ตอนที่ 1,017 นายท่านหล่อเหลามากที่สุด
ว่าไงนะ?
นี่คือสิ่งที่หาได้ยากยิ่ง
เมื่อองค์จักรพรรดิได้ยินเช่นนั้น หัวใจก็เต้นเร็วแรงด้วยความตื่นตะลึง
หากมีคนเพียงหนึ่งหรือสองคนบอกว่าตนเองได้รับพรศักดิ์สิทธิ์จากหลินเป่ยเฉิน ก็ยังพออนุมานได้ว่านั่นคือเรื่องบังเอิญ
แต่หากมีผู้คนหลายล้านคนที่บอกตรงกันว่าได้รับพรศักดิ์สิทธิ์จากเด็กหนุ่มผู้นั้น นี่คือเรื่องที่ไม่ปกติอีกต่อไป
“พรวิเศษของหลินเป่ยเฉินเกี่ยวข้องกับอะไรบ้าง?”
องค์จักรพรรดิถามด้วยความเยือกเย็น
หัวหน้าหน่วยองครักษ์หลวงโหลวซานกวนลังเลเล็กน้อย ก่อนตอบว่า “เขาบอกว่าตนเองหล่อเหลาพ่ะย่ะค่ะ”
“อะไรนะ?”
“พรวิเศษของหลินเป่ยเฉินบอกว่า นอกจากตนเองจะหน้าตาดีแล้ว เขาก็ไม่มีอะไรดีอีกเลยพ่ะย่ะค่ะ”
องค์จักรพรรดิพูดอะไรไม่ออกอีกแล้ว
บนหน้าผากของท่านปรากฏเหงื่อเม็ดใหญ่ผุดซึมขึ้นมา
นี่คือพรศักดิ์สิทธิ์ประเภทไหนกัน?
การประทานพรศักดิ์สิทธิ์ไม่ว่าจะเป็นจากหลินเป่ยเฉินหรือจากเทพีกระบี่ก็ตาม มันก็สมควรเป็นเรื่องราวที่มีเนื้อหาสาระมากกว่านี้ไม่ใช่หรือ?
นี่ไม่ใช่การรับพรศักดิ์สิทธิ์แล้ว
หรือว่า… จะเป็นการกลั่นแกล้ง?
ด้วยลักษณะนิสัยของหลินเป่ยเฉิน การกระทำเช่นนี้ถือว่าไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดแต่อย่างใด
เมื่อคิดได้เช่นนี้ นี่ก็หมายความว่าหลินเป่ยเฉินยังอยู่รอดปลอดภัยดีในนครหลวง
มิเช่นนั้น เขาก็คงไม่มีอารมณ์ขันมาเล่นตลกกับชาวเมืองหลายล้านคนเช่นนี้แน่ ๆ
ดังนั้น องค์จักรพรรดิจึงไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้อีกต่อไป
พระองค์ท่านทรงเปลี่ยนคำถามว่า “ท่านเจ้าเมืองฉุยไปปรึกษากับชาวทะเลได้ผลออกมาเป็นอย่างไรบ้าง?”
หลังจากที่คณะขององค์จักรพรรดิเดินทางมาถึงนครเจาฮุย ทุกคนก็ได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดีจากท่านเจ้าเมืองฉุยเฮาเฟิง
อดีตข้าราชการที่กำเนิดจากเมืองเจี้ยนหยวนผู้นี้ สร้างความประทับใจให้แก่องค์จักรพรรดิได้มากมายทีเดียว
แต่ฉุยเฮาเฟิงก็เป็นเพียงขุนนางที่ดีคนหนึ่งเท่านั้น
องค์จักรพรรดิจึงคิดไม่ถึงว่าอดีตเจ้าเมืองหยุนเมิ่ง ซึ่งเป็นเพียงเมืองเล็ก ๆ ติดชายทะเล จะสามารถขึ้นมาดูแลเมืองใหญ่อย่างนครเจาฮุยได้อย่างมีประสิทธิภาพถึงเพียงนี้
ความเจริญรุ่งเรืองของนครเจาฮุยทำให้องค์จักรพรรดิตกตะลึง
และหลินเป่ยเฉินก็มีความมั่นใจมากพอที่จะทิ้งเมืองนี้ให้อยู่ในการดูแลของฉุยเฮาเฟิง
หลังจากเดินทางมาถึงที่นี่ได้หนึ่งวัน นอกจากองค์จักรพรรดิจะได้เห็นถึงความเจริญรุ่งเรืองของเมืองเจาฮุยแล้ว พระองค์ยังได้เห็นถึงความสำคัญของฉุยเฮาเฟิงและบุตรชายฉุยหมิงโหลวอีกด้วย
หลินเป่ยเฉินไม่กลัวบ้างหรือว่าพ่อลูกคู่นี้อาจจะยึดอำนาจไปเป็นของตนเอง?
องค์จักรพรรดิได้แต่คิดแล้วก็สงสัย
ตั้งแต่ที่พระองค์ท่านและคณะผู้ติดตามมาถึงนครเจาฮุยเมื่อวาน ท่านก็ออกคำสั่งให้นครเจาฮุยส่งกองทัพไปทำลายตระกูลเว่ยแห่งมณฑลเฉียนเกาที่นครหลวงทันที ฉุยเฮาเฟิงจึงนำเรื่องนี้ไปปรึกษากับผู้นำชาวทะเลซึ่งมีนามว่าแม่ทัพเหยียนอิง เพื่อขอรับฟังความคิดเห็น…
องค์จักรพรรดิทรงเฝ้ารอฟังข่าวด้วยความวิตกกังวล
“ท่านเจ้าเมืองฉุยยังไม่กลับมาเลยพ่ะย่ะค่ะ”
โหลวซานกวนตอบ
องค์จักรพรรดิพยักหน้าในความเงียบ
ความจริง พระองค์ท่านรู้สึกได้ว่าต่อให้ฉุยเฮาเฟิงมีความเคารพยำเกรงไม่กล้าขัดคำสั่ง แต่ดูเหมือนการยกกองทัพบุกนครหลวงในครั้งนี้ จะมีอุปสรรคขวากหนามอยู่ไม่น้อย
และสิ่งที่เรียกว่าการปรึกษากับแม่ทัพเหยียนอิง ก็น่าจะเป็นอุปสรรคใหญ่มากที่สุดของพวกเขาแล้ว
เรื่องนี้ทำให้ทุกอย่างล่าช้า
แต่ก็ต้องเข้าใจว่าในปัจจุบัน มณฑลเฟิงอวี่ตกอยู่ภายใต้การปกครองของชาวทะเล สถานการณ์ภายในนครเจาฮุยค่อนข้างซับซ้อน เนื่องจากการลงนามในข้อตกลงพิเศษของหลินเป่ยเฉิน จักรวรรดิเป่ยไห่จึงไม่ต้องสูญเสียนครแห่งนี้ให้แก่ชาวทะเล แต่พวกเขาก็ไม่สามารถปกครองที่นี่ได้อย่างอิสระเสรีด้วยเช่นกัน
การจะยกกองทัพขนาดใหญ่ออกจากเมืองไปที่ไหนสักแห่ง จึงจำเป็นต้องได้รับความเห็นชอบจากชาวทะเลเสียก่อน
ดังนั้น หากฉุยเฮาเฟิงไม่คิดจะยกทัพไปช่วยเหลือหลินเป่ยเฉิน เขาก็แค่อ้างชื่อชาวทะเลเท่านั้น กองทัพเป่ยไห่ก็ไม่สามารถเคลื่อนกำลังพลออกจากเมืองได้แล้ว
เว้นแต่ว่าองค์จักรพรรดิจะเข้าไปเจรจากับชาวทะเลด้วยตนเอง
แต่เห็นได้ชัดว่านั่นคือตัวเลือกสุดท้าย
“รออีกหน่อยดีกว่า”
องค์จักรพรรดิยืนอยู่บนกำแพงเมืองและกวาดสายตามองไปรอบบริเวณ
อาคารบ้านเรือนที่มีความสูงอย่างน่ามหัศจรรย์ถูกปลูกสร้างอยู่ทั่วทั้งภายในและภายนอกนครเจาฮุย พวกมันมีกำแพงสีเทา ลักษณะรูปทรงเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัสขนาดใหญ่ มีความสวยงามน้อยกว่าสิ่งปลูกสร้างแบบเก่าก่อนของจักรวรรดิเป่ยไห่ แต่ก็มีความเหมาะสมต่อการดำรงชีวิตมากกว่ากันหลายเท่าเช่นกัน…
หอสูงเหล่านั้นถูกสร้างอยู่ในเขตกำแพงเมืองที่หนึ่งและเขตที่สองอย่างเป็นระบบระเบียบ
ในเขตกำแพงเมืองทั้งสองแห่ง ยังได้สร้างถนนที่มีทางแยกสำหรับการจราจรขนาดใหญ่ ประโยชน์ของมันคือการใช้สัญจรด้วยรถม้าและพาหนะต่าง ๆ ซึ่งแน่นอนว่าถนนเหล่านี้มีความสวยงามบางอย่างที่ถนนดั้งเดิมของจักรวรรดิเป่ยไห่ไม่เคยมี
และทุก ๆ ทางแยกก็จะติดตั้งตะเกียงเวทมนตร์ที่มีแสงไฟสว่างสามสีสลับกันเจิดจ้าตลอดเวลา
เมื่อตะเกียงมีไฟสีแดง การจราจรจะต้องหยุด
เมื่อตะเกียงมีไฟสีเขียว การจราจรก็สามารถเคลื่อนต่อได้
นั่นคือกฎข้อบังคับที่ถูกกำหนดขึ้นมา
แต่ด้วยความที่ทางแยกเหล่านี้มีขนาดกว้างใหญ่ ต่อให้ชาวเมืองในพื้นที่เขตหนึ่งและเขตสองยกขบวนออกมาเดินทางพร้อมกัน การสัญจรก็หาได้เกิดความวุ่นวายโกลาหลไม่…
นอกจากตะเกียงเวทมนตร์เหล่านั้นแล้ว ก็ยังมีสิ่งของแปลกประหลาดพิสดารอีกหลายอย่าง
บรรดาผู้คนในนครเจาฮุยเคยชินกับพวกมันดีแล้ว
แต่สำหรับองค์จักรพรรดิและคณะผู้ติดตาม ไม่ว่าจะเป็นอาคารบ้านเรือนหรือกฎต่าง ๆ ในนครเจาฮุย ล้วนแต่เป็นสิ่งแปลกใหม่ที่ทุกคนไม่เคยพบเจอมาก่อน
ส่วนพื้นที่เมืองเขตสาม เขตสี่ และเขตห้า ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงมากนัก
ณ ปัจจุบันนี้ นครเจาฮุยมีประชากรมากกว่า 10 ล้านคน แบ่งเป็นชาวทะเลได้ประมาณหนึ่งล้านคน แต่พวกเขาก็สามารถใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่องค์จักรพรรดิคิดไม่ถึงเลยจริง ๆ
เดิมที พระองค์ทรงเข้าใจว่าชาวทะเลต้องใช้สถานะของตนเองกดขี่ชาวเมืองและใช้ชีวิตอยู่อย่างมีสิทธิพิเศษ
แต่ผลลัพธ์กลับเป็นตรงกันข้าม
ชาวเมืองเจาฮุยเคยดำรงชีวิตอยู่ภายใต้ความหวาดกลัวด้วยการปกครองของเจ้าเมืองนามว่าเหลียงหยวนเตา แต่เมื่อเจ้าเมืองผู้โหดร้ายคนนั้นถูกกำจัด นครเจาฮุยก็เปลี่ยนสภาพไปโดยสิ้นเชิงในเวลาเพียงหกเดือนเท่านั้น
เรื่องนี้ทำให้องค์จักรพรรดิเริ่มฉุกใจคิด
จักรวรรดิเป่ยไห่ล่มสลาย นครเจาฮุยเจริญรุ่งเรือง…
องค์จักรพรรดิยืนนิ่งเงียบอยู่บนกำแพงเมืองเป็นเวลาเนิ่นนาน
จนกระทั่งได้ยินเสียงระฆังลอยมาตามสายลม
เสียงระฆังลอยมาจากทิศทางของวิหารประจำเมือง
ในอดีต วิหารประจำเมืองคือแหล่งรวมความศรัทธาของผู้คน ที่นั่นได้รับการดูแลโดยนักบวชสาวผู้งดงาม ซึ่งถือเป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวเมืองยามเกิดเหตุการณ์ร้ายแรงต่าง ๆ
แต่บัดนี้ เสียงระฆังฟังดูเศร้าสร้อยเป็นอย่างยิ่ง
แม้พระองค์ท่านจะมาอยู่ที่นี่ได้ไม่ถึงสองวัน แต่องค์จักรพรรดิก็สังเกตเห็นแล้วว่าชาวนครเจาฮุยเดินทางไปสักการะเทพีกระบี่ที่วิหารน้อยมาก…
เพราะโดยส่วนใหญ่แล้ว ชาวเมืองจะสวดภาวนาต่อแท่นบูชาในบ้านของตนเอง
โดยเฉพาะ ณ ปัจจุบันนี้ ที่หลินเป่ยเฉินมีสถานะไม่ต่างไปจากเทพเจ้า เรื่องราวทุกอย่างก็ยิ่งชัดเจนมากขึ้น
“หรือผู้คนจะหันไปบูชาเด็กคนนั้นแล้วจริง ๆ?”
องค์จักรพรรดิทรงทอดถอนพระทัย
พระองค์ทรงนึกไม่ออกเลยว่าหลินเป่ยเฉินสามารถกระทำเรื่องราวเหล่านี้ได้อย่างไร
แต่ความเป็นจริงที่พบเห็นนี้กำลังบอกสิ่งหนึ่งต่อองค์จักรพรรดิว่า…
ไม่ว่าเหตุการณ์ข้างหน้าจะเป็นเช่นไร
นครเจาฮุยก็จะไม่มีทางกลับมาอยู่ภายใต้การควบคุมของพระองค์ได้อีกต่อไป
คงอีกไม่นานกระมังเมืองแห่งนี้ก็จะกลายเป็นอาณาจักรอิสระของหลินเป่ยเฉินโดยสมบูรณ์?
ทันใดนั้น องค์จักรพรรดิก็เข้าใจแล้วว่าเหตุไฉนหลินเป่ยเฉินถึงไว้วางใจให้ฉุยเฮาเฟิงดูแลกำลังทหารมากมายถึงเพียงนี้
นั่นเป็นเพราะว่าต่อให้ขุนนางทั้งหลายจะมีความสำคัญต่อการบริหารบ้านเมืองสักเพียงใด
แต่ในหัวใจของชาวเมืองเจาฮุยนั้น ก็ยังคงมีหลินเป่ยเฉินเป็นอันดับหนึ่งเสมอ
ยืนยันได้จากการที่เด็กหนุ่มเล่นตลกด้วยการให้พรวิเศษที่น่าหัวเราะนั้น ทว่า ชาวเมืองกลับดีอกดีใจยิ่งกว่าได้รับพรจากเทพเจ้าเสียอีก
นครเจาฮุยกลายเป็นเมืองของหลินเป่ยเฉินโดยสมบูรณ์
แม้แต่องค์จักรพรรดิก็ยื่นมือเข้าไปแทรกแซงไม่ได้
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ พระองค์ท่านก็ไม่รู้เลยว่าตนเองสมควรจะดีใจหรือเสียใจมากกว่ากัน
แต่แล้วข่าวสำคัญก็มาถึง…
“ทูลฝ่าบาท ท่านเจ้าเมืองฉุยกลับมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ ชาวทะเลไม่มีปัญหากับการเดินทัพของพวกเราในครั้งนี้”
อัครเสนาบดีจั่วเซียงเป็นผู้ได้รับทราบข่าวและรีบมาแจ้งต่อองค์จักรพรรดิโดยเร็วที่สุด
ได้ยินเช่นนั้น องค์จักรพรรดิก็คลี่ยิ้มออกมาด้วยความดีใจ
นับว่าเป็นข่าวดี
เมื่อได้เห็นขุมกำลังและความเจริญรุ่งเรืองของนครเจาฮุย คณะผู้ติดตามองค์จักรพรรดิก็รู้สึกมั่นใจว่าหากกองทัพแห่งนครเจาฮุยส่งกำลังพลไปร่วมตีนครหลวง โอกาสที่พวกเขาจะแย่งชิงนครหลวงกลับคืนมาได้สำเร็จก็เพิ่มขึ้นอีกหลายเท่า!
พวกเขารีบวิ่งลงบันไดจากกำแพงเมืองและมุ่งหน้าตรงไปยังค่ายที่พักของผู้อพยพชาวเมืองหยุนเมิ่งในพื้นที่เขตสองทันที
ค่ายผู้อพยพซึ่งเปรียบดั่งสวนพฤกษากลางทะเลทราย คือศูนย์รวมอำนาจแห่งนครเจาฮุยที่แท้จริง
บริเวณหน้าทางเข้าค่ายผู้อพยพในขณะนี้ องค์จักรพรรดิพบเห็นสาวรับใช้ข้างกายหลินเป่ยเฉินนามเฉียนเหมย กำลังนำกลุ่มชาวเมืองหลายพันคนมายืนเรียงแถวและโห่ร้องประสานเสียงว่า
“นายท่านหล่อเหลามากที่สุด”
นางตะโกนเสียงดังกังวาน
ไม่ว่าจะเป็นสีหน้าแววตาหรือลักษณะท่าทาง เฉียนเหมยไม่ต่างจากกำลังประกอบพิธีทางศาสนาอยู่ก็ไม่ปาน
องค์จักรพรรดิทรงยิ้มออกมาเล็กน้อย
มีความแปลกประหลาดมากมายรวมตัวอยู่ในเฉียนเหมยผู้นี้
นางมีรูปโฉมงดงาม สวนทางกับฝีมือการต่อสู้ที่ดุเดือดบ้าเลือด
แต่เมื่อความแข็งแกร่งและดุดันเหล่านั้นสลายหายไป เฉียนเหมยจะกลายเป็นเพียงสาวน้อยธรรมดาเมื่ออยู่ตรงหน้าหลินเป่ยเฉิน
และความใฝ่ฝันสูงสุดของเฉียนเหมยไม่ใช่การได้เป็นแม่ทัพหญิงผู้ยิ่งใหญ่แห่งแผ่นดินตงเต้า แต่เป็นการที่นางจะได้แต่งงานกับหลินเป่ยเฉินและมีทายาทตัวน้อยให้แก่เขาต่างหาก
“คุณชายหลินหล่อเหลามากที่สุด”
“คุณชายหลินหล่อเหลาที่สุดในจักรวรรดิ…”
“คุณชายหลินหล่อเหลาที่สุดในใต้หล้า”
“แม่นางเฉียนเหมยกล่าวได้ถูกต้อง”
“ข้าเห็นด้วย”
“จริงแท้แน่นอน”
บรรดานายทหารคนงานขุดเหมืองพร้อมใจกันประสานเสียงไปพร้อมกับเฉียนเหมย
…
“นี่มันอะไรกันเนี่ย?”
เมื่อหลินเป่ยเฉินเปิดแอปเว่ยป๋ออีกครั้ง เขาก็ได้พบกับความจริงที่น่าเหลือเชื่อ…
มีคนคอมเมนต์โพสต์ของเขา
มีคนแชร์โพสต์ของเขา
โพสต์แรกของเขาในแอปเว่ยป๋อได้รับการคอมเมนต์ถึงหนึ่งล้านครั้งและมีคนกดแชร์ถึงห้าล้านครั้ง…
เอ่อ…
ตกลงว่าแอคหลุมพวกนั้นมีคนเล่นจริง ๆ ใช่ไหมเนี่ย?
หรือว่ามันเป็นระบบที่ตั้งเอาไว้ให้คอมเมนต์และกดแชร์โดยอัตโนมัติ?
อย่าบอกนะว่านี่คือความสามารถพิเศษของแอปเว่ยป๋อในโทรศัพท์เครื่องนี้?
หลินเป่ยเฉินไม่รู้ว่าตนเองสมควรร้องไห้หรือหัวเราะมากกว่ากัน
ถึงอย่างไร มันก็ไม่มีประโยชน์สำหรับเขาอยู่ดี
เด็กหนุ่มกดเข้าไปดูช่องคอมเมนต์ของตนเอง เพราะอยากรู้ว่าแอคหลุมพวกนั้นทิ้งข้อความอะไรเอาไว้บ้าง
แต่ลมหายใจต่อมา เขาก็ต้องหรี่ตาลง
สีหน้าแสดงออกถึงความตกตะลึง
เพราะข้อความแถวแรกยาวเป็นพรืดมาจากชื่อบัญชีผู้ใช้ที่เขาคุ้นตามาก
เฉียนเหมย
และข้อความจำนวนมากที่นางพิมพ์เอาไว้ล้วนเป็นประโยคเดียวกันทั้งสิ้น
‘นายท่านหล่อเหลามากที่สุด’
ปรากฏข้อความเช่นนี้ถูกส่งมาจากผู้คนอีกนับหมื่นคน
ชื่อของผู้ที่เข้ามาคอมเมนต์เหล่านั้นล้วนแต่มีความคุ้นหูคุ้นตาหลินเป่ยเฉินเป็นอย่างยิ่ง
หรือว่าเป็นคนที่เขารู้จัก?
โดยเฉพาะคนที่ชื่อเฉียนเหมยนั่น
มันจะเป็นนางไปได้อย่างไร?
หลินเป่ยเฉินรีบกดเข้าไปดูหน้าโปรไฟล์ของผู้ใช้งานที่ชื่อเฉียนเหมย
มีการแสดงข้อมูลเกี่ยวกับนางเอาไว้เพียงสั้น ๆ ว่า
‘มณฑลเฟิงอวี่ เมืองหยุนเมิ่ง’
‘อายุ 17 ปี เพศหญิง’
‘คำอธิบายประจำตัว : สักวันข้าจะต้องแต่งงานกับนายท่านให้จงได้’
ในหน้าไทม์ไลน์ของนางมีการแชร์โพสต์ ‘นอกจากหน้าตาแล้ว ข้าก็ไม่มีอะไรดีเลย’ ของหลินเป่ยเฉินเพียงครั้งเดียวเท่านั้น
ส่วนนางไม่เคยโพสต์รูปภาพอะไรทั้งสิ้น
หลินเป่ยเฉินยกมือทำท่าดันแว่นโดยไม่รู้ตัว
เขารู้สึกว่าตนเองได้ค้นพบอะไรบางอย่าง
ดังนั้น เด็กหนุ่มจึงกลับไปดูที่ช่องคอมเมนต์ของตนเองอีกครั้ง
หลังจากนั้น หลินเป่ยเฉินก็พบว่าชื่อของผู้ที่เข้ามาคอมเมนต์จำนวนมากตรงกับชื่อของผู้ที่อาศัยอยู่ในนครเจาฮุย
ทันใดนั้น ความคิดบางอย่างก็ผุดขึ้นในสมอง
ม่านหมอกแห่งปริศนาเลือนลางหายไป
หลินเป่ยเฉินรู้แล้วว่าแอปเว่ยป๋อในโทรศัพท์เครื่องนี้มีเอาไว้ใช้ทำอะไร!!!