ม่อหลีหน้าตายผู้นี้แท้จริงแล้วเป็นสตรี!
นางดูไม่มีเสน่ห์ของความเป็นสตรีแม้แต่น้อย!
เพียงแต่ในขณะเดียวกันนางก็ดูไม่มีความเป็นบุรุษด้วยเช่นกัน หากนางกล่าวว่าเป็นบุรุษหลิงฮันก็คงคิดว่าพลังธาตุหยางของนางมีน้อยเกินไปทำให้ดูไม่เป็นบุรุษ
“ไม่จริง!” อูเจวี๋ยกระทืบเท้าชี้นิ้วใส่หลิงฮัน “เจ้าแข็งแกร่งขนาดนี้ได้อย่างไร? ก่อนหน้านี้เจ้าเพิ่งบรรลุระดับดาราเองแท้ๆ ผ่านไปแค่ร้อยปีเหตุใดเจ้าถึงแข็งแกร่งขึ้นขนาดนี้!”
หลิงฮันประหลาดใจ “พบเคยพบข้าเมื่อหนึ่งร้อยปีก่อน? ข้าไม่ยักจะจำได้”
อูเจวี๋ยเค้นเสียงปฏิเสธจะเอ่ยถึงสถานการณ์ในตอนนั้น
หลิงฮันครุ่นคิด อูเจวี๋ยคงพบเขาที่ดาวหยุนติ่งเนื่องจากที่ดาวเหอหนิงนั้นไม่มีสนามรบสองดินแดน
เพียงแต่ที่สนามรบสองดินแดนก็มีสิ่งมีชีวิตใต้พิภพจำนวนมาก เขาจดจำคนที่เขาเคยพบเจอได้ไม่ลืมแต่ถึงอย่างนั้นก็นึกไม่ออกว่าพบกับอูเจวี๋ยตอนไหน
ช่างมันแล้วกัน เขาสังหารไปแล้วแม้กระทั่งตัวตนระดับเซียน ทำไมต้องไปใส่ใจเรื่องที่ไปล่วงเกินบุตรของจ้าวอสูรด้วย?
เมื่อคิดได้แบบนี้หลิงฮันก็ปล่อยวางและไม่คิดอีกต่อไปว่าพบเจอกับอูเจวี๋ยตอนไหน
ยิ่งกว่านั้นถึงแม้อูเจวี๋ยจะมีปัญหากับเขา แต่เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายไม่ได้เกลียดเขาถึงขนาดอยากสังหารให้ตาย ไม่เช่นนั้นอีกฝ่ายคงเปิดเผยความจริงที่ว่าเขาเป็นจอมยุทธจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์ออกมาแล้ว
จ้าวอสูรทั้งสองปะทะกันอย่างดุเดือด นี่คือการปะทะกันของสองตัวตนที่ทรงพลังที่สุด คลื่นพลังทำลายล้างจากทั้งสองส่งผลให้ท้องฟ้าเปลี่ยนสีหม่นหมอง ถึงแม้ม่อหลีจะมีพลังของระดับสร้างสรรพสิ่ง แต่หากก็เทียบไม่ได้เลยกับพลังของจ้าวอสูรที่แท้จริง
การปะทะไม่ได้กินเวลานานสักเท่าไหร่ ผ่านไปเพียงสิบวันจ้าวอสูรทั้งสองก็ล่าถอย
การปะทะครั้งนี้ทั้งสองเสมอกัน
เพียงแต่ว่าจ้าวอสูรป้าเจี้ยนนั้นเป็นฝ่ายพ่ายแพ้เดิมพันเพราะเขาบอกเอาไว้เองว่าการปะทะครั้งนี้เขาจะเป็นฝ่ายชนะ
จูเซวียนรีบกลับไปหาบิดาของนางทันที เหตุใดถึงได้ใช้นางเป็นสิ่งเดิมพันกัน? หากอยากแต่งงานทำไมไม่ท่านไม่แต่งเองเสียล่ะ!
หลิงฮันปัดตูดกำลังจะออกไปจากที่นี่ ครั้งนี้เขาเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ได้มากมายจึงตั้งใจจะเก็บตัวสักระยะ อย่างแรกคือเขาต้องการยกระดับดาบอสูรนิรันดร์ให้กลายเป็นอุปกรณ์เซียน อย่างที่สองคือเขาต้องฝึกฝนอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของดินแดนใต้พิภพให้เทียบเท่าระดับพลังบ่มเพาะปัจจุบัน
หากอำนำแห่งกฎเกณฑ์ทั้งสองเท่ากันและผสานเป็นหนึ่งเดียว พลังต่อสู้ของเขาจะเพิ่มขึ้นอีกระดับ
ถึงแม้รูปแบบอาคมจะช่วยให้เขามีพลังต่อสู้เกินกว่าระดับพลังบ่มเพาะไปแล้ว แต่หลิงฮันก็ยังไม่พึงพอใจ เขาต้องการแข็งแกร่งด้วยตัวเองไม่ได้จากรูปแบบอาคม
“ฮึ่ม เจ้าห้ามไปไหน!” อูเจวี๋ยเอ่ยห้าม ทั้งๆที่ตอนคู่หมั้นของตนเองจากไปเขาไม่ได้เอ่ยห้ามเลยแม้แต่คำเดียว ดูเหมือนว่าเขาจะสนใจในตัวหลิงฮันยิ่งกว่า
“มีธุระอันใด?” หลิงฮันถามด้วยรอยยิ้ม
“ข้าจะแก้แค้นเจ้า!” อูเจวี๋ยจ้องมองด้วยแววตาเกรี้ยวกราด
“นี่ข้าไปทำอะไรให้เจ้ากันแน่?” หลิงฮันกลายเป็นไร้คำพูด หรือเขาจะเคยรังแกเด็กหนุ่มคนนี้จริงๆ?
“เจ้าต้องมากับข้า รอให้พลังของข้าไล่ตามเจ้าทันก่อนแล้วข้าจะแก้แค้นเจ้าด้วยตัวเอง!” อูเจวี๋ยกล่าวเอาแต่ใจเป็นอย่างยิ่ง
หลิงฮันหัวเราะและตบหัวอีกฝ่ายเบาๆ “เด็กน้อย อยู่กับความเป็นจริงบ้าง อย่าได้เอาแต่คิดเรื่องที่ไม่มีทางเป็นไปได้”
อูเจวี๋ยคำรามอย่างเกรี้ยวกราด นี่เจ้าดูถูกข้าขนาดไหนกัน? เขากวัดแกว่งหมัดเข้าหาหลิงฮัน แต่หลิงฮันกดหัวเขาเอาไว้ทำให้แขนเอื้อมไปไม่ถึงตัวหลิงฮัน
“ม่อหลี เจ้าคิดว่าในอนาคตข้าจะทุบตีเขาได้ไหม?” อูเจวี๋ยหันกลับไปถามม่อหลี
ม่อหลีตอบกลับไปโดยไม่ต้องคิด “เป็นไปไม่ได้!”
อูเจวี๋ยชะงักแข็งค้างและอยากจะร้องไห้ นี่เจ้าอยู่ฝ่ายไหนกันแน่?
“ข้าแค่พูดความจริง” ม่อหลีเอ่ยย้ำ
อูเจวี๋ยแน่นิ่งไปสักพักก่อนจะกล่าว “ข้าไม่เชื่อ ข้าจะต้องโค่นหมอนี่ให้ได้! หลิงฮัน เจ้ากล้ามากับข้ารึไม่?” เขากล่าวยั่วยุเพื่อรั้งหลิงฮันไว้
หลิงฮันครุ่นคิดและกล่าว “ไม่มีปัญหา”
อย่างแรกเลยคือเขาไม่มีเป้าหมายว่าจะไปที่ใดในดินแดนใต้พิภพนี้ อย่างที่สองคือม่อหลีเป็นคู่ต่อสู้ที่ดี เขาสามารถใช้นางเป็นหินลับคมให้แก่ตัวเขาเองได้
“งั้นก็ไปกัน!” อูเจวี๋ยเผยสีหน้าคื่นเต้น
“น้องชาย ในอนาคตพวกเราจะได้พบกันอีกแน่!” โก้วลี่กล่าวด้วยรอยยิ้มแปลกประหลาดก่อนจะโบกมือจากไป
โก้วลี่มาถึงบริเวณหนึ่งที่ไม่มีใครอยู่และนำอะไรบางอย่างที่รูปร่างเหมือนเปลือกหอยที่ทำด้วยหยกออกมา เมื่อเขาปล่อยปราณก่อเกิดเข้าไปในเปลือกหอยรูปแบบอาคมบนเปลือกหอยก็ส่องประกาย
“อืม…” เสียงหนึ่งดังออกมาจากเปลือกหอย
“คารวะผู้อาวุโสเก้า!” โก้วลี่กล่าวด้วยน้ำเสียงเคารพ “ศิษย์พบเมล็ดพันธุ์ชั้นยอดคนหนึ่ง”
“ยอดเยี่ยมขนาดไหน?” อีกฝ่ายเอ่ยถาม
“หากศิษย์ดูไม่ผิด คนผู้นั้นสามารถผสานอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของทั้งสองดินแดนให้เป็นหนึ่งเดียวกันได้” น้ำเสียงของโก้วลี่กล่าวจริงจังเป็นอย่างมาก
“ว่าไงนะ!” อีกฝ่ายตกตะลึง “เป็นจ้าวอสูรคนใด?”
“ขอตอบผู้อาวุโสเก้า อีกฝ่ายไม่ใช่จ้าวอสูรแต่เป็นเพียงจอมยุทธระดับวารีนิรันดร์” โก้วลี่กล่าว
อีกฝ่ายไร้การตอบสนองไปชั่วครู่ก่อนจะกล่าวต่อ “เจ้าแน่ใจว่าคนคนนั้นผสานอำนาจแห่งกฎเกณฑ์จริงๆ?”
“ข้ามั่นใจมากกว่าเก้าส่วน” โก้วลี่กล่าวรับประกัน
“ถ้าเช่นนั้นข้าจะเป็นคนไปพบเขาด้วยตนเอง เมล็ดพันธ์ที่ยอดเยี่ยมขนาดนั้นสามารถกลายเป็นความหวังให้กับกลุ่มพันธมิตรของพวกเราได้” เสียงของอีกฝ่ายเว้นระยะชั่วครู่ “เจ้าติดตามคนผู้นั้นเอาไว้ดีอย่าให้คลาดสายตา”
“ขอรับ”
……
อูเจวี๋ยยังไม่รีบกลับ เขาเพิ่งมาดาวหานอวิ๋นเป็นครั้งนี้จึงขอใช้เวลาเดินเตร็ดเตร่ที่นี่ต่อก่อนซึ่งหลิงฮันก็ไม่ได้คัดค้าน พวกเขานัดพบกันในอีกสิบวันเพื่อจะไปยังดาวไห่คงซึ่งเป็นสถานที่อาศัยของจ้าวอสูรขวงล่วน
ในระหว่างนี้หลิงฮันจึงมีโอกาสเข้าไปในหอคอยทมิฬเพื่อยกระดับดาบอสูรนิรันดร์
หลังจากดูดกลืนแร่โลหะศักดิ์สิทธิ์ระดับสิบสามไปจำนวนหนึ่งดาบก็พัฒนาเป็นอุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์ระดับสิบสี่ได้สำเร็จ โดยหลิงฮันไม่หยุดเพียงเท่านี้และนำแร่โลหะระดับสูงขึ้นออกมายกระดับดาบอสูรนิรันดร์เป็นอุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์ระดับสิบห้า สิบหก
หลังจากดูดกลืนแร่โลหะศักดิ์สิทธิ์ระดับสิบหกมากพอ บนดาบอสูรนิรันดร์ก็มีตราประทับศักดิ์สิทธิ์ลึกล้ำปรากฏขึ้นมา ซึ่งหลิงฮันไม่ได้เป็นคนสลักตราประทับนี้นี้ลงไปแน่นอน
มันคือตราประทับเซียน!
หลิงฮันจ้องมองตราประทับบนดาบอสูรนิรันดร์ที่ค่อยปรากฏขึ้นมาเพื่อศึกษาไปในตัว เพียงแต่ไม่ว่าจะมองยังไงเขาก็ไม่เข้าใจเลยแม้แต่น้อย
ระดับพลังของเขายังไม่เพียงพอที่จะเข้าใจหลักการของเซียน
หลิงฮันเลิกจ้องและหันมาฝึกฝนอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของดินแดนใต้พิภพ
เขาไปยังต้นสังสารวัฏ บังเอิญว่าจักรพรรดินีและสตรีนกอมตะเพิ่งจะฝึกฝนเสร็จพอดีเขาจึงเล่าเหตุการณ์ต่างๆที่เขาพบเจอให้พวกนางฟัง สตรีนกอมตะรู้สึกสนใจม่อหลีเป็นอย่างมาก นางอยากรู้ว่าจะจำแนกอีกฝ่ายว่าเป็นสตรีหรือบุรุษได้ยากเพียงใด
หลิงฮันเล่าให้พวกนางฟังด้วยว่าอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของทั้งสองดินแดนสามารถผสานรวมกันได้ เกรงว่าหากต้องการเข้าสู่ดินแดนแห่งเซียนขั้นตอนนี้อาจจะเป็นสิ่งจำเป็น