความแค้น แต่กลับระลึกถึงความดีของคนอื่นอยู่เสมอ

เฉินผิงอันแหงนหน้ามองไป ไม่มีร่องรอยของเด็กหนุ่มประหลาดคนนั้นอีกแล้ว

หลี่หลิ่วอธิบาย “คนผู้นั้นคือคนเฝ้าประตูของที่นี่”

เฉินผิงอันถาม “เหมือนกับเจิ้งต้าเฟิง?”

หลี่หลิ่วยิ้มตอบ “หน้าที่ถือว่าคล้ายคลึงกัน แต่เมื่อเทียบกับท่านอาเจิ้งแล้ว คนหนึ่งคือฟ้า คนหนึ่งคือดิน”

หวนนึกถึงในอดีต ตอนที่หลี่ไหวผู้เป็นน้องชายยังเป็นเด็ก เจิ้งต้าเฟิงมักจะแบก หลี่ไหวไปที่ร้านยาตระกูลหยางเป็นประจำ

หลี่ไหวร้องตะโกนว่าทนไม่ไหวแล้วๆ เจิ้งต้าเฟิงวิ่งตะบึงไปตลอดทาง ฝีเท้ารวดเร็วดุจสายลม ปากก็รีบร้อนพูดว่าวีรบุรุษชายชาตรีต้องอดทนอีกนิด ไปถึงเรือนด้านหลังร้านแล้วค่อยปล่อยน้ำ

ถึงอย่างไรไม่ว่าหลี่ไหวจะทนไหวหรือไม่ไหว ถึงท้ายที่สุด หนึ่งคนโตหนึ่งเด็ก ก็จะต้องเดินผ่านร้านยาสุ้ยที่ขายขนมในตรอกฉีหลงกันรอบหนึ่งเสมอ

ท่ามกลางกาลเวลาอันยาวนาน หลี่หลิ่วเคยเห็นผู้ฝึกตนที่ชื่นชอบความสงบ ไม่แตะต้องฝุ่นโลกีย์ สภาพจิตใจไร้มลทิน มองข้ามวัตถุนอกกายมามากมาย

มีเพียงชีวิตนี้ที่อยู่ในถ้ำสวรรค์หลีจูเท่านั้นที่ได้เห็น ‘เจินเหริน’ หลายคนซึ่งไม่ต้องเกี่ยวข้องกับตบะขอบเขต เป็นสถานที่เล็กๆ ที่มีท่วงทำนองและโฉมหน้ายิ่งใหญ่ ต่อให้เป็นหลี่หลิ่วก็ยังอดคิดถึงอยู่เป็นระยะไม่ได้

คนทั้งสองเดินเคียงไหล่ ย้อนกลับไปบนภูเขาสูงอีกครั้ง

ดูเหมือนว่าหลังจากคุยธุระสำคัญจบแล้วก็ไม่มีถ้อยคำใดๆ ที่จงใจนำมาพูดคุยปราศรัยกันอีก

เฉินผิงอันมีเรื่องให้ต้องขบคิดมากมาย จึงไม่สะดวกจะเปิดปาก ด้วยกลัวว่า หากเป็นเรื่องไม่คาดฝันจะทำให้หลี่หลิ่วต้องเผชิญกับปัญหาที่ไม่จำเป็น

ส่วนหลี่หลิ่วนั้นก็เป็นคนที่คิดน้อยมาโดยตลอด ไม่ว่าเรื่องใดก็ไม่เก็บมาใส่ใจ

……

ในศาลบรรพจารย์สำนักมังกรน้ำที่อยู่ทางเหนือของลำน้ำจี้ตู๋ หลังจากได้รับกระบี่บินส่งข่าวมาจากหน้าประตูถ้ำสวรรค์วังมังกรแล้ว เก้าอี้สิบหกตัวในศาลก็มีเกินครึ่งที่มี คนมานั่งลงเรียบร้อย เก้าอี้ตัวที่เหลืออยู่ล้วนเป็นของผู้ฝึกตนใหญ่ในสำนักที่ ออกเดินทางท่องเที่ยวอยู่ด้านนอก คนที่สามารถเร่งรุดเดินทางมาปรึกษาธุระสำคัญได้ นอกจากก่อกำเนิดคนหนึ่งที่ปิดด่านมานานหลายปีแล้ว คนอื่นๆ ล้วนมาไม่ได้

ในศาลบรรพจารย์ หนึ่งในนั้นก็มีผู้ถ่ายทอดมรรคาของป๋ายปี้ผู้ฝึกตนโอสถทองอย่างซุนเจี๋ย เจ้าประมุขสำนักมังกรน้ำคนปัจจุบัน

และยังมีอู่หลิงถิงอาจารย์ผู้มีพระคุณของจานชิงท่านโหวน้อยแห่งแคว้ยเป่ยถิง เพียงแต่ว่าในฐานะผู้ถวายงานก่อกำเนิดที่คุณสมบัติยังตื้นเขิน อีกทั้งยังมีชาติกำเนิดเป็นผู้ฝึกตนอิสระ ตำแหน่งเก้าอี้ของเขาจึงค่อนข้างจะอยู่รั้งท้าย

ช่วงนี้อู่หลิงถิงอารมณ์เลวร้ายสุดขีด อยู่ดีๆ จานชิงลูกศิษย์เพียงหนึ่งเดียวของเขาก็หายตัวไป เป็นไม่เห็นตัว ตายไม่เห็นศพ นี่มันเป็นเรื่องที่เหลวไหลยิ่งนัก

หากไม่เป็นเพราะหวนอวิ๋นเจินเหรินพรรคยันต์ที่มีชื่อเสียงไม่เลวบนภูเขาผู้นั้นเปิดปากช่วยนังเด็กป๋ายปี้พิสูจน์ต้นสายปลายเหตุของเรื่องราวว่า เรื่องที่จานชิง เป็นหรือตายไม่ได้เกี่ยวข้องกับนางป๋ายปี้โดยตรงจริงๆ อู่หลิงถิงก็คงอาละวาดอยู่ในศาลบรรพจารย์ ซักไซ้เอาความผิดจากซุนเจี๋ยโดยตรงไปแล้ว ดังนั้นอู่หลิงถิงที่เวลานี้สะกดกลั้นไฟโทสะไว้เต็มท้องจึงมีสีหน้าไม่น่ามองอย่างถึงที่สุด จานชิงเป็นลูกศิษย์ ที่เขาให้ความสำคัญมาก ผู้ฝึกตนอิสระแห่งป่าเขา โดยเฉพาะผู้ฝึกตนอิสระเซียนดิน ที่รับลูกศิษย์ อันที่จริงมีความหมายยิ่งกว่าการรับลูกศิษย์ของเซียนซือทำเนียบ วงศ์ตระกูลด้วยซ้ำ เพราะถูกมองว่าผู้ฝึกตนอิสระสละชีวิตครึ่งหนึ่งเพื่อเสี่ยงแลกมาด้วยการสืบทอดควันธูป

เพราะถึงอย่างไรการทำร้ายกันระหว่างผู้ฝึกตนอิสระ ต่อให้เป็นอาจารย์สังหารลูกศิษย์ ลูกศิษย์สังหารอาจารย์ก็ล้วนมีให้เห็นไม่น้อย หันกลับมามองเซียนซือทำเนียบ วงศ์ตระกูลในศาลบรรพจารย์ กลับไม่มีใครที่กล้าทำความผิดมหันต์เช่นนี้

ประตูใหญ่ของถ้ำสวรรค์วังมังกรปิดลงด้วยตัวเอง

แน่นอนว่านี่ไม่ใช่เรื่องเล็ก

เจ้าสำนักซุนเจี๋ยจึงรีบเรียกรวมสมาชิกทุกคนในศาลบรรพจารย์มาทันที

ตอนนั้นเซียนกระบี่ผู้นั้นแฝงตัวอยู่นานหลายปี จนกระทั่งขโมยวัตถุสยบความชั่วร้ายคว้าชัยชนะหนีรอดออกไปจากถ้ำสวรรค์วังมังกรได้สำเร็จ ระหว่างการช่วงชิง เอาสมบัติพิทักษ์สำนักที่ถูกขโมยไปกลับคืนมานั้น เกิดโศกนาฎกรรมอันน่าสังเวชขึ้นมากมาย

เก้าอี้สิบกว่าตัวในศาลบรรพจารย์สำนักมังกรน้ำ นอกจากเก้าอี้ตัวแรกฝั่งซ้าย ที่เป็นตำแหน่งของเจ้าสำนักในแต่ละยุคสมัยแล้ว เก้าอี้ตัวแรกฝั่งขวากลับแทบไม่เคยเห็นว่ามีใครนั่งลงไป

ศาลบรรพจารย์สำนักมังกรน้ำสร้างขึ้นมากี่ปี กฎข้อนี้ก็สืบทอดกันมานานเท่านั้น ไม่เคยเปลี่ยนแปลง

ไม่ว่าจะเป็นผู้ถวายงานหรือเค่อชิงคนใดของสำนักมังกรน้ำที่ถามถึงเรื่องนี้ ผู้ฝึกตนสำนักมังกรน้ำก็มักจะเก็บเงียบเป็นความลับอยู่เสมอ

สถานการณ์นั้นเรียบง่ายมาก

ซุนเจี๋ยเอ่ยแค่สองสามคำก็สามารถอธิบายได้อย่างชัดเจนแล้ว

ทว่าทุกคนที่นั่งอยู่ในศาลบรรพจารย์กลับมีสีหน้าเคร่งเครียด

อันดับแรกก็เป็นสตรีแปลกหน้าที่แสดงป้ายหยก เข้าเมืองเดินขึ้นบันไดหยกขาว จากนั้นประตูเมืองก็ปิดสนิท ฟ้าดินถูกตัดขาดออกจากกัน ผู้ฝึกตนพยายามจะตรวจสอบมองไป แต่ก็ไร้ผลลัพธ์

เส้าจิ้งจือผู้ฝึกตนหญิงขอบเขตหยกดิบของสำนักมังกรน้ำฝั่งใต้ คือสตรีโตเต็มวัยที่รูปลักษณ์ยังเป็นหญิงสาว มีมาดสุขุมสง่างาม นางเปิดปากเอ่ยเนิบช้าว่า “เจ้าสำนัก ไม่สู้ให้ข้ารีบไปที่ทะเลเมฆตรงท่าเรือของถ้ำสวรรค์เพื่อเฝ้าตอรอกระต่ายดีไหม?”

ซุนเจี๋ยขมวดคิ้ว “นอกจากนี้แล้ว ตอนนี้เรื่องที่ต้องพิจารณาอย่างแท้จริง คือ ควรจะใช้กฎอัยการศึกกับตลอดทั้งถ้ำสวรรค์หรือไม่ หากเลือกที่จะใช้กฎอัยการศึก จิตใจคนคงระส่ำระส่ายอย่างเลี่ยงไม่ได้ และย่อมส่งผลกระทบต่อพิธียันต์ทองและพิธีสุ่ยกวานขจัดเภทภัยหลังจากนั้น แต่ไหนแต่ไรมาถ้ำสวรรค์วังมังกรของพวกเรา ก็ขึ้นชื่อเรื่องความสงบบสุขปลอดภัยมาโดยตลอด งานพิธีการที่จัดขึ้นสองครั้งติดต่อกันนี้ ไม่พูดถึงสหายบนภูเขาของสำนักมังกรน้ำเรา ยังมีอัครเสนาบดีและ แม่ทัพขุนนางใหญ่มากมายในราชสำนักต้าหยวนที่จะต้องมาร่วมพิธีด้วย หากไม่ทันระวังอาจกลายเป็นจุดอ่อนให้ตำหนักนภากาศและทะเลสาบกระบี่ฝูผิงจับกุมไว้ได้”

อู่หลิงถิงพูดด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน “ผีอายุสั้นล่างภูเขาที่มีชีวิตสุขสบายพวกนี้ความสามารถมีไม่มาก ทว่าแต่ละคนกลับบอบบางซะเหลือเกิน”

หญิงชราคนหนึ่งที่เอามือทั้งสองกุมไว้บนไม้เท้าหัวมังกรหลับตา ท่าทางเหมือนกำลังงีบหลับคล้ายคนตาย นางนั่งอยู่ข้างกายเส้าจิ้งจือ เห็นได้ชัดว่าเป็นผู้ฝึกตน จากสำนักใต้ เวลานี้หญิงชราเลิกเปลือกตาขึ้นเล็กน้อย หันหน้านิดๆ มองไปทาง เจ้าสำนักซุนเจี๋ยแล้วเปิดปากพูดด้วยน้ำเสียงแหบพร่าว่า “ศิษย์หลานซุน ตามความเห็นข้า รีบให้จิ้งจือนำสมบัติพิทักษ์ภูเขามาเก็บไว้เลยดีกว่า หากเป็นพวก ที่มีเจตนาชั่วร้ายก็ควรสังหารให้สิ้นซาก ข้าไม่เชื่อหรอกว่า อยู่ในถ้ำสวรรค์วังมังกรของเรา ใครจะสามารถก่อคลื่นลมมรสุมอะไรได้”

อู่หลิงถิงที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ารู้สึกนับถือหญิงชราผู้นี้อยู่บ้างจริงๆ เป็นขอบเขตก่อกำเนิดเหมือนกับเขา แต่นางที่อยู่ในสำนักมังกรน้ำกลับไม่เคยเห็นใครอยู่ในสายตา อาศัยว่าตัวเองเป็นผู้อาวุโส เปิดปากทีก็เรียกเจ้าสำนักซุนเจี๋ยว่าศิษย์หลานซุน อย่างนั้น ศิษย์หลานซุนอย่างนี้ ทว่ายามที่เรียกเส้าจิ้งจือที่อยู่ในสายสำนักใต้ของตัวเองกลับแสดงความสนิทสนมออกมาอย่างชัดเจน

แล้วก็โชคดีที่ซุนเจี๋ยเป็นคนใจกว้าง หากเป็นเขาอู่หลิงถิงที่ได้นั่งอยู่บนเก้าอี้ ผู้นำของสำนักมังกรน้ำตัวนั้น คงตบหน้าแก่ๆ ของยายแก่นี่ให้เละไปนานแล้ว

และในขณะที่ซุนเจี๋ยกำลังจะเปิดปากพูด บนโต๊ะฝั่งตรงข้ามก็มีแสงสีทอง เป็นจุดๆ ลอยขึ้นมา สุดท้ายมารวมตัวกันกลายเป็นเด็กหนุ่มที่มีใบหน้าอ่อนเยาว์ ทว่าราศีกลับแห้งเหี่ยวโรยรา

ก็คือหลี่หยวนสุ่ยเจิ้งแห่งลำน้ำจี้ตู๋

หลี่หยวนคารวะซุนเจี๋ย กฎเกณฑ์อะไรที่สมควรมีก็ยังต้องมี

ซุนเจี๋ยเองก็ลุกขึ้นยืน คารวะกลับคืน แต่กลับไม่ได้เปิดเผยตัวตนของอีกฝ่าย

หญิงชราผู้นั้นพลันลืมตาขึ้น ถามเสียงสั่น “หลี่หลาง? ใช่หลี่หลางหรือไม่?”

หลี่หยวนรู้สึกเสียใจเล็กน้อย มองหญิงชราที่เส้นผมขาวโพลนแวบหนึ่ง เขาไม่ได้เอ่ยคำใด

หญิงชรากลับตาแดงก่ำ มือสองข้างไม่กุมหัวไม้เท้าอีกต่อไป แต่เอาไม้เท้าพิงไว้กับเก้าอี้เบาๆ มือสองข้างวางไว้บนหัวเข่า จัดชุดกระโปรงให้เรียบ ก้มหน้าลงมองนิ้ว ทั้งสิบที่แห้งเหี่ยวของตัวเองแล้วพึมพำเสียงเบา “หลี่หลางยังคงหล่อเหลาดังเดิม น่าเสียดายที่ข้าแก่แล้ว แก่เกินไปแล้ว ตอนที่ไม่เจอกันก็ชะเง้อคอมองหา เนิ่นนานจนคนคอยผมขาว พอเจอกันแล้ว ถึงเพิ่งจะรู้ว่าสู้ไม่ต้องเจอกันยังดีกว่า”

อู่หลิงถิงทำสีหน้ามีเลศนัย

อะไรกัน

หรือว่าเด็กหนุ่มท่าทางสง่างาม กับหญิงชราที่เป็นดั่งคนแก่ไข่มุกเหลือง เคยมีวาสนาวิวาห์ต่อกันในอดีต?

ถ้าอย่างนั้นก็ต้องเป็นเรื่องราวที่ผ่านมานานมากแล้วจริงๆ

บนภูเขาก็น่าสนใจเช่นนี้ เรื่องประหลาดไม่เคยเป็นเรื่องประหลาด ขอแค่ผู้ฝึกตนมีเวลาว่างร่วมวงครึกครื้นก็สามารถเห็นงิ้วสนุกๆ ได้ทุกที่ทุกเวลา

หลี่หยวนใช้เสียงในใจพูดเข้าประเด็นกับซุนเจี๋ย “เจ้าสำนัก เป็นเด็กรุ่นหลังของสหายสนิทข้ามาเยี่ยมเยือน แผ่นป้ายก็เป็นข้าที่เคยมอบให้ไปในอดีต ข้าจึงปรากฏตัวไปพูดคุยทักทายเขา ด้วยไม่อยากให้ใครมารบกวนจึงใช้วิธีการเล็กๆ น้อยๆ ทำให้สำนักมังกรน้ำตกอกตกใจจนต้องเรียกระดมพลมาประชุมที่ศาลบรรพจารย์ นี่ถือเป็นความผิดของข้า ข้ายินดีรับการลงโทษจากบรรพจารย์สำนักมังกรน้ำ”

ซุนเจี๋ยยิ้มบางๆ ตอบรับ “ใต้เท้าสุ่ยเจิ้งพูดแรงเกินไปแล้ว ในเมื่อเป็นลูกหลาน คนรู้จักมาเยี่ยมเยือนถ้ำสวรรค์ ก็ถือว่าเป็นการผูกบุญสัมพันธ์กันต่อไปอีก เป็นเรื่องดีของหลี่สุ่ยเจิ้ง แล้วก็ถือว่าเป็นเรื่องดีของสำนักมังกรน้ำข้า ไม่สู้ให้แขกผู้สูงศักดิ์ ทั้งสองท่านไปพักอยู่ในเรือนเมืองชั้นในของถ้ำสวรรค์เราดีหรือไม่?”

หลี่หยวนยิ้มกล่าว “ไม่รบกวนเจ้าสำนักแล้ว ข้าจะพาพวกเขาไปที่เกาะเป็ดน้ำเอง”

ซุนเจี๋ยพยักหน้ารับ “หากหลังจากนี้มีความต้องการอะไร ใต้เท้าสุ่ยเจิ้ง ก็บอกกล่าวมาได้เลย”

หลี่หยวนลุกขึ้นยืน หันไปกุมมือคารวะขออภัยทุกคนที่อยู่ในศาลบรรพจารย์ “รบกวนสหายทุกท่านให้ต้องเดินทางมาแล้ว รบกวนการฝึกตนของทุกท่าน วันหน้าข้าจะต้องชดใช้ให้อย่างแน่นอน”

หลังจากหลี่หยวนกล่าวจบก็กลายร่างเป็นจุดแสงสีทอง พริบตานั้นร่างของเขา ก็หายวับไป

สามารถไปมาในศาลบรรพจารย์ของสำนักแห่งหนึ่งได้เช่นนี้

เดิมทีก็แสดงให้เห็นถึงความสามารถอย่างหนึ่ง

เพราะศาลบรรพจารย์ตระกูลเซียนบนภูเขาโลกมนุษย์ ไม่ว่าเค่อชิงหรือผู้ถวายงาน คนใดก็ล้วนจำเป็นต้องเดินเท้าเข้ามาในประตูใหญ่ ไม่ต่างจากการเดินเข้าออกศาล ในโลกมนุษย์ล่างภูเขา

บวกกับที่ตำแหน่งที่นั่งของอีกฝ่าย รวมไปถึงการเสียกิริยาของหญิงชราจาก สำนักใต้ ทุกคนซึ่งรวมถึงเส้าจิ้งจือจึงรู้ความหนักเบาได้แล้ว

ดังนั้นเมื่อซุนเจี๋ยเปิดปากเอ่ยว่า “ตกอกตกใจกันไปเองแท้ๆ แยกย้ายกันได้แล้ว”

จึงไม่มีใครเผยสีหน้าไม่พอใจใดๆ ออกมาให้เห็น

สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่า ‘เด็กหนุ่ม’ ที่ปรากฏตัวอย่างลึกลับผู้นั้นเป็นพวกมีนิสัย เจ้าคิดเจ้าแค้นหรือไม่?

ไม่ว่าผู้เฒ่าคนใดก็ตามในศาลบรรพจารย์ที่ภายนอกแสดงออกถึงท่าทีเป็นมิตรปรองดอง ส่วนใหญ่มักจะเป็นพวกที่ตอแยได้ยากเสมอ

ซุนเจี๋ยเป็นคนสุดท้ายที่เดินออกมาจากศาลบรรพจารย์ เส้าจิ้งจือรอคอยอยู่ นอกประตูอย่างสงบ

หลังจากทุกคนพากันทะยานลมจากไปแล้ว ซุนเจี๋ยก็ยิ้มเอ่ยว่า “เจ้าเดาได้ถูกต้องแล้ว เขาก็คือสุ่ยเจิ้งหลี่หยวนผู้ดูแลควันธูปลำน้ำจี้ตู๋ เป็นสหายสนิทกับบรรพจารย์บุกเบิกภูเขาของสำนักมังกรน้ำเรา”

สีหน้าของเส้าจิ้งจือเต็มไปด้วยความกลัดกลุ้ม

พูดประโยคที่ไม่น่าฟังสักหน่อย เรือนด้านหลังนี้ ใช่ศาลบรรพจารย์สำนักมังกรน้ำอะไรที่ไหน ผู้ฝึกตนทุกคนที่มีเก้าอี้นั่งอยู่ด้านใน มองดูเหมือนมีหน้ามีตา ทว่า ในความเป็นจริงแล้วแม้กระทั่งนางกับเจ้าสำนักซุนเจี๋ยก็ล้วนตกอยู่ในสถานการณ์กระอักกระอ่วนที่ต้องพึ่งพิงอยู่ใต้ชายคาผู้อื่น!

ซุนเจี๋ยพูดเหมือนไม่ใส่ใจว่า “ยามดื่มน้ำต้องคิดถึงต้นกำเนิดน้ำกระมัง” (เป็นคำเปรียบเปรยหมายถึงไม่ลืมกำพืดของตัวเอง และในประโยคนี้ภาษาจีนอ่านว่า อิ่นสุ่ยซือหยวน มีทั้งคำว่าสุ่ย ที่เป็นคำเดียวกับตำแหน่งสุ่ยเจิ้ง และคำว่าหยวนที่เป็นชื่อของหลี่หยวนผู้เป็นสุ่ยเจิ้ง)

สีหน้าของเส้าจิ้งจือแข็งค้าง ก่อนจะพยักหน้ารับเบาๆ

ซุนเจี๋ยยิ้มกล่าว “บุกเบิกภูเขาไม่ง่าย รักษากิจการบ้านเรือนไว้ก็ยิ่งยาก จิ้งจือ เรื่องบางเรื่อง แย่งชิงกันไปมา ข้าจะไม่ถือสาก็ได้ เพราะถึงอย่างไรน้ำดี ต้องไม่ปล่อยให้ไหลเข้าผืนนาคนอื่น แต่หากมีคนที่ทำเรื่องอะไรออกจากกรอบ ถึงแม้ว่าแต่ไหนแต่ไรมาข้าซุนเจี๋ยจะถูกมองว่าเป็นเจ้าสำนักที่ไม่ได้เรื่องที่สุดของสำนักมังกรน้ำ แต่ต่อให้จะไม่ได้ความแค่ไหน จะดีจะชั่วก็ยังเป็นเจ้าสำนักที่เปิดอ่าน กฎตระกูลกฎบรรพจารย์มาจนปรุโปร่ง ถึงอย่างไรก็ยังต้องฝืนใจเข้าไปจัดการดูแล สักหน่อย”

สีหน้าของเส้าจิ้งจือยิ่งไม่น่ามอง นางทะยานลมจากไปไกล ข้ามผ่านผิวน้ำของ ลำน้ำใหญ่ ย้อนกลับไปที่ชายฝั่งทิศใต้ เห็นได้ชัดว่าซุนเจี๋ยอาศัยสุ่ยเจิ้งแห่งลำน้ำจี้ตู๋ ผู้นั้นมากระทบกระเทียบนางเส้าจิ้งจือกับตลอดทั้งสำนักใต้

ซุนเจี๋ยไม่ได้ร่ายวิชาอาคม แต่ใช้มือปิดประตูใหญ่ของศาลบรรพจารย์แล้วเดินลงจากเขาไป

สำนักหนึ่งแห่งมีเรื่องหยุมหยิมมากมาย

ยากที่จะให้คนหาช่วงเวลาแอบอู้ได้

ยกตัวอย่างเช่นก่อนหน้านี้อู่หลิงถิงแสดงออกถึงความไม่พอใจ เขาซุนเจี๋ยจึงรับปากอีกฝ่ายไปว่าในตัวเลือกของศาลบรรพจารย์สามครั้งต่อจากนี้ จะให้อู่หลิงถิงเป็นคนแรกที่ได้เลือกลูกศิษย์ที่ได้รับการบันทึกชื่อก่อน

อู่หลิงถิงก็ช่างเป็นคนที่ขยันสร้างความลำบากใจให้คนอื่นเสียจริง เขาถามโพล่งออกมาตามตรงว่า แล้วถ้าเขาหมายตาต้นกล้าที่ดีที่ทางฝั่งของเส้าจิ้งจือแอบถูกใจ พอดีล่ะ ควรจะทำอย่างไร?

ซุนเจี๋ยจึงใช้คำตอบว่า ‘สำนักใต้ก็เป็นสำนักมังกรน้ำ’ มาตอบคำถามผู้ถวายงานที่เป็นผู้ฝึกตนอิสระคนนี้

อู่หลิงถิงถึงมีท่าทางพึงพอใจได้บ้าง

แต่ในความเป็นจริงแล้ว การรับปากเรื่องเรื่องหนึ่ง พูดนั้นง่าย แต่ทำจริงๆ กลับไม่ง่ายเลย หากไม่ระวังก็จะต้องเกิดปัญหาขัดแย้งกับสำนักใต้ของเส้าจิ้งจือ เป็นเหตุให้ในใจของทั้งสองฝ่ายเกิดอคติต่อกัน

การที่สำนักมังกรน้ำแบ่งเป็นเหนือใต้คุมเชิงกันอยู่นั้น ไม่ใช่เรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นวันเดียว อีกทั้งก็มีทั้งผลดีและผลเสีย เจ้าสำนักแต่ละรุ่นมีทั้งที่พยายามกำราบ แล้วก็มีทั้งที่พยายามชี้นำ ไม่ถือว่าเป็นภัยร้ายไปเสียทั้งหมด แต่ลูกศิษย์สำนักเหนือจำนวนไม่น้อยก็ย่อมต้องคิดว่า เรื่องนี้มีสาเหตุมาจากบารมีของซุนเจี๋ยผู้เป็นเจ้าสำนักที่ไม่ยิ่งใหญ่พอ ถึงได้ทำให้สำนักใต้ซึ่งอยู่ทางใต้ของลำน้ำใหญ่เริ่มรุ่งเรืองเติบโต

ดังนั้นจึงมีการกระทำที่ถือเป็นการตักเตือนเส้าจิ้งจือของซุนเจี๋ยในวันนี้

หลี่หยวนอำพรางตัวอยู่ท่ามกลางทะเลเมฆเหนือถ้ำสวรรค์ เขานั่งขัดสมาธิ ก้มหน้าลงมองหอยหลัวซือที่อยู่ในถาดหยกมรกตเหล่านั้น

ขุนเขาสายน้ำใกล้เมฆา ชั่วดีดนิ้วพริบตาผ่านไปร้อยปีพันปี

หญิงชราผมขาวโพลนแห่งสำนักมังกรน้ำที่ขึ้นชื่อเรื่องความไร้เหตุผลคนหนึ่ง ยืนอยู่บนยอดเขาของบ้านตัวเอง แหงนหน้ามองทะเลเมฆ สายตาเหม่อลอย สีหน้าอ่อนโยน ไม่รู้ว่าสตรีบนภูเขาที่อายุมากแล้วคนนี้กำลังมองอะไรอยู่กันแน่

หลี่หยวนไม่ได้มองนาง

เพียงแค่หวนนึกขึ้นมาได้ลางๆ ว่า เมื่อหลายปีหลายปีก่อนหน้านั้น มีเด็กหญิงนิสัยเก็บตัวสันโดษคนหนึ่ง หน้าตาไม่น่ารักแม้แต่น้อย แต่กลับชอบเดินเหยียบคลื่นน้ำตอนกลางคืนเพียงลำพัง ในอ้อมอกยังกอดก้อนหินไว้กอบใหญ่ แล้วคอยโยนก้อนหินขว้างดวงจันทร์ในน้ำครั้งแล้วครั้งเล่า

……

เฉินผิงอันหันหน้ากลับไปมอง ประตูเมืองเปิดออกแล้ว ในที่สุดก็มีนักท่องเที่ยวเดินขึ้นมาบนขั้นบันไดหยกขาว

หลังจากเดินผ่านบันไดมาเก้าพันเก้าร้อยเก้าสิบเก้าขั้น เฉินผิงอันกับหลี่หลิ่วก็เดินมาถึงยอดบนสุด ตรงนั้นคือหอหยกขาวสูงที่กินอาณาบริเวณสิบไร่กว่า บนพื้น สลักเป็นรูปมังกรรวมกลุ่ม คือมังกรสิบหกตัวที่ขดตัวเรียงกัน มองดูเหมือน กำแพงมังกรหยกขาวที่วางทอดขวางแห่งหนึ่ง เพียงแต่ว่าไม่ค่อยเหมือนกับกลิ่นอายความเป็นมงคลของกำแพงมังกรบนโลกสักเท่าไร เพราะมังกรสิบสองตัวที่สลักอยู่ บนพื้นล้วนถูกโซ่เหล็กรัดพัน และยังมีดาบแหลมคมทิ่มแทงเข้าไปในร่าง ดูเหมือนว่าเจียวหลงพวกนั้นต่างก็มีสีหน้าเจ็บปวดจากการดิ้นรนอย่างทุกข์ทรมาน

เฉินผิงอันนั่งลงบนช่องหว่างระหว่างลายมังกรขดอย่างระมัดระวัง แต่หลี่หลิ่วกลับไม่ได้มีความยำเกรงเช่นนั้น นางเหยียบลงบนร่างและศีรษะของเจียวหลงพวกนั้นโดยตรง ยิ้มเอ่ยว่า “ที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าของท่านเฉินในเวลานี้ล้วนเป็นพวกนักโทษในอดีตอันไกลโพ้น ไม่ได้มีร่างของมังกรที่แท้จริงซึ่งสืบเชื้อสายอย่างถูกต้องมานานแล้ว พวกเราสามารถเดินผ่านพวกมันได้โดยไม่ต้องกริ่งเกรงใดๆ”

ในยุคบรรพกาล การที่มังกรที่แท้จริงทำหน้าที่โปรยพิรุณให้กับสถานที่ต่างๆ ทั่วใต้หล้า ทั้งสามารถอาศัยสิ่งนี้มาสะสมคุณความชอบ ทำให้ได้รับการแต่งตั้ง ตามระเบียบพิธีการที่ถูกต้อง แต่แน่นอนว่าหากบกพร่องต่อหน้าที่ก็จะต้องถูกดึง เส้นเอ็นถลกหนัง ตัดกรงเล็บ ศีรษะ กักร่างจริงและวิญญาณต้นกำเนิดอยู่ บนแท่นสังหารมังกร หรือหากความผิดที่กระทำร้ายแรงเกินไปก็จะต้องถูกประหาร ถูกโยนศพทิ้งลงน้ำ แต่หากเป็นโทษทัณฑ์ที่ไม่ถึงขั้นตายก็จะแค่ถูกถอดถอนสถานะ เลือดสดไหลนองอาบย้อมขุนเขาธารา แล้วก็จะมีทายาทรุ่นหลังของมังกรที่แท้จริงจำนวนมากปรากฏขึ้นมา

เฉินผิงอันถามเสียงเบา “ต่างก็ยังมีชีวิตอยู่?”

หลี่หลิ่วตอบ “ส่วนใหญ่ล้วนไม่อาจต้านทานการชะล้างของแม่น้ำแห่งกาลเวลาได้ จึงตายไปอย่างสมบูรณ์แล้ว แต่ก็ยังมีอยู่หลายตัวที่เหลือลมหายใจรวยริน กำแพงมังกรบนพื้นเป็นทั้งกรงขังของพวกมัน แต่ก็เป็นการปกป้องอย่างหนึ่ง หากถ้ำสวรรค์ปริแตกก็ยากที่จะหนีพ้นหายนะไปได้ ดังนั้นจึงถือว่าพวกมันคือผู้พิทักษ์ของสำนักมังกรน้ำ หากมีศัตรูมากล้ำกราย เมื่อได้รับคำสั่งจากศาลบรรพจารย์ พวกมันก็สามารถหลุดพ้นจากกรงขัง ไปเข้าร่วมการเข่นฆ่าได้ชั่วขณะ ถือว่ามีความจงรักภักดีค่อนข้างมาก สำนักมังกรน้ำจึงบูชาพวกมันเป็นอย่างดีมาโดยตลอด ทุกปีจะต้องเพิ่มเติมแก่นชะตาน้ำส่วนหนึ่งให้กับกำแพงมังกร ช่วยต่อชีวิตให้กับ เจียวเฒ่าหลายตัวที่ถูกลงทัณฑ์จนต้องกลับคืนสู่ร่างจริงพวกนี้”

เฉินผิงอันยิ่งสงสัยในความรอบรู้ของหลี่หลิ่ว

เพียงแต่ว่าเรื่องแบบนี้ไม่เหมาะให้ถามมาก

ไม่ว่าใครก็ล้วนมีความลับเป็นของตัวเอง หากทั้งสองฝ่ายเป็นเพื่อนกันจริง อีกฝ่ายยินดีพูดขึ้นมาเอง ก็แสดงให้เห็นถึงความเชื่อใจ ส่วนผู้ฝังก็ต้องไม่ทรยศ ต่อความไว้เนื้อเชื่อใจของผู้เล่า ต้องช่วยรักษาความลับไว้ให้ ไม่ใช่รู้สึกว่าในเมื่อ เป็นเพื่อนกันแล้วก็สามารถซักไซ้ไล่เรียงได้อย่างไม่เกรงใจ ยิ่งไม่สามารถเอาความลับของสหายเก่าไปแลกเปลี่ยนกับมิตรภาพจากสหายใหม่

ดังนั้นคนบางคนมองดูเหมือนมีสหายอยู่ทั่วทุกสารทิศ สามารถดื่มเหล้าพูดคุย กับคนได้ทุกที่ ราวกับว่าชีวิตนี้ไม่มีที่ใดที่ไม่ใช่งานเลี้ยงสำหรับเขา ทว่าชีวิตคน มีด่านยากที่ผ่านไปได้ยาก ออกจากโต๊ะเหล้ากลับไม่เหลือสหายสักคน ก็ได้แต่ เคียดแค้นวิถีทางโลกที่เย็นชาเกินไป ก็เป็นเช่นนี้เอง

ไม่คบหาสหายด้วยความจริงใจ แล้วจะได้ใจจริงของอีกฝ่ายมาได้อย่างไร คนฉลาดมีสหายร่วมทุกข์น้อย ก็ยิ่งเป็นเช่นนี้

ดูเหมือนหลี่หลิ่วจะมองความคิดของเฉินผิงอันออก จึงพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “การที่ข้ากับท่านพ่อท่านแม่ต้องย้ายมาอยู่ที่อุตรกุรุทวีปก็เพราะมีเหตุผล เมื่อเทียบกับทวีปใหญ่แห่งอื่น ลมและดินของที่แห่งนี้เหมาะกับการฝึกตนของข้ามากกว่า ท่านพ่อข้าคิดจะฝ่าทะลุขอบเขตต่อ หากอยู่ในแจกันสมบัติทวีปก็แทบ ไม่มีความหวัง อยู่ที่นี่ก็ยากเหมือนกัน แต่จะดีจะชั่วก็ยังพอจะมีโอกาสอยู่บ้าง”

ขนาดเล็กใหญ่ของทวีป ส่วนใหญ่มักจะเป็นตัวตัดสินจำนวนของผู้ฝึกตน ห้าขอบเขตบน อุตรกุรุทวีปมีอาณาบริเวณกว้างใหญ่ ทรัพยากรอุดมสมบูรณ์ ปราณวิญญาณเหนือกว่าแจกันสมบัติทวีป ด้วยเหตุนี้ผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบน จึงมีมากกว่าแจกันสมบัติทวีป

แต่จำนวนของผู้ฝึกยุทธขอบเขตยอดเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทางกลับมีจำนวนไม่มาก

ผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทางที่มีชาติกำเนิดมาจากอุตรกุรุทวีป ซึ่งรวมถึงกู้โย่ว ที่เพิ่งจะพินาศวอดวายไปพร้อมกับจีเยว่ เอาเข้าจริงแล้วก็มีแค่สามคนเท่านั้น

ส่วนแจกันสมบัติทวีปที่มีอาณาเขตเล็กที่สุดในเก้าทวีปก็มีสามคนเหมือนกัน หลี่เอ้อร์ บิดาของหลี่หลิ่ว ซ่งจ่างจิ้งอ๋องเจ้าเมือง ชุยเฉิงแห่งภูเขาลั่วพั่ว

ตอนนี้กู้โย่วรนหาที่ตายก็คือโอกาสสำหรับผู้ฝึกยุทธในอุตรกุรุทวีปทุกคน สามารถแบ่งโชคชะตาบู๊ของหนึ่งทวีปกันไป สุดท้ายจะได้ไปมากน้อยแค่ไหน แน่นอนว่าต้องอาศัยความสามารถของใครของมัน

นี่ก็คือรากฐานของคำกล่าวที่บอกว่า ‘หลอมจิตสามขอบเขตผู้ฝึกยุทธตายในแคว้น ผู้ฝึกยุทธปลายทางตายในทวีป’

หลี่หลิ่วพลันเอ่ยว่า “ท่านเฉิน ก่อนหน้านี้ได้ไปเยือนพื้นที่ลับขุนเขาสายน้ำที่มีลักษณะเหมือนฟ้าดินขนาดเล็กมาหรือไม่?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ก่อนหน้านี้ไม่นานเพิ่งไปเยือนซากปรักบรรพกาลแห่งหนึ่ง ที่ไม่มีการบันทึกเอาไว้”

หลี่หลิ่วกล่าว “มิน่าเล่า หลังจากที่กู้โย่วตายไป ชะตาบู๊ก็กระจายไปสี่ทิศ แต่โชคชะตาบู๊ที่เข้มข้นส่วนหนึ่งในนั้นกลับค่อนข้างจะมหัศจรรย์ คล้ายกับซ่อนแฝงความดึงดันส่วนหนึ่งของกู้โย่วเอาไว้ จึงวนเวียนอยู่แถบแคว้นเป่ยถิง แคว้นสุ่ยเซียว อยู่เนิ่นนาน ประมาณห้าวันถึงได้ค่อยๆ สลายหายไป น่าจะเป็นเพราะหาท่านเฉิน ไม่เจอ หากได้รับโชคชะตาบู๊ส่วนนี้ คิดจะใช้ขอบเขตหกที่แข็งแกร่งที่สุดเลื่อนสู่ขอบเขตร่างทองอย่างราบรื่น ความเป็นไปได้ก็จะเพิ่มขึ้นเยอะมากต่อให้ปณิธานหมัดของผู้ฝึกยุทธขอบเขตเดียวกันที่อยู่ในทวีปเกราะทองผู้นั้นจะเพิ่มมากขึ้นตลอดเวลา แต่ก็น่าจะสร้างผลกระทบต่อท่านเฉินได้ไม่มากนัก ทว่าตอนนี้กลับคาดการณ์ ได้ยากแล้ว หากปณิธานหมัดของอีกฝ่ายไต่ทะยานอย่างต่อเนื่อง แต่ท่านเฉิน กลับหยุดชะงักไม่เดินหน้า แล้วก่อนหน้าที่อีกฝ่ายจะฝ่าทะลุขอบเขต ท่านเฉินก็ฝ่า คอขวดของตัวเอง เลื่อนขั้นเป็นขอบเขตเจ็ดได้แล้ว ก็ยังต้องสูญเสียโชควาสนา ส่วนนั้นไปอยู่ดี”

เฉินผิงอันกระจ่างแจ้งอยู่ในใจ

สาเหตุเป็นเพราะตนฝึกวิชาหมัดเขย่าขุนเขามานานหลายปี อีกทั้งยังถูกผู้อาวุโสกู้โย่วต่อยสามหมัดเป็นการชี้แนะให้ ดังนั้นต่อให้จะเป็นคนต่างถิ่น ผู้อาวุโสกู้ก็ยังยินดี จะมอบโชคชะตาบู๊ส่วนหนึ่งให้กับตน

พลาดโชควาสนาที่ผู้อาวุโสกู้มอบให้ แน่นอนว่าต้องมีความเสียดาย เพียงแต่ว่าไม่ได้เสียใจสักเท่าไร

มือหนึ่งของเฉินผิงอันถือไม้เท้าเดินป่าไผ่เขียว มือหนึ่งกำเป็นหมัดเบาๆ เอ่ยว่า “ไม่เป็นไร ผู้อาวุโสกู้เป็นคนของอุตรกุรุทวีป โชคชะตาบู๊ของเขาเหลือไว้ให้กับ ผู้ฝึกยุทธของทวีปนี้ก็ถูกต้องตามหลักฟ้าดินแล้ว มีเพียงข้ามานะฝึกวิชาหมัดให้ มากขึ้น ถึงจะไม่ผิดต่อความคาดหวังนี้ของผู้อาวุโสกู้”

สำหรับเฉินผิงอันแล้ว ของขวัญครั้งนี้แบ่งออกเป็นสองอย่าง ไม่อาจรับ โชควาสนาบู๊ไว้ได้ แต่กลับคว้าจับน้ำใจนั้นไว้ได้แน่น

ยามที่ต้องหักลบผลประโยชน์ของตัวเองอย่างแท้จริง ยังสามารถแยกแยะถูกผิดได้ เลือกได้อย่างชาญฉลาดว่าควรจะสละและเก็บอะไรเอาไว้ ไม่เอาผลได้ผลเสียมาทำให้สภาพจิตใจวุ่นวาย นั่นต่างหากจึงจะเป็นหลักการเหตุผลที่แท้จริง

หลี่หลิ่วยิ้มกล่าว “ท่านเฉินคิดแบบนี้ได้ก็แสดงว่ากู้โย่วมีสายตาที่ดีมาก และ หลี่ไหวน้องชายข้าก็สายตาไม่เลวเหมือนกัน”

เฉินผิงอันมักจะรู้สึกว่าคำพูดของหลี่หลิ่วมีบางอย่างแปร่งๆ แต่ขณะเดียวกัน ก็ฟังดูเหมือนเป็นธรรมชาติ เดิมทีก็ควรเป็นเช่นนี้อยู่แล้ว

เพียงแต่ว่าพอคิดถึงขนบธรรมเนียมของบ้านเกิดตัวเองก็ไม่รู้สึกประหลาดใจ อีกต่อไป ลำพังเพียงแค่ตรอกหนีผิงที่มีบ้านบรรพบุรุษของตัวเองตั้งอยู่ก็มีเฉาซีเซียนกระบี่แห่งทักษิณาตยทวีป กู้ช่านแห่งทะเลสาบซูเจี่ยน แน่นอนว่าสามารถนับรวมเขาเฉินผิงอันได้ด้วย

นักท่องเที่ยวทยอยกันเดินขึ้นมาบนหอสูง เฉินผิงอันจึงไม่ได้พูดคุยอะไรกับหลี่หลิ่วอีก

เมื่อมีคนมาครบสิบหกคน สี่ด้านแปดทิศของหอสูงก็มีเจียวหลงสีขาวหิมะสิบหกตัว ที่เกิดจากการรวมตัวกันของหมอกเมฆปรากฎตัวขึ้นมา พวกมันขยับศีรษะเข้าใกล้กับหอสูง เจียวหลงทะเลเมฆทุกตัวล้วนเหมือนเรือข้ามฟากลำหนึ่ง

หลี่หลิ่วเอ่ย “หนึ่งครั้งสิบหกคน สามารถแยกกันขี่เจียวหลงโดยมองข้ามตราผนึกของฟ้าดินขนาดเล็ก เข้าไปในถ้ำสวรรค์วังมังกรได้อย่างราบรื่น ก็ถือเป็นลูกเล่น อย่างหนึ่งของสำนักมังกรน้ำ”

หลี่หลิ่วเดินนำขึ้นไปบนศีรษะของเจียวหลงตัวหนึ่งก่อน

เฉินผิงอันทำตามนาง ยกเท้าเหยียบลงบนศีรษะของมังกรขาวเมฆหมอกแล้วยืนนิ่ง

มีบางคนที่เพิ่งจะขึ้นมาถึงหอสูงคิดจะแย่งขึ้นขี่เจียวหลงก่อน บนหอสูงก็มี เรือนกายพร่าเลือนของเทพชุดเขียวองค์หนึ่งปรากฏขึ้น แล้วเอ่ยว่า “ด้านล่างนั้น คือบ่อลึก โครงกระดูกที่อยู่ด้านในล้วนเป็นพวกที่แย่งชิงขึ้นเรือข้ามฟากก่อน เรื่องความเป็นความตาย เรื่องเล็กเรื่องใหญ่ ขอให้ทุกคนโปรดชั่งน้ำหนักกันเอาเอง”

คงมีเพียงเฉินผิงอันคนเดียวที่สังเกตเห็นว่าตำแหน่งที่องค์เทพชุดเขียวผู้นี้ยืนอยู่ อยู่ห่างจากหลี่หลิ่วมากที่สุด

เจียวหลงหิมะขาวที่จำแลงมาจากโชคชะตาน้ำสิบหกตัวเริ่มลอยขึ้นกลางอากาศ ขณะที่กำลังจะแหวกทะลุทะเลเมฆหนาหนัก ผู้โดยสารก็ได้เห็นแสงสีทองจุดหนึ่ง ที่ลอยสูงอยู่บนม่านฟ้าได้อย่างเลือนราง แล้วอยู่ดีๆ แสงสีทองนั้นก็หล่นร่วงลงมาอย่างไม่มีลางบอกเหตุ

เมฆหมอกรอบด้านกว้างใหญ่ไพศาล

หลี่หลิ่วบังคับเจียวหลงที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าให้มาอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “แสงสีทองที่อยู่เหนือศีรษะนั้นคือเค้าโครงดวงอาทิตย์ที่เกิดจากการรวมตัวกัน ของแก่นควันธูปศาลกลางลำน้ำจี้ตู๋ แล้วก็เป็นหนึ่งในรากฐานของสำนักมังกรน้ำ แต่การพัฒนาเป็นไปอย่างเชื่องช้า เพราะไม่มีวิชาคาถาที่ถูกต้อง การขึ้นรูปก็ค่อนข้างจะหยาบ แรกเริ่มก็เดินเบี่ยงออกจากเส้นทางไปแล้ว หากอิงจากความเร็วในการสะสมควันธูปของศาลทุกวันนี้ ต่อให้มอบเวลาให้กับสำนักมังกรน้ำอีกหมื่นปีก็ยัง ทำไม่สำเร็จ ความเป็นไปได้ที่ผู้ฝึกตนสำนักมังกรน้ำคาดหวังให้ถ้ำสวรรค์วังมังกร สร้างตะวันจันทราขึ้นมาได้ยังน้อยกว่าการไปแย่งยิงตะวันจันทราคู่ที่อยู่บนไหล่ของเฉินฉุนอันผู้รอบรู้มาเสียอีก”

เฉินผิงอันแหงนหน้ามองไป มีเพียงทะเลเมฆที่สูงจนมองไม่เห็นฟ้า ลึกจนมอง ไม่เห็นก้นบึ้ง ไม่เห็นแสงสีทองจุดนั้นอีก

เฉินผิงอันพึมพำกับตัวเองว่า “หากเปลี่ยนข้ามาเป็นผู้ฝึกตนของสำนักมังกรน้ำก็คงทำแบบเดียวกันกระมัง ขอแค่มีเพียงจุดแสงจุดนี้ก็ยินดีที่จะสั่งสมควันธูปไปตลอด”

หลี่หลิ่วกล่าว “ท่านเฉิง การฝึกตนไม่เหมือนกับการฝึกวิชาของผู้ฝึกยุทธ ไม่ใช่ว่าไม่สามารถใช้วิธีการโง่เขลาอย่างน้ำหยดลงหินได้ แต่หากผู้ที่ฝึกตนเน้นย้ำแต่สิ่งนี้ ก็คงทำอะไรไม่สำเร็จ ต่อให้ผู้ฝึกลมปราณจะมีอายุขัยยืนยาว แต่ก็ยังนั่งเฉยๆ อยู่กลางภูเขาได้แค่ไม่กี่ปีเท่านั้น”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “จำเอาไว้แล้ว”

ประมาณหนึ่งก้านธูปต่อมา เจียวหลงเมฆหมอกก็สะบัดร่างเบาๆ กรงเล็บทั้งสี่แนบติดพื้น เมฆหมอกรอบด้านสลายหายไป การมองเห็นของทุกคนพลันเปิดกว้าง

เฉินผิงอันค้นพบว่าตัวเองมายืนอยู่บนทะเลเมฆแห่งหนึ่ง

ก้มหน้ามองลงไปคือนครโอ่อ่าโอฬารที่สร้างอยู่บนเกาะขนาดใหญ่ยักษ์แห่งหนึ่ง ประหนึ่งเมืองหลวงของราชวงศ์ที่มีคูเมืองล้อมรอบ มีขุนเขาเขียวโอบล้อม ทอประกายแสงระยิบระยับพร่าตา

นอกนครใหญ่ยักษ์ของบนเกาะยังมีเกาะขนาดเล็กใหญ่ไม่เท่ากันอยู่อีก บนเกาะ มีสิ่งปลูกสร้างเก่าแก่โบราณหลากหลายรูปแบบ บ้างก็สร้างติดภูเขา บ้างก็สร้าง ติดสายน้ำ ประหนึ่งหมู่ดาวห้อมล้อมดวงเดือน คอยปกป้องนครที่ดั่งตั้งอยู่ใจกลางของฟ้าดินแห่งนั้น

ริ้วคลื่นมรกตพันลี้ มองไปไร้ที่สิ้นสุด

เหนือทะเลเมฆมีเรือยันต์สีเขียวมรกตหลายลำจอดลอยอยู่ บางลำก็เล็กเหมือนเรืออูเผิง (เรือแจวลำเล็กที่ตรงกลางมีหลังคาครึ่งวงกลมครอบปิด) บางลำก็ใหญ่เหมือนเรือหอเรือน เรือรบ

สุ่ยเจิ้งหลี่หยวนยืนห่างออกไปไม่ไกล

หลี่หลิ่วพาเฉินผิงอันเดินไปหาเด็กหนุ่มที่แม้แต่ผู้สืบทอดศาลบรรพจารย์ของสำนักมังกรน้ำก็ยังไม่รู้จักด้วยกัน

หลี่หยวนพาคนทั้งสองเดินตรงไปยังเรือหอเรือนลำหนึ่ง พอขึ้นมาบนเรือแล้ว ก็ไม่เห็นว่ามีความเคลื่อนไหวอย่างไร แล้วก็ไม่เห็นว่าบนเรือจะมีผู้ฝึกตนคนใด แต่เรือก็สามารถออกเดินทางได้ด้วยตัวเอง

หลี่หยวนเอ่ยเสียงเบาว่า “ปราณวิญญาณชะตาน้ำของเกาะเป็ดน้ำเปี่ยมล้น ถูกปล่อยว่างมานับร้อยปี สามารถให้ท่านเฉินไปพักอาศัยและฝึกตนอยู่ที่นั่นได้ อีกทั้งยังอยู่ห่างจากที่ตั้งเก่าของตำหนักสิงกงไม่ไกล นั่งเรือยันต์ไปแค่ครึ่งชั่วยามก็ถึง”

หลี่หลิ่วพยักหน้ารับ “รบกวนแล้ว”

หลี่หยวนพลันรู้สึกกระวนกระวายใจ ในใจไม่ใคร่จะสงบนัก

เขาจึงถามอย่างระมัดระวังขึ้นมาอีกครั้งว่า “จะให้จัดหาสาวใช้มือเท้าคล่องแคล่วสักส่วนหนึ่งไปไว้ที่เกาะเป็ดน้ำหรือไม่?”

หลี่หลิ่วกล่าว “ถามข้าทำไม? ถามท่านเฉินสิ”

หลี่หยวนจึงรีบหมุนตัวไปถามเฉินผิงอัน

เฉินผิงอันยิ้มเอ่ยว่า “รบกวนมามากแล้ว ไม่ต้องวุ่นวายอีกหรอก”

หลี่หยวนจึงไม่เอ่ยอะไรให้มากความอีก

บนทะเลเมฆมีหอสูงหลังหนึ่งที่ค่อนข้างจะสะดุดตา ผู้ฝึกตนก่อกำเนิดสำนัก มังกรน้ำคนหนึ่งที่ปักหลักเฝ้าพิทักษ์ที่แห่งนี้ยืนอยู่ตรงราวระเบียงของชั้นบนสุด พอเห็นแผ่นหยกชือหลงตรงเอวของหญิงสาวและเด็กหนุ่มคนนั้นก็ถอนสายตาสอบถามกลับคืนมา

เพียงแต่ว่าก็ยังอดสงสัยไม่ได้ เพราะเขารู้จักผู้ถวายงานและเค่อชิงของสำนักมังกรน้ำแทบทุกคน เหตุใดถึงไม่คุ้นหน้าคนทั้งสองเลย? หรือว่าจะเป็นสหายของหน่วยฉงเสวียน หรือไม่ก็ทะเลสาบกระบี่ฝูผิง?

ขอแค่แผ่นหยกทั้งสองแผ่นนั้นไม่ใช่ของปลอม ก่อกำเนิดผู้เฒ่าที่เฝ้าพิทักษ์ทะเลเมฆ ก็ไม่อยากหาเรื่องให้เกิดปัญหาแทรกซ้อน

เรือหอเรือนลำนี้พุ่งทะยานไปเหมือนกระบี่บิน ไม่ได้ตรงไปที่ท่าเรือของเกาะเป็ดน้ำ แต่จอดลอยอยู่เหนือลานกว้างจวนเซียนแห่งหนึ่งที่ไร้ผู้คน กรอบป้ายหน้าจวน เขียนคำว่า ‘หลงกงหยุดเมฆา’

เมื่อคนทั้งสามพลิ้วกายลงบนพื้น ประตูใหญ่ของจวนก็เปิดออกช้าๆ

หลี่หยวนอธิบายว่า “เกาะเป็ดน้ำเคยเป็นสถานที่ฝึกตนของผู้ถวายงานเฒ่าคนหนึ่งของสำนักมังกรน้ำ เขาลาจากโลกนี้ไปได้ร้อยปีแล้ว ลูกศิษย์ในสำนักไม่มีใครที่ได้ดิบ ได้ดี เพื่อจะฝืนฝ่าขอบเขตไปให้ได้ ผู้ฝึกตนโอสถทองคนหนึ่งจึงแอบนำเกาะเป็ดน้ำ มาขายให้แก่สำนักมังกรน้ำ หลังจากคนผู้นี้โชคดีได้กลายเป็นผู้ฝึกตนก่อกำเนิด ก็เดินทางไปอยู่ทวีปอื่น ศิษย์พี่ศิษย์น้องคนอื่นทำอะไรไม่ได้ ก็เลยได้แต่ย้ายออกไปจากถ้ำสวรรค์วังมังกรทั้งหมด”

คนทั้งสามเดินข้ามธรณีประตูเข้าไปด้วยกัน หลี่หยวนเอ่ยว่า “นอกจาก จวนสำหรับฝึกตนแห่งนี้แล้ว บนเกาะเป็ดน้ำยังมีบ่อโยนน้ำ ถ้ำหินภูเขาหย่งเล่อ ซากโรงเหล็กและป้ายศิลาองค์หญิงเซิงเซียนที่เป็นสี่สถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ บนเกาะไม่มีคนแล้วก็ไม่มีเจ้าของ หากท่านเฉินว่างจากการฝึกตนก็สามารถไปเดินเที่ยวชม ได้ตามสบาย”

สุดท้ายหลี่หยวนปลดป้ายหยกแผ่นนั้นลงมาจากเอว บนป้ายด้านหนึ่งสลักเป็น รูปมังกร อีกด้านหนึ่งสลักเป็นอักษรโบราณคำว่า ‘จวิ้นชิงอวี่เซียง’ เขายื่นมัน ส่งให้กับเฉินผิงอัน

“ท่านเฉิน วัตถุชิ้นนี้คือแกนกลางค่ายกลภูเขาสายน้ำของเกาะเป็ดน้ำ ไม่จำเป็นต้องหล่อหลอม แค่ห้อยไว้บนร่างก็สามารถควบคุมค่ายกลได้ ผู้ฝึกตนก่อกำเนิดไม่อาจลอบตรวจสอบจวนบนเกาะ ผู้ฝึกตนขอบเขตหยกดิบที่หากคิด จะแอบมองเข้ามาในที่แห่งนี้ก็จะไปกระตุ้นให้ค่ายกลใหญ่เกิดริ้วคลื่น”

หลี่หลิ่วค่อนข้างพอใจอยู่มาก

เห็นได้ชัดว่าสถานที่แห่งนี้เป็นที่พักส่วนตัวของหลี่หยวนเอง

ส่วนเรื่องเก่าแก่ที่บอกว่าผู้ถวายงานสำนักมังกรน้ำลาจากโลกนี้ไป แล้วลูกศิษย์เกิดปัญหาขัดแย้งกันเองเป็นการภายในอะไรนั่น หลี่หลิ่วย่อมไม่เก็บมาใส่ใจ

จะจริงหรือเท็จก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับนาง

เฉินผิงอันไม่ได้ปฏิเสธ หลังจากเอ่ยขอบคุณแล้วก็รับแผ่นหยกที่หนักอึ้งแผ่นนั้นมา แขวนไว้ตรงเอวฝั่งเดียวกับแผ่นป้ายไม้ ‘พักผ่อน’ ที่ใช้ข้ามสะพานของสำนักมังกรน้ำ

จนกระทั่งบัดนี้ หลี่หลิ่วถึงได้ปลดแผ่นหยกที่สลักสี่อักษร ‘ฝนหวานสามฉื่อ’ ของตัวเองลงมา คลี่ยิ้มพลางส่งมอบให้เฉินผิงอัน “ท่านเฉิน ถือเสียว่าเป็นการ ตอบแทนบุญคุณแทนน้องชายของข้าก่อน”

ความหมายในคำพูดของนางก็คือ รับไปแล้วก็ไม่จำเป็นต้องคืนนางอีก

ภาพนี้ทำเอาสุ่ยเจิ้งหลี่หยวนที่มองดูอยู่ถึงกับหนังตากระตุก

หากเปลี่ยนมาเป็นเขา คาดว่าคงลงไปคุกเข่าโขกหัวขอบคุณแล้ว

เฉินผิงอันส่ายหน้า “ของขวัญชิ้นนี้หนักเกินไป ไม่คืนไม่ได้”

หลี่หลิ่วไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่มอบแผ่นหยกให้กับเฉินผิงอัน

หลี่หยวนถึงขั้นไม่กล้ามองนานนัก เขารีบขอตัวลาจากไปอย่างนอบน้อม

ดังนั้นตรงเอวเฉินผิงอันจึงห้อยป้ายถึงสามแผ่น

หลี่หลิ่วเดินอยู่ในเรือนกับเฉินผิงอัน นางคิดว่าจะอยู่ต่ออีกแค่ครู่เดียวก็จะไปจากตำหนักหลบร้อนที่ไม่เคยมีความผูกพันอาลัยอาวรณ์ใดๆ แห่งนี้

ถึงเวลานั้นพอนางจากไป เฉินผิงอันจะเอาแผ่นหยกคืนอย่างไร? หลี่หยวนผู้นั้น ใจกล้าพอจะเก็บรักษาแผ่นป้ายหยกไว้ชั่วคราวหรือ?

สุ่ยเจิ้งแห่งลำน้ำจี้ตู๋ตัวเล็กๆ ไม่กลัวว่าจะถูกน้ำท่วมตายบ้างหรือไร?

เคยมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์กองอัคคีกี่องค์ที่ถูกพระเพลิงหล่อหลอม?

เทพวารีแห่งทะเลสาบแม่น้ำบนฟ้าล่างฟ้าที่ถูกนางใช้ลำน้ำใหญ่สยบสังหาร มีน้อยนักหรือ?

เฉินผิงอันหยิบเทวรูปหยวนจวินชิ้นหนึ่งออกมาจากวัตถุจื่อชื่อ ยิ้มเอ่ยว่า “แม่นางหลี่ เดิมทีคิดว่าคราวหน้าที่ได้พบกับหลี่ไหวค่อยมอบให้เขา ตอนนี้คงต้อง ให้เจ้าช่วยนำไปมอบให้หลี่ไหวแทนแล้ว”

สายตาของหลี่หลิ่วเปลี่ยนมาเป็นอ่อนโยนทันใด ราวกับว่าเพียงชั่วพริบตา ก็ได้กลายไปเป็นเด็กสาวของเมืองเล็กที่ทุกวันจะต้องหิ้วถัน้ำไปตักน้ำจากบ่อโบราณ ต้นหยางต้นหลิวเคียงคู่ อ่อนโยนนุ่มนวล ไม่เคยมีประกายเฉียบคมใดๆ

นางรับของขวัญชิ้นเล็กชิ้นนั้นมาถือไว้ในมือแล้วเขย่าเบาๆ ก่อนพูดสัพยอกว่า “ดูสิ ข้าไม่เหมือนกับท่านเฉิน ยามรับของขวัญชิ้นใหญ่ไม่เคยเกรงใจ แถมยังรับมา ได้อย่างสบายใจด้วย”

อารมณ์ของเฉินผิงอันผ่อนคลายได้หลายส่วน เขายิ้มกล่าวว่า “ข้าต้องเรียนรู้จากแม่นางหลี่ดูบ้างแล้ว”

หลี่หลิ่วมองคนหนุ่มที่มีรอยยิ้มอบอุ่นผู้นี้แล้วก็รู้สึกสะท้อนใจเล็กน้อย

ปีนั้นหลี่ไหวผู้เป็นน้องชายออกเดินทางไกลไปต่างถิ่น มองดูเหมือนว่าเขาเป็น เด็กธรรมดาที่สุดในโรงเรียนแห่งนั้น ไม่อาจเทียบกับหลี่เป่าผิง หลินโส่วอี อวี๋ลู่และเซี่ยเซี่ยได้

ทว่าบนเส้นทางของการไปขอศึกษาต่อที่ต้าสุย เฉินผิงอันกลับมีเพียงจิตใจที่มั่นคงไม่ลำเอียง

ภายหลังหลี่เอ้อร์บิดาของนางปรากฏตัว ความรู้สึกที่เฉินผิงอันมีต่อหลี่ไหวก็ยังเป็นเหมือนเดิม

ตอนนี้นางหลี่หลิ่วปรากฎตัวในสำนักมังกรน้ำแล้ว เขาก็ยังคงเป็นเช่นนี้

เจ้าคือพี่สาวของหลี่ไหว บุตรสาวของหลี่เอ้อร์ ไม่ว่าขอบเขตของเจ้าจะเป็นอย่างไร โชควาสนาเป็นอย่างไร ข้าเฉินผิงอันก็จะพยายามไม่สร้างปัญหาให้กับเจ้า รู้ว่าเจ้ามีชีวิตที่ดีก็ดีใจแล้ว เพียงแค่นี้เท่านั้น

ปฏิบัติต่อคนอื่นด้วยความใจกว้าง ปฏิบัติต่อตนเองด้วยความเข้มงวดระมัดระวัง

ก็คือบัณฑิตที่แท้จริง ต่อให้วันนี้จะยังไม่ใช่อาจารย์จริงๆ ในอนาคตก็ต้องใช่

ดังนั้นหลี่หลิ่วจึงยิ้มกล่าวว่า “หลีกเลี่ยงไม่ให้ท่านเฉินเข้าใจผิดคิดว่าข้าดีแต่ จะพูดถึงข่าวไม่ดี มีอยู่สองเรื่องที่จำเป็นต้องแสดงความยินดีกับท่านเฉิน”

เฉินผิงอันดวงตาเป็นประกาย หรือจะบอกว่าเงินฝนธัญพืชสองสามพันเหรียญที่พื้นที่มงคลรากบัวจำเป็นต้องใช้ เป็นแค่การประเมินที่สูงเกินจริงของภูเขาลั่วพั่ว?

หลี่หลิ่วเอ่ยว่า “อันที่จริงกระบี่เล่มนี้เป็นอาวุธเซียนมาตั้งนานแล้ว”

เฉินผิงอันอึ้งค้างอยู่กับที่

ชุดคลุมอาคมจินหลี่ที่ได้มาจากร่องเจียวหลงตัวนั้นสามารถอาศัยการป้อนเงินเหรียญทองแดงแก่นทองจำนวนมหาศาลมาเลื่อนขั้นเป็นอาวุธเซียนได้ นี่คือความจริงที่เฉินผิงอันรู้มาตั้งนานแล้วเพียงแต่ว่ายังไม่มีพละกำลังมากพอที่จะทำเช่นนั้น จึงไม่อาจทำให้สำเร็จได้เสียที

แต่เหตุใดจู่ๆ เจี้ยนเซียนเล่มนี้ก็เปลี่ยนจากอาวุธกึ่งเซียนไปเป็นอาวุธเซียน ในตำนานได้เล่า?

หลี่หลิ่วเอ่ยประโยคที่เป็นการเปิดเผยความลับสวรรค์ “กระบี่มีปราณแห่งความเที่ยงตรงไพศาล และยังมีแก่นแห่งปณิธานเต๋าอยู่เสี้ยวหนึ่ง”

เฉินผิงอันจมเข้าสู่ภวังค์ความคิด อย่างหลังพอจะเข้าใจได้ เพราะว่าเจี้ยนเซียนหล่อหลอมเศษซากปราณกระบี่กลุ่มนั้นที่นักพรตซุนมอบให้

แต่ปราณแห่งความเที่ยงธรรมไพศาลอย่างแรกนั่นมาจากไหน?

หลี่หลิ่วไม่พูดเรื่องนี้อีกต่อไป “ยังมีอีกอย่างก็คือเกาะเป็ดน้ำที่ท่านเฉินพักอยู่ในตอนนี้ สามารถดึงเอาปราณวิญญาณชะตาน้ำรอบด้านมาได้โดยไม่ต้องกริ่งเกรง สิ่งใด การเผาผลาญเล็กน้อยแค่นี้ ถ้ำสวรรค์วังมังกรไม่สนใจแม้แต่น้อย แล้วนับประสาอะไรกับที่เดิมทีนี่ก็เป็นส่วนที่เกาะเป็ดน้ำสมควรได้รับอยู่แล้ว”

“ยังมีข่าวอีกข่าวหนึ่งที่ไม่ถือว่าเป็นข่าวดีอะไร นั่นก็คือสามารถให้คนที่ชื่อ หลี่หยวนผู้นั้นช่วยส่งจดหมายไปที่ภูเขาลั่วพั่วแจกันสมบัติทวีปได้ จะไม่มีเบาะแสร่องรอยอะไรให้ตามจับได้”

หลี่หลิ่วหยุดเดิน “ข้าจะไปเดินเที่ยวชมนครหลักของวังมังกรสักหน่อย”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ก่อนแม่นางหลี่จะไปจากสำนักมังกรน้ำ จะต้องบอกข้าสักคำ ข้าจะได้เอาแผ่นหยกคืนให้เจ้า”

หลี่หลิ่วไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี

เฉินผิงอันเองก็หัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก ตนเดาอุบายเล็กๆ ของแม่นางหลี่ผู้นี้ออกจริงๆ ด้วย

หลี่หลิ่วพยักหน้ารับ “ตกลง ก่อนจะจากไปข้าจะแวะมาที่เกาะเป็ดน้ำอีกรอบ”

เฉินผิงอันจึงไม่รั้งนางไว้อีก

หลี่หลิ่วกลายร่างเป็นรุ้งยาวจากไป ฟ้าดินไม่มีปราณวิญญาณกระเพื่อมแม้แต่น้อย

ไม่นึกว่าจะมีภาพปรากฎการณ์การทะยานลมที่ไม่ต่างจากลี่ไฉ่ผู้เป็นเซียนกระบี่เลย

เฉินผิงอันเดินเที่ยวอยู่ในจวนแห่งนั้นเพียงลำพัง ตามหาสถานที่เงียบสงบแห่งหนึ่ง เพื่อใช้ในการฝึกตน คิดว่าหลังจากเยี่ยมชมบริเวณโดยรอบคร่าวๆ แล้ว ค่อยไปดู บ่อโยนน้ำ ศิลาเซิงเซียน

หลี่หลิ่วทะยานลมขึ้นกลางอากาศสูงอย่างเงียบเชียบ แล้วพลิ้วกายลงบนบริเวณใกล้เคียงกับจวนอีกครั้ง ก่อนจะขึ้นไปบนทะเลเมฆจริงๆ

นางถือว่าตัวเองทำตามสัญญาแล้ว

ท่ามกลางทะเลเมฆ สุ่ยเจิ้งหลี่หยวนยืนประสานมือรออยู่

หลี่หลิ่วเอ่ยถาม “ทางฝั่งของศาลบรรพจารย์สำนักมังกรน้ำเป็นอย่างไรบ้าง?”

หลี่หยวนตอบรับง่ายๆ “ไม่มีเรื่องอะไรแล้ว”

หลี่หลิ่วคลี่ยิ้ม “หลี่หยวน เจ้าเองก็เหลือเพียงคุณความเหนื่อยยากแค่นี้แล้ว”

หลี่หยวนคลี่ยิ้ม

หลี่หลิ่วถาม “หญิงชราคนนั้นมีความเกี่ยวข้องอะไรกับเจ้า?”

ขอแค่หลี่หลิ่วยังอยู่ในถ้ำสวรรค์วังมังกร นางก็มีวิชาอภินิหารที่เหนือกว่าอริยะ ในสถานที่ที่มีชื่อเสียงใดๆ

หลี่หยวนส่ายหน้าทอดถอนใจ “ต้องโทษที่ปีนั้นข้าปลอมตัวเป็นผีพรายไปหลอกให้แม่นางน้อยคนหนึ่งตกใจกลัว”

หลี่หลิ่วจึงไม่เหลือความสนใจใดๆ อีก หลังจากสั่งความให้หลี่หยวนช่วยดูแล เรื่องการฝึกตนของท่านเฉินให้มากแล้ว นางก็เปิดม่านฟ้าจุดหนึ่งออกอย่างง่ายๆ เมื่อนางโผล่เข้าไปในจุดหนึ่งของลำน้ำใหญ่จี้ตู๋ที่เชื่อมต่อกับถ้ำสวรรค์ขนาดเล็ก ก็ทะยานจากไปไกลได้ร้อยลี้พันลี้ในชั่วพริบตา เทียบกับวิชาอภินิหารตระกูลเซียนที่ใช้ย่อพื้นดินใดๆ ก็ตาม ก็ถือว่าทำได้อย่างลึกลับผีไม่รู้เทพไม่เห็นยิ่งกว่า

ไม่ว่าจะเป็นแม่น้ำลำคลอง ทะเลสาบ มหาสมุทรแห่งใดใต้หล้านี้ ก็ล้วนเป็น อาณาเขตฟ้าดินขนาดเล็กของนางหลี่หลิ่วทั้งสิ้น

อันที่จริงเกี่ยวกับกิจธุระในจวนน้ำของเฉินผิงอัน บางทีหลี่หลิ่วอาจเป็นบุคคล ที่มีสิทธิ์จะบอกกล่าวชี้แนะได้มากที่สุดในใต้หล้า นางก็แค่ไม่ได้จงใจพูดถึงเท่านั้น

เฉินผิงอันเลือกสถานที่แห่งหนึ่งสำหรับใช้ฝึกตนได้แล้วก็สาวเท้าเดินเล่นอยู่เพียงลำพัง ไปชมสถานที่ท่องเที่ยวโบราณทั้งสี่แห่งมาเรียบร้อยก็ย้อนกลับมาที่จวน หยิบเอา อิฐเขียวอารามเต๋าหกก้อนออกมาวางไว้บนพื้น จากนั้นก็เริ่มฝึกท่าหมัดเดินนิ่ง

ซึ่งก่อนหน้านี้เขาได้เอาเจี้ยนเซียนไปแขวนไว้บนผนัง เอาไม้เท้าเดินป่าพิงไว้ กับกำแพง

หลังจากฝึกหมัดเสร็จ เฉินผิงอันก็ไปเขียนจดหมายฉบับหนึ่งในห้องหนังสือ พูดคุยเรื่องกิจธุระในพื้นที่มงคลรากบัวกับจูเหลี่ยน แน่นอนว่ายังมีเรื่องหยุมหยิมยิบย่อยอีกมากมาย ช่วงท้ายของจดหมายเขาบอกจูเหลี่ยนว่าตนจะรอจดหมายตอบกลับจากทางภูเขาลั่วพั่วอยู่ที่ถ้ำสวรรค์วังมังกร แล้วถึงจะออกเดินทางต่อ

ในจดหมายเขาบอกจูเหลี่ยนอย่างตรงไปตรงมาว่า ร้านผ้าห่อบุญที่เตร็ดเตร่มาเกือบครึ่งอุตรกุรุทวีปอย่างเขามีเงินเหลือเก็บอยู่บ้างจริงๆ แต่หากภูเขาลั่วพั่วสามารถยืมเงินมาได้ภายใต้เงื่อนไขที่ไม่มีภัยแฝงอันยาวนาน ทั้งสามารถชดเชยช่องโหว่ ได้ทันเวลา ถ้าอย่างนั้นเขาก็จะยังไม่ขายทรัพย์สินพวกนี้ก่อน แต่หากยังมีส่วนที่ขาด เขาก็จะไม่เก็บเอาไว้ จะพยายามเป็นร้านผ้าห่อบุญที่ถ้ำสวรรค์วังมังกรแห่งนี้อีกครั้ง รวมไปถึงจะขายของในร้านผีฝูที่สวนน้ำค้างวสันต์ให้หมด สามารถเพิ่มเงินฝนธัญพืชได้กี่เหรียญก็กี่เหรียญ

หลังจากหยุดพู่กัน เฉินผิงอันก็ไม่ได้รีบร้อนเรียกให้เด็กหนุ่มที่ชื่อว่าหลี่หยวนมาช่วยนำจดหมายไปส่งที่ภูเขาลั่วพั่ว

เขาเก็บพู่กันและจดหมายลับเอาไว้ ก่อนจะเริ่มใคร่ครวญเรื่องหนึ่งอย่างจริงจัง

เขาควรจะหลอมวัตถุแห่งชะตาชีวิตชิ้นที่สามอยู่ที่ถ้ำสวรรค์วังมังกรดีหรือไม่

หันหน้ากลับไปมองเจี้ยนเซียนที่แขวนอยู่บนผนัง เฉินผิงอันคิดว่าตัวเองเป็นคน ที่มีอาวุธเซียนชิ้นหนึ่งแล้ว ขาดเงินฝนธัญพืชแค่ไม่กี่พันเหรียญก็ไม่ถือว่ามากเกินไป

……

ภูเขามู่อีชายหาดโครงกระดูก ผังหลันซีโน้มน้าวให้ท่านปู่ของตนจับพู่กันวาดภาพเทพหญิงหลายๆ ชุดอีกครั้ง เขาจะได้นำไปมอบให้คนอื่น วันหน้าเมื่อข้ามทวีปไปฝึกประสบการณ์ก็จะได้มีความมั่นใจมากขึ้น

ในหุบเขาผีร้าย ภูตหนูตัวน้อยตนหนึ่งยังคงนั่งอาบแดดอยู่บนขั้นบันได นอกตำหนักหยางฉางวันแล้ววันเล่า ตรงขาวางทวนยาวที่ทำมาจากไม้พาดขวางเอาไว้ ยามที่บรรพบุรุษอยู่ในบ้าน มันก็จะทำหน้าที่เฝ้าประตูอย่างว่าง่าย แต่ยามที่ บรรพบุรุษไม่อยู่บ้าน มันก็จะแอบหยิบตำราเล่มหนึ่งออกมาอ่านอย่างระมัดระวัง

ในนครจิงกวาน ช่วงที่ผ่านมานี้จิตใจของเกาเฉิงมักจะไม่ค่อยสงบสุข แต่ก็ไม่รู้ว่าเกิดความผิดปกติที่ตรงไหน

ทางฝั่งทะเลสาบคนใบ้ ตอนนี้ไม่มีภูตน้ำน้อยที่มีจิตใจเมตตาตนนั้นอยู่อีกแล้ว ได้ยินมาว่าออกเดินทางไกลไปพร้อมกับผู้ฝึกตนหนุ่มคนหนึ่งแล้ว

ตำหนักจินอู หลิ่วจื้อชิงผู้ฝึกกระบี่โอสถทองที่มีลำดับศักดิ์สูงที่สุดยังคงนั่งอยู่ บนยอดเขาบ้านตัวเองทุกวัน หลังจากปิดผนึกภูเขาและปิดด่าน หลิ่วจื้อชิงก็มองผู้คนสารพัดรูปแบบ มองความสุขทุกข์เสียใจยินดีของพวกคนที่อยู่ในสำนักอย่างดูดาย ใช้ใจคนมาชำระล้างกระบี่

ร้านค้าเล็กๆ ที่จ้างเถ้าแก่ร้านมาดูแลซึ่งตั้งอยู่บนถนนเหล่าไหวของสวนน้ำค้างวสันต์ มีรายได้ดั่งน้ำเส้นเล็กไหลยาว น่าเสียดายที่ตอนนี้พวกคนหลอกง่ายมีค่อนข้างน้อย นี่จึงกลายเป็นความไม่เพียงพอในความสมบูรณ์แบบ

ลูกจ้างหนุ่มที่ใช้หินของหน้าผาอวี้อิ๋งมาแกะสลักของตกแต่งในห้องหนังสือประเภทต่างๆ ยิ่งลงมีดได้คล่องแคล่วมากขึ้น เงินแต่ละก้อนที่หามาได้ล้วนเป็นเงินที่ไม่ผิดต่อมโนธรรมในใจ

หลังจากกลับมาถึงสำนักกระบี่ไท่ฮุย หลิวจิ่งหลงก็ปิดด่านเพื่อฝ่าทะลุขอบเขต ว่ากันว่าคนที่จะมาถามกระบี่ ตอนนี้ก็มีสองคนที่ยืนยันได้แล้ว นั่นคือลี่ไฉ่ ต่งจู้แห่งทะเลสาบกระบี่ฝูผิง

ท่าเรือดอกท้อแคว้นฝูฉวี หลิ่วเป่ากุยกำลังศึกษาตำราลัทธิเต๋าเล่มนั้น เพียงแต่ว่าบางครั้งที่นึกถึงบัณฑิตต่างถิ่นที่ชื่อว่าไหวเฉียน นอกจากจะตำหนิตัวเองที่มีตา แต่ไร้แววแล้ว ยังรู้สึกเสียใจนิดๆ ความรู้สึกนั้นล้อมวนอยู่ในจิตใจ เมื่อปัดเป่ามันให้สลายหายไปได้แล้ว มันกลับแอบย้อนคืนมาอย่างเงียบเชียบอีกครั้ง

สวีซิ่งจิ่วแห่งนครเหนือเมฆฝ่าทะลุขอบเขต เลื่อนขั้นเป็นขอบเขตชมมหาสมุทร ได้สำเร็จ เขาจึงคิดว่าเมื่อไหร่ที่ท่านหลิวเลื่อนขั้นเป็นห้าขอบเขตบน และยังสามารถต้านรับการท้าประลองกระบี่จากเซียนกระบี่สามท่านได้สำเร็จ เขาก็จะพกสุราที่ดีมากพอไปเยี่ยมเยือนเซียนกระบี่หนุ่มที่ตัวเองเลื่อมใสมานานคนนั้น ได้ยินมาว่าอันที่จริงท่านหลิวชอบดื่มเหล้ามาก เพียงแต่ว่าในสถานการณ์ทั่วไปกลับไม่ค่อยจะยินดีดื่มเท่าไร ด้วยเรื่องนี้สวีซิ่งจิ่วยังฝึกปรือความสามารถในการดื่มของตัวเองโดยเฉพาะ ทำเอาเสิ่นเจิ้นเจ๋อและจ้าวชิงหวานต่างก็เป็นกังวลว่าสวีซิ่งจิ่วฝ่าทะลุขอบเขตแล้วหลงระเริงลืมตนหรือไม่ ถึงได้ดื่มเหล้าอย่างดุดันเช่นนี้ สวีซิ่งจิ่วจึงได้แต่อธิบายให้ฟัง บอกว่าท่านเฉินบอกกับตนว่า หากดื่มเหล้าไม่เก่ง ต่อให้ได้พบหน้าท่านหลิวแล้ว ก็ไม่มีเรื่องอะไรให้คุยกันอยู่ดี ยิ่งไม่อาจดื่มสุราร่วมกันได้

นอกกระท่อมบนยอดเขาลูกหนึ่งของสำนักกระบี่ไท่ฮุย เด็กหนุ่มป๋ายโส่วที่กลายเป็นลูกศิษย์ของสำนักอย่างเป็นทางการแล้วนั่งอยู่บนม้านั่งยาวเพียงลำพัง เขาโยกร่างตัวเองไปมา รู้สึกเพียงความเบื่อหน่าย ดีนักนะ ที่แท้นึกว่าถึงอย่างไรคนแซ่หลิวก็เป็นเซียนกระบี่ที่มีชื่อเสียงโด่งดัง ไม่ว่าอย่างไรสำนักกระบี่ไท่ฮุยก็ควรเป็นจวนประตูสูง ที่มีกลิ่นอายของความเป็นเซียนแห่งหนึ่ง นึกไม่ถึงว่าจะมีเพียงเรือนหลังเล็กเก่าโทรมที่อยู่ด้านหลังของตัวเองเท่านั้น ด้านในมีหนังสืออยู่ไม่น้อยก็จริง แต่เขาไม่ชอบอ่าน นี่นา ดังนั้นป๋ายโส่วที่อยู่ว่างๆ ไม่มีอะไรทำจึงครุ่นคิดว่าหากตนยังเป็นนักฆ่าของ ภูเขาเกอลู่จะสามารถรับมือกับพวกลูกรักแห่งสวรรค์ของสำนักกระบี่ไท่ฮุยได้หรือไม่ แต่คนวัยเดียวกันพวกนี้ แต่ละคนพอเห็นตนกลับมีท่าทางเกรงอกเกรงใจ คนเรา ไม่ควรยื่นมือไปตบหน้าคนที่ยิ้มให้ ป๋ายโส่วจึงคิดว่าตนไม่อาจปล่อยหมัดหรือจ้วงมีดแทงคนพวกนี้ได้จริงๆ สายตาที่เจ้าพวกนั้นมองตนเต็มไปด้วยความอิจฉา ป๋ายโส่วล่ะแปลกใจนัก พวกเจ้าชอบอยากจะเป็นลูกศิษย์เจ้าคนแซ่หลิวขนาดนั้นเลยหรือ? ข้าเปลี่ยนกับพวกเจ้าดีไหมล่ะ? น่าเสียดายที่พอคนพวกนั้นได้ยินประโยคนี้ของเขา แต่ละคนกลับมีสีหน้าปั้นยาก จากนั้นก็ไม่มีใครมาเตร็ดเตร่ที่กระท่อมหลังนี้อีก ก็ดีเหมือนกัน เขาจะได้อยู่อย่างสงบ

ชายหาดฝั่งตะวันตกของอุตรกุรุทวีป แถบที่อยู่ใกล้กับเรือนเทพสายฟ้าภูเขาอิงเอ๋อร์ นักพรตสองคนหนึ่งแก่หนึ่งหนุ่มพลันปรากฏตัว

นักพรตหนุ่มทรุดตัวนั่งยองกับพื้นอาเจียนไม่หยุด นี่เป็นข้อดีของการมีประสบการณ์ กินดื่มให้อิ่มหนำเสียก่อน เมื่อเทียบกับการที่อาเจียนแห้งๆ ไม่มีอะไรออกมาแล้ว อันที่จริงยังสบายกว่ามาก

เจินเหรินผู้เฒ่าเองก็ย่อตัวเองลูบหลังให้ลูกศิษย์เบาๆ “ต้องโทษที่มรรคกถาของอาจารย์ไม่สูงพอ”

จางซานเฟิงหันหน้ามาพูดด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย “อาจารย์ท่านพูดแบบนี้ ศิษย์ก็ไม่มีทางรู้สึกดีขึ้นได้หรอกนะ”

ฮว่อหลงเจินเหรินยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “แต่ในใจของอาจารย์กลับรู้สึกดีขึ้นเยอะเลย”

จางซานเฟิงสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง เตรียมจะลุกขึ้นยืน แต่กลับต้อง นั่งอาเจียนต่ออีก

ฮว่อหลงเจินเหรินกำลังจะบ่นตัวเองให้ลูกศิษย์ฟังอีกรอบ เหนือศีรษะก็มีผู้ฝึกตนกลุ่มหนึ่งที่ทะยานลมกำลังจะไปภูเขาอิงเอ๋อร์เห็นสภาพอับจนของนักพรตหนุ่ม ก็พากันหัวเราะร่าเสียงดัง

จางซานเฟิงไม่มีเวลามาสนใจคนพวกนี้ เขาเวียนหัวตาลายจะแย่แล้ว

ทว่าร่างของเจินเหรินผู้เฒ่ากลับหายไปอย่างเงียบเชียบ ก่อนจะมาปรากฏตัว อยู่ด้านหลังเซียนดินสองคนที่ทะยานลม ฝ่ามือหนึ่งข้างกดศีรษะของคนหนึ่งคน ยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “มีเรื่องอะไรให้ขบขันขนาดนี้ ไหนลองเล่าให้ฟังบ้างสิ ข้าผู้เป็นนักพรตจะได้อารมณ์ดีไปด้วยอย่างไรเล่า?”

เซียนดินสองคนนั้นรู้สึกเพียงว่าหนังศีรษะชาหนึบ รีบหดคอราวกับลูกเจี๊ยบสองตัว คนหนึ่งในนั้นแข็งใจตอบไปเสียงดังว่า “ได้พบกับเทพเซียนผู้เฒ่าเลยดีใจ!”

อีกคนหนึ่งความรู้สึกค่อนข้างช้า เวลานี้จึงได้แต่รีบพูดเสริมไปว่า “ดีใจ ได้บังเอิญพบกับเทพเซียนผู้เฒ่า วันนี้ดีใจยิ่งนัก!”

ฮว่อหลงเจินเหรินผลักเบาๆ ผู้ฝึกตนเซียนดินสองคนก็เซวูบถลาไปด้านหน้า เขาถึงได้ยิ้มกลับมาอยู่ข้างกายจางซานเฟิงอีกครั้ง

จางซานเฟิงไม่รับรู้ถึงการจากไปและการกลับมาของอาจารย์แม้แต่น้อย

หลังจากลุกขึ้นยืนแล้ว จางซานเฟิงก็เช็ดเหงื่อบนหน้าผาก “อาจารย์ พวกเราเดินทางกันต่อได้แล้ว”

เจินเหรินผู้เฒ่ายิ้มกล่าว “ไม่ต้องรีบร้อน ค่อยเป็นค่อยไป ผู้ฝึกตนมีเวลายาวนาน เดินเร็วเกินไปก็ง่ายที่จะพลาดทัศนียภาพข้างทาง”

จางซานเฟิงบ่นว่า “แต่ข้าอยากเอาโอสถวารีมอบให้เฉินผิงอันเร็วๆ นี่นา”

เจินเหรินผู้เฒ่าพยักหน้ารับ แล้วนับนิ้วคำนวณ เรื่องนี้สามารถรีบร้อนได้จริงๆ

ทวีปเกราะทอง ท่ามกลางซากปรักโบราณ หลิวโยวโจวอ้าปากหาว สตรีชุดขาว ผู้นั้นยังคงออกหมัดไม่หยุด ดูจากท่าทางนั้นน่าจะติดใจเข้าให้แล้ว เฉาสือยังคง ไม่ตอบโต้ ไม่เอ่ยคำใด เพียงแค่มองเทวรูปที่ล้มกองระเนระนาดพวกนั้น บางครั้ง เฉาสือก็กราบคำนับพวกมัน บางครั้งก็ยกสองมือประนม แล้วบางครั้งก็เอามือซ้าย กำมือขวา สตรีที่ยิ่งนานปณิธานหมัดก็ยิ่งเพิ่มสูงคนนั้นเพียงแค่ออกหมัดอย่างเดียว หลิวโยวโจวไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธเต็มตัว เพียงแค่รู้สึกว่ายิ่งนานนางก็ยิ่งออกหมัดอย่าง ไร้ระเบียบ เป็นไปตามใจปรารถนา แล้วก็ไม่ได้ทุ่มเทเต็มแรงในทุกการออกหมัดอีก

แต่สำหรับเฉาสือแล้ว ดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไรแตกต่าง ยังคงเป็นเจ้าที่ออกหมัดของเจ้าไป ข้าดูเทวรูปของข้าไป

ทันใดนั้นนางก็หยุดหมัด มือทั้งสิบนิ้วและตลอดทั้งหลังมือล้วนมีกระดูกขาวโผล่ออกมาแล้ว ไม่เห็นเนื้อหนังอยู่อีกเลย นางถามเสียงหนักว่า “ยังผิดอยู่อีกหรือ?”

เฉาสือหันหน้ามายิ้มกล่าว “ทำไม ล้มหมัดของข้าไม่ได้ก็คือความผิดงั้นหรือ? ถ้าอย่างนั้นคนวัยเดียวกันในใต้หล้านี้จะมีวิชาหมัดที่ถูกต้องไหม?”

นับว่าหาได้ยากที่เฉาสือยอมเปิดปากพูด อีกทั้งยังพูดถึงสองประโยคอย่างที่ ไม่เคยทำมาก่อน “ใต้หล้านี้ไม่มีวิชาหมัดที่ผิด มีเพียงผู้ฝึกยุทธที่ฝึกผิด และออกหมัดได้ไม่มีความหมายมากพอ”

สตรีเข่นเขี้ยว “ไม่ใช่ว่า ‘ล้มไม่ได้’ แต่เป็นแตะไม่ถึง!”

เฉาสืออืมรับหนึ่งที

แล้วก็ไม่เอ่ยอะไรอีก

ในเมื่อความจริงเป็นเช่นนี้ ขอแค่ไม่ใช่คนตาบอดก็ล้วนเห็นอยู่ในสายตา รู้อยู่แก่ใจ จะให้เขาเฉาสือพูดจาตามมารยาทสักสองสามคำย่อมเป็นเรื่องง่าย แต่สำหรับนางแล้วจะมีประโยชน์ที่ตรงไหน?

หากเป็นผู้ฝึกยุทธเต็มตัวที่มีปณิธานอยู่บนการเดินสู่ยอดเขา แม้แต่คำพูดตามความจริงสองสามคำ เรื่องจริงสองสามประโยคก็ยังรับไม่ไหว แล้วจะใช้ปณิธานหมัดเดินขึ้นเขา อีกทั้งสุดท้ายยังยืนอยู่บนยอดเขาอย่างมั่นคงได้อย่างไร?

สำหรับข้อนี้ คนวัยเดียวกันที่ปีนั้นพบเจอที่กำแพงเมืองปราณกระบี่โดยบังเอิญ ทำได้ดีมาก ยินดียอมรับในชะตากรรม ทว่าในความเป็นจริงแล้ว เพื่อให้สักวันหนึ่งตัวเองทำได้สำเร็จ กลับไม่ยอมรับชะตากรรม

เฉาสือเดินไปข้างหน้าต่อ นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ก็ถามว่า “เจ้าจำได้หรือไม่ว่าตัวเองออกหมัดมากี่ครั้งแล้ว?”

หญิงสาวส่ายหน้า “ไม่ได้จำเรื่องนี้”

เฉาสือที่ยืนหันหลังให้นางเอ่ยเนิบช้าว่า “ถ้าอย่างนั้นต่อจากนี้ก็จำแค่เรื่องนี้ เจ้าไม่จำเป็นต้องไปพิจารณาว่าจะออกหมัดอย่างไร ปลดปล่อยพละกำลังไปมาก แค่ไหน แค่จำจำนวนครั้งในการออกหมัดก็พอ”

หญิงสาวขมวดคิ้ว “เฉาสือ ทำไมเจ้าถึงยินดีชี้แนะวิชาหมัดให้แก่ข้า?”

เฉาสือเงยหน้าขึ้นมองม่านฟ้า “ไม่ถือว่าเป็นการชี้แนะอะไร แต่ก็มีค่าพอให้ข้าพูดคำสองคำ นี่ไม่ใช่เรื่องที่ร้ายกาจอะไร วันหน้าเจ้าไปเจอกับผู้ฝึกยุทธคนอื่น ก็อาจจะเป็นเช่นนี้ และคิดดูแล้วก็น่าจะเป็นเช่นนี้ บนเส้นทางวรยุทธ ไม่ใช่ทางสายเล็กไส้แกะที่เจ้าตายข้ามอดม้วย ในเรื่องของชะตาบู๊นั้นก็ยิ่ง…ช่างเถิด พูดเรื่องพวกนี้กับเจ้า ดูเหมือนจะไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไร”

นางยิ้มเจื่อนเอ่ยว่า “นั่นเป็นเพราะเจ้าคือเฉาสือ ถูกกำหนดมาแล้วว่าจะไม่ทางพบเจอคนวัยเดียวกันที่ทำให้เจ้าสิ้นหวัง เจ้าถึงพูดแบบนี้ได้”

เฉาสือพยักหน้ารับ “ไม่มีความจำเป็นต้องคิดถึงเรื่องนี้”

นางรู้สึกหมั่นเขี้ยวนิดๆ

เฉาสือเอ่ย “ผู้ฝึกยุทธที่แท้จริง อยู่ที่คำว่าบริสุทธิ์เต็มตัว จะไม่ทำให้คนอื่นรู้สึกว่าวันๆ เขาดีแต่จะใช้อารมณ์”

หลิวโยวโจวจุ๊ปาก หาได้ยากๆ ที่เฉาสือยอมพูดมากขนาดนี้

นี่ก็คงจะเป็นคำว่าบริสุทธิ์เต็มตัวที่เฉาสือพูดถึงกระมัง

ต้องรู้ว่าหากสตรีผู้นี้ใช้ขอบเขตหกที่แข็งแกร่งที่สุดเลื่อนสู่ขอบเขตร่างทอง ก็เท่ากับว่าเฉาสือมีคู่ต่อสู้ขอบเขตเดียวกันเพิ่มขึ้นมาเปล่าๆ อย่างน้อยที่สุดขอบเขต ก็เท่ากัน

ส่วนข้อที่ว่าถึงเวลานั้นวิชาหมัดของทั้งสองฝ่ายสูงหรือต่ำ

คิดดูแล้วคงเป็นเรื่องที่นางรู้ชัดเจนดียิ่งกว่าใคร นางจึงยังคงรู้สึกสิ้นหวังเป็นทบทวี ใช้ขอบเขตหกต่อยขอบเขตเจ็ดแล้วมีสภาพกระเซอะกระเซิงเช่นนี้ อันที่จริงยังนับว่าดี แต่หากใช้ขอบเขตเจ็ดต่อยขอบเขตเจ็ดแล้วยังไม่อาจทำได้แม้แต่แตะชายเสื้ออีกฝ่ายเช่นนี้ หลิวโยวโจวก็ถึงขั้นรู้สึกอัดอั้นตันใจแทนนางแล้ว

บนถนนที่เจริญรุ่งเรืองเส้นหนึ่งในเมืองแห่งหนึ่งของใต้หล้ามืดสลัว นักพรตหนุ่มท่วงท่าสง่างามหล่อเหลาคนหนึ่งมาวางแผงอยู่ข้างทาง บอกว่าเรื่องดูลายมือนั้นคือความสามารถที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษของเขา ที่แผงจึงมีเด็กสาวและหญิงสาว โตเต็มวัยแวะเวียนมาเป็นจำนวนมาก

ส่วนศิษย์น้องเล็กคนนั้นของเขา หลังจากรับชมโศกนาฎกรรมเกี่ยวกับการแก้แค้น ของผู้ฝึกตนไปรอบหนึ่งแล้ว ก็มาเยือนสถานที่ที่เป็นบ้านเกิดของศิษย์น้องเล็กแห่งนี้ แต่เขาเลือกจะสวมชุดผ้าแพรออกมาเดินตอนกลางคืน (เปรียบเปรยว่ามีหน้ามีตา แต่ไม่มีใครรับรู้เหมือนคนใส่ชุดผ้าแพรสวยงามที่เดินตอนกลางคืนย่อมไม่มีคนเห็น) เด็กหนุ่มไปเจอกับคนวัยเดียวกันที่สนิทสนมกันมาก กับเด็กสาวคนหนึ่งที่เติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก

นักพรตหนุ่มจับมือเล็กขาวนวลนุ่มนิ่มของหญิงสาวหน้าตางดงามคนหนึ่ง พลางพูดพึมพำด้วยถ้อยคำที่ฟังดูลี้ลับไปด้วย ขณะเดียวกันก็คิดถึงศิษย์น้องเล็ก ของตัวเองว่าสรุปแล้วเขาจะปล่อยสหายสนิทที่เดิมทีเป็นดั่งพี่น้องแท้ๆ คนนั้น ไปหรือไม่ แล้วจะขอร้องให้ตนพาเด็กสาวคนนั้นกลับไปที่ป๋ายอวี้จิงด้วยกันหรือไม่ นี่เป็นเรื่องเล็กๆ ที่ไม่น่าจะใคร่ยินดีสักเท่าไร ศิษย์น้องเล็กจะทำอย่างไร นักพรตหนุ่มสงสัยใคร่รู้เล็กน้อย อันที่จริงทางเลือกมีมากมาย แต่สืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้ว ก็ต้องดูที่ว่าศิษย์น้องเล็กจะปฏิบัติต่อจิตที่แสวงหาเต๋าอย่างไร

ลู่เฉินวางมือเล็กของแม่นางหน้าตาดีคนนั้นลงเบาๆ แล้วพูดถึงเรื่องวาสนาเนื้อคู่ของนาง

เขาหันหน้าไปมองมุมหนึ่ง ไม่ถึงขั้นผิดหวัง แต่ก็ดูเหมือนว่าจะไม่รู้สึกประหลาดใจ และยินดีอะไร

ศิษย์น้องเล็กกำลังกอดศพของคนไว้เดียวกันแล้วหลั่งน้ำตาเงียบๆ เด็กสาวที่ยืนอยู่ ข้างกายเขาราวกับถูกฟ้าผ่า เมื่อปรากฎอยู่ในสายตาของลู่เฉิน นางก็ดูใสซื่อน่ารักอยู่ไม่น้อย

เพียงแต่ว่าฆ่าคนไปหนึ่งคน ใจกลับตายไปสามดวง

การค้าขายครั้งนี้ ทั้งไม่คุ้มค่า แล้วยังต้องขาดทุนด้วย

ลู่เฉินเอามือข้างหนึ่งเท้าคาง มองถนนที่ผู้คนสัญจรขวักไขว่ ยิ้มบางๆ ตอบรับหญิงสาวโตเต็มวัยคนหนึ่งที่หยุดอยู่ห่างไปไกลแล้วหันมาส่งสายตามองตน

สตรีผู้นั้นคงไม่คิดว่านักพรตหนุ่มหน้าตาหล่อหลอมจะมองเห็นตน จึงบิดเอว ที่เล็กบางก้มหน้าเดินจากไปอย่างเขินอาย

รอยยิ้มของสตรี มองร้อยรอบก็ไม่เบื่อ

ลู่เฉินคิดว่าต่อให้มองไปหนึ่งหมื่นปี ตนก็คงยังรู้สึกว่ามองแล้วสบายตาสบายใจอยู่ดี

ลู่เฉินถอนหายใจ การกระทำนี้ของศิษย์น้องเล็กนับว่าพอถูไถกระมัง ฆ่าคนอื่น ก็เท่ากับฆ่าตัวเอง ถือว่าพอจะผ่านด่านหัวใจมาได้อย่างหวุดหวิด

ไม่อย่างนั้นเขาก็ไม่ถือสาหากจะเงื้อมือตบให้ศิษย์น้องเล็กกลายเป็นกองเนื้อเละๆ กองหนึ่งอีกรอบ

เพียงแต่ว่ายังอยู่ห่างจากการคาดการณ์ที่ดีที่สุดของศิษย์พี่อย่างเขาอีกไกลไม่น้อย

ร่างกายมนุษย์ก็คือฟ้าดิน นักพรตฝึกตนบนมหามรรคา เหตุใดสองคำกล่าวที่ ใหญ่เทียมฟ้าอย่างฟ้าดินและความสงบบริสุทธิ์ถึงได้มีความหมายเล็กน้อยเพียงเท่านี้?

ลู่เฉินยิ่งใคร่ครวญก็ยิ่งไม่สบอารมณ์ จึงหยิบเซียมซีแท่งหนึ่งจากกระบอกเซียมซีออกมาหักเบาๆ อย่างขุ่นเคือง

ศิษย์น้องเล็กผู้นั้นจึงเหมือนถูกกระบี่บินตัดผ่ากลางเอว ไม่ตาย แค่ปางตายเท่านั้น

เพราะถึงอย่างไรก็เป็นศิษย์น้องเล็กที่บนร่างมีสมบัติเซียนสมบัติล้ำค่าของป๋ายอวี้จิง ถึงสามชิ้นนี่นะ จะตายง่ายๆ ได้อย่างไร

มีลู่เฉินอีกคนหนึ่งมาปรากฎตัวอยู่ข้างกายศิษย์น้องเล็กที่ร่างขาดเป็นสองท่อนแล้วยังดิ้นรนได้อีก เขาทรุดตัวลงนั่งยอง ยิ้มกล่าวว่า “ศิษย์น้องเล็ก ออกแรงหน่อย ประกอบตัวเองกลับเข้ามา ต้องมีชีวิตรอดได้แน่นอน”

ส่วนลู่เฉินที่นั่งดูดวงอยู่ตรงแผงข้างทางนั้นก็ค่อยๆ คลี่ยิ้ม ยื่นฝ่ามือข้างหนึ่ง ส่งไปให้เด็กสาวคนหนึ่งที่นั่งลงเรียบร้อยแล้ว “ข้าผู้เป็นนักพรตเชี่ยวชาญการดูลายมือ ทำนายดวงสมรสได้อย่างแม่นยำ เรียกว่าเป็นพี่น้องผู้ช่วยของผู้เฒ่าจันทราได้เลย”

ริมลำคลองสายใหญ่ของสกุลเฉินผู้รอบรู้ในทักษินาตยทวีป บนก้อนหินใหญ่ริมน้ำ เป็นครั้งแรกที่หลิวเสี้ยนหยางสังเกตเห็นว่าผู้เฒ่าลัทธิขงจื๊อมายืนอยู่ตรงนั้นเร็วกว่าตน หลังเดินขึ้นมาบนก้อนหินริมหน้าผาแล้ว หลิวเสี้ยนหยางก็ประสานมือคารวะ เรียกหนึ่งคำว่าท่านอาจารย์ผู้เฒ่า

คนทั้งสองมักจะมาพบกันเป็นประจำ ผู้เฒ่าบอกว่าตัวเองคืออาจารย์สอนหนังสือ เนื่องจากสกุลเฉินผู้รอบรู้ได้ครอบครองสำนักศึกษาแห่งหนึ่ง คนที่มาขอศึกษาที่นี่ เดิมทีก็มีเยอะ คนที่มาท่องเที่ยวที่นี่ก็ยิ่งมีมากกว่า ดังนั้นหากจะไม่รู้จักผู้เฒ่าคนนี้ หลิวเสี้ยนหยางก็ไม่รู้สึกประหลาดใจ

หลิวเสี้ยนหยางสังเกตเห็นว่าอาจารย์ผู้เฒ่าในวันนี้คล้ายจะแตกต่างไปจากเดิม ไม่เหมือนในอดีตที่มักจะคอยถามถึงการพัฒนาด้านการเรียนของตน ถามว่ามีข้อสงสัยด้านการเรียนหรือไม่เป็นประจำ ท่านอาจารย์ผู้เฒ่าเคยบอกว่าความรู้ยังไม่ลึกซึ้ง ก็มักจะพูดว่าการไม่ยึดติดกับบทกวี หลุดพ้นจากบทความ ไม่ค่อยดีสักเท่าไร

แต่หากความรู้เริ่มค่อยๆ ลึกซึ้ง ก็มักจะเคยชินกับการยึดติดบทความ ถือมั่นกับความเรียงอย่างเคร่งครัด นี่ก็ไม่ค่อยเหมาะสมเหมือนกัน ถึงอย่างไรความรู้บนโลกใบนี้ก็ควรต้องเป็นไปตามลำดับขั้นตอน

ผู้เฒ่าลัทธิขงจื๊อยืนอยู่ริมหน้าผา ทอดสายตามองลำคลอง เงียบงันอยู่นาน ก่อนจะหันหน้ามาถามว่า “หลิวเสี้ยนหยาง เจ้าคิดว่าขนบธรรมเนียมประจำตระกูลและรูปแบบการเรียนรู้ของสกุลเฉินผู้รอบรู้ของพวกเราเป็นอย่างไร?”

หลิวเสี้ยนหยางตกตะลึงไปเล็กน้อย นี่เป็นคำถามเก่าแก่ที่อาจารย์ผู้เฒ่าถามตนตั้งแต่ตอนที่ได้พบเจอกันครั้งแรก ไม่รู้ว่าทำไมอาจารย์ผู้เฒ่าถึงได้ถามขึ้นมาอีกรอบ

หลิวเสี้ยนหยางยังคงตอบด้วยคำตอบที่ไม่ต่างไปจากเดิมสักเท่าไร “ดี”

อาจารย์ผู้เฒ่าจึงถาม “ดีที่ตรงไหน?”

หลิวเสี้ยนหยางตอบ “ดีตรงที่มีประโยชน์”

อาจารย์ผู้เฒ่าพยักหน้ารับ “ถ้าอย่างนั้นก็ไม่แย่เท่าไรจริงๆ”

หลิวเสี้ยนหยางถามเสียงเบา “ก่อนหน้านี้ท่านอาจารย์ผู้เฒ่าคิดอะไรอยู่หรือขอรับ?”

ผู้เฒ่ายิ้มตอบ “คนแก่อายุปูนนี้แล้ว มักจะคิดถึงเรื่องที่อยู่เบื้องหลังตัวเอง”

หลิวเสี้ยนหยางไม่รู้ว่าจะเอ่ยตอบโต้อย่างไร

ผู้เฒ่าก็เอ่ยขึ้นมาอีกว่า “คนหนุ่มอย่าได้หงอยเหงาเศร้าซึมเช่นนี้ ต้องสดใส มีชีวิตชีวา กล้าพูดว่าวิถีทางโลกมีจุดไหนที่ไม่ถูกต้อง กล้าถามว่าหลักการเหตุผล มีตรงไหนที่ไม่ดี กล้าคิดว่าตนควรจะนำหลักการความรู้ที่เรียนรู้จากตำรามาสร้างประโยชน์ให้วิถีทางโลกได้อย่างไร”

หลิวเสี้ยนหยางพยักหน้ารับ “ผู้น้อยจะพยายามทำให้ได้”

ผู้เฒ่ากล่าวอย่างสะท้อนใจ “เห็นคนหนุ่มอย่างพวกเจ้า คนแก่อย่างพวกเราก็รู้สึกว่าเวลามักมีไม่พอใช้ ยังเป็นอาจารย์สอนหนังสือได้ไม่ดีพอ”

หลิวเสี้ยนหยางถอนหายใจ

ผู้เฒ่ายิ้มบางๆ “อย่าถอนหายใจ เดี๋ยวโชคดีจะวิ่งหนีไป”

หลิวเสี้ยนหยางอึ้งตะลึง ต้องพิถีพิถันเรื่องนี้ด้วยหรือ?

ผู้เฒ่าพูดกลั้วหัวเราะเสียงดัง “ตอนเป็นเด็ก ผู้ใหญ่ในตระกูลมักจะขู่พวกเราเช่นนี้”

หลิวหยางรู้สึกว่าน่าสนใจไม่น้อย

ในความทรงจำของเขา เฉินผิงอันไม่เคยทอดถอนใจ กลับเป็นเขาและเจ้าเด็กขี้มูกยืด ที่เวลาอยู่ว่างๆ ไม่มีอะไรทำ ยามที่นอนทอดตัวอยู่ใต้ร่มไม้ในวันที่อากาศร้อน หรือนอนบนคันนาในยามค่ำคืนก็มักจะเป็นเจ้าถอนหายใจหนึ่งที ข้าถอนหายใจ หนึ่งครั้ง เล่นสนุกได้ไม่มีเบื่อ แต่ดูเหมือนว่าช่วงเวลาหลายปีนั้น คนที่โชคไม่ดี มากที่สุดกลับเป็นเขาเฉินผิงอันมาโดยตลอด ไม่รู้ว่าตอนนี้ได้เป็นเจ้าของภูเขา ที่บ้านเกิดแล้ว เมื่อโอกาสมาถึง โชคชะตาจะแปรเปลี่ยนไปแล้วหรือยัง?

……

วันที่สิบของเดือนสิบอย่างวันนี้ เฉินผิงอันโดยสารเรือยันต์ที่ทางเกาะเป็ดน้ำเตรียมไว้ให้เรียบร้อยแล้วไปเยือนเกาะหลักของถ้ำสวรรค์วังมังกร ที่นั่นมีควันธูป ลอยกรุ่น แม้แต่ผู้ฝึกตนส่วนใหญ่ก็ยังเผากระดาษที่ตัดเป็นรูปเสื้อผ้าคนตาย ปฏิบัติตามพิธีการโบราณ ส่งเสื้อผ้าไปให้กับคนที่เสียชีวิตไปแล้ว เฉินผิงอันเองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้นเขาซื้อชุดกันหนาวกระดาษห้าสีที่สำนักมังกรน้ำเป็นผู้ตัดมาปึกใหญ่ หลังนำกลับมาที่เกาะเป็ดน้ำแล้ว เฉินผิงอันก็ทยอยเขียนชื่อลงไป

ทางร้านยังมอบเตาไฟขนาดเล็กธรรมดาใบหนึ่งมาให้เพื่อเผากระดาษ วันที่สองซึ่งก็คือวันที่สิบเอ็ดเดือนสิบถึงจะสามารถเผากระดาษได้ ว่ากันว่าเรื่องนี้ไม่ควรทำ ในวันเทศกาลปล่อยผี (หรือวันสารทจีน) แต่ควรทำสองวันอย่างวันก่อนหน้าและ วันต่อมาถึงจะดีที่สุด ทั้งไม่รบกวนบรรพบุรุษ ยังสามารถทำให้บรรพบุรุษของตระกูลตัวเองและผีของแต่ละฝ่ายที่ผ่านทางมาได้รับประโยชน์มากที่สุดด้วย

ขนบธรรมเนียมบางอย่างของสำนักมังกรน้ำ เฉินผิงอันไม่ได้รู้สึกแปลกใหม่ เพราะยกเว้นจากเรื่องการเติมดินลงบนหลุมศพยามเซ่นไหว้บรรพบุรุษของที่บ้านเกิดตัวเองแล้ว เรื่องอื่นๆ ล้วนเหมือนที่บ้านเกิดเฉินผิงอันทั้งสิ้น แล้วก็มีหลายเรื่องที่คล้ายคลึงกัน ยกตัวอย่างเช่นว่าก็มีกฎที่บอกว่าบุรุษโขกหัวคำนับไม่ร้องไห้ สตรีร้องไห้ไม่โขกหัวคำนับ

การเผากระดาษในวันนี้ เฉินผิงอันใช้เวลาเผาไปหนึ่งชั่วยามเต็ม

ทำเอาสุ่ยเจิ้งหลี่หยวนที่อยู่ในทะเลเมฆอึ้งไปเล็กน้อย เกือบทนไม่ไหวไปดูชื่อ ที่เขียนไว้บนชุดกันหนาวห้าสีจำนวนมากมายพวกนั้น

เพียงแต่พอคิดว่านางเรียกคนผู้นี้ว่า ‘ท่านเฉิน’ หลี่หยวนก็ไม่กล้าก่อเรื่อง

วันสุ่ยกวานขจัดเภทภัยคือวันที่สิบห้าเดือนสิบ สำนักมังกรน้ำจัดงานพิธียันต์ทองอย่างยิ่งใหญ่เอิกเกริก ตั้งปะรำพิธีเพื่อขจัดทุกข์ขจัดเภทภัยให้กับบรรพบุรุษ สะสมบุญกุศลให้กับผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว

เมื่อเทียบกับค่าใช้จ่ายที่ซื้อชุดกันหนาวกระดาษห้าสีในเทศกาลวันปล่อยผี ก่อนหน้านี้ คิดจะจุดธูปจุดตะเกียงของงานพิธีกรรมยันต์ทองนี้ ก็เป็นแค่เงินไม่กี่เหรียญเงินเกล็ดหิมะเท่านั้น

เฉินผิงอันเป็นฝ่ายเปิดค่ายกลภูเขาสายน้ำของเกาะเป็ดน้ำด้วยตัวเอง หลี่หยวนจึงแสร้งทำเป็นว่าได้ยินข่าวแล้วเร่งรุดเดินทางมา

เฉินผิงอันสอบถามถึงกฎในงานพิธียันต์ทองอย่างละเอียด สุดท้ายก็มอบสมุดเล่มหนึ่งที่จดบันทึกชื่อแซ่และสำมะโนครัวไว้จนเต็มให้กับหลี่หยวน จากนั้นก็มอบ เงินฝนธัญพืชให้สุ่ยเจิ้งผู้นี้สองเหรียญ

บอกว่าขอให้เขาช่วยเข้าร่วมงานพิธีกรรมยันต์ทอง ให้ยอดฝีมือของสำนักมังกรน้ำ ช่วยเขียนชื่อพวกนั้นลงไปบนกระดาษที่จัดทำขึ้นเป็นพิเศษ เพื่อจะได้สะสมบุญกุศล ในชาติหน้าให้กับคนบนสมุดเล่มนี้ที่ล่วงลับไปแล้ว

หลี่หยวนอดไม่ไหวจริงๆ จึงเปิดปากถามว่า “ขอถามท่านเฉิน คนเหล่านี้คือ ญาติมิตรของท่านที่ล่วงลับไปหรือ?”

เฉินผิงอันกล่าว “แค่พยายามชดใช้ความผิดพลาดเท่านั้น ยังอยู่ไกลเกินกว่าคำว่าพอ หวังเพียงว่าจะยังมีประโยชน์และยังทันกาล”

หลี่หยวนจับสมุดเล่มนั้น พยักหน้าเอ่ยว่า “วางใจเถอะ คนและฟ้าเชื่อมโยง ผีและเทพสอดผสาน อย่าได้ดูแคลนความจริงใจของตัวเอง”

ดังนั้นหลี่หยวนจึงไปจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเอง

เฉินผิงอันนั่งเดียวดายอยู่บนหลังคา คืนนี้เขาเอาเจี้ยนเซียนมาวางพาดไว้บนหัวเข่า กวาดตามองไปรอบด้านอย่างสับสน