บทที่ 1458 สามจอมยุทธ์ปะทะกับหงส์ฟ้า

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หวงเฉวียนจือเอามือไพล่หลัง

ปีกหงส์ฟ้าสีทองกระพือช้าๆ แรงกดดันทรงพลังแผ่ออก

ทะเลสาบรอบตัวหวงเฉวียนจือผันผวน ขณะที่ข่งหลิงเอ๋อ หลินชางและเซียวเทียนเปิดเผยตัวออกมา พวกเขามองไปที่หวงเฉวียนจือด้วยการแสดงออกที่ไม่น่าดู

ตอนแรกพวกเขาคิดว่าการซุ่มโจมตีจะจับหวงเฉวียนจือได้โดยไม่ทันตั้งตัว แต่ใครจะคิดว่าพวกเขาทำให้อะไรหวงเฉวียนจือไม่ได้เลย

“ตอนแรกข้าว่าจะให้พวกเจ้าสักสามส่วนเพราะเห็นว่าเป็นพวกเดียวกัน แต่ตอนนี้ข้าเปลี่ยนใจแล้ว” หวงเฉวียนจือยิ้มบาง ขณะมองไปที่ทั้งสามคน

“แกอยากอาหารมากเกินไป! ไม่กลัวกระเพาะแตกตายหรือไง?!” หลินชางตะคอก

“งั้นแกก็ประเมินข้าผิดไป” หวงเฉวียนจือยิ้ม

“ไม่ต้องคุยกันแล้ว ลุยเลย!” ข่งหลิงเอ๋อเป็นคนเด็ดขาด นางกังวลว่าหวงเฉวียนจืออาจกระจายการรับรู้ออกไป หากสิ่งนั้นเกิดขึ้นก็จะเปิดเผยค่ายกลของพวกเขาออกมา

ตู้ม!

พร้อมกับเสียงของนาง สายรุ้งหลากสีก็กวาดออกจากร่างกายผสานเสียงร้องของนกยูง ภาพนกยูงงดงามปรากฏขึ้น ขณะที่ขนหลากสีพลิ้วไหว ความผันผวนของคลื่นหลิงน่าทึ่งก็แผ่ออกไป

เมื่อเห็นว่าข่งหลิงเอ๋อนำร่างหลักออกมา หลินชางก็เปลี่ยนร่างเป็นแร้งขนาดใหญ่ที่มีหัวเก้าหัว ดวงตาแหลมคมเปล่งแสงสีทองราวกับว่าสามารถทะลุผ่านสวรรค์ได้

เซียวเทียนก็นำร่างหลักออกมาเช่นกัน ซึ่งเป็นกระเรียนขนาดใหญ่ปกคลุมไปด้วยเกล็ดมังกร แม้แต่กรงเล็บก็เป็นกรงเล็บมังกรวูบไหวด้วยไอเย็นเยือก

ทั้งสามรู้ว่าหวงเฉวียนจือน่ากลัวเพียงใด ดังนั้นจึงนำร่างหลักออกมาด้วยไม่คิดจะให้หวงเฉวียนจือมีเวลาตั้งหลัก

กีด!

เสียงร้องแหลมดังขึ้น สิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ทั้งสามเริ่มโจมตี นกยูงเก้าสีปลดปล่อยลำแสงจำนวนมหาศาลออกมา แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนก็สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ทันทีหากถูกผูกมัดไว้

แร้งทองเก้าหัวดุร้ายกว่า กรงเล็บของมันกางออกแตกสลายมิติเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย

กระเรียนมังกรฟ้าส่งเสียงร้อง ปลดปล่อยลมหายใจโจมตีด้วยด้วยความผันผวนของการทำลายล้าง

“หึๆ พวกข่งหลิงเอ๋อพยายามน่าดู การโจมตีเช่นนี้สามารถทำให้จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนต้องหน้าเปลี่ยนสีเลยทีเดียว”

ขณะที่การต่อสู้เริ่มขึ้น ภายนอกสระทุกคนก็มองไปที่กระจก พวกเขาสามารถมองเห็นการปะทะกันได้อย่างชัดเจน

แม้พวกเขาจะประหลาดใจที่พวกข่งหลิงเอ๋อจะร่วมมือกับมู่เฉินเพื่อต่อกรหวงเฉวียนจือ แต่เมื่อเห็นภาพเงาสิ่งมีชีวิตแก่นโลหิตที่กำลังจะบรรลุขั้นเซิ่ง พวกเขาก็เข้าใจทันที

ภายใต้สิ่งล่อใจแบบนี้ ก็ไม่แปลกที่จะร่วมมือกับคนนอก

เพียงแต่ไม่รู้ว่าการร่วมมือเช่นนี้จะจัดการกับหวงเฉวียนจือได้หรือไม่…

ภายใต้สายตากังวลของทุกคน หวงเฉวียนจือก็เริ่มเคลื่อนไหว

ท่าทางหวงเฉวียนจือไม่แยแสขณะที่เผชิญหน้ากับการโจมตีที่เข้ามา เขาอ้าปากเปลวไฟสีทองพุ่งออกมาเผาลำแสงสีรุ้งทันที

ในเวลาเดียวกันเขาก็ยื่นมือออกไป ฝ่ามือปะทะกับกรงเล็บสีทอง

เคร้ง!

จังหวะที่ปะทะกันคลื่นกระแทกน่าสะพรึงก็พัดออกมา ทำให้ทะเลสาบเกือบแสนจั้งกระจายออกไปราวกับกลายเป็นพื้นที่สุญญากาศ

หวงเฉวียนจือตัวสั่นเล็กน้อยเมื่อปะทะกับกรงเล็บ กลับกันแร้งทองเก้าหัวกลับส่งเสียงร้องน่าสังเวชขณะที่กระเด็นออกไปพร้อมกับเกล็ดกรงเล็บแตกออก

หลังจากจัดการแร้งทองเก้าหัวได้ หวงเฉวียนจือก็ก้าวออกไปพร้อมกับเสียงหัวเราะขณะที่เงยหน้าขึ้นมองลมหายใจมังกร แสงสีทองกะพริบในดวงตาเขา รัศมีพราวสองสายพุ่งออกมา

ชี่ ชี่!

เมื่อปะทะกับลมหายใจมังกร เสียงดังฉ่าเล็ดลอดออกมา ลมหายใจมังกรพ่ายแพ้ในพริบตา การโจมตีที่เหลืออยู่ทะลุปีกกระเรียนมังกรฟ้าไป

เพียงสิบกว่าลมหายใจอัจฉริยะทั้งสามก็พ่ายแพ้ ขณะที่หวงเฉวียนจือยืนอหังการมองสงบนิ่ง

“หวงเฉวียนจือสมกับเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาอัจฉริยะเผ่าเทพอสูรกลางเวหา!”

เมื่อเผ่าอื่นๆ เห็นฉากนี้ที่ด้านนอกสระยกเทพ พวกเขาก็ฉายความตกตะลึงบนใบหน้า แม้ว่าชื่อเสียงพวกข่งหลิงเอ๋อจะโด่งดัง แต่ก็เผยให้เห็นช่องว่างพลังของพวกเขาหลังจากแลกกระบวนท่ากับหวงเฉวียนจือ

หวงเฉวียนจือสามารถแก้ไขการโจมตีทั้งสามได้อย่างง่ายดาย ทั้งสองฝ่ายไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกัน

“พวกเจ้าคิดว่าร่วมมือกันแล้วจะต่อกรกับข้าได้รึ?”

มองไปที่พวกข่งหลิงเอ๋อ หวงเฉวียนจือก็กล่าวด้วยรอยยิ้มจางว่า “เห็นแก่พวกเจ้าที่เป็นส่วนหนึ่งของเผ่าเทพอสูรกลางเวหา ข้าจะไม่เอาเรื่องพวกเจ้า ไสหัวไปซะ”

“แก่นระดับเกือบจะบรรลุขั้นเซิ่งไม่ใช่สิ่งที่พวกเจ้าจะเพลิดเพลินได้”

คำพูดของเขาทำให้พวกข่งหลิงเอ๋อโกรธแค้นขึ้น แต่ก็ไม่สามารถตอบโต้ได้ เนื่องจากถูกข่มขู่โดยพลังของหวงเฉวียนจือ

“งั้นเหรอ? ข้าไม่คิดอย่างนั้นนะ”

ทันใดนั้นเสียงหัวเราะก็ดังขึ้น ภาพเงาหนึ่งปรากฏขึ้นด้านหลังหวงเฉวียนจือพร้อมกับความผันผวนของมิติ

“ไอ้โง่!”

เมื่อเห็นว่ามู่เฉินไม่ได้เคลื่อนไหวทันทีหลังจากที่ปรากฏตัว ข่งหลิงเอ๋อก็สถบด่าในใจ หวงเฉวียนจือคือใคร? การฟื้นตัวจากความประหลาดใจเพียงชั่วครู่ มู่เฉินก็จะสูญเสียจังหวะการบุกก่อนทันที

เช่นเดียวกับที่ข่งหลิงเอ๋อคาดไว้ ท่าทางหวงเฉวียนจือเปลี่ยนไปอย่างเย็นชาเมื่อเสียงของมู่เฉินดังก้อง เขาขว้างฝ่ามือออกไปทางด้านหลังทันที แสงสีทองที่น่าสะพรึงกลัวรวมตัวกันก่อตัวเป็นชั้นสีทองที่ทำให้มิติแตกสลายภายใต้ฝ่ามือเขา

เผชิญหน้ากับฝ่ามือนั่น มู่เฉินก็ยิ้มอย่างไม่แยแส รัศมีแสงยุ่งเหยิงแผ่กระจายออกไปด้านหลังศีรษะเขาพร้อมกับลำแสงปะทะกับหวงเฉวียนจือ

วาบ!

เมื่อแสงยุ่งเหยิงกวาดผ่าน พวกข่งหลิงเอ๋อก็หดดวงตา เนื่องจากเห็นว่าภาพเงาของหวงเฉวียนจือหายไปภายใต้แสงยุ่งเหยิงและถูกกวาดเข้าไปในความสับสนวุ่นวายที่อยู่เบื้องหลังมู่เฉิน

เมื่อแสงยุ่งเหยิงกวาดหวงเฉวียนจือเข้ามา มู่เฉินก็ก้าวไปข้างหน้าปรากฏในค่ายกลมิติก่อนที่ร่างเงาหนึ่งจะถูกโยนออกมาจากแสงยุ่งเหยิงเบื้องหลัง

“เปิดค่ายกล” ในเวลาเดียวกันเสียงของมู่เฉินก็ดังก้องอยู่ในโสตประสาทมของข่งหลิงเอ๋อ

ไม่ทันจะตกตะลึงกับฉากที่มู่เฉินจับตัวหวงเฉวียนจือได้ทันควัน ข่งหลิงเอ๋อก็สร้างตราประทับขึ้นอย่างรวดเร็ว ค่ายกลขนาดใหญ่ปลดปล่อยความผันผวนถูกเปิดใช้งานทันที ขณะเดียวกันนางเหลือบมองมู่เฉินที่กำลังพยายามหลบจากวงรัศมีของค่ายกล ตราประทับก็เปลี่ยนไป ดวงตากะพริบวูบไหว ขบวนแถวค่ายกลแผ่กระจายออกด้วยความเร็วที่น่าทึ่งจนเกือบที่จะกลืนกินมู่เฉินไปด้วย

แต่เมื่อค่ายกลกำลังจะห่อหุ้มมู่เฉิน ค่ายกลปกปิดที่เขาตั้งไว้ก็ระเบิดแสงออกมาขัดขวางค่ายกลมิติไว้

ในช่วงสั้นๆ นั้นเองมู่เฉินก็ปรากฏตัวห่างออกไปอีกหลายพันจั้ง

เมื่อค่ายกลมิติถูกกระตุ้นอย่างสมบูรณ์ ก็เกิดการฉีกออกเปิดเส้นทางมิติรุนแรง ร่างหวงเฉวียนจือถูกดูดเข้าไป แต่ก่อนที่เขาจะหายตัวไปทุกคนก็สามารถสัมผัสได้ถึงสายตาเย็นชาของหวงเฉวียนจือที่สาดออกมา…

สายตานั่น ทำให้พวกข่งหลิงเอ๋อหนาวเยือก มีเพียงมู่เฉินที่ยังคงยิ้มเรียบเฉย

“มู่เฉิน เจ้าเป็นอะไรไหม?”

เมื่อหวงเฉวียนจือหายไป ข่งหลิงเอ๋อก็กลับมามีจริตจะก้านเฉิดฉาย ทะยานเข้ามาอย่างกังวลก่อนที่จะถาม

มู่เฉินมองไปที่ข่งหลิงเอ๋อด้วยรอยยิ้มลึกล้ำพลางส่ายหน้า

หลินชางและเซียวเทียนก็เข้ามาด้วยสีหน้าซีดขาว แต่เมื่อมองไปที่มู่เฉินก็ไม่มีความสงสัยใดๆ เหมือนในอดีต แววตากลับเต็มไปด้วยหวาดกลัว

พวกเขาทั้งสามไม่สามารถทำอะไรกับหวงเฉวียนจือได้ แต่มู่เฉินสามารถจับหวงเฉวียนจือได้อย่างง่ายดายเพียงแค่กระบวนท่าเดียวก่อนที่จะโยนอีกฝ่ายเข้าไปในค่ายกล ความสามารถนี้น่าหวาดกลัวเกินไปแล้ว

ในตอนนี้พวกเขาเข้าใจแล้วว่าทำไมมู่เฉินถึงไม่กลัวหวงเฉวียนจือ เพราะตัวเขาก็ไม่ธรรมดาเช่นกัน

“พี่มู่น่าเกรงขามจริงๆ ดูเหมือนว่าพวกข้าจะประเมินเจ้าต่ำเกินไป” หลินชางกล่าว

“ได้โอกาสพอดีน่ะ ไม่ได้เก่งกาจอะไรหรอก” ทว่ามู่เฉินส่ายหัวก่อนที่จะพูดต่ออย่างใจเย็น “ไปจับเหยื่อเร็ว หวงเฉวียนจือไม่ใช่ง่ายที่จะรับมือ”

พอได้ยินคำพูดเขา พวกข่งหลิงเอ๋อก็พยักหน้า พวกเขามองดูสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ที่อยู่ห่างไกลออกไปด้วยดวงตาลุกโชน…

ในเวลาเดียวกันทุกคนที่อยู่นอกสระยกเทพก็ตกตะลึง ความเงียบกวาดตัวไปทั่ว

ไม่มีใครคาดคิดว่าหวงเฉวียนจือผู้ยิ่งใหญ่จะถูกโยนเข้าไปในค่ายกลโดยมู่เฉินในพริบตา…

‘ชายคนนี้น่ากลัวเกินไปแล้ว!’