ทันใดนั้น เทพมารทุกท่านตรงหน้าก็รู้สึกถึงบางอย่าง พากันหันหลังมา พบว่าเป็นหลัวซิว

“ไอ้หนุ่มยังมีชีวิตอยู่อีก อีกทั้งยังหาที่แห่งนี้เจออีก?” เทพปีศาจสยบนภารี่ตามทอง

“แม้แต่เทพมารต่างก็ตายกันไปหลายคน แต่ไอ้หนุ่มคนนี้กลับยังรอดชีวิตมาได้ตลอด โชคดีเสียเหลือเกิน” เผ่าพันธุ์มารเทวมังกรพูดเสียงเย็น

ช่าจื่อเยียนไม่ได้พูดอะไร แต่ริมฝีปากงดงามนั้นกลับมีรอยยิ้มบาง ๆ ระบายออกมา ก่อนหน้านี้นางก็กังวลว่าหลัวซิวจะตายอยู่ที่แห่งนี้ ถึงอย่างไรแต่ละคนก็ถูกวาร์ปไปยังสถานที่ที่แตกต่างกัน อันตรายก็อาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา

อันตรายเหล่านี้แม้กระทั่งเทพมารต่างก็เอาชีวิตไม่รอด นับประสาอะไรกับหลัวซิวที่เป็นเพียงแดนเจ้ายุทธจักร?

แต่หลัวซิวไม่เพียงแต่ยังไม่ตาย เขายังใช้ชีวิตได้อย่างสบายดี กระทั่งสามารถค้นหาที่นี่จนเจอ ไม่ได้ล่าช้าไปกว่าเทพมารอย่างพวกเขาเลย

“ผู้แข็งแกร่งที่แท้จริงพวกเขาต่างเติบโตได้ขึ้นมาท่ามกลางการทดสอบชีวิตและความตาย มีอัจฉริยะบางคนที่ตายท่ามกลางการทดสอบ แต่อัจฉริยะที่ไม่ตายได้ผ่านความยากลำบากมากมาย ต่างประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ในแดนที่เกินกว่าคนทั่วไปจะเอื้อมถึง”

ดวงตาคู่สวยของช่าจื่อเยียนเป็นประกายระยิบระยับ “หลัวซิว เจ้าใช่คนแบบนั้นหรือไม่?”

“หลัวซิว เจ้ามาตรงนี้”

ช่าจื่อเยียนกวักมือเรียกหลัวซิวที่อยู่ห่างไปไกลนับร้อยเมตร นำเสียงของนางแผ่วเบา ทว่ากลับลอยดังเข้ามาในหูของหลัวซิวอย่างชัดเจน

“ฮ่า ๆ ช่าจื่อเยียน เขาก็แค่เจ้าหนูแดนเจ้ายุทธจักรสามารถมีชีวิตอยู่ได้ถึงที่นี่ก็นับว่าไม่เลวแล้ว เจ้าให้เขาเดินเข้ามา ไม่ตลกไปหน่อยหรือ?” เทพมารอสูรเผ่ามังกรพูดพร้อมเสียงหัวเราะเย้ยหยัน

ภายใต้พลังกดขี่หาที่เปรียบไม่ได้ของเทพสงครามเอกภพ ต่อให้เป็นผู้แข็งแกร่งเทพมารเดนมาถึงที่นี่ก็ยังลำบากอย่างมาก เขาย่อมไม่คิดว่าหลัวซิวที่เป็นเพียงเจ้ายุทธจักรจะสามารถเดินขึ้นมาได้

แต่ช่าจื่อเยียนกลับไม่ได้ใส่ใจ พูดน้ำเสียงนิ่งเรียบ “อย่าใช้ปัญญาอันต่ำต้อยของเจ้ามาดูถูกผู้อื่น บนโลกใบนี้มีคนบางประเภทที่ไม่สามารถใช้หลักการทั่วไปมาประเมินได้”

ความจริงแล้วนั้น หลัวซิวจะสามารถเดินขึ้นมาได้หรือไม่ ช่าจื่อเยียนก็ไม่ได้คาดหวังแต่อย่างใด นางเพียงแค่มีลางสังหรณ์บางอย่าง คิดว่าหลัวซิวจะมีความสามารถพิเศษที่เหนือหลักการทั่วไป

นางยืนอยู่บนจุดสูงสุดของผลการฝึกตนแดนเทพมารขั้นสูง แต่กลับยังไม่สามารถมองหลัวซิวผู้นี้ออกได้

หลัวซิวได้ยินคำพูดของช่าจื่อเยียน ก็ชะงักไปเล็กน้อย เขาย่อมมองออกอยู่แล้ว เทวทูตท่านนี้ที่มาจากโลกาชั้นฟ้า กำลังคิดจะทดสอบเขาอยู่

ลูกแก้วความเป็นตายสามารถคลายพลังกดขี่หาที่เปรียบไม่ได้ของเทพสงครามเอกภพ แต่หากถูกปผู้คนค้นพบว่าเขาไม่ได้รับผลกระทบจากพลังกดขี่ ย่อมก่อให้เกิดความเดือดร้อนแก่ตัวเป็นแน่

เมื่อคิดถึงตรงนี้ หลัวซิวจึงได้ผนึกออร่าลูกแก้วความเป็นตายเอาไว้ ทนรับพลังกดขี่ของเทพสงครามด้วยตนเอง ถึงแม้ว่ามันจะก้าวเดินได้อย่างยากลำบาก แต่เขาก็อยากที่จะยืมพลังกดขี่หาที่เปรียบไม่ได้ของเทพสงครามเอกภพมาเพื่อทดสอบตนเอง

เขาก้าวไปข้างหน้า ทุกย่างก้าว พลังกดขี่ก็จะยิ่งหนักขึ้นเรื่อย ๆ แม้แต่กระดูกบนร่างกายของเขาภายใต้แรงกดดันก็ยังส่งเสียงเปราะ ๆ มีสัญญาณว่าสามารถแตกหักได้ทุกเมื่อ

ถึงแม้ว่ากล้ามเนื้อร่างเนื้อของเขา ในตอนนั้นได้ชุบร่างออกมาจากวาโยสะท้านกระดูกและอนัตตาสายฟ้า ถึงอย่างนั้นก็ยังเป็นการยากที่จะรับพลังกดขี่จากที่แห่งนี้

เมื่อหลัวซิวเดินขึ้นมาได้ร้อยเก้า พลังกดขี่อันยิ่งใหญ่ที่ตระหง่านอยู่นั้น ก็ราวกับบรรลุถึงจุดวิกฤติที่เขาสามารถแบกรับได้ กระดูกขาของเขารองรับน้ำหนักทั้งตัว เป็นอย่างแรกที่อดทนไว้ไม่ไหว เสียงกระดูกัดดังสนั่น

“ข้าก็บอกแล้วว่าเขามาไม่ได้ แต่ด้วยผลการฝึกตนเจ้ายุทธจักรสามารถทำได้ถึงเพียงนี้ ก็อัศจรรย์มากแล้ว” เทพมารอสูรเผ่ามังกรพูดน้ำเสียงเยือกเย็น

“เขาดูเหมือนจะสามารถเทียบเท่าเทพมารทั่วไปได้แล้ว” เทพปีศาจสยบนภาพูดพร้อมกับหรี่ตาลง ในเวลาเดียวกัน เขาก็เหลือบตามองเทพปีศาจจากเผ่าปีศาจไม่กี่คนรอบตัวเขา

เทพปีศาจเหล่านี้ต่างก็ฝึกตนนับหมื่นปีแล้ว แต่หลัวซิวเพิ่งจะฝึกตนได้เพียงสามสิบปี ความแตกต่างนั้นสามารถจินตนาการได้