เฉินผิงอันอยู่บนเกาะเป็ดน้ำมาเกือบสิบวันแล้ว ในช่วงเวลาระหว่างนี้ เขาได้ขอให้หลี่หยวนช่วยทำเรื่องสองเรื่อง นอกจากงานพิธียันต์ทองสุ่ยกวาน ขจัดเภทภัยนั่นแล้ว ก็ยังขอให้เขาช่วยเอาจดหมายส่งไปที่ภูเขาลั่วพั่ว
เฉินผิงอันเดาสถานะของคนผู้นี้ไม่ออก ใบหน้าเป็นเด็กหนุ่ม ทว่ามองดูแล้วเหนื่อยล้าอ่อนแรง ท่าทางไม่กระปรี้กระเปร่า ราวกับว่าการฝึกตนพบเจอกับคอขวด เป็นภาพปรากฎการณ์ที่จิตวิญญาณแห้งเหี่ยวโรยรา ความฮึกเหิมร่วงดิ่งลงซึ่ง เฉินผิงอันเคยพบเห็นมาจากบนร่างของผู้ฝึกตนผู้เฒ่าที่ไร้ความหวังบนมหามรรคา นอกจากจะสัมผัสถึงความเคลื่อนไหวของค่ายกลเกาะเป็ดน้ำแล้ว หลี่หยวนก็ไม่มีทางขึ้นเกาะมาโดยพลการ เฉินผิงอันจึงยิ่งไม่เข้าใจว่าการฝึกตนของหลี่หยวนตลอด หลายปีที่อยู่ในอุตรกุรุทวีปมานี้มีสภาพแบบใดกันแน่ ทว่าบนรายงานภูเขามากมายพวกนั้นกลับไม่เคยมีบันทึกใดๆ เกี่ยวกับเขา
ช่วงที่ผ่านมานี้นอกจากจะหล่อหลอมปราณวิญญาณภูเขาสายน้ำอย่าง ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยทุกวันแล้ว ก็ยังสร้างความมั่นคงและขยับขยายพื้นที่ให้กับ ช่องโพรงลมปราณที่สำคัญสองแห่งอย่างจวนน้ำและศาลภูเขา รวมไปถึงชูอีกับสืออู่ ที่แยกกันขัดกลึงปลายกระบี่อยู่บนแท่นสังหารมังกร สะเก็ดไฟแตกกระเซ็นไปสี่ทิศ เหมือนห้องหลอมกระบี่ของช่างหร่วนที่บ้านเกิดที่ประกายแสงศักดิ์สิทธิ์สาดส่อง เต็มห้อง
สี่ฤดูกาลของถ้ำสวรรค์มังกรเหมือนฤดูใบไม้ผลิอยู่ตลอดเวลา ฤดูหนาวไม่เหน็บหนาว ฤดูร้อนอากาศไม่แผดเผา มักจะมีฝนตกบ่อยๆ มีทั้งฝนโปรยปรายเม็ดเล็กๆ แล้วก็มีฝนที่กระหน่ำตกหนัก ทุกครั้งที่ฝนตก เฉินผิงอันสังเกตเห็นว่าเกาะที่อยู่ใกล้เคียงจะมี ผู้ฝึกตน ซึ่งส่วนใหญ่คือผู้ฝึกตนเซียนดิน บ้างก็ออกมาอาบน้ำฝนรสหวานชุ่มฉ่ำ ใช้ฟ้าดินขนาดเล็กอย่างร่างกายมนุษย์
เปิดประตูจวนอ้ากว้าง ดูดซับปราณวิญญาณไอน้ำมาอย่างรวดเร็ว บ้างก็เรียกเอาสมบัติบนภูเขาที่ลักษณะคล้ายคลึงกับกาหยก แจกัน ฯลฯ ออกมารองรับน้ำฝน ไม่ให้หยดลงบนพื้นดินของเกาะแม้แต่หยดเดียว
ช่วงที่หยุดพักก็จะเปิดรวมเล่มเรื่องเล่าที่สุดท้ายแล้วทุกคนในเรื่องราวล้วน ตายกันหมด ขั้นตอนแตกต่างกันออกไป นิสัยส่วนใหญ่ก็ไม่คล้ายคลึง วิธีการตาย มีร้อยพันรูปแบบ สุดท้ายตายด้วยน้ำมือของใครก็ยิ่งหลากหลายไม่ซ้ำวิธี
ตอนนั้นที่อยู่บนยอดเขาของซากปรักจวนเซียน ท่ามกลางแม่น้ำกาลเวลา ที่หยุดชะงัก หนังสือเล่มนี้ร่วงลงมาตอนที่ปีศาจใหญ่ตายไป แล้วนักพรตซุนก็นำมามอบให้เฉินผิงอัน
เฉินผิงอันเจอร่มกระดาษน้ำมันที่ด้ามร่มทำจากไม้ไผ่คันหนึ่งบนเกาะเป็ดน้ำ ขอแค่เป็นเวลาที่ไม่ได้ฝึกตน ทุกครั้งที่ฝนตกลงมา ไม่ว่าจะกลางวันหรือกลางคืน เขาก็จะต้องออกไปเดินเล่นข้างนอก เดินถือร่มเพียงลำพังวนรอบเกาะเป็ดน้ำไป หนึ่งรอบ เป็นระยะทางที่ขุนเขาสายน้ำอิงแอบกันประมาณสามสิบลี้
แผ่นป้ายทั้งสามแผ่น แผ่นหยกชือหลงที่สลักคำว่า ‘ฝนหวานสามฉื่อ’ ของหลี่หลิ่ว ได้ถูกเฉินผิงอันปลดลงมาเก็บใส่ไว้ในวัตถุจื่อชื่อ
‘จวิ้นชิงอวี่เซียง’ ของหลี่หยวนที่ใช้ควบคุมค่ายกลภูเขาสายน้ำ กับ ‘พักผ่อน’ แผ่นไม้ข้ามสะพานของสำนักมังกรน้ำยังคงแขวนไว้ที่เอว ตอนที่เดินอยู่ท่ามกลาง สายฝน บางครั้งที่สาวเท้าก้าวยาวๆ ก็จะมีเสียงตีกระทบกันดังเบาๆ
ท่ามกลางสายฝนในค่ำคืนนี้ เฉินผิงอันยังคงกางร่มเดินออกมาจากเรือน คิดคำนวณเวลา จดหมายตอบกลับของจูเหลี่ยนก็น่าจะใกล้มาถึงแล้ว
เฉินผิงอันหยุดยืนนิ่งไม่เดินหน้า ทอดสายตามองไประหว่างเกาะป๋ายเจี่ยกับ เกาะชางหรานที่อยู่ห่างไปไกล พลันมีรถม้าหรูหรางดงามคันหนึ่งแหวกทะลุผิวน้ำทะเลสาบออกมา รถม้าคันใหญ่เหมือนหอเรือน สี่มุมหลังคาเหมือนชายคาตวัดงอน ที่ห้อยกระดิ่งเงินเอาไว้ ตอนที่ม้าสีขาวหิมะทั้งสี่ตัววิ่งตะบึง เสียงกระดิ่งก็ดังกรุ้งกริ้ง ประหนึ่งเสียงสวรรค์ท่ามกลางสายฝน ด้านหลังรถม้ามีสาวใช้สวมชุดสีสันสดใส ดั่งกลุ่มบุปผาชูช่อ และกลุ่มคนลักษณะเหมือนขุนนางที่สวมชุดคลุมสีม่วงสีแดงสดเหยียบน้ำติดตามมาด้านหลังรถม้าเป็นขบวนใหญ่
บทรถม้า ไม่มีสารถีคอยบังคับม้า มีเพียงเด็กหนุ่มหลี่หยวนกับสตรีโตเต็มวัยหน้าตางดงามเรือนกายสูงเพรียวคนหนึ่งที่มวยผมเหมือนพวงดอกไม้ สวมเสื้ออ่าว ตัวสั้นผ่าหน้าที่มีการปักลายอย่างละเอียดประณีต ชุดคลุมด้านนอกเป็นผ้าโปร่งบาง ที่ล่องลอยประดุจหมอกควัน
เด็กหนุ่มหลี่หยวนเปลี่ยนมาสวมชุดตัวยาวคอกลมสีเหลือง ตรงเอวรัดเข็มขัดหยกขาว สวมรองเท้าหุ้มแข้งสีดำ
เมื่อขบวนนี้ปรากฏตัว เฉินผิงอันก็สัมผัสได้ว่าบนสองเกาะใหญ่อย่างเกาะป๋ายเจี่ยและเกาะชางหรานเกิดภาพปรากฎการณ์ที่ผิดปกติ ไอน้ำบริเวณโดยรอบแผ่อบอวลขึ้นมาบนเกาะ ปกคลุมเกาะทั้งสองไว้ภายใน เพียงไม่นานก็มองเห็นเพียงแค่เค้าโครงคร่าวๆ ของพวกมัน แต่เฉินผิงอันไม่แน่ใจว่าสาเหตุเป็นเพราะผู้ฝึกตนเปิดค่ายกล ภูเขาสายน้ำ หรือเป็นเพราะในขบวนรถม้ามีคนร่ายใช้วิชาน้ำกันแน่ถึงได้ทำให้ผู้ฝึกตนไม่อาจลอบมองภาพปรากฎการณ์บนเกาะได้
รถม้าขับตรงมาหาเฉินผิงอัน ไม่ได้ตรงขึ้นไปบนเกาะ แต่หยุดอยู่ห่างจากเกาะ เป็ดน้ำไปหนึ่งลี้ มีเพียงหลี่หยวนและสตรีมวยผมสูงคนนั้นที่เดินลงจากรถม้า มุ่งหน้ามาทางเกาะ
ดูเหมือนว่าสตรีที่ออกเรือนแล้วคนนั้นจะสลายเวทอำพรางตาทิ้งไป จึงเผยให้เห็นใบหน้าที่เดิมทีพร่าเลือนมองเห็นได้ไม่ชัด นางมีดวงตาสีทองคู่หนึ่ง ไม่ต้องสงสัยเลยว่าต้องเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาสายน้ำในพื้นที่อย่างแน่นอน
หลี่หยวนกับสตรีคนนั้นพากันเดินมาหยุดอยู่ตรงด้านหน้าเฉินผิงอัน หลี่หยวนยิ้มพลางอธิบายว่า “ท่านผู้นี้คือเหนียงเนียงแห่งตำหนักน้ำหนานซวินที่รับผิดชอบดูแลการไหลเวียนของลมและฝนในถ้ำสวรรค์วังมังกร คุณชายเฉินสามารถเรียกนางว่า เสิ่นฮูหยินก็ได้”
แม้ว่าฝนจะตกลงมาไม่เบา แต่เฉินผิงอันก็ยังรีบหุบร่มกระดาษน้ำมันทันที เอ่ยเรียกหนึ่งคำว่าเสิ่นฮูหยิน
เหนียงเนียงตำหนักวารีผู้นั้นยอบตัวคารวะด้วยพิธีการใหญ่ “เสิ่นหลินอดีตคนของตำหนักหนานซวิน คารวะคุณชายเฉิน”
หลังจากที่นางยืดเอวขึ้นตรง ก็สะบัดชายแขนเสื้อเบาๆ กลางอากาศเหนือ เกาะเป็ดน้ำไม่มีฝนตกลงมาอีก
เฉินผิงอันเคยชินกับการมองสบตาคนที่ตัวเองพูดคุยด้วย จึงสังเกตเห็นโดยบังเอิญว่าใบหน้าที่แท้จริงของเหนียงเนียงตำหนักวารีท่านนี้ สีหน้าเหมือน กระเบื้องเคลือบ ไม่เพียงแค่นี้เท่านั้น ‘ผิวกระเบื้อง’ บนใบหน้ายังเต็มไปด้วยรอยแตกถี่ยิบตัดสลับกันไปมา หากจ้องมองให้ชัดเจนจะต้องทำให้คนหวาดผวาได้อย่างแน่นอน เฉินผิงอันเริ่มเข้าใจได้แล้ว เขาไม่ได้แสร้งทำเป็นว่าตัวเองมองไม่เห็น แต่เอา ร่มกระดาษน้ำมันหนีบไว้ใต้รักแร้ กุมหมัดขออภัยเหนียงเนียงตำหนักวารีที่ร่างทอง ตกอยู่ในสภาวะอันตรายล่อแหลมผู้นี้
เสิ่นหลินคล้ายจะแปลกใจเล็กน้อย นางยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “คุณชายเฉิน ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ หากรูปโฉมของเทพน้อยอย่างข้าทำให้คุณชายเฉินตกใจ ทำลายบรรยากาศอันดี นั่นต่างหากจึงจะเป็นโทษมหันต์อย่างแท้จริง”
หลี่หยวนหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง ราวกับรู้สึกว่าคำกล่าวนี้ค่อนข้างจะน่าสนใจ
เพียงแต่ว่าเฉินผิงอันไม่ได้หัวเราะ หลี่หยวนจึงได้แต่หยุดเสียงหัวเราะลง อย่างขลาดๆ หาเรื่องใส่ตัวซะแล้ว หากเจ้าพวกที่ในอดีตได้นั่งอยู่ด้านหน้าสุดของ ศาลบรรพจารย์สำนักมังกรกลุ่มนั้นยังมีชีวิตอยู่ล่ะก็ ตอนนี้คงพากันหัวเราะครืน ไปแล้ว
มือหนึ่งของเฉินผิงอันถือร่มกระดาษน้ำมัน จากนั้นก็เบี่ยงตัวผายมือข้างหนึ่ง ไปด้านหน้า
เสิ่นหลินมองหลี่หยวนแวบหนึ่ง ฝ่ายหลังรีบขยิบตาให้ นางถึงได้ไปเดินเคียงไหล่กับคุณชายเฉิน จากนั้นจึงเป็นหลี่หยวนที่เดินเอาสองมือสอดรองใต้ท้ายทอยตามมาด้านหลังคนทั้งสองอย่างเนิบช้า
ตำหนักวารีหนานซวินคือผู้นำของเทพวารีมากมายในถ้ำสวรรค์วังมังกร ส่วน เทพภูเขานั้นก็ไม่ต้องพูดถึงแล้ว เมื่อมาอยู่ในถ้ำสวรรค์ขนาดเล็กแห่งนี้ก็ไม่มีตำแหน่งที่สุด ก็เหมือนองค์เทพภูเขาเล็กๆ ที่ถูกสายน้ำใหญ่ล้อมรอบกักขังไว้ในกรงขัง วิญญาณวีรบุรุษบางส่วนของราชวงศ์ต้าหยวนที่รอให้ได้รับการแต่งตั้งจากราชวงศ์สกุลหลู หรือไม่ก็ขุนนางผู้มีชื่อเสียงของแคว้นเล็กแห่งอื่นที่พอตายไปจิตวิญญาณ ไม่สลายหายไปไหน หากได้ยินว่าต้องถูกโยนเข้ามาในถ้ำสวรรค์วังมังกรแล้วได้รับ การแต่งตั้งอย่างถูกต้อง ก็อาจเกิดใจนึกอยากตายขึ้นมาอีกครั้ง ไม่เพียงแต่มีใจ ที่เห็นแก่ตัว ยังกลัวว่าเมื่อเข้ามาในถ้ำสวรรค์ขนาดเล็กแห่งนี้แล้วจะมีพันธนาการ เยอะเกินไป ธูปภูเขาจะเปรียบเทียบกับธูปสายน้ำได้อย่างไ? ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือ เข้ามาในฟ้าดินขนาดเล็ก มาอยู่ต่างที่ต่างถิ่น ในฐานะสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะย้อนกลับไป หล่อเลี้ยงโชคชะตาภูเขาสายน้ำของแคว้นตัวเองได้อย่างไร? ดังนั้นไม่ว่า วิญญาณวีรบุรุษตนใดก็ตาม ต่างก็มองว่าการที่ได้มาเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาใน ถ้ำสวรรค์ขนาดเล็กล้วนเป็นการถูกเนรเทศถูกลดตำแหน่งในวงการขุนนางอย่างหนึ่ง ด้วยเหตุนี้จึงยอมเป็นเทพอภิบาลเมืองของอำเภอเล็กๆ แต่ไม่ยอมเป็นเทพภูเขาของถ้ำสวรรค์
และการที่เสิ่นหลินบอกว่าตัวเองเป็นอดีตคนของตำหนักหนานซวินก็เป็นคำกล่าวที่ชวนให้ขบคิดอย่างหนึ่ง เพราะถ้ำสวรรค์วังมังกรที่กินรัศมีแปดพันลี้ มีเกาะน้อยใหญ่พันกว่าแห่ง มีโชคชะตาน้ำเข้มข้นเป็นอันดับหนึ่งในทวีป เทพวารี เจ้าแห่งทะเลสาบ พ่อปู่แม่ย่าลำคลองในทุกวันนี้รวมๆ กันแล้วก็มีมากถึงสามสิบสองท่าน เกาะใหญ่สิบสองแห่งซึ่งรวมถึงเกาะของนครหลักเป็นหนึ่งในนั้น รวมเทพภูเขา เทพอภิบาลเมือง เทพประจำศาลบุ๋นบู๊แล้ว เมื่อเทียบกับเทพวารี จำนวนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ก็ยังมีมากกว่า
หลี่หยวนมอง ‘สตรีออกเรือนแล้ว’ ที่อยู่ห่างไปด้านหน้าไม่ไกลคนนั้น ในใจก็ ทอดถอนใจไม่หยุด
เห็นใจในชะตากรรมของกันและกัน
เพียงแต่ว่าสิ่งที่ทางสำนักมังกรน้ำสามารถทำได้ก็ยังคงเป็นอาศัยงานพิธียันต์ทองที่จัดขึ้นปีแล้วปีเล่ามาเพิ่มควันธูป แม้ว่าจะช่วยตำหนักหนานซวินได้เหมือนกัน เพราะคล้ายคลึงกับการซ่อมแซมบ้านเรือนในหมู่ชาวบ้าน แต่ถึงอย่างไรก็ไม่ทำให้ได้รับผลประโยชน์โดยตรงเหมือนกับการที่สุ่ยเจิ้งอย่างเขาดูดซับควันธูป ชำระหล่อหลอมแก่นควันธูป จะว่าไปแล้วนี่ก็คือจุดที่ถ้ำสวรรค์สู้พื้นที่มงคลไม่ได้ ถ้ำสวรรค์เหมาะสำหรับผู้ฝึกตนอย่างเดียวเท่านั้น หากคิดจะจับกลุ่มสองสามคนฝึกตนอยู่ในสถานที่เงียบสงบ ไม่ต้องแย่งชิงกับวิถีโลก เป็นเรื่องที่ยากมาก ทว่าพื้นที่มงคลกลับมีอาณาบริเวณกว้างขวางมากกว่า ส่งผลดีต่อการรวบรวมควันธูปของชาวบ้าน นี่ต่างหากจึงจะเป็นสถานที่ที่เหมาะสมกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์
เฉินผิงอันพูดคุยกับเสิ่นฮูหยินอย่างถูกคอ
น่าเสียดายที่ถ้ำสวรรค์วังมังกรไม่เหมือนกับภูเขาตระกูลเซียนอย่างพวก ตำหนักน้ำค้างวสันต์หรือจวนไชว่เฉวี่ยที่มีการจัดทำหนังสือรวมเล่มไว้ให้นักท่องเที่ยวได้ทำความเข้าใจกับขนบธรรมเนียมของพื้นที่
ในความเป็นจริงแล้วนี่ยังเป็นครั้งแรกที่เฉินผิงอันได้ยินชื่อตำหนักหนานซวิน
แต่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ได้ครอบครองตำหนักวารี ส่วนใหญ่มักจะมีประวัติความเป็นมา ที่ไม่ธรรมดาอยู่แล้ว
ตอนอยู่ที่ทะเลสาบซูเจี่ยน เกาะจูไชที่อยู่ใกล้กับเกาะชิงเสีย ในฐานะองค์หญิงแคว้นล่มสลาย แคว้นบ้านเกิดของเจ้าเกาะหลิวจ้งรุ่นก็มีตำหนักวารีแห่งหนึ่งในตำนานอยู่เหมือนกัน นี่ถึงได้ดึงดูดให้พวกผู้ฝึกกระบี่ของราชวงศ์จูอิ๋งจับจ้องมองไปด้วยสายตาละโมบ แน่นอนว่าผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดที่เป็นคนของเชื้อพระวงศ์จูอิ๋งผู้นั้นยังคิดอยากจะได้ทั้งเงินทั้งสาวงาม เฉินผิงอันเคยเห็นความมหัศจรรย์ของโอสถที่ เก็บรักษาไว้ในตำหนักวารีมาก่อน ขนาดเซียนดินยังน้ำลายสอ ตามคำกล่าวของหลิวจ้งรุ่น โอสถวารีที่ล้ำค่าที่สุด หากโยนออกไปหนึ่งเม็ดก็สามารถทำให้ทะเลสาบ ซูเจี่ยนเกิดลูกคลื่นสูงร้อยจั้ง ผู้คนแย่งชิงกันหัวร้างข้างแตกได้แล้ว
ก่อนที่เฉินผิงอันจะออกมาจากภูเขาลั่วพั่ว หลิวจ้งรุ่นยังคุยเรื่องการย้ายถิ่นฐานกับจูเหลี่ยนได้ไม่สำเร็จ อันที่จริงเฉินผิงอันไม่ค่อยเข้าใจนักว่าเหตุใดหลิวจ้งรุ่นถึงได้ ดึงดันจะแบ่งผู้ฝึกตนหญิงของเกาะจูไชออกเป็นสองส่วน นอกจากศาลบรรพจารย์ที่ทิ้งไว้ที่ทะเลสาบซูเจี่ยนแล้ว ลูกศิษย์ผู้สืบทอดของศาลบรรพจารย์ส่วนใหญ่ล้วน ถูกส่งมาฝึกตนที่เขตการปกครองหลงเฉวียน ในเมื่อทะเลสาบซูเจี่ยนในทุกวันนี้ มีกฎเกณฑ์แล้ว อีกทั้งยังมีสำนักเจินจิ้งของเจียงซ่างเจินเป็นผู้บัญชาการณ์ เมื่อเทียบกับทะเลสาบซูเจี่ยนในอดีตที่ไร้ขื่อไร้แปก็เรียกได้ว่าต่างกันราวฟ้ากับดิน พูดประโยคที่ไม่น่าฟังสักหน่อยทรัพย์สมบัติน้อยนิดแค่นั้นของหลิวจ้งรุ่น สำนักเจินจิ้งคงไม่คิดจะอยากได้จริงๆ
ย้ายมาอยู่ที่เขตการปกครองหลงเฉวียนก็ยังต้องมาพึ่งพิงอยู่ใต้ชายคาคนอื่นอยู่ดีไม่ใช่หรือ เงินเทพเซียนที่เฉินผิงอันควรจะเก็บเอาจากเกาะจูไชก็ไม่มีทางน้อยลง แม้แต่เหรียญเดียว เกาะจูไชระดมกำลังใหญ่โต อีกทั้งหลิวจ้งรุ่นยังต้องสิ้นเปลือง เงินทอง เฉินผิงอันไม่เข้าใจจริงๆ ว่าหลิวจ้งรุ่นทำการค้าอย่างไรกันแน่
ก็เหมือนที่เฉินผิงอันไม่แน่ใจในความสัมพันธ์ของหลี่หลิ่วกับหลี่หยวน แล้วก็ ไม่เข้าใจว่าเสิ่นหลินเกี่ยวข้องกับหลี่หยวนอย่างไร ดังนั้นตลอดทางมานี้เขาจึงพูดคุยกับเหนียงเนียงตำหนักวารีหนานซวินผู้นี้อย่างมีมารยาท
เนื่องจากตอนอยู่เกาะชิงเสียทะเลสาบซูเจี่ยนทำเรื่องนี้มาจนชินแล้ว เฉินผิงอัน จึงคล่องแคล่วคุ้นเคยเป็นอย่างดี สามารถรับมือได้อย่างรอบคอบรัดกุม ถ้อยคำที่ใช้ มีมารยาท แต่กลับไม่ทำให้คนรู้สึกถึงความห่างเหินเย็นชา ยกตัวอย่างเช่นเขาได้ ขอความรู้เรื่องความเป็นมาของป้ายศิลาองค์หญิงเซิงเซียนบนเกาะเป็ดน้ำจาก เสิ่นหลินอย่างจริงใจ แน่นอนว่าเสิ่นหลินเองก็ย่อมบอกเล่าทุกเรื่องที่ตัวเองรู้ ในฐานะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ยุคโบราณที่มีวัยวุฒิสูงที่สุดในถ้ำสวรรค์วังมังกรเหมือนกับสุ่ยเจิ้งหลี่หยวน นางจึงรู้เรื่องราวในเขตอิทธิพลของตัวเองเหมือนสมบัติในบ้านตัวเอง
หลี่หยวนได้ยินว่าคนสองคนด้านหน้าที่เพิ่งพบเจอกันกำลังคุยกันอย่างถูกคอ
ก็รู้สึกว่าน่าสนุกไม่น้อย
เพียงแต่ว่านอกจากความสนุกสนานแล้ว ยังรู้สึกถึงความเศร้าอาลัยด้วย
ผู้ครองแม่น้ำทะเลสาบ* ที่สูงส่งเหนือผู้ใดท่านนั้น เวลาผ่านมานานไม่รู้กี่ปี กว่าที่นางจะมาเยือนถ้ำสวรรค์วังมังกรซึ่งเป็นตำหนักหลบร้อนบนลำน้ำจี้ตู๋ได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ผลล่ะเป็นอย่างไร? แม้แต่ตำหนักวารีหนานซวินก็ยังคร้านจะกลับไปดู จะถามไถ่ถึงเสิ่นหลินที่ต่อให้ไม่มีคุณความชอบก็มีคุณความเหนื่อยยากสักคำก็ยังคร้านจะพูด
หลี่หยวนถึงขั้นมั่นใจได้เลยว่า หากไม่เป็นเพราะ ‘ท่านเฉิน’ ผู้นี้เดินทางมาเยือน ผู้ครองแม่น้ำทะเลสาบท่านนั้นก็คงไม่คิดจะชายตาแลสุ่ยเจิ้งลำน้ำจี้ตู๋ที่ดูแลตำหนัก พักร้อนมานานหลายปีจนนับไม่ถ้วนอย่างเขาด้วยซ้ำ
ช่างไร้ความรู้สึกเสียจริง
หลี่หยวนมักจะรู้สึกว่า ไม่ว่าจะเป็นเขาก็ดี หรือจะเป็นเสิ่นหลินก็ช่าง ต่างก็ถือว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ระดับขั้นไม่ต่ำแล้ว มากพอจะมองเมินความรู้สึกความผูกพันของ คนบนโลกได้แล้ว แต่เมื่อเทียบกับท่านเทพใหญ่ยุคบรรพกาลที่สูงส่งจนมิอาจปีนป่าย ผู้นั้น พวกเขากลับกลายเป็นเหมือนคนในโลกมนุษย์ที่ยึดติดหมกมุ่นในรักอย่างไรอย่างนั้น
*ข้อความจากผู้แปล : ตอนก่อนๆ ผู้แปล แปลให้หลี่หลิ่วเป็นผู้ครองยุทธภพ ซึ่งคิดว่าน่าจะแปลผิดค่ะ เพราะคำนี้คือคำว่าเจียงหู แปลได้สองอย่างคือยุทธภพ กับแปลตรงตัวคือแม่น้ำทะเลสาบ หลี่หลิ่วฝึกธาตุน้ำ ภพก่อนเป็นองค์เทพฝ่ายน้ำ ยุคโบราณ จึงน่าจะต้องแปลเป็นผู้ครองแม่น้ำทะเลสาบ/เจ้าแห่งแม่น้ำทะเลสาบมากกว่า ต้องขออภัยด้วยจริงๆ ค่ะ ตอนก่อนหน้าผู้แปลจะไปไล่แก้ไขให้นะคะ
ดูเหมือนว่าเสิ่นหลินจะพูดคุยด้วยความอารมณ์ดี จึงเป็นฝ่ายแนะนำถึงขนบธรรมเนียมของถ้ำสวรรค์วังมังกรให้คุณชายเฉินผู้นั้นฟัง
นี่คือสิ่งที่เฉินผิงอันยินดีฟังมากที่สุด
นับตั้งแต่ครั้งแรกที่เฉินผิงอันออกจากบ้านเกิดเดินทางไกลไปพร้อมกับพวกเป่าผิงน้อย ก็เป็นเช่นนี้มาโดยตลอด
ขึ้นเขาถามนายพราน ลงน้ำถามคนพายเรือ เข้าเมืองก็ต้องสอบถามเอาจากชาวบ้านในพื้นที่ ปีนั้นล้วนเป็นเฉินผิงอันที่ลงมือทำด้วยตัวเอง ต่อให้เป็นหลี่เป่าผิง ที่ครุ่นคิดเรื่องราวและลงมือทำทุกเรื่องจริงจังที่สุดคิดอยากจะแบ่งเบาภาระให้อาจารย์อาน้อย เฉินผิงอันก็ยังไม่วางใจอยู่ดี
หลังจากนั้นมา ต้องออกเดินทางท่องเที่ยวไปทั่วสารทิศเพียงลำพัง เขาก็ยังคงเป็นเช่นนี้
ไม่ว่าดินน้ำที่แปลกที่แปลกถิ่นแห่งใด ขอแค่เขาเฉินผิงอันรู้สึกว่าไม่อาจทำความเข้าใจได้อย่างรอบด้าน มองเส้นสายไม่ทะลุปรุโปร่ง ในใจก็ยากที่จะสงบลงได้
นี่คงมีความเกี่ยวข้องกับมรสุมหลากหลายในอดีตที่มาเยือนเป็นชุดนับตั้งแต่ผีสาวสวมชุดแต่งงานมาขวางทาง เหตุการณ์พลิกผันที่ป้อมอินทรีบิน พลัดหลงเข้าไปในพื้นที่มงคลดอกบัว รวมไปถึงผ่านปราณสังหารที่ซุกซ่อนอยู่เบื้องหลังตอนอยู่ในหุบเขาผีร้าย ฯลฯ อยู่มาก
เฉินผิงอันรู้ว่าในเรื่องนี้ หากสภาพจิตใจเดินไปบนเส้นทางแห่งความสุดโต่ง ไม่เกิดการพลิกผันเปลี่ยนแปลง ก็จะกลายมาเป็นด่านอุปสรรคด่านหนึ่งบนเส้นทางของการฝึกตน
ความคิดนี้เฉินผิงอันเพิ่งจะตระหนักถึงตอนที่ได้พบเจอกับหลี่หลิ่ว
เพราะเฉินผิงอันสังเกตจากคำพูดและการกระทำตอนที่หลี่หลิ่วอยู่ที่นี่แล้ว ก็ค้นพบว่าต่อให้ตนที่ได้หวนกลับบ้านเกิด นอกจากบ้านบรรพบุรุษในตรอกหนีผิง ที่สามารถนั่งอยู่เพียงลำพังโดยไม่ต้องคิดถึงเรื่องใดให้มากความแล้ว ต่อให้อยู่ใน เรือนไม้ไผ่บนภูเขาลั่วพั่ว อยู่ในร้านตรอกฉีหลง ก็ยังเคยชินที่จะให้ตนเองจมอยู่ในสภาพจิตใจแห่งการดึงดันที่ ‘ข้ารู้ทุกเรื่อง เรื่องยิบย่อยแค่ไหนก็ไม่ปล่อยให้ หลุดรอดไป’ ดังนั้นเฉินผิงอันถึงได้อิจฉาคนที่เป็นวิชาย่อพื้นที่พันลี้ และวิชาเทพ มองภูเขาสายน้ำผ่านฝ่ามืออย่างยิ่ง
โดยเฉพาะประโยคนั้นที่หลี่หลิ่วพูดเหมือนหลุดปากบอกว่า ‘สภาพจิตใจไม่มั่นคง ต่อให้เดินทางไปไกลแค่ไหนก็เหมือนถูกผีบังตาอยู่ดี’ ประโยคนั้นเหมือนเป็นการ ปลุกให้คนที่อยู่ในความฝันอย่างเฉินผิงอันสะดุ้งตื่นได้อย่างแท้จริง
เฉินผิงอันกล้าพูดว่าตัวเองรู้มาโดยตลอดว่าตนเองต้องการอะไร ต้องการไปที่ใด ต้องกลายเป็นคนแบบใด
ทว่าตลอดเส้นทางของการฝึกตนนี้ ที่แท้ก็มีแต่หลุมแต่บ่อ มีอุปสรรคคอยขัดขวาง ไม่ได้มีแต่บุพเพวาสนาของฟ้าดินที่นำพาไปเสียทั้งหมด เขาเฉิงผิงอันเอง ก็มี ‘โชคและเคราะห์ที่เรียกหามาด้วยตัวเอง’ อยู่มากมายเช่นกัน
ดังนั้นวันนั้นเฉินผิงอันที่นั่งอยู่บนหลังคาถึงได้รู้สึกว่าฟ้าดินกว้างใหญ่ไพศาล ไม่รู้ว่าก้าวถัดไปควรจะเหยียบย่างลงที่ใด
สัญญาสิบปี กลายเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทอง ย้อนกลับไปที่ภูเขาห้อยหัว
สร้างสะพานแห่งความเป็นอมตะ หลอมวัตถุดิบแห่งชะตาชีวิตห้าชิ้นให้สำเร็จ
กลายมาเป็นมือกระบี่ที่แท้จริงดั่งที่ใจคิดคนหนึ่ง ขณะเดียวกันก็พยายามทำให้ตัวเองกลายเป็นเซียนกระบี่ใหญ่ที่มีอิสระเสรีให้ได้
ทว่ากำลังคนนั้นมีจำกัด กำลังใจก็ยิ่งเป็นเช่นนี้
ความมากมายและห่างไกลของเรื่องราวที่เขาเฉินผิงอันต้องครุ่นคิดในเวลานี้ ความละเอียดและซับซ้อนของการชั่งน้ำหนักเรื่องต่างๆ มีเพียงแค่เรื่องใหญ่สามเรื่องนี้เสียที่ไหน? แล้วไหนเลยจะมีเรื่องง่ายดายเพียงแค่ติดหนี้ไม่กี่พันเหรียญเงินฝนธัญพืชเท่านั้น? แล้วเรื่องที่จำเป็นต้องทำ ใช่ว่ามีแต่เรื่องในบ้านพวกนี้เสียเมื่อไหร่?
เรื่องราวบนโลกมากมายดุจเมล็ดงา น้อยใหญ่ไม่เท่ากัน
ควรจะแยกก่อนหลังอย่างไร เรี่ยวแรง ความคิดจิตใจและเวลาในทุกๆ วันควรจะเอาไปใช้ในเรื่องที่เป็นรูปธรรมตามหลักการเหตุผลของตัวเองอย่างไร
เฉินผิงอันหยุดเดินตามจิตใต้สำนึก
หลี่หยวนที่เดินว่างงานอยู่ด้านหลังคนทั้งสองกำลังตั้งใจนับว่าบนชุดคลุมอาคมเบาบางที่อย่างมากที่สุดก็หนักสามสี่ตำลึงบนร่างของเสิ่นหลินตัวนั้นสลักไข่มุกที่ ผลิตขึ้นเป็นพิเศษของสำนักมังกรน้ำซึ่งถูกหล่อหลอมให้เล็กเท่าเมล็ดงามีกี่เม็ดกันแน่
ครั้งนี้เสิ่นหลินเดินทางมาเยี่ยมเยือน หาใช่เป็นหลี่หยวนที่ตัดสินใจเองโดยพลการไม่ แต่เป็นเพราะการปรากฎตัวในช่วงระยะเวลาสั้นๆ ของผู้ครองแม่น้ำทะเลสาบท่านนั้น ทำให้จิตวิญญาณของอดีตคนของตำหนักหนานซวินท่านนี้สัมผัสได้ถึง แต่ก็ไม่กล้าปรากฏตัวโดยพลการ จึงได้แต่รอให้ความเชื่อมโยงเสี้ยวนั้นหายไปอย่างสิ้นเชิงเสียก่อน ถึงได้สืบสาวตามเบาะแสจนไปพบกับสุ่ยเจิ้งแห่งลำน้ำใหญ่เช่นเขา แล้วก็ยังไม่กล้าถามตรงๆ ได้แต่เลียบๆ เคียงๆ ถาม ทำเอาหลี่หยวนที่ฟังอยู่รู้สึกปวดหัว แต่ถึงอย่างไรเขาก็ทำได้แค่แกล้งโง่ เรื่องใหญ่ขนาดนี้ ต่อให้เขาจะสงสารเจ้าแม่ เทพวารีผู้นี้มากแค่ไหน ก็ยังไม่กล้าเปิดเผยความลับสวรรค์ง่ายๆ
เพียงแต่ว่าทนการตอแยจากเสิ่นหลินไม่ไหวจริงๆ จึงได้แต่ใช้วิธีพบกันครึ่งทาง ที่ไม่ถึงขั้นผิดหลักจรรยาบรรณเกินไปพานางมาเยือนเกาะเป็ดน้ำ ถึงอย่างไรในฐานะผู้นำองค์เทพของฟ้าดินเล็กๆ แห่งหนึ่ง การขับรถลาดตระเวนขุนเขาสายน้ำรอบด้าน ก็เป็นหน้าที่ของนางเสิ่นหลินอยู่แล้ว น่าเสียดายก็แต่ตรงเอวของ ‘ท่านเฉิน’ ที่ถูก หลี่หยวนเรียกว่าคุณชายเฉินนั้นไม่ได้ห้อยป้ายหยก ‘ฝนหวานสามฉื่อ’ เอาไว้ อายุไม่มาก แต่มีประสบการณ์โชกโชนเกินกว่าอายุ คำพูดคำจาระมัดระวังรอบคอบ คาดว่าเสิ่นหลินคงได้แต่กลับไปมือเปล่าแล้ว
อันที่จริงตำหนักวารีหนานซวินที่เป็นผู้นำของขุนเขาสายน้ำของที่แห่งนี้ถือว่าได้ตำแหน่งมาอย่างไม่ถูกต้องตามหลักทำนองคลองธรรมสักเท่าไรนัก เพราะการแต่งตั้งผู้ติดสอยห้อยตามสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดในตำหนักวารี ไม่ว่าราชวงศ์ใดก็ไม่สามารถ สอดมือเข้าแทรกได้ แม้แต่เจ้าขุนเขาของสำนักศึกษาแต่ละรุ่นก็ยังไม่เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้อง ยกตัวอย่างเช่นตอนที่โจวมี่อริยะของสำนักศึกษาในทุกวันนี้เพิ่งจะเข้ารับตำแหน่งได้ไม่นาน ก็ได้ให้วิญญูชนท่านหนึ่งเดินทางนำม้วนเอกสารการแต่งตั้งสิบฉบับไปส่งที่ศาลบรรพจารย์สำนักมังกรน้ำ
ล้วนเกี่ยวกับตำแหน่งเทพน้อยใหญ่ในตำหนักวารีหนานซวินทั้งสิ้น เพียงแต่ว่าตรงตำแหน่งชื่อแซ่กลับปล่อยว่างเอาไว้ บอกให้ซุนเจี๋ยเจ้าสำนักมอบให้กับตำหนักวารีหนานซวินที่ตั้งอยู่ใจกลางของถ้ำสวรรค์ ความหมายนั้นเรียบง่ายมาก ให้เสิ่นหลินที่อันที่จริง ‘ราชสำนักขนาดเล็ก’ ของนางได้กลายเป็นองค์กรบริหารขนาดใหญ่อย่างถึงที่สุดแล้วไปจัดการเอาเอง เขาโจวมี่มาอยู่ที่อุตรกุรุทวีปก็เพื่อทำวิชาความรู้ คร้านจะสนใจดูแลเรื่องรกรุงรังพวกนี้
และไม่นานเสิ่นหลินก็ผลมอบหลีตอบแทนผลท้อ นอกจากตำแหน่งเทพใหญ่ที่สำคัญสี่ห้าตำแหน่งที่เก็บไว้ไม่ไปแตะต้องแล้ว นางก็ได้ถอนตำแหน่งว่างเปล่า จำนวนมากที่ตั้งตามกฎโบราณไปรวดเดียว สุดท้ายแต่งตั้งตำแหน่งขุนนางตามหนังสือแต่งตั้งของอริยะโจวมี่ ในตำหนักวารีหนานซวินที่เดิมทีมีเทพผู้ควบคุมชะตาน้ำ ยี่สิบกว่าตำแหน่งจึงเหลือแค่ตำแหน่งเทพที่ได้รับการแต่งตั้งอย่างถูกต้องซึ่งได้รับการยอมรับจากลัทธิขงจื๊อแค่สิบท่านเท่านั้น
แรกเริ่มเส้าจิ้งจือเจ้าสำนักใต้ที่สนิทสนมกับตำหนักวารีหนานซวินยังมาพูดคุยกับเสิ่นฮูหยินเป็นการส่วนตัวว่าไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ อยู่ดีๆ เสียตำแหน่งเทพไปตั้งสิบกว่าตำแหน่ง ถึงอย่างไรอริยะโจวมี่ของสำนักศึกษาก็วางท่าทีชัดเจนแล้วว่า จะไม่สนใจการจัดการของตำหนักวารีหนานซวิน แล้วเหตุใดยังต้องทำสิ่งที่เกิน ความจำเป็นเช่นนี้ ทว่าพอภายหลังโจวมี่หาเวลาว่างออกมาจากสำนักศึกษาได้ แล้วซ้อมพวกผู้ฝึกตนใหญ่ที่เอ่ยถ้อยคำเลวทรามพวกนั้นพลางด่าว่า ‘เข้าใจทะลุ ปรุโปร่งกับผายลมสุนัขอะไร’ เส้าจิ้งจือถึงได้มาเยือนตำหนักวารีหนานซวินอีกครั้ง ยอมรับว่าตัวเองเกือบจะทำร้ายเสิ่นฮูหยินเข้าให้แล้ว
เสิ่นหลินสัมผัสได้ถึงอาการเหม่อลอย จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวของคนหนุ่มที่อยู่ข้างกาย
นางไม่ได้รู้สึกว่าอีกฝ่ายไร้มารยาทอะไร ผู้ฝึกตนสามารถมีสภาพจิตใจที่ ผ่อนคลายหละหลวมเช่นนี้ได้ อันที่จริงก็ถือว่าเป็นความเชื่อใจที่มองไม่เห็นอย่างหนึ่ง
ทว่าเพียงไม่นานเฉินผิงอันก็หยุดความคิดวุ่นวายทั้งหลายลง เอ่ยขออภัยว่า “เสิ่นฮูหยิน ขอโทษด้วย เมื่อกี้ข้าเหม่อไปหน่อย”
เสิ่นหลินส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม
แต่นางคิดว่าตัวเองควรจะจากไปได้แล้ว ดังนั้นจึงเปิดปากเอ่ยชวนคนหนุ่มว่า หากมีเวลาว่างก็ให้ไปเป็นแขกที่ตำหนักวารีหนานซวิน
เฉินผิงอันพยักหน้าตอบตกลง จากนั้นก็ให้รู้สึกจนใจเล็กน้อย หลี่หลิ่วบอกว่า นางจะไปที่นครหลักรอบหนึ่ง แล้วจะกลับมาที่เกาะเป็ดน้ำอีกครั้ง นี่กลายเป็นว่า พอนางจากไปแล้ว คาดว่าก็คงออกไปจากถ้ำสวรรค์วังมังกรและสำนักมังกรน้ำโดยตรงเลย
พอสอบถามหลี่หยวน หลี่หยวนก็บอกแค่ว่าไม่รู้
เสิ่นหลินขอตัวลากลับไป นางเดินไปตรงท่าเรือ ไอน้ำใต้ฝ่าเท้าก็ลอยอวลขึ้นมา พริบตาเดียวก็กลับไปถึงรถม้าคันนั้น รถม้าหันหัวกลับแล้วพุ่งจากไปอย่างรวดเร็วราวสายฟ้าแลบ พอห่างไปได้หลายลี้แล้วก็เหมือนว่าจะควบตะบึงเข้าสู่เส้นทางน้ำที่อยู่ ใต้พื้นผิวของทะเลสาบ ทั้งรถม้า พวกเทพบุ๋นบู๊ และขบวนข้ารับใช้ที่ติดตามมา ล้วนหายวับไป
หลี่หยวนถอนสายตากลับมาช้าๆ อันที่จริงในใจเขารู้สึกเสียดายอยู่บ้าง
หากคนหนุ่มผู้นี้ฉลาดสักหน่อย หรือไม่ก็ไม่ฉลาดมากขนาดนั้น อันที่จริงเสิ่นหลินก็ไม่เพียงแต่จะเชื้อเชิญเขาไปเยือนตำหนักวารีหนานซวินเท่านั้น นางยังจะต้องเตรียมของขวัญชิ้นใหญ่ไว้ให้เขาอย่างแน่นอน เป็นของขวัญประเภทที่ว่าหากไม่รับไว้ก็ไม่ได้ อีกทั้งยังจะต้องเป็นการมอบให้ที่สมเหตุสมผลตามหลักฟ้าดิน อย่างน้อยที่สุด ก็ต้องเป็นสมบัติล้ำค่าที่เก็บไว้ในตำหนักวารีหนานซวิน สมบัติล้ำค่าวิชาน้ำอันดับหนึ่งระดับขั้นก็เข้าใกล้อาวุธกึ่งเซียนแล้ว เพราะแท้จริงแล้วของขวัญชิ้นนี้ไม่ได้มอบให้ คนหนุ่มผู้นี้
แต่มอบให้กับเจ้าของแผ่นหยก ‘ฝนหวานสามฉื่อ’ เหมือนขุนนางในพื้นที่ ที่จัดเตรียมของบรรณาการอย่างตั้งใจนำมามอบให้เพื่อแสดงความเคารพ หาก ‘คุณชายเฉิน’ ยินดีรับไว้ เสิ่นหลินก็ไม่เพียงแต่ไม่เสียดาย ยังจะยิ่งซาบซึ้งที่เขารับของขวัญเอาไว้ ขอแค่เขาแสดงความต้องการออกมาแม้เพียงเล็กน้อย ต่อให้ตำหนักวารีหนานซวินจะต้องถูกรื้อถอนไปครึ่งหนึ่ง เสิ่นหลินก็ยังต้องยินดีมอบของขวัญ ชิ้นใหญ่ให้อีกอย่างแน่นอน
น่าเสียดายที่ ‘ท่านเฉิน’ กลับพลาดโชควาสนาครั้งนี้ไปอย่างเงียบเชียบ
ใต้หล้านี้มีผู้ฝึกตนที่รังเกียจว่าสมบัติหนักตระกูลเซียนมีมากพอด้วยหรือ? ก็เหมือนกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาสายน้ำอย่างพวกเขาที่มีใครรังเกียจแก่นควันธูป ที่เพิ่มมากี่จินกี่ตำลึงบ้างเล่า?
คงจะไม่มีกระมัง
ที่ยิ่งน่าเสียดายก็คือเขาหลี่หยวนไม่อาจเปิดปากเอ่ยเตือนได้เลย ไม่อย่างนั้น หากไม่ระวังจะกลายเป็นว่าวาดงูเติมขา มีแต่จะทำร้ายเสิ่นหลินที่เดิมทีร่างทอง ก็ทรุดโทรมเหมือนไม้ผุๆ ท่อนหนึ่งอยู่แล้ว จะกลายเป็นว่าสุ่ยเจิ้งตัวเล็กๆ อย่างตนเนื้อไม่ได้กิน หนังไม่รองนั่งแล้วยังเอากระดูกมาแขวนคอ
เฉินผิงอันมองส่งขบวนรถม้าจากไปไกลอยู่เช่นกัน สีหน้าซับซ้อนที่วูบผ่านไป แวบหนึ่งของเด็กหนุ่มที่สวมชุดเหลือง รัดเข็มขัดหยก สวมรองเท้าหุ้มแข้งสีดำซึ่งยืนอยู่ข้างกายปรากฏชัดในสายตาของเฉินผิงอัน
หลี่หยวนหยิบจดหมายลับฉบับหนึ่งออกมาแล้วเอ่ยว่า “ท่านเฉิน นี่คือจดหมายตอบกลับจากบ้านเกิดของท่าน นับตั้งแต่ส่งจดหมายจนถึงรับจดหมาย สำนักมังกรน้ำไม่มีทางรับรู้แน่นอน”
อันที่จริงจดหมายฉบับนี้ เมื่อถืออยู่ในมือแล้วก็มีน้ำหนักเล็กน้อย
นี่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่ว่าภูเขาสายน้ำมีความต่าง
เพราะบนจดหมายได้ร่ายตราผนึกขุนเขาสายน้ำที่มหัศจรรย์ขององค์เทพแห่งขุนเขาท่านหนึ่ง
ในฐานะสุ่ยเจิ้งของลำน้ำใหญ่ ถือจดหมายฉบับนี้ไว้ ย่อมรู้สึก ‘ร้อนลวกมือ’ อย่างเลี่ยงไม่ได้
เฉินผิงอันรับจดหมายมาแล้วเห็นตัวอักษรใหญ่สี่คำบนซองจดหมายก็ยิ้มอย่างเข้าใจ
สี่คำนั้นคือ ‘อาจารย์โปรดเปิดอ่านเอง’
แค่มองก็รู้ว่าเป็นลายมือของลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของตน ลายมือเหมือนเขา ที่เป็นอาจารย์ เป็นระเบียบเรียบร้อย เห็นได้ชัดว่าตอนที่จรดพู่กันเขียนนั้นตั้งใจมาก
เฉินผิงอันเก็บจดหมายลับใส่ชายแขนเสื้อก่อน
หลี่หยวนจึงเตรียมจะขอตัวลา เพราะถึงอย่างไรคนผู้นั้นก็เคยบอกว่าท่านเฉินต้องการฝึกตนอยู่ที่นี่อย่างสงบ ห้ามไม่ให้ใครมารบกวน
สิ่งศักดิ์สิทธิ์ของตำหนักวารีหนานซวินลาดตระเวนตรวจตรามาถึงที่นี่ ขึ้นฝั่งมาครู่หนึ่ง อันที่จริงหลี่หยวนก็รู้สึกใจฝ่อเล็กน้อย เพียงแต่พอคิดว่าคนหนุ่มผู้นี้กำลังถือร่ม เดินเล่น ก็คงไม่ถือว่ากำลัง ‘ฝึกตนอย่างสงบ’ หรอกกระมัง?
พอเสิ่นหลินจากไป เพียงไม่นานกลางอากาศเหนือเกาะเป็ดน้ำก็มีม่านฝนพรมลงมาอีกครั้ง
เฉินผิงอันกางร่ม หลี่หยวนยิ้มกล่าว “ท่านเฉินไม่ต้องสนใจข้า”
เฉินผิงอันทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่พูด เพราะเขาล้มเลิกความคิดที่จะถามเรื่องบางอย่างนั้นไปอย่างรวดเร็ว
รู้ถึงความสูงต่ำของตำแหน่งเสิ่นฮูหยินในถ้ำสวรรค์วังมังกรคร่าวๆ จะมีความหมายที่ตรงไหน? จำเป็นต้องดึงต้นสายของเส้นเส้นหนึ่งขึ้นมาจริงๆ หรือ?
ดูเหมือนว่าไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้
ความแก่ชราเสื่อมสภาพที่ยากจะปกปิดบนร่างของหลี่หยวน ร่างทองที่ใกล้จะแหลกสลายของเหนียงเนียงตำหนักวารีหนานซวิน เขาเฉินผิงอันเพิ่งจะมาถึงได้ ไม่นาน ดึงต้นสายของเส้นสองเส้นที่ฝังลึกอยู่กลางน้ำขึ้นมาจนได้รู้ความจริง หากสอดคล้องหรือละเมิดหลักการเหตุผลบางอย่างของตัวเอง ควรจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วยหรือไม่? เรื่องนอกตัวหลายอย่าง ในยามที่จะรู้หรือไม่ต้องรู้ก็ได้ แต่ดันไปหาเรื่องหงุดหงิดใส่ตัว จะเป็นอีกขั้วหนึ่งที่ผู้ฝึกตนไม่สนใจเรื่องที่ไม่ใช่เรื่องของตัวเองเลยหรือไม่?
เฉินผิงอันรู้สึกว่าตนต้องเรียบเรียงเส้นสายอันเป็นรากฐานเส้นนี้ให้ดี เพราะสำหรับตนแล้วนี่ก็คือการฝึกจิตใจครั้งใหญ่อีกครั้งหนึ่ง
พอคิดเช่นนี้ อันที่จริงเฉินผิงอันก็เริ่มอิจฉาพวกคนที่ยึดมั่นใน ‘จิตของการ ถามหามรรคา’ มาตั้งแต่แรกเริ่มบ้างแล้ว
หากไม่พูดถึงถูกผิดดีชั่ว พูดแค่จิตใจดั้งเดิม
ยกตัวอย่างเช่นหลินโส่วอีที่แค่มองปราดเดียวก็ถูกใจตำรา ‘เหนือเมฆพร่างพราว’
รวมไปถึงเด็กสาวจูลู่ที่เป้าหมายชัดเจน ลงมือทำอะไรเด็ดขาดผู้นั้น
และยังมีคนมากมายที่ได้พบเจอมา
ในเรื่องของการฝึกจิตใจ พวกเขาล้วนไม่อืดอาดชักช้า เชี่ยวชาญการทำเรื่องซับซ้อนให้กลายเป็นเรื่องง่าย
หลี่หยวนถาม “ท่านเฉินเหมือนจะมีเรื่องให้กังวล?”
นี่เป็นคำพูดที่เปลืองน้ำลายเปล่า
ผู้ฝึกตนที่ไม่มีเรื่องให้ทุกข์ให้กังวลย่อมไม่มีทางกินอิ่มว่างงาน พอฝนตกก็ออกจากเรือนมาถือร่มเดินเล่นอย่างแน่นอน อีกทั้งยังเดินๆ หยุดๆ ใจลอยไม่หยุดยิ่ง บางครั้งยังหยิบเอาไม้เท้าเดินป่าอันหนึ่งมาเขียนตัวอักษรหรือวาดยันต์อะไร บนพื้นด้วย
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “แค่ร้อนใจเพราะรอจดหมายตอบกลับจากบ้านเกิดเท่านั้น ไม่มีอะไร”
หลี่หยวนจึงไม่ถามให้มากความอีก
เฉินผิงอันแยกกับหลี่หยวน กลับมาที่เรือน หุบร่มกระดาษน้ำมันวางพิงไว้นอกประตู ฝนใหญ่ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลง
เขาสะบัดรอยน้ำบนร่างออกเบาๆ แล้วจึงเข้ามานั่งในห้อง
เชื่อว่าจูเหลี่ยนคงจะต้องเขียนบอกเล่าสถานการณ์ล่าสุดของภูเขาลั่วพั่วและบริเวณโดยรอบเขตการปกครองมาในจดหมายอย่างละเอียด
แน่นอนว่าเรื่องที่สำคัญที่สุดยังคงเป็นการเลื่อนขั้นพื้นที่มงคลรากบัวจาก พื้นที่มงคลระดับล่างสู่พื้นที่มงคลระดับกลาง
อันที่จริงตอนที่ได้รับจดหมายตอบกลับฉบับนี้ เฉินผิงอันก็รู้ข่าวดีที่ใหญ่เทียมฟ้าข่าวหนึ่งแล้ว
เว่ยป้อฝ่าทะลุขอบเขตได้แล้ว
ไม่อย่างนั้นบนจดหมายลับก็ไม่มีทางถูกร่ายตราผนึกภูเขาสายน้ำเฉพาะตัวของภูเขาพีอวิ๋น
เฉินผิงอันไม่ได้เปิดจดหมายลับฉบับนี้อ่านทันที แต่กลับลุกขึ้นยืน เดินออกจากห้อง ไปหยุดอยู่ใต้ชายคา มองม่านฝนที่พร่างพรมอยู่ระหว่างฟ้าดิน
ฝนตกลงมาในโลกมนุษย์ หลบฝนอยู่ในบ้าน หลบฝนอยู่ต่างถิ่น หากไม่ถือร่มเดิน ถ้าอย่างนั้นก็ได้แต่เปียกปอน
เฉินผิงอันหันหน้าไปมองร่มกระดาษน้ำมันที่วางเอียงไว้ริมผนังคันนั้น
บางทีหลักการเหตุผลบางอย่างก็เหมือนกับร่มกระดาษน้ำมันคันนั้น ยามที่ฟ้าสว่างสดใสก็ไม่จำเป็นต้องเอาออกมา
ยามฝนตกก็ค่อยกางร่มอีกครั้ง
ทว่าในหมู่ชาวบ้าน ไม่มีใครที่รู้ได้ว่าฝนจะตกเมื่อไหร่ ถ้าอย่างนั้นควรจะพกร่ม ติดตัวไว้ตลอดเวลาหรือไม่จึงกลายมาเป็นทางเลือกที่ทำให้คนปวดหัว พกไว้กับตัวย่อมเพิ่มภาระน้ำหนักอย่างเลี่ยงไม่ได้ บนเส้นทางที่ท้องฟ้าแจ่มกระจ่าง ถือไว้ในมือแล้วคนอื่นเห็นเข้าก็ยิ่งไม่เข้าท่า
และผู้ฝึกตนที่เดินอยู่บนภูเขาก็ไม่มีความจำเป็นต้องกางร่มหลบฝน
เฉินผิงอันยกมือเกาหัว รู้สึกกลัดกลุ้มเล็กน้อย
คิดไปคิดมา ความคิดสุดท้ายตอนที่เขาหมุนตัวเดินกลับเข้าไปในห้องก็คือ คิดว่าหากที่ตกลงมาในฝนใหญ่ครั้งนี้เป็นเงินฝนธัญพืชก็ดีน่ะสิ หากไม่ได้จริงๆ เป็นเงินเกล็ดหิมะก็ยังดี
……
หลี่หยวนเพิ่งจะไปถึงที่ทะเลเมฆได้ไม่นานเท่าไร เสิ่นหลินเหนียงเนียงเทพวารีก็มาหา
ร่องรอยของคนทั้งสองในถ้ำสวรรค์วังมังกร ขอแค่ตั้งใจปิดบัง ต่อให้เป็นผู้ฝึกตนก่อกำเนิดสองคนที่เฝ้าพิทักษ์ที่แห่งนี้ก็ยังไม่อาจค้นพบเบาะแสใดๆ
ผู้ฝึกตนขอบเขตหยกดิบสองคนของสำนักมังกรน้ำต่างก็ไม่ได้เลือกจะปักหลัก เฝ้าพิทักษ์อยู่ในสำนักตลอดทั้งปี
นี่ก็คือการแสดงความเคารพอย่างไร้คำพูดที่มีต่อสุ่ยเจิ้งหลี่หยวนและเทพวารีเสิ่นหลินอย่างหนึ่ง
ซุนเจี๋ยเจ้าสำนักที่นอกจากจะเข้าร่วมงานพิธีกรรมยันต์ทองที่จัดขึ้นยิ่งใหญ่สุด ในทุกครั้งแล้ว งานพิธีกรรมยันต์หยก ยันต์เหลือง เขาล้วนไม่เข้ามาที่นี่
เมื่อเทียบกับสำนักเหนือแล้ว สำนักใต้ของเส้าจิ้งจือสนิทกับกับตำหนักวารีหนานซวินมากกว่า ทุกๆ ระยะเวลาสองสามปีจะต้องมาพบเสิ่นหลินหนึ่งครั้ง
เสิ่นหลินพูดด้วยสีหน้าซับซ้อน “หลี่หยวน เจ้าพูดออกมาง่ายๆ สักคำไม่ได้หรือ?”
หลี่หยวนเพียงยิ้มบางๆ ไม่เอ่ยคำใด
ต่อให้คำตอบจะเป็นคำว่า ‘ไม่ได้’ ก็มากพอจะทำให้เสิ่นหลินเดาทิศทางของคำตอบที่ถูกต้องได้แล้ว
แต่หลี่หยวนกลับไม่พูดอะไรสักอย่าง ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ แม้แต่ท่านเฉินคนนั้นก็ยังพูดแค่ว่าเขาคือหนึ่งในลูกหลานของสหายสนิทสองคน เสิ่นหลินแค่เรียกเขาว่า ‘คุณชายเฉิน’ ก็พอ ถ้าเช่นนั้นนางก็ไม่อาจมั่นใจในความจริงได้
ขอแค่ยืนยันความจริงไม่ได้ ไม่ว่าอดีตคนของตำหนักวารีหนานซวินท่านนี้จะทำเรื่องที่เกินความจำเป็นแบบใด ก็ล้วนเป็นการเดิมพันด้วยชีวิตทั้งสิ้น
เสิ่นหลินเปลี่ยนวิธีการใหม่มาลองถามหยั่งเชิงว่า “ข้าจะไปถามเส้าจิ้งจือนะ?”
หลี่หยวนยิ้มตอบ “ตามสบาย”
ดวงตาสีทองคู่นั้นของเสิ่นหลินมีประกายแสงเป็นเส้นๆ ไหลเอ่อออกมา จากดวงตา จ้องสุ่ยเจิ้งที่เป็นเพื่อนร่วมงานผู้นี้เขม็ง
หลี่หยวนมีสีหน้าเป็นปกติ
สุ่ยเจิ้งลำน้ำใหญ่ท่านหนึ่ง กับเทพหญิงผู้รับใช้ในพระราชวังพักร้อนท่านหนึ่ง
ระดับตำแหน่งเทพของทั้งสองฝ่ายสูสีกัน ก็เหมือนในครอบครัวใหญ่ด้านล่างภูเขา คนหนึ่งเป็นข้ารับใช้คอยดูแลควันธูปในศาลบรรพชน อีกคนหนึ่งคือสาวใช้ที่ดูแลงานจุกจิกในเรือน
ใครก็ไม่อาจเจ้ากี้เจ้าการกับใครได้ และทั้งคู่ต่างก็ไม่ใช่บุคคลยิ่งใหญ่ที่ขาดหายไปไม่ได้
หากเสิ่นหลินไปสอบถามจากเส้าจิ้งจือจริงๆ หากจะบอกว่าเป็นเรื่องเล็ก ก็เล็กกว่าเมล็ดงา เล็กกว่าเมล็ดถั่วเขียว แต่หากจะบอกว่าเป็นเรื่องใหญ่ ถ้าคนผู้นั้น รู้การกระทำนี้ของเสิ่นหลิน แล้วเกิดไม่ชอบใจ นั่นก็คือโทษประหารที่ลอบสืบเสาะร่องรอยของคนผู้นั้นโดยพลการ ถ้าอย่างนั้นเสิ่นหลินที่ร่างทองยังพอจะอยู่รอดไปได้อีกสองสามร้อยปีก็ไม่ต้องกังวลว่าร่างทองของตนจะเปื่อยแหลกเละไปแล้ว เพราะเพียงแค่ฝ่ามือเดียว ร่างทองก็หายวับไปได้ทันที
ไม่ใช่ว่าหลี่หยวนไม่อยากช่วยให้เสิ่นหลินข้ามพ้นหายนะครั้งนี้ แต่เป็นเพราะเขาไม่กล้า ตัวเขาเองก็ยังเอาตัวไม่รอดเหมือนกันไม่ใช่หรือ?
ยอมให้นางขึ้นเกาะเป็ดน้ำมาก็เหมือนหลี่หยวนเอาดีหมีหัวใจเสือหลายดวงยัดใส่ร่างทองของตัวเอง ถือว่ามีคุณธรรมมากพอแล้ว
เสิ่นหลินยิ้มเจื่อนเอ่ยว่า “ต่างก็พูดกันว่าญาติห่างไกลไม่สู้เพื่อนบ้านใกล้เคียง เจ้าและข้าเป็นเพื่อนบ้านกันมานานขนาดนี้…”
หลี่หยวนสีหน้ามืดทะมึน ขมวดคิ้วพูดว่า “เสิ่นหลินเทพหญิงแห่งตำหนักวารีพระราชวังพักร้อน ข้าแนะนำเจ้าว่าควรหยุดเมื่อพอสมควร!”
ในใจเสิ่นหลินตกตะลึง แล้วก็ได้แต่คารวะขออภัย
หลี่หยวนสะบัดชายแขนเสื้อจากไป
เสิ่นหลินออกมาจากทะเลเมฆอย่างหม่นหมอง นางร่ายวิชาอภินิหารเลี่ยงน้ำของเทพวารีย้อนกลับไปที่จวนในทะเลสาบ
พอมาถึงตำหนักวารีโอ่อ่าโอฬารใต้ทะเลสาบที่ใหญ่เหมือนนครสำคัญในราชวงศ์ใหญ่แห่งนั้น นางก็ไม่กลับไปที่พักของตัวเองโดยตรง ทุกครั้งที่เข้าออกจะต้องผ่าน ประตูใหญ่ที่แขวนกรอบป้ายคำว่า ‘ลมโชยฝนพรม’ อีกทั้งยังได้แต่เดินผ่าน ประตูด้านข้างเท่านั้น
ประตูใหญ่บานนั้นไม่เคยเปิดออก ต่อให้เจ้าสำนักมังกรน้ำมาเยือน หรือแม้แต่ เจ้าประมุขสกุลหยางของหน่วยฉงเสวียนราชวงศ์ต้าหยวนของแต่ละรุ่น รวมไปถึงลี่ไฉ่เซียนกระบี่แห่งทะเลสาบกระบี่ฝูผิงที่มาเยือนจวนน้ำอันโอฬารแห่งนี้ ก็ยังได้แต่ เดินผ่านประตูด้านข้างเท่านั้น
หลังจากที่เดินผ่านประตูด้านข้างมาแล้ว ร่างของเสิ่นหลินก็พุ่งวูบหายไป มาหยุดอยู่ข้างสวนดอกไม้ในจวนตัวเอง ด้านในปลูกต้นไม้ดอกไม้แปลกตาหลากหลายชนิด นกล้ำค่าหายากที่บินลอดไปตามพุ่มดอกไม้ บ้างก็เกาะกิ่งไม้ส่งเสียงร้องพวกนั้น ก็ยิ่งเป็นเผ่าพันธ์ที่หายสาบสูญไปนานแล้วในใต้หล้าไพศาล
มีเทพหญิงองค์หนึ่งเผยกายมารายงานว่า “เหนียงเนียง เส้าจิ้งจือแห่งสำนักใต้ มาเยี่ยมเยือน ท่านจะพบนางหรือไม่เจ้าคะ?”
เสิ่นหลินลังเลอยู่เล็กน้อย ก่อนตอบว่า “บอกไปว่าข้าปิดด่าน ไม่รับแขก”
ในขณะที่เสิ่นหลินปฏิเสธการเข้าพบของเส้าจิ้งจือนั้น
หลี่หยวนก็ยิ่งมีอิสระเสรีมากกว่า เขาร่ายเวทอำพรางตา เปลี่ยนแปลงรูปโฉมกลายมาเป็นเด็กหนุ่มชุดเหลืองที่หน้าตาธรรมดาคนหนึ่ง มาปรากฏตัวอยู่บนขั้นบันไดหยกขาวเส้นนั้นแล้วเดินลงจากเขาไปเรื่อยๆ ผ่านประตูเมือง ไปดื่มเหล้าที่หอสุรา บนสะพาน
ไม่ไปที่ชั้นห้า แต่เลือกที่นั่งง่ายๆ ในห้องโถงใหญ่ เพราะว่าบรรยากาศครึกครื้นยิ่งกว่า เนื่องจากงานพิธีกรรมทั้งสองครั้งล้วนสิ้นสุดลงแล้ว ดังนั้นเมื่อเทียบกับผู้คนแออัด ยากจะหาโต๊ะนั่ง อีกทั้งยังต้องนั่งร่วมโต๊ะกับคนอื่นอย่างตอนที่เฉินผิงอันมาดื่มเหล้าในเหลาสุราก่อนหน้านี้แล้ว เวลานี้ที่ว่างจึงมีเพิ่มขึ้นมาไม่น้อย ระหว่างถ้ำสวรรค์ วังมังกรกับสะพานของลำน้ำใหญ่ หลี่หยวนไปมาได้ตามใจปรารถนา เพราะถึงอย่างไรก็ล้วนเป็นอาณาเขตของลำน้ำใหญ่ เพียงแต่ว่านับตั้งแต่ที่สำนักมังกรน้ำเปิดภูเขาและหลอมเล็กศาลกลางของลำน้ำจี้ตู๋เป็นต้นมา นอกจากจะคอยเฝ้าพิทักษ์ถ้ำสวรรค์แล้ว อย่างมากที่สุดหลี่หยวนก็แค่เดินออกมาจากถ้ำสวรรค์ ซึ่งทุกครั้งจะต้องเปลี่ยนรูปโฉมและการแต่งตัวใหม่ เดินกลับไปกลับมาอยู่บนสะพานยาวเส้นนี้ จำนวนครั้งที่เดินไปสุดปลายทางฝั่งหนึ่งของสะพานยาวยังมีไม่มากด้วย
ทำหน้าที่เฝ้าพิทักษ์มานานหลายร้อยปีหลายพันปี ต่อให้ทำไปอีกหนึ่งหมื่นปี ก็ล้วนถือว่าเป็นงานในภาระหน้าที่ แต่หากไม่เคารพกฎเกณฑ์บางอย่าง ต่อให้จะแค่ครั้งเดียว สำหรับสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาสายน้ำที่มีระดับขั้นเช่นเขาแล้ว บางที อาจกลายมาเป็นพิบัติภัยที่ยากจะชดเชยแก้ไขได้
ตอนนี้ร่างทองของเสิ่นหลินใกล้จะแหลกสลายเต็มที จึงมีความคิดอยากจะทำลายกฎเกณฑ์ ทุ่มสุดชีวิตเพื่อรักษาตำแหน่งเทพเอาไว้ หลี่หยวนทนมองไม่ไหวจริงๆ
อันที่จริงหลังจากที่หลี่หยวนได้พบเจอกับคนผู้นั้นในชาตินี้อีกครั้ง เขาก็ถอดใจอย่างสิ้นเชิงแล้ว ไม่มีความหวังว่าตัวเองจะโชคดีอีกแม้แต่น้อย
เพราะในที่สุดเขาก็มั่นใจแล้วว่า สุ่ยเจิ้งหลี่หยวนก็ดี เสิ่นหลินแห่งตำหนักวารีหนานซวินก็ช่าง ความเป็นความตายของพวกเขา ร่างทองขององค์เทพทั้งหมด ที่จะแหลกสลาย ล้วนไม่อยู่ในความสนใจของคนผู้นั้นเลย
และนี่ก็เป็นสาเหตุที่หลี่หยวนไม่ได้เอ่ยเตือนเสิ่นหลินมากนัก ในเมื่อคนผู้นั้น ไม่ได้สนใจอีกแล้วว่าถ้ำสวรรค์วังมังกรและแผ่นดินของลำน้ำจี้ตู๋ทั้งสายจะอยู่หรือไป ถ้าอย่างนั้นหากเสิ่นหลินแอบข้ามบ่อสายฟ้าไป นางก็จะไม่สนใจด้วยหรือเปล่า?
หากเสิ่นหลินจับพลัดจับผลูเสี่ยงอันตรายจนทำสำเร็จเข้าจริงๆ ก็จะหมายความว่าเขาหลี่หยวนเองก็สามารถเลียนแบบนาง ซ่อมแซมร่างทองต่อชีวิตให้ตัวเองได้ ใช่หรือไม่?
อันที่จริงหลี่หยวนไม่ค่อยชอบความรู้สึกที่ย่ำแย่อย่างถึงที่สุดเช่นนี้เท่าใดนัก
ดังนั้นเขาถึงได้อยากมาเยือนเหลาสุราที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายของโลกมนุษย์แห่งนี้เพื่อดื่มเหล้าดับทุกข์
หลี่หยวนไม่รู้ว่าท่านเฉินที่อยู่บนเกาะเป็ดน้ำผู้นั้นกลัดกลุ้มเรื่องอะไร ถึงได้ต้องออกมาเดินกางร่มใต้สายฝนครั้งแล้วครั้งเล่า ถึงอย่างไรเขาหลี่หยวนก็รู้สึกว่า ต่อให้น้ำฝนที่ตกลงมาในถ้ำสวรรค์วังมังกรล้วนเป็นน้ำสุรา แล้วถูกเขาดื่มจนหมด ก็ยังไม่อาจดับความทุกข์ทั้งหมดนั้นได้
แล้วนับประสาอะไรกับที่การดื่มสุราของสิ่งศักดิ์สิทธิ์บนโลกใบนี้ ไม่ว่าจะเป็นสุราในหมู่ชาวบ้านร้านตลาด หรือสุราหมักตระกูลเซียนก็ล้วนดื่มแล้วไม่เมาทั้งสิ้น
หลี่หยวนคิดจะบีบน้ำตาสักหยดมาแสดงความเวทนาต่อตัวเองก็ยังทำไม่ได้
เขาจึงเริ่มดื่มเหล้าซานเกิง ใช้มือสองข้างตบโต๊ะแล้วร้องคร่ำครวญขึ้นมา
มองดูเหมือนเด็กหนุ่มในโลกมนุษย์ที่เมามายเพราะดื่มเหล้าไม่เก่ง
ห่างออกไปไม่ไกลมีนักดื่มคำรามขึ้นมาอย่างเดือดดาลว่า “เจ้าลูกกระต่ายน้อย หนวกหูจะตายอยู่แล้ว รีบหุบปากให้นายท่านอย่างข้าเดี๋ยวนี้!”
หลี่หยวนเช็ดหน้า หันหน้าไปมองด้วยท่าทางน้อยเนื้อต่ำใจ มือทั้งสองข้าง ปาดกลับไปกลับมาบนโต๊ะเบาๆ “ตอนนี้ข้าอารมณ์ไม่ดี ร้องคร่ำครวญแค่ไม่กี่ที จะเป็นไรไป”
ชายฉกรรจ์คนนั้นหัวเราะหยันเอ่ยว่า “รบกวนอารมณ์สุนทรีในการร่ำสุราของข้า เจ้าว่าตัวเองสมควรโดนเตะไหม?”
หลี่หยวนยกสองมือขึ้นมานวดคลึงซีกแก้ม
คิดว่าจะพาเจ้าคนผู้นี้ไปที่กลางลำน้ำจี้ตู๋ ไม่ดื่มเหล้า แต่เปลี่ยนมาเป็นดื่มน้ำ แถมยังไม่ต้องจ่ายเงินด้วย
และเวลานี้เองชั้นบนก็มีผู้เฒ่าและผู้ฝึกตนหญิงสาวคนหนึ่งเดินลงมา ตรงเอว ของฝ่ายหลังห้อยป้ายหยกของลูกศิษย์ผู้สืบทอดศาลบรรพจารย์สำนักมังกรน้ำ
ผู้เฒ่ามองไปยังชายฉกรรจ์ ยิ้มกล่าวว่า “อย่าได้ทะเลาะกันๆ ทำลายความปรองดองเปล่าๆ”
ชายฉกรรจ์คำรามเดือด “ตาแก่ เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใคร?!”
ผู้เฒ่าพูดกลั้วหัวเราะ “ข้ากำลังจะคิดเงิน วันนี้ค่าสุราของลูกค้าทุกคนในชั้นหนึ่ง ตาแก่อย่างข้าจะเป็นคนจ่ายเอง ถือเสียว่าทุกคนยอมเห็นแก่หน้าบางๆ ของข้า ป๋ายอวิ๋นก็แล้วกัน”
ชายฉกรรจ์ผู้นั้นพลันหุบปากเงียบ รีบลุกขึ้นยืนกุมหมัดกล่าวว่า “ที่แท้ก็เป็น เจินเหรินผู้เฒ่าหวน เสียมารยาทแล้วๆ !”
หวนอวิ๋นกุมหมัดคารวะกลับคืน เดินลงบันไดมาแล้วก็จ่ายเงินค่าสุราให้กับลูกค้าทุกคนดังที่พูด ทันใดนั้นเสียงไชโยโห่ร้องก็ดังสนั่นไปทั่วทั้งห้องโถงใหญ่
ก่อนหน้านี้หลี่หยวนชำเลืองตามองผู้เฒ่าแวบหนึ่ง คือเซียนดินโอสถทองที่คอขวดเริ่มคลายตัว ข้างกายก็คือหญิงสาวที่เพิ่งเลื่อนขั้นเป็นโอสถทอง หากจำไม่ผิด ดูเหมือนว่าจะชื่อป๋ายปี้อะไรสักอย่าง ค่อนข้างได้รับความสำคัญจากซุนเจี๋ยผู้เป็น เจ้าสำนัก สตรีผู้นี้นับว่าโชคไม่เลว ก็ไม่แปลกที่ซุนเจี๋ยจะทุ่มเทความคิดจิตใจอบรมปลูกฝัง ซุนเจี๋ยยืนกรานจะเอายันต์ชุ่นจินที่แม้แต่ผู้ถวายงานก่อกำเนิดก็ยังน้ำลายสออยากได้ชิ้นนั้นมอบให้กับลูกศิษย์ผู้สืบทอดของตน ต่อให้จะอาศัยว่ามีความชอบธรรมเพราะป๋ายปี้ได้เลื่อนขั้นเป็นโอสถทอง แต่ก็ยังตกเป็นผู้ต้องสงสัยว่าฮุบเอาผลประโยชน์เข้ากระเป๋าตัวเอง สองสำนักเหนือใต้ทะเลาะกันอยู่ในศาลบรรพจารย์อย่างรุนแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเส้าจิ้งจือที่ปกติจะไม่ค่อยแสดงความเป็นปรปักษ์กับซุนเจี๋ยอย่างโจ่งแจ้งนักก็ยังอดเอ่ยถ้อยคำรุนแรงไม่ได้ ตอนนั้นในฐานะเจ้าของ ศาลบรรพจารย์สำนักมังกรน้ำที่แท้จริง หลี่หยวนกลับไปหลบอยู่ด้านในภาพเหมือนของบรรพบุรุษภาพหนึ่ง แอบมองดูเรื่องสนุกอย่างถูกอกถูกใจ
อันที่จริงซุนเจี๋ยถือว่าเป็นเจ้าประมุขที่ไม่เลวคนหนึ่งแล้ว
ปฏิบัติต่อสองสำนักเหนือใต้ด้วยความเท่าเทียม
ทว่าก็เพราะเป็นเช่นนี้จึงกลายมาเป็นต้นตอที่ทำให้จิตใจคนไม่สงบ
หากซุนเจี๋ยยอมวางศักดิ์ศรี เอาแต่ปกป้องลูกศิษย์ของสำนักเหนือท่าเดียว กลับกลายเป็นว่าจะไม่มีบรรยากาศอึมครึมชวนอึดอัดใจเช่นนั้น
จากนั้นก็กำหนดผู้สืบทอดที่จะมาเป็นเจ้าสำนักมังกรน้ำคนถัดไปเสียแต่เนิ่นๆ ยืนกรานเด็ดขาดว่าจะยึดกฎให้ความสำคัญกับเหนือไม่สนใจใต้ต่อไป ดูสิว่า นางเส้าจิ้งจือกับสำนักใต้จะทุกข์ทรมาน ถึงท้ายที่สุดแล้วก็จำต้องยอมก้มหน้ารับชะตากรรมหรือไม่?
พูดคุยได้ง่ายเกินไป มีความยุติธรรมมากเกินไป
ก็คือปมของปัญหาที่ซุนเจี๋ยไม่อาจสยบฝูงชนได้
ไม่อย่างนั้นทางฝ่ายของศาลบรรพจารย์ ป่านนี้พวกผู้ถวายงาน เค่อชิงที่นั่งอยู่บนเก้าอี้แถวเดียวกับเส้าจิ้งจือแห่งสำนักใต้ก็คงมีสองสามคนไปนั่งอยู่ทางฝั่งสำนักเหนือนานแล้ว
แน่นอนว่าหากซุนเจี๋ยสามารถเลื่อนขั้นเป็นขอบเขตเซียนเหรินได้เมื่อไหร่ ปัญหาทุกอย่างก็จะสลายหายไปเอง
น่าเสียดายที่ซุนเจี๋ยไม่มีคุณสมบัติและโชควาสนานี้
เวลานี้หลี่หยวนเอาแต่ก้มหน้าก้มตาดื่มเหล้า
หวนอวิ๋นและป๋ายปี้ต่างก็ไม่ได้ฉวยโอกาสมาหาเรื่องเขา นับว่ามีคุณธรรมไม่น้อย
เดินออกมาจากเหลาสุรา ป๋ายปี้และหวนอวิ๋นเดินมาสุดฝั่งหนึ่งของสะพาน แล้วป๋ายปี้ก็พูดกลั้วหัวเราะเสียงเบาว่า “เจินเหรินผู้เฒ่า แม้ว่าข้าจะเลื่อนขั้นเป็นโอสถทองแล้ว แต่เวลาที่ได้เลื่อนขั้นก็ยังไม่มาก ประสบการณ์ยังตื้นเขิน ยังไม่เคยบุกเบิกก่อตั้งจวนอยู่อาศัยเพียงลำพัง หวังว่าคราวหน้าที่เจินเหรินผู้เฒ่ามาเยือนสำนักของพวกเรา ผู้น้อยจะได้ครอบครองเกาะหนึ่งของถ้ำสวรรค์วังมังกรแล้ว ถึงเวลานั้นจะต้องรับรองเจินเหรินผู้เฒ่าอย่างดีแน่นอน”
หวนอวิ๋นยิ้มกล่าว “ขอแค่แน่ใจได้แล้วว่าสามารถบุกเบิกก่อตั้งจวนบนเกาะของถ้ำสวรรค์ได้ สหายนักพรตป๋ายก็สามารถส่งจดหมายมาบอกข้าล่วงหน้า ข้าจะต้องมาแสดงความยินดีด้วยตัวเองอย่างแน่นอน”
ป๋ายปี้พยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม แล้วจึงทาบมือประสานคารวะเจินเหรินผู้เฒ่าลัทธิเต๋า “พระคุณยิ่งใหญ่มิต้องเอ่ยขอบคุณ”
หวนอวิ๋นรู้สึกสะท้อนใจเล็กน้อย คารวะกลับคืนแล้วเอ่ยว่า “ฝึกตนไม่ง่าย เจ้าและข้าร่วมกันมานะพยายาม”
ผู้ที่กลายเป็นโอสถทอง ก็คือคนรุ่นเดียวกับข้า
ขอแค่หวนอวิ๋นยังไม่ใช่ผู้ฝึกตนก่อกำเนิด ถ้าอย่างนั้นไม่ว่าอายุจะต่างกันมากแค่ไหน อันที่จริงก็ถือว่าเป็นสหายนักพรตรุ่นเดียวกันกับลูกศิษย์ผู้สืบทอดที่อายุยังน้อยของสำนักมังกรน้ำคนนี้
ป๋ายปี้ไม่ได้จงใจแสร้งทำเป็นกระตือรือร้นเกินเหตุ เพียงมองส่งเจินเหรินผู้เฒ่าเดินลงจากหัวสะพานไป
แต่ว่าความรู้สึกซาบซึ้งใจของเซียนดินโอสถทองอายุน้อยผู้นี้ล้วนมาจากใจจริง
อันที่จริงหลังจากนางกลับมาถึงสำนักมังกรน้ำก็รู้สึกเสียใจเล็กน้อยที่ไม่ได้ปรึกษาหาข้อสรุปตอนท้ายของเหตุการณ์กับหวนอวิ๋นแต่เนิ่นๆ ต่อให้นางจะต้องมอบของขวัญชิ้นใหญ่ให้อีกฝ่าย ป๋ายปี้ก็ยังไม่มีความลังเลใจใดๆ เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ทางสำนักใต้ฉวยโอกาสนี้เป็นดั่งผู้ที่นั่งดื่มสุราแต่ไม่ได้คิดจะเสพรสชาติของสุรา ไม่เพียงแต่ทำลายอนาคตของนางป๋ายปี้ในสำนักมังกรน้ำ อาจเดือดร้อนไปถึงอาจารย์ผู้เป็นเจ้าสำนักด้วย
ยกตัวอย่างเช่นอู่หลิงถิงที่มีชาติกำเนิดเป็นผู้ฝึกตนอิสระ ตอนนี้เป็นผู้ถวายงานของสำนักมังกรน้ำ เดิมทีเป็นผู้ถวายงานของสำนักเหนือ แต่เขากลับเกือบจะย้ายเก้าอี้ในศาลบรรพจารย์ไปนั่งฝั่งตรงข้ามเพราะเรื่องนี้
อาจารย์โมโหอย่างหนัก
โชคดีที่เมื่อเรื่องร้ายผ่านไป สถานการณ์ก็พลิกผันเปลี่ยนมาเป็นดี
ไม่ว่าอย่างไรป๋ายปี้ก็นึกไม่ถึงว่า ภายใต้เงื่อนไขที่ทั้งสองฝ่ายไม่ได้มีการแลกเปลี่ยนใดๆ ต่อกัน หวนอวิ๋นกลับยินดีพูดจาเพื่อแสดงความเป็นธรรมให้แก่นาง ไม่เพียงแต่เป็นการมอบถ่านท่ามกลางหิมะ ช่วยให้ตนหลุดพ้นข้อสงสัยทั้งหมดของสำนัก ยังเป็นการปักบุปผาลงบนผ้าแพรให้กับตน ทำให้ท่ามกลางขั้นตอนการ ฝึกประสบการณ์ในซากปรักครั้งนี้ ตนกลายมาเป็นคนที่ทำอะไรระมัดระวังรอบคอบ สุขุมเชื่อถือได้ ตอนอยู่กับเหล่าบรรพจารย์ผู้คุมกฎของศาลบรรพจารย์สำนักมังกรน้ำ อะไรที่ควรพูด ไม่ว่าจะจริงหรือเท็จ หวนอวิ๋นก็ล้วนพูดหมด อะไรที่ไม่ควรพูด เจินเหรินผู้เฒ่าก็ไม่พูดถึงแม้แต่คำเดียว
เป็นเหตุให้ตอนที่ป๋ายปี้ได้ยินเรื่องนี้จากอาจารย์ซึ่งโล่งใจเหมือนยกภูเขาออกจากอก อดตื่นตะลึง ทำสีหน้าเหลือเชื่อไม่ได้
ตอนนั้นซุนเจี๋ยไม่ได้พูดอะไรมาก เพียงแต่บอกให้ป๋ายปี้ผู้เป็นลูกศิษย์ถนอม บุญสัมพันธ์บนภูเขาที่ได้มาไม่ง่ายนี้ไว้ให้ดี
หลังจบเรื่องได้ยินว่าหวนอวิ๋นกลายเป็นผู้ถวายงานที่แขวนชื่ออยู่ในนครเหนือเมฆแล้ว ซุนเจี๋ยก็จำต้องเตือนป๋ายปี้ที่ประสบการณ์ยังไม่มากพอว่า หากมีโอกาสก็สามารถ ไปเยือนแคว้นฝูฉวีอย่างเงียบเชียบสักหนหนึ่ง แล้วค่อย ‘ถือโอกาส’ ไปเยือน นครเหนือเมฆ จะดีจะชั่วเสิ่นเจิ้นเจ๋อเจ้านครก็เป็นเซียนดินโอสถทองท่านหนึ่ง
ป๋ายปี้จดจำเรื่องเหล่านี้ไว้ขึ้นใจ
ดังนั้นครั้งนี้ถึงได้เชื้อเชิญหวนอวิ๋นที่เดินทางมาท่องเที่ยวแคว้นเป่ยถิงให้มาเป็นแขกที่สำนักมังกรน้ำ
พอหวนอวิ๋นรู้ว่านางยังไม่ได้ตั้งจวนบนเกาะเป็นของตัวเองก็ยิ่งระมัดระวังมากกว่าเดิม ผู้เฒ่าอ้างว่าตนเองออกมาเตร็ดเตร่อยู่ข้างนอกนานเกินไปแล้ว จำเป็นต้องรีบกลับไปที่ภูเขา
ดังนั้นจึงมีบทสนทนาของเซียนดินโอสถทองสองท่านที่หัวสะพานต่อจากนั้น
สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นความสามารถในการวางตัว ความสามารถในการอยู่ร่วมโลกกับผู้อื่นที่อาจารย์และผู้ถ่ายทอดมรรคาต่างก็สอนไม่ได้ แล้วก็ไม่ควรจงใจถ่ายทอดความรู้ให้ด้วย
ป๋ายปี้ที่ยืนอยู่บนหัวสะพานเพียงลำพังรู้สึกสะท้อนใจยิ่งนัก
เมื่อก่อนมักจะลุ่มหลงอยู่กับกฎเหล็กบนภูเขาที่บอกว่า วางเรื่องราวทางโลกไม่ลง ก็ไม่อาจกลายเป็นคนบนภูเขา
ตอนนี้ลองมาย้อนนึกดูแล้ว ฝึกตนอยู่บนภูเขา รอบกายมีสูงมีต่ำ สถานที่ต่างๆ บนภูเขาก็มีผู้ฝึกตนอยู่มากมายไม่ใช่หรือ? นี่คงจะเป็นเพราะว่าที่แท้คำว่าวางลง ไม่สนใจ ก็เป็นแค่เส้นทางลัดแอบอู้ของพวกคนที่ไม่คิดจะแยแสสิ่งใด ข้าเดินไปบนทางของข้าเท่านั้นกระมัง
หลี่หยวนได้ยินว่ามีคนตะโกนเรียกตนเสียงดังมาจากด้านหลัง “เจ้าลูกกระต่ายน้อย!”
หลี่หยวนหันหน้ากลับไปมอง ชายฉกรรจ์ผู้นั้นยิ้มพลางโยนเหล้ากาหนึ่งมาให้ “เหล้าซานเกิงกานี้ ข้าผู้อาวุโสควักเงินซื้อมาเอง วันหน้าอย่าได้มาร้องคร่ำครวญ หามารดาเจ้าในเหลาสุราอีก บุรุษตัวโตๆ ไม่รู้จักอายบ้างเลย!”
หลี่หยวนยิ้มตาหยีกอดกาเหล้าเอาไว้ ก้มหน้าค้อมเอว พูดเสียงดังว่า “ขอบคุณนายท่านใหญ่ นายท่านใหญ่เดินช้าๆ”
ชายฉกรรจ์คนนั้นอึ้งตะลึงไปเล็กน้อย ก่อนจะสบถขำๆ อยู่สองสามคำแล้วก้าวยาวๆ เดินจากไป
หลี่หยวนเดินพลางดื่มสุราไปด้วย อารมณ์ดีขึ้นเป็นกอง
หวนอวิ๋นไม่ได้นั่งเรือหรือทะยานลมจากไปไกล แต่เดินช้าๆ เลียบลำน้ำใหญ่จี้ตู๋สายนั้น
ตอนอยู่นครเหนือเมฆ เขาเคยเดินไปบนเส้นทางถามใจกับคนหนุ่มคนหนึ่ง
อีกฝ่ายพูดหลักการเหตุผลยิ่งใหญ่ที่มองดูเหมือนเลื่อนลอย
บอกว่าความรู้เหล่านั้นคือสายน้ำที่ไหลรินไปอย่างเชื่องช้า ช่วยให้คนล่องไป ตามกระแส เดินได้มั่นคง
แล้วก็พูดว่าความรู้บางอย่างก็คือรากภูเขา เรื่องราวบนโลกไม่แน่นอน แต่จิตดั้งเดิมมั่นคงไม่ขยับเขยื้อน ย่อมยืนได้นิ่ง
ทั้งสองอย่างล้วนเป็นความรู้ที่ดี ทว่าเรื่องราวทางโลกนั้นยากก็ตรงที่ทั้งสองฝ่ายมักจะตีกันเองเป็นประจำ ตีกันจนหน้าเขียวจมูกบวม หัวแตกเลือดไหล ถึงขั้นที่ว่าตัวเองตีตัวเองตายก็ยังมี
หวนอวิ๋นฟังเข้าหูแล้ว เพราะท่ามกลางการเยี่ยมเยือนภูเขาค้นหาสมบัติที่เต็มไปด้วยมรสุมครั้งนั้น เจินเหรินผู้เฒ่าท่านนี้ต้องเผชิญกับความยากลำบากอย่างใหญ่หลวงมาเกินพอแล้ว
เขาหวนอวิ๋นใช่คนดีหรือไม่ แน่นอนว่าใช่ ไม่เพียงแต่คนอื่นที่ยอมรับในข้อนี้ ในใจของหวนอวิ๋นเองก็คิดว่าตัวเองถือว่าเป็นคนดีมาโดยตลอด
ไม่อย่างนั้นเขาก็ไม่มีทางไปเยือนนครเหนือเมฆ ช่วยเพิ่มอำนาจบารมีให้กับ เสิ่นเจิ้นเจ๋อที่ชีวิตนี้ไม่มีความหวังจะได้เป็นก่อกำเนิด สุดท้ายยังตอบตกลงว่าจะเป็น ผู้ปกป้องมรรคาให้กับสวีซิ่งจิ่ว จ้าวชิงหวาน
คนดีทำความผิดได้หรือไม่? แน่นอนว่าได้ อันดับแรกคือสมบัติหนักที่วางอยู่ตรงหน้า สุดท้ายยังบวกกับชื่อเสียงที่สะสมมาตลอดชีวิต อันที่จริงเขาหวนอวิ๋น ได้ทำผิดต่อมโนธรรมในใจและจิตดั้งเดิมแล้ว คิดจะฆ่าคนชิงสมบัติ ขณะเดียวกัน ก็รักษาชื่อเสียงอันดีงามเอาไว้ นั่นก็คือความผิดมหันต์
มีหลายๆ ครั้งที่ดูเหมือนว่าอีกแค่นิดเดียวก็สามารถสร้างความผิดถูก ความดีเลวที่แตกต่างกันราวฟ้ากับเหวได้แล้ว
ท่ามกลางม่านราตรี ดวงจันทร์ลอยกลางนภา
หวนอวิ๋นสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง รู้สึกเพียงความปลอดโปร่งโล่งสบาย
เพียงแต่ไม่รู้ว่าเซียนกระบี่หนุ่มที่มีจิตใจกว้างขวางคนนั้น จะมีด่านหัวใจที่ยากจะข้ามผ่านไปได้เหมือนกันหรือไม่?
หากมีจริงๆ นั่นจะไม่ยิ่งเป็นดั่งร่องปราการธรรมชาติอันกว้างใหญ่เลยหรือ?
หวนอวิ๋นหวังเพียงว่าคนผู้นั้นจะสามารถพาดสะพานข้ามสายน้ำ ปูเส้นทางบนภูเขา ผ่านลมผ่านฝนไปได้อย่างราบรื่นไร้อุปสรรค
……
สถานที่เงียบสงบแห่งหนึ่งที่อยู่ใกล้กับสำนักมังกรน้ำ
นักพรตเฒ่าคนหนึ่งยื่นมือมาประคองนักพรตหนุ่มที่อยู่ข้างกาย
นักพรตหนุ่มที่สะพายกระบี่ยืนโงนเงนจะล้มมิล้มแหล่ จากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียง ดีอกดีใจ ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม “อาจารย์ เหตุใดวันนี้ข้าถึงไม่อยากอาเจียน เลยล่ะ?”
นักพรตผู้เฒ่าพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ต้องเป็นเพราะตบะมีการพัฒนา คราวนี้ หากกลับไปที่ยอดเขาพาตี้ พวกศิษย์พี่ของเจ้าจะต้องชื่นชมเจ้าหลายคำแน่นอน”
นักพรตหนุ่มพูดด้วยสีหน้ากังขา “อาจารย์ท่านพูดจากใจจริงเถอะ”
นักพรตเฒ่าถึงได้เอ่ยว่า “ถึงอย่างไรอาจารย์ก็มีสหายกว้างขวาง แม้ว่าตลอดทางมานี้จะเดินทางไกล แต่ก็ยังเลี่ยงได้ยากที่จะเดินๆ หยุดๆ มีครั้งนี้นี่แหละที่ระยะทางใกล้ที่สุด”
นักพรตหนุ่มบ่นว่า “อาจารย์ท่านเป็นคนไม่รู้จักพูดเช่นนี้ ก็ไม่แปลกที่ทุกครั้งท่านผู้อาวุโสไปเยี่ยมเยือนถึงบ้าน สหายบนภูเขาเหล่านั้นถึงได้ไม่มีใครยินดี เชิญอาจารย์ให้ไปนั่งบนภูเขา ข้าเห็นชัดเจนเลยว่า ตอนที่พวกเขาพูดคุยกับอาจารย์ ก็มีท่าทีเกรงอกเกรงใจราวกับไม่ใช่สหาย อาจารย์ วันหน้าหากท่านลงจากภูเขาแล้วยังทำแบบนี้อีก คงไม่ได้จริงๆ นะ”
ฮว่อหลงเจินเหรินพยักหน้ารับ “เรื่องของการคบค้ากับสหายนี้ อาจารย์ไม่ค่อยเชี่ยวชาญจริงๆ”
จางซานเฟิงมองอาจารย์ แล้วก็ไม่ได้เอ่ยอะไร
นักพรตผู้เฒ่าจึงได้แต่พยักหน้ารับอีกครั้ง “เรื่องของการฝึกตนก็ไม่ค่อยได้ความสักเท่าไร”
จางซานเฟิงยิ้มกล่าว “ไม่เป็นไร มรรคกถาของอาจารย์ไม่สูง ลูกศิษย์เองก็ไม่ได้ ดีไปกว่ากันสักเท่าไร”
จางซานเฟิงโคลงศีรษะพลางมองไปรอบด้าน แล้วยิ้มเอ่ยอีกว่า “อาจารย์ สำนักมังกรน้ำเป็นตระกูลเซียนใหญ่ขนาดนี้ ท่านคงไม่มีสหายอยู่แล้วสินะ?”
เพียงเพราะว่าสถานที่แห่งนี้คือเป้าหมายของการเดินทางครั้งนี้ อาจารย์จึงเคยเอ่ยชื่อของมันอย่างชัดเจน บอกว่าช่วงนี้เฉินผิงอันสหายของเขาน่าจะอยู่บริเวณใกล้เคียงนี้ ส่วนจวนตระกูลเซียน ทะเลสาบขุนเขาสูงแห่งอื่นๆ ที่พวกเขาสองอาจารย์และศิษย์หยุดพักมาก่อนหน้านี้ ถึงอย่างไรจางซานเฟิงก็ไม่รู้จักสักแห่ง
ฮว่อหลงเจินเหรินอึ้งตะลึงไปเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม
แล้วจึงใช้เสียงในใจบอกซุนเจี๋ยเจ้าสำนักมังกรน้ำผู้นั้นว่าไม่ต้องปรากฏตัวแล้ว กลับไปที่ศาลบรรพจารย์ได้เลย
ไม่มีมารยาท?
ข้าผู้เป็นนักพรตยืนอยู่ตรงนี้ยังไม่มีมารยาทมากพออีกหรือ?
……
เฉินผิงอันเข้ามาในห้องแล้วเริ่มเปิดอ่านจดหมายลับ
ในจดหมาย จูเหลี่ยนพูดถึงเรื่องที่เว่ยป้อฝ่าทะลุขอบเขต กลายเป็นเทพภูเขา ห้าขอบเขตบนองค์แรกในประวัติศาสตร์ของแจกันสมบัติทวีปก่อน
ซ่งเหอฮ่องเต้ราชวงศ์ต้าหลีเสด็จมาเยือนเขตการปกครองหลงเฉวียน ด้วยพระองค์เอง ลำพังเพียงแค่เจ้ากรมทั้งหกกรมก็พากันมาเยือนถึงสองคน ได้แก่เจ้ากรมพิธีการ เจ้ากรมอาญา พวกเขาพากันขึ้นเขาพีอวิ๋นเพื่อมาร่วมแสดงความยินดีกับเว่ยป้อ ไม่เพียงแค่นี้เท่านั้น ทางราชสำนักต้าหลียังเอาอาวุธกึ่งเซียน ‘ใกล้ชิดสายน้ำ’ ชิ้นหนึ่งที่เก็บรักษาไว้ในท้องพระคลังมามอบให้แก่ภูเขาพีอวิ๋นเพื่อให้เป็นวัตถุสยบความชั่วร้ายคว้าชัยชนะดั่งการปักบุปผาลงบนผ้าแพร เมื่อเป็นเช่นนี้ ต่อให้เป็นองค์เทพแห่งขุนเขาอย่างเว่ยป้อก็ยังสามารถควบคุมชะตาน้ำที่อยู่ใน อาณาเขตได้สบายมากขึ้น ถึงขั้นที่ว่ายังสามารถสยบเทพวารีของแม่น้ำลำคลองที่ระดับขั้นสูงที่สุดในอาณาเขตของขุนเขาเหนือต้าหลีได้ด้วย นี่แสดงให้เห็นว่า ซ่งเหอฮ่องเต้พระองค์ใหม่ไม่เพียงแต่ปฏิบัติต่อขุนนางเก่าของอดีตราชวงศ์อย่าง เว่ยป้ออย่างมีมารยาทเท่านั้น ยังเป็นฝ่ายแบ่งอำนาจให้แก่ภูเขาพีอวิ๋น จึงเท่ากับว่าเว่ยป้ออาศัยกำลังของตัวเองคนเดียวก็สามารถมีอำนาจควบคุมภูเขาสายน้ำในสถานที่มังกรลุกผงาดของสกุลซ่งต้าหลีร่วมกับกรมพิธีการและกรมอาญา
ดังนั้นจูเหลี่ยนจึงบอกให้เฉินผิงอันที่เป็นเจ้าภูเขาว่าไม่จำเป็นต้องพิจารณาถึงเรื่องขายสมบัติในบ้าน เพราะตอนที่เว่ยป้อฝ่าทะลุขอบเขตนั้นเกิดความครึกโครมใหญ่หลวง ภาพความเป็นมงคลปรากฏอย่างพร้อมเพรียงกัน ว่ากันว่าชาวบ้านใน เมืองหลวงต้าหลีต่างก็พากันพูดเรื่องนี้ให้แซ่ด ครอบครัวร่ำรวยที่ฐานะมั่นคง หลายแห่งประหนึ่งปลาตะเพียนข้ามแม่น้ำที่กรูกันไปยังจังหวัดหลงโจวที่เพิ่งก่อตั้ง ขึ้นใหม่ หมายจะไปจุดธูปกราบไหว้แสดงความเคารพองค์เทพขุนเขาใหญ่เว่ยที่ ภูเขาพีอวิ๋น ไม่เพียงเท่านี้ กรมการคลังต้าหลียังนำเงินทองแดงแก่นทองเกือบ ร้อยเหรียญไปมอบให้กับภูเขาพีอวิ๋น ถือเป็นหนึ่งในของขวัญที่ทางราชสำนักมอบให้ กรมอื่นๆ ก็มีการแสดงความจริงใจเป็นของตัวเองเหมือนกัน แน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้ ต้องผ่านการพยักหน้าเห็นชอบจากฮ่องเต้หนุ่มเสียก่อน พวกเขาถึงจะกล้าส่งของขวัญไปที่ภูเขาพีอวิ๋นอย่างเปิดเผย
เห็นได้ชัดว่าตัวฮ่องเต้หนุ่มเองก็ประหลาดใจเหมือนกัน เดิมทีได้ประเมินกระแสคลื่นต่างๆ ที่จะถูกชักนำจากเรื่องการฝ่าทะลุขอบเขตของเว่ยป้อไว้สูงมากพอแล้ว คิดไม่ถึงว่ายังประเมินภาพบรรยากาศที่ทั้งราชสำนักและราษฎรร่วมกันเฉลิมฉลองอย่างมีความสุขต่ำไป เรียกได้ว่าเป็นการร่วมแสดงความยินดีทั่วหล้าที่มีน้อยจนนับนิ้วได้นับตั้งแต่ที่ต้าหลีบุกเบิกแคว้นมา คราวก่อนเป็นคุณความชอบทลายแคว้น กำจัดราชวงศ์สกุลหลูแคว้นจงจู่ในอดีตที่ขี่อยู่บนคอต้าหลีมาตลอดเวลาซึ่ง ซ่งจ่างจิ้งอ๋องเจ้าเมืองเป็นผู้สร้างคุณูปการเอาไว้ เมืองหลวงต้าหลีถึงได้มีเรื่องดีๆ อย่างราษฎรนับหมื่นอยู่กันอย่างสงบร่มเย็น หากย้อนไปอีกก็เป็นเรื่องเก่าแก่ที่เกิดขึ้นมาหลายร้อยปีก่อนสกุลซ่งต้าหลีหลุดพ้นจากสถานะแคว้นใต้อาณัติของราชวงศ์สกุลหลูอย่างสิ้นเชิง ในที่สุดก็สามารถก่อตั้งตัวเองขึ้นเป็นราชวงศ์ได้
จูเหลี่ยนบอกว่าลำพังเพียงแค่การจัดงานเลี้ยงเทพท่องราตรีทั้งสามครั้งของ เว่ยป้อ การประเมินคร่าวๆ ก็สามารถชดเชยส่วนขาดของเงินฝนธัญพืชได้ ครึ่งหนึ่งแล้ว
นอกจากนี้
หลิวจ้งรุ่นแห่งเกาะจูไชยังได้ลงนามสัญญาภูเขาสายน้ำ เลือกจะปักหลักอยู่ที่ภูเขาหลังอ๋าวที่มีโชคชะตาน้ำค่อนข้างเข้มข้น ศาลบรรพจารย์ยังคงอยู่ที่ทะเลสาบ ซูเจี่ยน ไม่ได้ย้ายมาด้วย หลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกสำนักเจินจิ้งเล่นงาน เพียงแต่ว่าลูกศิษย์ ผู้สืบทอดที่คุณสมบัติดีที่สุดหลายสิบคนต่างก็มาฝึกตนอยู่ที่ภูเขาหลังอ๋าว ตอนนี้หลิวจ้งรุ่นเริ่มเชื้อเชิญช่างไม้ อาจารย์ค่ายกลของสำนักโม่มาสร้างจวนที่ภูเขาหลังอ๋าวแล้ว ตามข้อตกลง สิ่งปลูกสร้างเหล่านี้จะเป็นส่วนเดียวกับภูเขาหลังอ๋าว นอกเสีย จากว่าอีกสามร้อยปีให้หลังจะต่อสัญญา ไม่อย่างนั้นตอนที่ย้ายออกไปจากภูเขา ก็จะต้องกลายมาเป็นทรัพย์สินส่วนตัวของเจ้าขุนเขาอย่างเฉินผิงอัน
แต่ว่าเกาะจูไชเช่าภูเขาหลังอ๋าวสามร้อยปีกลับมอบเงินมัดจำมาให้แค่ก้อนเดียว เป็นเงินสามร้อยเหรียญฝนธัญพืชเท่านั้น ในเรื่องของเงินเทพเซียน หลิวจ้งรุ่นยืนกรานว่ากิจการบ้านเรือนของตนเล็กเกินไป ไม่มีเงินเก็บสะสมไว้มากนัก เมื่อเทียบกับค่าใช้จ่ายในการย้ายถิ่นฐานและการสร้างความสัมพันธ์กับแต่ละฝ่ายแล้ว ควักเงินฝนธัญพืชสามร้อยเหรียญก็ถือว่าทำให้กระเป๋าเงินของนางแทบจะ ว่างเปล่าแล้ว
ผลกลับกลายเป็นว่าการเอ่ยแทรกมุกตลกของเจิ้งต้าเฟิงกลับทำให้หลิวจ้งรุ่นบอกความลับอย่างหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับชาติกำเนิดของนางในโลกมนุษย์ ก็ถือว่าเป็น เรื่องน่ายินดีที่ไม่เล็กเรื่องหนึ่ง
องค์หญิงแคว้นล่มสลายผู้นี้ยินดีให้การช่วยเหลือภูเขาลั่วพั่วช่วงชิงตำหนักวารีและเรือมังกรน้ำลึกกลับมาอย่างลับๆ ของสองอย่างนี้ ราชวงศ์จูอิ๋งไม่เคยตามหาเจอ ขอแค่ได้ของสองอย่างมาอยู่ในมือ นางหลิวจ้งรุ่นก็สามารถมอบเรือมังกรที่มีมูลค่าควรเมืองลำนั้นให้ได้ หากเอามาได้แค่อย่างเดียว ไม่ว่าจะเป็นเรือมังกรหรือตำหนักวารี ภูเขาหลังอ๋าวกับภูเขาลั่วพั่วก็จะต้องแบ่งกันอย่างละครึ่ง
จูเหลี่ยนไม่ได้ตอบตกลงในทันที เพราะถึงอย่างไรนี่ก็เกี่ยวพันกับกองทัพม้าเหล็ก ต้าหลีในพื้นที่ ง่ายที่จะชักนำให้เกิดปัญหา ดังนั้นจูเหลี่ยนจึงถามเฉินผิงอันมาในจดหมายว่า ควรจะตกลงทำเรื่องนี้ดีหรือไม่
เว่ยหลี่ผู้ว่าคนใหม่มาจากแคว้นหวงถิงแคว้นใต้อาณัติ ส่วนเทพอภิบาลเมืองของจังหวัดใหม่มาจากภูเขาหมั่นโถวที่เป็นจุดรวมของแม่น้ำสามสาย สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็น ‘เรื่องไม่คาดฝัน’ ของวงการขุนนางสายน้ำขุนเขาของต้าหลี จูเหลี่ยนจึงยกมาพูดถึงในจดหมายอย่างไม่ให้ตกหล่นด้วย
เกี่ยวกับงานพิธีกรรมลัทธิเต๋าและลัทธิพุทธสองครั้งที่จัดขึ้นในทะเลสาบซูเจี่ยน จูเหลี่ยนก็ยิ่งเขียนอธิบายอย่างละเอียด อะไรที่เขียนได้ล้วนเขียนมาหมด
แม้แต่เรื่องที่นักพรตตาบอดกับลูกศิษย์สองคนมาปักหลักลงถิ่นฐานอยู่ที่ ร้านฉ่าวมู่ตรอกฉีหลง เขาก็เขียนบอกมาอย่างละเอียด
ยังบอกอีกว่าหลูป๋ายเซี่ยงรับลูกศิษย์มาสองคน เป็นพี่สาวน้องชายคู่หนึ่ง นามว่าหยวนเป่า หยวนไหล ต่างก็เป็นต้นกล้าผู้ฝึกยุทธที่ไม่เลว รอให้เจ้าขุนเขาอย่าง เฉินผิงอันกลับไปถึงบ้านเกิดเมื่อไหร่ก็สามารถหาเวลาว่างให้คนทั้งสองกลับมาที่ ภูเขาลั่วพั่ว บันทึกชื่อไว้ในทำเนียบศาลบรรพจารย์ภูเขาลั่วพั่วได้แล้ว
และยังมีประสบการณ์การขอศึกษาต่อของพวกคนที่อยู่ในสำนักศึกษา ซานหยาต้าสุย
เรื่องที่สำคัญที่สุดเขาเขียนไว้ช่วงท้ายสุดบนกระดาษ เกี่ยวกับเรื่องของ ปราณวิญญาณภูเขาสายน้ำในพื้นที่รากบัว เนื่องจากเงินฝนธัญพืชสองก้อนใหญ่เข้ามาอยู่ในมือแล้ว ชะตาน้ำและรากฐานภูเขาของสถานที่สำคัญหลายแห่งจึงได้รับการบำรุงและถูกสร้างให้มั่นคงอย่างถึงที่สุด ต่อจากนี้ก็จำเป็นต้องคบค้าสมาคมกับ ฮ่องเต้แคว้นหนันเยวี่ยนอย่างจริงจัง
และฮ่องเต้ในโลกมนุษย์ท่านนี้ก็มีท่าทีว่าจะยอมถอยออกจากตำแหน่ง กลายมาเป็นผู้ฝึกตนคนหนึ่ง ส่วนฮ่องเต้องค์ใหม่ที่นั่งบนตำแหน่งได้อย่างไม่มั่นคง แน่นอนว่า ก็ย่อมต้องยอมถอยให้มากกว่า
ทว่ากลยุทธที่ตัดสินทิศทางการดำเนินไปของพื้นที่มงคลขนาดเล็กแห่งนี้ อย่างแท้จริง จูเหลี่ยนยังหวังว่าเฉินผิงอันจะเป็นคนตัดสินใจเอง เขา เจิ้งต้าเฟิงและ เว่ยป้อจะได้ทำตามขั้นตอนที่วางไว้
นอกจากเรื่องน้อยใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับภูเขาบ้านตัวเองแล้ว
จูเหลี่ยนยังพูดถึงเรื่องนอกภูเขาอีกมากมาย
ราชสำนักต้าหลีได้เลื่อนขั้นให้กับแม่ทัพหลักของกองทัพม้าเหล็กสองท่านที่ บุกเข้าไปสังหารราชวงศ์จูอิ๋ง เฉาผิงและซูเกาซานจึงกลายมาเป็นทูตผู้ตรวจตราที่เป็นตำแหน่งใหม่ซึ่งเพิ่งเคยก่อตั้งในประวัติศาสตร์ของต้าหลี
ต่างก็บอกกันว่าอันที่จริงแล้วนี่คือตำแหน่ง ‘นายพลเอกเสาค้ำยันแคว้น’ ที่อดีตฮ่องเต้แต่งตั้งไว้เพื่อแม่ทัพบู๊ที่มีคุณความชอบโดยเฉพาะ เดิมทีสกุลเฉาก็คือ แซ่สกุลเสาค้ำยันแคว้นอยู่แล้ว ทว่าตอนนี้ซูเกาซานมีความมั่นใจมากพอว่าตัวเอง จะนั่งทัดเทียมกับตระกูลใหญ่นายพลเอกได้ ว่ากันว่าสุดท้ายราชวงศ์ต้าหลีจะวางเก้าอี้ ‘ทูตผู้ตรวจตรา’ เอาไว้หกตัว ที่เมืองหลวงต้าหลีมีหนึ่งตัว ที่นครมังกรเฒ่าหนึ่งตัว ในอาณาเขตที่เดิมเป็นของราชวงศ์จูอิ๋งหนึ่งตัว ส่วนอีกสามตัวที่เหลือใครจะเป็นคนนั่ง จะวางไว้ที่ไหน ยังไม่ได้ข้อสรุป แม้แต่การคาดเดาก็ยังไม่มี
นอกจากนี้ก็คือเรื่องที่สถานที่มากมายที่แคว้นล่มสลายเกิดคลื่นลมมรสุม ผู้คน ก่อกบฏกันอย่างต่อเนื่อง ผู้ฝึกตนในท้องถิ่นก็ยิ่งเปิดฉากสังหารขุนนางของต้าหลีที่เฝ้าพิทักษ์ในพื้นที่อย่างกำเริบเสิบสาน
นอกจากกองทัพม้าเหล็กสองกองของเฉาผิง ซูเกาซานที่เดินทางลงใต้ต่อแล้ว กองทัพม้าเหล็กกองสุดท้ายนั้นปักหลักนิ่งไม่เดินหน้าต่อ ส่วนหนึ่งหยุดอยู่บน อาณาเขตของราชวงศ์จูอิ๋ง แบ่งกองกำลังกลับเหนือเพื่อปราบกบฏ
เรื่องราวมากมายที่เขียนบอกไว้ในจดหมาย คือข่าวน้อยใหญ่หลายสิบข่าว
เฉินผิงอันอ่านจดหมายของจูเหลี่ยนอย่างละเอียดถึงสองรอบ แล้วถึงได้ หยิบจดหมายของเผยเฉียนขึ้นมา มีแค่กระดาษสองแผ่นเท่านั้น
ล้วนเป็นถ้อยคำที่นางโอ้อวดตัวเอง
ตั้งใจคัดตัวอักษร ไม่มีติดหนี้ค้างไว้
วิชากระบี่มารคลั่งที่นางสร้างสรรค์ขึ้นเองก็ยิ่งพัฒนาพันลี้ในวันเดียว เรียกได้ว่าเป็นยอดเขาของยอดเขาอีกที
นางสนิทกับโจวหมี่ลี่มาก ตอนนี้ภูตน้ำน้อยได้กลายเป็นผู้พิทักษ์ฝ่ายขวาของ ร้านยาสุ้ยตรอกฉีหลงแล้ว นางสอบถามอาจารย์ว่าเมื่อท่านกลับมาถึงบ้านเกิดแล้ว ก็ควรเลื่อนขั้นให้โจวหมี่ลี่เป็นผู้พิทักษ์ฝ่ายขวาของภูเขาลั่วพั่วแล้วดีหรือไม่ ในจดหมายยังบอกอย่างโจ่งแจ้งว่า นางจะไม่มีทางรับปากว่าจะมอบตำแหน่งขุนนาง ที่ใหญ่ขนาดนี้ให้โจวหมี่ลี่เด็ดขาด ต้องแยกแยะเรื่องส่วนตัวออกจากส่วนรวม ต่อให้จะสนิทกับโจวหมี่ลี่มากแค่ไหน นางก็ไม่มีทางเห็นแก่พวกพ้อง ดังนั้นจึงจำเป็นต้องให้อาจารย์กลับมาบ้านก่อนแล้วค่อยตัดสินใจ
ยังบอกอีกว่าเฉินยวนจีตั้งใจฝึกวิชาหมัดอย่างมาก ไม่เสียแรงที่เป็นผู้มีพรสวรรค์ด้านการฝึกยุทธที่พ่อครัวเฒ่าเลือกขึ้นภูเขามาด้วยตัวเอง เฮ้อ ก็แค่มีครั้งหนึ่ง พี่หญิงเฉินตั้งใจฝึกหมัดมากเกินไป ไม่ทันระวังขั้นบันไดจึงสะดุดล้มขาแพลง ตอนนั้นนางผ่านทางมาพอดี แต่กลับไม่สามารถช่วยประคองพี่หญิงเฉินเอาไว้ได้ เพราะฉะนั้นกระทั่งตอนที่นางเขียนจดหมายฉบับนี้ก็ยังรู้สึกไม่สบายใจอยู่ไม่หาย
ดังนั้นหากในอนาคตพี่หญิงเฉินพูดถึงเรื่องนี้ อาจารย์อย่าได้ตำหนิกล่าวโทษนางเด็ดขาด นี่เป็นความผิดพลาดที่นางเผยเฉียนไม่ได้ตั้งใจจริงๆ
เฉินผิงอันอ่านมาถึงตรงนี้ก็รู้ความลี้ลับที่ซ่อนอยู่แล้ว
ต้องเป็นเพราะทำเรื่องที่ควรโดนมะเหงก ก็เลยเขียนปูทางไว้ให้ตัวเองในจดหมายก่อน
นอกจากนี้แม้แต่เผยเฉียนเองก็อาจตระหนักไม่ได้ว่า นางเขียนเรื่องที่ตัวเอง พบเจอบนภูเขาลั่วพั่วลงในจดหมายมากมาย ทว่าเรื่องหาเงินให้ร้านในตรอกฉีหลง ได้กี่เหรียญกลับไม่เอ่ยถึงแม้แต่คำเดียว ในสายตาของเฉินผิงอัน แสดงว่านางต้อง โดดเรียนบ่อยมากแน่ๆ
เฉินผิงอันเองก็ไม่ได้คิดอะไรมาก ถึงอย่างไรก็มีจูเหลี่ยนคอยจับตามองให้อยู่ คงไม่เกิดเรื่องใหญ่อะไรนัก หากมีจริงๆ ก็เชื่อว่าจูเหลี่ยนต้องเขียนบอกในจดหมายมาตามตรงแล้ว
แต่รอให้เขากลับไปเมื่อไหร่จะต้องให้นางกินมะเหงกจนเต็มอิ่มแน่ ในจดหมายของนางไม่พูดถึงพัฒนาการด้านการเรียนสักคำ แบบนี้จะเรียกว่าตั้งใจเรียนได้หรือ? ด้วยนิสัยนั้นของนาง หากอาจารย์ที่โรงเรียนเอ่ยชมแค่คำครึ่งคำ จะยังไม่เอามาโอ้อวดได้อย่างไร?
เผยเฉียนยังเขียนบอกในจดหมายว่าพี่หญิงซิ่วซิ่วไม่ได้อยู่บนภูเขาเสินซิ่วแล้ว ได้ยินว่าย้ายไปฝึกตนที่อื่น นางค่อนข้างเป็นห่วงพี่หญิงซิ่วซิ่ว เพราะอีกฝ่ายไม่ได้ไป ซื้อขนมที่ร้านฉ่าวมู่นานมากแล้ว
เผยเฉียนบอกว่าพี่สาวหน้าตางดามที่ชื่อสุ่ยจิ่งเฉิงมาเยือนบนภูเขาแล้ว ไม่เพียงแต่หน้าตาดี ยังใจกว้างมาก จ่ายเงินไม่กะพริบตาแม้แต่น้อย แต่ในฐานะ ลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของอาจารย์อย่างนาง ย่อมมีมาดพอตัว จึงไม่เคยเป็น ฝ่ายขอให้สุ่ยจิ่งเฉิงซื้อของให้ตัวเองมาก่อน ไม่เคยแม้แต่ครั้งเดียว
ช่วงสุดท้ายของจดหมาย เผยเฉียนอวยพรขอให้การฝึกประสบการณ์ของอาจารย์ราบรื่น มีเงินทองไหลมาเทมา อารมณ์ดีมีความสุข สงบสุขปลอดภัยทุกวัน ขอให้กลับบ้านเกิดมาในเร็ววัน
พออ่านมาถึงตรงนี้
เฉินผิงอันก็เริ่มตัดใจที่จะเขกมะเหงกใส่นางไม่ลงแล้ว