บทที่ 1459 แก่นโลหิตชั้นยอดเสมือนขั้นเซิ่ง

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

ด้านนอกสระยกเทพความเงียบโรยตัว

ผู้คนต่างตกตะลึงขณะเงยหน้ามองกระจกที่ฉายภาพด้วยความตกใจ เพราะก่อนหน้านี้หวงเฉวียนจืออยู่ยงคงกระพันจนเกินไป

“มู่เฉินไม่น่ากลัวเกินไปหรือ?” ในที่สุดก็มีคนฟื้นสติและอดไม่ได้ที่จะเบะปาก

หวงเฉวียนจือถูกจับได้ในการเคลื่อนไหวครั้งเดียว แม้ว่าจะมีส่วนที่ไม่ทันตั้งตัว แต่ก็พิสูจน์ให้เห็นว่ามู่เฉินแข็งแกร่งมาก

“ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมเขาถึงสร้างเรื่องให้เผ่าฝูถูได้ เขามีความสามารถจริงๆ” ขณะนี้ทุกคนมองไปที่มู่เฉินในแง่มุมใหม่หลังจากที่ได้เห็นกลยุทธ์ของเขา พวกที่ได้แค่ฟังผลสำเร็จของมู่เฉินในตอนแรกก็ต้องยอมรับในความโดดเด่นของอีกฝ่ายที่เกิดขึ้น

เทียนฮวงมองภาพนี้ด้วยความตกใจฉายบนใบหน้า เมื่อก่อนตอนที่เขาได้พบกับมู่เฉิน ชายหนุ่มไม่เป็นแม้แต่ฝุ่นในสายตาของเขา แต่ใครจะคาดคิดว่าในเวลาเพียงไม่กี่ปีหนุ่มน้อยคนนั้นจะเติบโตมากจนแม้แต่เขาก็ได้แต่แหงนดูเท่านั้น?

“นับเป็นโชคดีที่สุดในชีวิตจิ่วโยวที่ได้รู้จักกับเขา ดูเหมือนว่าพวกเราจะสายตาคับแคบเมื่อในอดีตที่พยายามแยกทั้งสองคนออกจากกัน” เทียนฮวงยิ้มอย่างขมขื่น

ขณะที่บทสนทนาเกิดขึ้นรอบสระยกเทพ หวงจิงก็มองไปที่กระจกโดยไม่มีระลอกคลื่นบนใบหน้า ไม่มีใครบอกได้ว่าเขาคิดอะไรอยู่

“มู่เฉินนั่นมีความสามารถจริงๆ” ผู้อาวุโสตระกูลหวงหดดวงตาอยู่เบื้องหลังหวงจิง

หวงจิงพยักหน้าจ้องมองไปที่กระจกขณะที่แสดงความคิดเห็นเบาๆ “แต่เขาประเมินความสามารถของอัจฉริยะเผ่าหงส์ฟ้าต่ำไป ถ้าเขาคิดว่าสามารถจัดการกับหวงเฉวียนจือได้ในลักษณะนี้”

 

ในมวลน้ำสีมรกต

มู่เฉิน จิ่วโยวและคนอื่นๆ ต่างมองไปที่สิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ที่มีรัศมีสายเลือดพวยพุ่งออกมาจากร่าง พวกเขาอดไม่ได้ที่ลมหายใจขาดช่วง

หลังจากมองอยู่เป็นเวลานานมู่เฉินก็ขมวดคิ้ว “แม้ว่าแก่นโลหิตนี้จะแสดงสัญญาณของก้าวข้าม แต่กระบวนการก็ช้าเกินไป ถ้าจะรอให้มันสะสมเพียงพอคงต้องใช้เวลาหลายปี เราไม่มีเวลารอนานขนาดนั้น”

ข่งหลิงเอ๋อยิ้ม “พี่มู่พูดถูก ในเมื่อเป็นเช่นนั้นเราก็ต้องช่วยให้มันเติบโตแล้ว”

ดวงตามู่เฉินวูบไหวพลางพยักหน้า “ดูเหมือนว่าพวกเจ้าจะเตรียมตัวมาพร้อมนะ”

ข่งหลิงเอ๋อพยักหน้าไปทางหลินชางและเซียวเทียน พวกเขาโบกมือทันที แก่นโลหิตเกือบร้อยชิ้นที่มีขนาดเท่าศีรษะหมุนรอบตัวพวกเขา

เห็นได้ชัดว่าแก่นโลหิตเหล่านั้นถูกจับโดยพวกเขาและระดับไม่ได้ต่ำนัก เมื่อรวมเข้าด้วยกันก็ปลดปล่อยรัศมีสายเลือดที่หนาแน่น

“ถ้ามันดูดซับสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดก็จะมีพัฒนาการได้” ข่งหลิงเอ๋อยิ้ม

เมื่อมองไปที่รัศมีสายเลือดไร้ขอบเขตมู่เฉินก็ประหลาดใจ “พวกเจ้าทำอะไรกับพวกมันเหรอ?”

มู่เฉินรู้สึกได้ถึงความผันผวนของคลื่นหลิงที่คลุมเครือจากแก่นโลหิตเหล่านั้น

เมื่อได้ยินคำพูดของมู่เฉิน ข่งหลิงเอ๋อก็ตกใจ นางไม่คิดว่ามู่เฉินจะประสาทสัมผัสไวขนาดนี้ นางผงกหัวทันที “พวกข้าได้ทำอะไรบางอย่างไว้ หลังจากที่แก่นโลหิตบรรลุเราก็จะสามารถทำให้มันบาดเจ็บและจับได้ง่ายขึ้น”

“เยี่ยม”

มู่เฉินกล่าวชื่นชม ความคิดของข่งหลิงเอ๋อช่างละเอียดถี่ถ้วน วิธีเช่นนี้ไม่ใหัโอกาสในการหลุดรอดของแก่นโลหิตเลย

แน่นอนว่าเป็นเพราะแก่นโลหิตเบื้องหน้าไม่มีสติปัญญาใดๆ ด้วย มิฉะนั้นมันจะไม่กลืนกินแก่นโลหิตเหล่านี้อย่างแน่นอน

ข่งหลิงเอ๋อส่ายหน้าพร้อมกับยิ้มแล้วโบกมือ แก่นโลหิตจำนวนมหาศาลเหล่านั้นก็บินไปหาร่างขนาดมหึมา

เมื่อแก่นโลหิตจำนวนมากรวมเข้าด้วยกัน ก็ดึงดูดความสนใจของร่างขนาดมหึมานั่น มันส่งเสียงคำรามทันทีก่อนที่จะกลืนกินแก่นโลหิตเหล่านั้นไป

ตู้ม ตู้ม!

ภายใต้การเสริมพลัง รัศมีสายเลือดของร่างขนาดมหึมาก็เริ่มสั่นสะเทือน ส่งคลื่นกระแทกออกมา แม้แต่มิติยังบิดเบี้ยว

ทุกคนสามารถสัมผัสได้ว่ารัศมีของร่างมหึมานี้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและไปถึงระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะปลายสุดแล้ว

ทว่าจู่ๆ ก็เริ่มช้าลงราวกับว่าติดขัดจนไม่สามารถก้าวออกไปได้

“ไอ้บ้าเอ้ย!”

คิ้วของข่งหลิงเอ๋อขมวดเป็นปมเมื่อมองภาพนี้ นางไม่เคยคิดมาก่อนว่าหลังจากจ่ายราคาแพงระยับ เจ้าตัวนี้ก็ยังขาดขั้นตอนอยู่

“ทำยังไงดี?” มู่เฉินขมวดคิ้ว พวกเขาใช้ความพยายามอย่างมาก ดังนั้นหากสุดท้ายได้เพียงแก่นโลหิตขั้นเซียนระยะปลายสุด ก็ไม่มีความหมายอะไร

ข่งหลิงเอ๋อกัดริมฝีปากลังเลชั่วครู่ก่อนที่จะพูดอย่างเด็ดขาด “คงได้แค่ทางเลือกสุดท้าย เราจะใช้แก่นโลหิตของมหาเทพอสูรเพื่อช่วยเร่งขั้นตอนสุดท้าย”

ขณะที่นางพูด หลินชางและเซียวเทียนก็ลังเล ท้ายที่สุดการสูญเสียแก่นโลหิตเป็นราคามหาศาลสำหรับมหาเทพอสูร เนื่องจากจะต้องใช้เวลานานในการฟื้นตัว

“ทุกอย่างคุ้มค่าถ้าเราได้มา!” ข่งหลิงเอ๋อพูดเสียงขรึม

หลังจากพิจารณาชั่วครู่ หลินชางและเซียนเทียนก็พยักหน้าก่อนที่จะมองไปที่จิ่วโยว

หลังจากลังเลชั่วครู่มู่เฉินก็เอ่ยว่า “จิ่วโยวมีส่วนช่วยได้เพียงเล็กน้อยเพราะนางยังอ่อนแอเกินไป ไม่เช่นนั้นนี่จะเป็นอันตรายต่อรากฐานของนาง”

เมื่อจิ่วโยวได้ยินคำพูดของเขา นางก็พยักหน้าเห็นด้วย

ทั้งสามแลกเปลี่ยนสายตากัน หากจิ่วโยวให้ได้เพียงน้อยนิด พวกเขาก็ต้องเสียเยอะเพิ่มขึ้น ช่างเป็นเรื่องที่น่าปวดใจสำหรับพวกเขา ถ้ามู่เฉินไม่อยู่ที่นี่พวกเขาจะเค้นเอาสายเลือดของจิ่วโยวออกมาสักครึ่งหนึ่งเพื่อป้อนให่แก่นเลือดชั้นยอดชิ้นนี้ ทว่าตอนนี้พวกเขากลัวมู่เฉินมาก ดังนั้นพวกเขาจึงได้แต่ถอยความคิดไป

“ถ้างั้นก็ทำตามที่พี่มู่ว่า”

เมื่อทั้งห้าคนตัดสินใจ พวกเขาก็กัดลิ้นตัวเอง เลือดกลั่นไหลรินซึ่งเปล่งประกายรัศมีออกมา

สายธารเลือดทั้งสี่ไหลไปสู่แก่นโลหิตซึ่งเป็นยาบำรุงชั้นดียิ่งนัก มันฉายท่าทางเป็นสุขทันที คำรามด้วยความตื่นเต้นเมื่อกลืนกินแก่นโลหิตสดเหล่านั้น

ตู้ม ตู้ม ตู้ม!

หลังจากซึบซาบแก่นโลหิตแล้ว รัศมีของแก่นโลหิตนี้ก็ได้รับการยกระดับอย่างรุนแรง แม้แต่เกล็ดสีแดงก็ปรากฏขึ้นบนร่างกาย

นอกจากนี้ยังปลดปล่อยความผันผวนที่น่ากลัวซึ่งทำให้ใบหน้าของพวกมู่เฉินเปลี่ยนไป ขณะที่พวกเขามองดูร่างมหึมาอย่างกังวล

ดวงตาของพวกเขาวูบไหวด้วยแสงหลิง สามารถมองทะลุร่างของแก่นโลหิตได้และเห็นร่างกายของมันเริ่มเปลี่ยนไป

โดยปกติแก่นโลหิตชั้นยอดจะอยู่ในรูปของไข่มุก แต่เจ้าสิ่งนี้เริ่มเปลี่ยนเป็นลูกทรงกลมสีดำที่ดูเหมือนเม็ดยา แทรกซึมรัศมีสายเลือดที่น่าสะพรึงกลัว

มากจนพวกเขารู้สึกได้ถึงภูมิปัญญาวูบวาบในดวงตาของมัน

“เร็วเข้า! อย่าปล่อยให้มันบรรลุ ไม่งั้นเราจะไม่สามารถปราบมันได้แน่!” มู่เฉินร้องตะโกนทันทีกับฉากนี้

อีกสามคนก็รู้สึกได้ถึงความแข็งแกร่งของร่างมหึมา ดังนั้นพวกเขาจึงพยักหน้าโดยไม่ลังเลและสร้างตราประทับขึ้น

ตึง ตึง!

เมื่อพวกเขาสร้างตราประทับ ร่างมหึมาก็ระเบิดออกอย่างรุนแรง ความลับที่ซ่อนอยู่ในแก่นโลหิตถูกกระตุ้น

การระเบิดภายในร่างทำให้วิวัฒนาการของแก่นโลหิตชั้นยอดหยุดชะงัก มันส่งเสียงคำรามอย่างเจ็บปวด แม้แต่รัศมีสายเลือดก็อ่อนแอลง เห็นได้ชัดว่าได้รับบาดเจ็บหนัก

“ระเบิดแก่นโลหิตอีก!” ข่งหลิงเอ๋อร้องอีกครั้ง

แก่นโลหิตที่พวกเขาส่งออกไปถูกซ่อนด้วยกลวิธีบางอย่าง ซึ่งแก่นโลหิตนี้ยังไม่ได้รับการขัดเกลาอย่างสมบูรณ์ ดังนั้นพวกเขาจึงสามารถจุดชนวนได้อีกครั้ง

ตู้ม!

การระเบิดสี่ครั้งถูกกระตุ้นซึ่งดังก้องมาจากร่างมหึมา ครั้งนี้มันได้รับบาดเจ็บหนัก ร่างมหึมาลดขนาลง มันรู้สึกถูกคุกคามจนต้องการหนีให้เร็วที่สุด

“ตามมันไป!”

ข่งหลิงเอ๋อร้องลั่น ทั้งห้าก็ทะยานไล่ตามแก่นโลหิตเกือบจะบรรลุระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง

ครืนๆ!

ขณะที่มันพยายามหลบหนี โดยมีทั้งห้าคนติดตามอยู่ข้างหลัง พวกเขาก็ปล่อยการโจมตีไม่ยั้ง

การไล่ล่าครั้งนี้ใช้เวลาหนึ่งชั่วโมงก่อนที่ร่างมหึมาจะหดตัวลงสิบกว่าเท่า แม้แต่รัศมีสายเลือดที่น่ากลัวรอบๆ ตัวมันก็อ่อนแอลงจนถึงขีดสุด

เมื่อพวกมู่เฉินเห็นว่ามันไม่มีพลังที่จะหลบหนีอีกต่อไป พวกเขาก็ล้อมกรอบปลดปล่อยการโจมตีที่รุนแรง

ตู้ม!

ในที่สุดมันก็แตกเป็นเสี่ยงๆ ลำแสงสีดำทะยานขึ้น ลูกกลมลอยอยู่เบื้องหน้าพวกมู่เฉิน…

เมื่อมองไปที่เม็ดยานี้แม้แต่มู่เฉินยังอดกลืนน้ำลายลงคอไม่ได้