สำหรับเรื่องที่กำลังติดอยู่ในดินแดนความฝัน ไคลน์แสร้งทำเป็นไม่สังเกตเห็น เพียงสลายภาพฉายกงสุลมรณะและเตรียมอัญเชิญ ‘ตัวเอง’ ออกจากช่องว่างประวัติศาสตร์เพื่อตบตาเวรยามในสุสานลับของทูดอร์ จากนั้นก็แอบนำร่างหลักออกจากดินแดนความฝัน ลอบเข้าไปในส่วนลึกของสุสานลับและทำลายทิ้ง
ในปัจจุบันไคลน์สามารถเรียกภาพฉายทางประวัติศาสตร์ออกมาได้พร้อมกันสูงสุดสามภาพ หนึ่งคือกงสุลมรณะ อะซิกอายเกส หนึ่งคือตัวเองในสภาวะถูกปกปิด ซึ่งในกรณีของหัวหน้านักบวช อาเรียนน่า มันไม่แน่ใจว่าจะนับเป็นหนึ่งหรือไม่ แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่เสี่ยง ไคลน์ตัดสินใจยกเลิกหนึ่งภาพก่อนจะอัญเชิญออกมาใหม่
เกี่ยวกับสถานะที่ผิดปรกติของอาเรียนน่า ไคลน์สงสัยว่ายังมีอีกหนึ่งความเป็นไปได้นอกจากตัวจริงมาเยือน นั่นก็คือ หลังจากที่ผู้นำแห่งสำนักชีรัตติกาลซึ่งอยู่ในแนวรบเทือกเขาอมานด้าสัมผัสได้ว่า ‘ตัวตนในอดีตถูกอัญเชิญ’ เธอทำการ ‘ปกปิด’ ร่างหลักจากโลกความเป็นจริง ส่งผลให้สติถูกโอนถ่ายมายังภาพฉายที่ไคลน์ดึงออกมา นั่นอาจเป็นคำอธิบายว่าทำไมภาพฉายของเธอถึงดูมีชีวิตชีวา กล่าวอีกนัยหนึ่งอำนาจในขอบเขตการปกปิดสามารถควบคุมภาพฉายทางประวัติศาสตร์ได้ในระดับหนึ่ง
สำหรับเทวทูตในขอบเขตการปกปิด ไคลน์มิอาจยืนยันสถานการณ์ของภาพฉายได้จากพลังปราชญ์โบราณ มันจึงตัดสินใจไม่ไปยุ่งกับภาพฉายของเธอเพื่อหลีกเลี่ยงอุบัติเหตุ
ขณะไคลน์เตรียมอัญเชิญตัวเองในอดีต ดินแดนความฝันตรงหน้าเลือนหายอย่างเงียบงัน ทุกสิ่งรอบตัวกลับคืนสู่สภาวะปรกติ
มันกำลังยืนอยู่ริมผาสูงหน้าทางเข้า ด้านล่างเป็นสุสานสีดำเด่นตระหง่าน
ชายชราหน้าตาธรรมดาคนหนึ่งกำลังลอยอยู่บนอากาศท่ามกลางแสงไฟจากตะไคร่น้ำริมกำแพงและเสาหินรอบหน้าผา มันจดจ้องไคลน์ด้วยสายตาสงบนิ่ง ถอนหายใจพลางกล่าวเป็นภาษาฟุซัคโบราณ
“เจ้าไม่หลงกลไปกับความฝันที่ข้าถักสาน”
ชายชรามีผมสีขาวล้วน ค่อนข้างดกหนา ใบหน้ามีริ้วรอยไม่มาก หน้าตาแสนธรรมดา
นักสานฝันลำดับสาม ของเส้นทางผู้ชม? ไม่สิ…ชายคนนี้มีระดับเทวทูตเป็นอย่างน้อย…ไคลน์ไม่ตอบสนอง จิตทวีความตึงเครียด ตัดสินใจรีบหยิบฮาร์โมนิก้านักผจญภัยออกมาเป่า
ไม่มีเสียงใดเล็ดลอด มีเพียงไรเน็ตต์ไทน์เคอร์ซึ่งแต่งกายในเดรสสีเข้มซับซ้อนเดินออกมาข้างไคลน์
หนึ่งในหัวทองตาแดงที่ถูกหิ้วในมือ พ่นบางสิ่งออกจากปากเป็นแผ่นยันต์เพชรทรงสี่เหลี่ยม อีกหัวหนึ่งเปล่งเสียงเป็นเฮอร์มิสโบราณ
“วันวาน!”
วันวานอีกครั้ง!
มิสผู้ส่งสารทำการยืมความแข็งแกร่งจากตัวเองในอดีต!
เมื่อเทียบกับลำดับหนึ่ง อย่างอสรพิษปรอทพลังที่เธอสามารถหยิบยืมสามารถคงอยู่ได้นานกว่า
ทว่าไม่มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นกับยันต์
ชายชราในชุดคลุมสีเทาที่ลอยอยู่กลางอากาศ ยกมุมปากอย่างมีเลศนัยพร้อมกับตักเตือน
“อย่าใช้เฮอร์มิสโบราณต่อหน้าข้า”
…เฮอร์มิส…นี่คือเฮอร์มิสที่รอดชีวิตมาจากยุคสมัยที่สองและเป็นผู้สร้างภาษาเฮอร์มิสโบราณ? เทวทูตเส้นทางผู้ชม…ต้นกำเนิดของสมาคมแปรจิต ไคลน์ประหลาดใจในตอนต้นก่อนจะตระหนักบางสิ่ง
แม้เฮอร์มิสจะออกหน้าสู้ แต่ท่าทีกลับไม่จริงจังมากนัก!
ไม่สิเขาอาจจงใจแสดงพฤติกรรมเช่นนี้เพื่อทำให้เราตายใจ…เส้นทางผู้ชมเก่งกาจด้านการครอบงำจิตใจ…ขณะไคลน์ผุดความคิดดังกล่าว อีกสองเศียรของไรเน็ตต์ไทน์เคอร์ทำการเปล่งเสียงเป็นภาษาคนยักษ์และเอลฟ์
“วันวาน!”
ยันต์เพชรรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าลุกไหม้และหลอมรวมเข้ากับความว่างเปล่า
ร่างของไรเน็ตต์ไทน์เคอร์ขยายออกอย่างรวดเร็ว ศีรษะทั้งสี่ลอยขึ้นและร่อนลงบนลำคอ
สี่หัวของหญิงสาวทยอยแปรเปลี่ยนเป็นภาพมายาทีละหนึ่ง
เพียงพริบตาไรเน็ตต์ไทน์เคอร์กลายร่างเป็นตุ๊กตาผ้าขนาดใหญ่ราวกับปราสาท แต่งกายในชุดโกธิกสีดำปักลวดลายซับซ้อน รายล้อมด้วยเถาวัลย์ที่ดูชั่วร้าย ดวงตาของเธอแดงก่ำราวกับเลือดสด
ไรเน็ตต์จ้องไปทางชายชราเฮอร์มิส อ้าปากกว้างแต่ไม่ส่งเสียง
ร่างกายเทวทูตเส้นทางผู้ชมพลันสว่างวาบ กลายเป็นกระต่ายสีขาวอวบอ้วน
‘คำสาปจำแลงกาย’ ของมารบรรพกาล!
กระต่ายมิได้เผยท่าทีตื่นตระหนก เพียงขยายร่างกายจนใหญ่ราวครึ่งหนึ่งของภูเขา สามารถเหยียบไคลน์ให้แบนได้ด้วยเท้าข้างเดียว
สำหรับเทวทูตเส้นทางผู้ชม ตราบใดที่เชื่อว่าตัวเองแข็งแกร่งพอ รูปลักษณ์จะเป็นอย่างไรก็ไม่สำคัญ!
เมื่อกระต่ายกลายร่างเป็นสัตว์ประหลาด บรรยากาศภายในโบราณสถานเริ่มแปรเปลี่ยน ภาพมายาซ้อนทับกับความจริง ส่งผลให้ไรเน็ตต์ไทน์เคอร์สับสนระหว่างความเป็นจริงและความฝัน
ไคลน์สามารถจำแนกได้ชัดเจน และสังเกตเห็นว่า มิใช่แค่มิสผู้ส่งสารที่กำลังเผยร่างสัตว์ในตำนาน แม้แต่กระต่ายยักษ์ก็มีเกล็ดสีเทาปกคลุมร่างกาย บนเกล็ดเต็มไปด้วยลวดลายสามมิติลึกลับที่ดูคล้ายเชื่อมต่อกับจิตใจ
พวกเทวทูตช่างน่าสะพรึง…พวกท่านเผยร่างสัตว์ในตำนานทันทีที่เริ่มศึก…ไคลน์ถอนหายใจแผ่ว ไม่กล้าเพ่งมองนานนัก เนื่องจากเวลาไม่เอื้ออำนวย และระดับตัวตนของมันยังไม่สูงพอ หากจ้องสัตว์ในตำนานร่างสมบูรณ์เป็นเวลานาน เกรงว่าอาจเกิดผลข้างเคียงร้ายแรง เป็นข้อห้ามพื้นฐานสำหรับสนามรบระดับสูง
ขณะมิสผู้ส่งสารกำลังต่อสู้กับกระต่ายที่ยักษ์ในคราบมังกร ไคลน์อาศัยลมแรงส่งตัวเองลงไปยังสุสานลับด้านล่าง พลางท่องพระนามเต็มอันมีเกียรติของใครบางคนเป็นภาษาคนยักษ์ด้วยเสียงแผ่ว จากนั้นก็คว้าแขนไปในอากาศ
ครั้งแรกล้มเหลว ครั้งที่สองล้มเหลว ครั้งที่สามก็ยังล้มเหลว!
บนเกาะแห่งจิตของไคลน์ กระต่ายสีขาวตัวอวบอ้วนทยอยผุดขึ้นทีละหนึ่ง ขณะสติกำลังเลือนรางลงทุกที มือขวาที่เหยียดไปข้างหน้า จับคว้าบางสิ่งจากภายในช่องว่างประวัติศาสตร์
เมื่อดึงแขนกลับ ภาพฉายถูกวาดอย่างรวดเร็ว เป็นสตรีที่แต่งกายในชุดคลุมสีเข้ม สวมผ้าคลุมศีรษะหลวม ๆ ใบหน้าสะสวย ดวงตาสีเข้มมืดมน
เทวทูต ‘ยางลบ’ แห่งโบสถ์รัตติกาลที่ไคลน์เคยพบเจอในอดีต
ในภายหลังชายหนุ่มทราบจากหมู่บ้านสายหมอกว่า หล่อนคือ ‘มารดาแห่งผืนนภา’ ของแคว้นรัตติกาล บุตรสาวของเทพบรรพกาลเฟรเกีย และปัจจุบันต้องสงสัยว่าจะเป็น ‘ภาชนะ’ ในการเสด็จเยือนของเทพธิดา
เนื่องจากเคยอัญเชิญภาพฉายจากช่องว่างประวัติศาสตร์ของหัวหน้านักบวช อาเรียนน่า สำเร็จในครั้งเดียว ไคลน์จึงลองเรียกสตรีผู้นี้ออกมา
พระนามเต็มอันมีเกียรติที่ท่องเมื่อครู่คือชื่อของเทพธิดารัตติกาล!
เกี่ยวกับการอัญเชิญภาพฉายจากช่องว่างประวัติศาสตร์ ปราชญ์โบราณมีขีดจำกัดที่ห้ามฝ่าฝืนก็คือ พวกมันมิอาจอัญเชิญสิ่งที่เกี่ยวข้องกับ ‘เอกลักษณ์’ ของเส้นทางออกมาได้ แต่สำหรับ ‘ภาชนะของเทพแท้จริง’ ข้อจำกัดจะขึ้นอยู่กับว่ามีพลังของเทพแฝงอยู่มาน้อยเพียงใด และเกี่ยวข้องกับ ‘เอกลักษณ์’ โดยตรงหรือไม่ ในทำนองเดียวกัน ไคลน์มิอาจอัญเชิญอามุนด์ร่างต้นได้ แต่กับร่างโคลนยังพอมีโอกาส
เพื่อความแน่นอน ไคลน์อัญเชิญหล่อนในตอนที่กำลังยิ้มให้ตนท่ามกลางโศกนาฏกรรมมหาหมอกควัน และประสบความสำเร็จภายในสี่ครั้ง!
แต่แน่นอนไคลน์เชื่อว่าหากไม่ใช่เพราะตนได้รับการยินยอมจากเทพธิดา หรืออาจถึงขั้นได้รับความเหลือในระดับหนึ่ง มันคงไม่มีทางอัญเชิญภาพฉายนี้ออกมาสำเร็จ ไม่ว่าจะผ่านไปนับร้อยนับพันหรือนับหมื่นครั้ง
หญิงงามรายนี้มิได้จ้องมองปราชญ์โบราณผู้อัญเชิญเธอออกมา แต่ก้มมองลงไปยังสุสานลับเบื้องล่าง
โบราณสถานเกิดการสั่นสะเทือนหนักหน่วง สุสานลับสีทึบด้านล่างเริ่มโยกเอนพร้อมกับผุดระลอกคลื่นน้ำ คล้ายกับกำลังถูกเคลื่อนย้ายไปยังโลกแห่งการปกปิด
ทันใดนั้นท่อนแขนสองข้างเหยียดยาวเข้ามาจากโลกภายนอก ข้างหนึ่งกระแทกใส่ไรเน็ตต์ไทน์เคอร์ร่างยักษ์ อีกข้างกางห้านิ้วและพยายามจับคว้าไคลน์
แขนทั้งสองข้างยาวไม่ต่ำกว่าสิบเมตร ผิวสีเข้ม มีของเหลวเหนียวข้นปกคลุม บางจุดมีตุ่มเนื้อนูนยื่น บ้างเป็นกะโหลกศีรษะ ดวงตาปูดโปน และลิ้นที่มีหนามแหลม
เทพหายนะ เซียอา!
เวรยามที่ยังหลงเหลือภายในโบราณสถานต่างพากันเสียสติ บางคนยกดาบขึ้นมาฆ่าพวกพ้อง บางคนยกปืนเล็งตัวเองและเหนี่ยวไก
ผิวของไคลน์เริ่มแห้งและแตก สติที่เลือนรางเต็มไปด้วยความคิดบ้าคลั่ง มิอาจตอบสนองได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เทวทูตแห่งการปกปิดที่ถูกอัญเชิญออกมา ถอนสายตากลับตามสัญชาตญาณ แหงนมองขึ้นไปยังท่อนแขนทั้งสองข้างที่ราวกับมาจากส่วนลึกของฝันร้าย
ความหวาดผวาอันหนักหน่วงส่งผลแขนของเทพหายนะ เซียอา สั่นระริกแผ่วเบาจนพลาดการจับคว้าไคลน์ ขณะเดียวกันก็ถูกไรเน็ตต์ไทน์เคอร์สาปจนปกคลุมไปด้วยขนสั้นสีเขียว
ทันทีหลังจากนั้น ขณะท่อนแขนเริ่มเลือนราง พวกมันพยายามดิ้นรนให้หลุดจากสถานะถูกปกปิด
ในเวลาเดียวกัน ร่างของสามบุคคลปรากฏกายกลางอากาศด้านบนโบราณสถานใต้ดิน ประกอบด้วยจักรพรรดิโรซายล์ ปฐมกษัตริย์แห่งโลเอ็น วิลเลียมออกัสตัสที่หนึ่ง และเทวทูตนามธรรมที่เป็นกลุ่มก้อนของแสง
ภาพฉายจากช่องว่างประวัติศาสตร์ที่ซาราธอัญเชิญออกมา กำลังไล่ตามมาไม่ห่าง!
เมื่อเทวทูตจำนวนมากรวมตัวกันในสถานที่เดียว ลำพังออร่าก็มากพอจะทำให้บรรยากาศโดยรอบสั่นสะเทือน ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่พวกท่านกำลังปะทะกันอย่างดุเดือด
เพียงพริบตา สุสานสีเข้มทวีความสั่นสะเทือน บนพื้นผิวเผยให้เห็นรอยแตกชัดเจน
ไคลน์ไม่แปลกใจเลยสักนิด เพราะนี่คือแผนที่มันวางไว้ในหัว
ในเมื่อศัตรูแข็งแกร่งและเตรียมการรัดกุมเกินไปจนไม่เปิดช่องว่างให้ทำลายสุสาน มันก็จะดึงทุกคนมารวมตัวกันในจุดเดียวและสร้างความโกลาหล!
นี่คือแรงบันดาลใจจากเหตุการณ์ชุลมุนด้านนอกบายัมเมื่อในอดีต
ย้อนกลับไปในตอนนั้น ผลลัพธ์จากการที่มีเทพหายนะ เซียอา และ ‘ผลผลิตจากโครงการมรณาเทียม’ และเจ้าสมุทร แยนน์ค็อตแมนคอยโจมตีจากระยะไกล ส่วนมิสผู้ส่งสาร ไรเน็ตต์ไทน์เคอร์ก็คอยรับมือครึ่งเทพจากโรงเรียนกุหลาบ คือการพังถล่มของยอดเขา
ไคลน์ต้องการให้สุสานลับพังถล่มเหมือนกับยอดเขาดังกล่าว
มันไม่เชื่อว่าหากเทวทูตต้องปะทะกันอย่างดุเดือด จะมีใครใจเย็นคอยอนุรักษ์สภาพแวดล้อมมิให้พวกมันถูกทำลาย!
และหนนี้กลุ่มเทวทูตที่เข้าร่วมก็ถูกยกระดับจากอดีต!
ยังไม่พอ…ต้องทำให้วุ่นวายยิ่งกว่านี้…ไคลน์ควบคุมด้ายวิญญาณเพื่อป้องกันไม่ให้พวกมันลอยขึ้นด้านบน จากนั้นก็ฉากหลบออกมาตั้งหลักและใช้สัญชาตญาณสัมผัสถึงตัวตนของมิติลึกลับเหนือสายหมอก พยายามสั่งให้พวกมันสั่นเทาแผ่วเบา
หมอกสีเทาปรากฏขึ้นกลางอากาศ เหนือขึ้นไปเป็นพระราชวังสีเทาเด่นตระหง่าน
ปราสาทต้นกำเนิด!
เพียงพริบตา ท้องฟ้าเหนือมหาวิหารศักดิ์สิทธิ์แห่งวายุประจำกรุงเบ็คลันด์พลันหมองคล้ำ คล้ายกับพายุเตรียมก่อตัว
นกตัวหนึ่งที่มีขอบตาดำซึ่งคอยก้มมองบริเวณปลายน้ำของแม่น้ำทัสซอค รีบเปลี่ยนทิศทางการมอง
…
ในซากโบราณสถานหมายเลขหนึ่งแถบชานกรุงเบ็คลันด์ แม่มดทริสซี่ซึ่งถูกขโมยพลังไปหลายชนิด อยู่ในสภาพปางตายจนไม่น่าแปลกใจหากจะล้มลงและเสียชีวิต
โครม!
เธอกระแทกศีรษะใส่หน้าผาจนเกือบฝังเข้าไป เลือดแดงฉานชุ่มฉ่ำไปทุกทิศ
ทันใดนั้นหญิงสาวหยิบวัตถุคล้ายยันต์เพชรรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าออกมา
วันวานอีกครั้ง!
…………………………