ตอนที่ 1,021 รวบรวมกองทัพบุกนครหลวง
หลินเป่ยเฉินนอนเล่นโทรศัพท์อยู่อีกพักใหญ่
“เฮ้อ นี่ไม่ใช่ชีวิตอย่างที่เราต้องการสักหน่อย…”
เด็กหนุ่มถอนหายใจออกมาด้วยความเศร้า “เอาแต่นอนไถหน้าจอทั้งวันแบบนี้ ก็ไม่ต่างจากชีวิตโอตาคุเมื่อก่อนเลยแฮะ ให้ตายสิ ไม่ว่าอยู่ในโลกไหน โทรศัพท์มือถือก็ทำให้เราเสียนิสัยได้จริง ๆ”
หลินเป่ยเฉินเกิดความรู้สึกว่างเปล่าในจิตใจขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
เขาต้องทําอะไรสักอย่างแล้ว
เขาควรใช้ชีวิตให้มีประโยชน์มากกว่านี้
หลินเป่ยเฉินพยายามลุกขึ้น
แต่สุดท้าย เขาก็แค่เปลี่ยนท่านอนให้สบายขึ้นเท่านั้น
‘ไม่ได้การ เมื่อก่อนเราได้นอนอยู่บนเตียงของตัวเอง แต่นี่เรานอนอยู่บนบัลลังก์ของเทพีกระบี่ เมื่อก่อนเราเป็นฝ่ายถูกผู้หญิงหลอก แต่ตอนนี้ เราเป็นฝ่ายหลอกผู้หญิงบ้าง อุ๊วะฮ่า ๆๆ…’
เมื่อความคิดดำเนินมาถึงตรงนี้ หลินเป่ยเฉินก็หัวเราะคิกคักด้วยความชอบใจ
เขาเปิดแอปเว่ยป๋อ
เทพีกระบี่ยังคงมีผู้ติดตามเพิ่มมากขึ้น
ขณะนี้มีผู้ติดตาม 13.1 ล้านคน
หากยึดตามความเร็วระดับนี้…
การต่อสู้ในวันพรุ่งนี้ เทพีกระบี่คงยากที่จะเอาชนะได้
คงต้องรอให้ถึงเวลาก่อนจริง ๆ สินะ
ดูเหมือนวันพรุ่งนี้ หลินเป่ยเฉินคงต้องออกไปแสดงฝีมืออีกครั้ง
แต่จนกว่าจะถึงตอนนั้น เพื่อความปลอดภัย มาลองทดสอบอะไรบางอย่างสักเล็กน้อยก่อนดีกว่า
…
บนท้องฟ้า สายลมโชยพัด
ท่ามกลางกลุ่มก้อนเมฆที่กำลังเคลื่อนตัว ได้เกิดภาพที่มหัศจรรย์ขึ้นมาภาพหนึ่ง
วิหคสีฟ้าครามตัวหนึ่งกางปีกของมันออกวาง เจ้าวิหคตัวนี้มีขนาดร่างกายใหญ่โตมโหฬาร แต่เมื่อมันกระพือปีก ร่างกายอันใหญ่โตมโหฬารนั้นกลับสามารถเคลื่อนที่ไปข้างหน้าได้อย่างนุ่มนวลยิ่ง
บนแผ่นหลังของมันมีลักษณะแบนราบ ตั้งไว้ด้วยคฤหาสน์ทองคำหลังหนึ่ง คฤหาสน์หลังนี้ไม่เหมือนกับคฤหาสน์หลังไหน ๆ บนโลกมนุษย์ แต่ดูคล้ายเป็นที่พำนักของเทพเจ้าเสียมากกว่า
ณ หน้าประตูคฤหาสน์
ชายวัยกลางคนผู้สวมใส่ชุดเกราะสีแดงเพลิงผู้หนึ่งกำลังถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
ก่อนที่ดวงตาจะเป็นประกายวาวโรจน์ด้วยความโกรธแค้นและเขาก็หันกายเดินกลับเข้าไปในตัวคฤหาสน์
ห้องโถงด้านในเป็นประกายด้วยแสงสะท้อนจากทองคำ
รัศมีแวววาวไม่ต่างจากดวงดาราบนท้องฟ้า
แสงประกายเหล่านี้คือกระแสพลังที่ไหลเวียนอยู่ในตัวคฤหาสน์
“ผู้ต่ำต้อยทำงานไม่ได้เรื่อง สมควรให้นายท่านลงโทษขอรับ”
เขาคุกเข่าลงข้างหนึ่งด้วยท่าทางแสดงความเคารพ
เบื้องหน้าของเขาคือขั้นบันไดทองคำ
และที่ด้านบนสุดของขั้นบันไดนั้น
คนผู้หนึ่งที่สวมใส่เสื้อคลุมสีดำกำลังยืนหันหลังจ้องมองไปที่ภาพเขียนบนผนังคฤหาสน์ ตลอดเวลาไม่พูดคำใดออกมา
ร่างกายของคนผู้นี้ไม่มีพลังลมปราณไหลเวียนออกมาแม้แต่น้อย ผมของเขามีสีขาวราวหิมะ เพียงจ้องมองแผ่นหลังของเขา ผู้คนก็รู้สึกได้ถึงความสูงส่งจากบุคคลผู้นี้อย่างที่ไม่สามารถบรรยายออกมาเป็นคำพูด
“เดิมทีข้าอยากจะให้เขาได้ขึ้นครองบัลลังก์ แต่ดูเหมือนสวรรค์จะกำหนดให้เขาต้องตาย… โชคชะตาวาสนาคือสิ่งที่ร้ายกาจนัก มันเป็นเรื่องที่ข้าไม่สามารถควบคุมได้เลย”
ร่างในชุดเสื้อคลุมสีดำถอนหายใจออกมา
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในนครหลวงของจักรวรรดิเป่ยไห่ คือสิ่งที่อยู่นอกเหนือการคาดเดาของเขาจริง ๆ
คณะทูตจากกลุ่มพันธมิตรจักรวรรดิส่วนกลางลงมือแล้วล้มเหลวว่าน่าตกตะลึงแล้ว แต่การโจมตีจากคนของเขาเองก็ยังล้มเหลวอีกหรือ?
“เช่นนั้นท่านก็สามารถจัดการได้เต็มที่”
ร่างในชุดเสื้อคลุมสีดำค่อย ๆ หันกลับมาอย่างแช่มช้า เปิดเผยให้เห็นถึงใบหน้าหล่อเหลาไม่ธรรมดา
ดวงตาคู่งามดูลึกล้ำไม่ต่างจากทะเลสาบพันปี ราวกับว่าผู้ใดที่ได้จ้องมองก็จะต้องตกอยู่ในทะเลสาบแห่งนั้นไปตลอดกาล
“ในเมื่อบิดาของข้าตายแล้ว นครหลวงก็ไม่มีประโยชน์อีกต่อไป ฆ่าทุกคนที่อยู่ที่นั่นให้หมด และจับตัวชินหลันซูกับบุตรสาวของนางมาให้ข้า ส่วนเทพีกระบี่… เดิมทีข้าคิดอยากจะเก็บนางเอาไว้ แต่ข้ารู้แล้วว่าขืนปล่อยให้ลอยนวลต่อไป นางก็คงเป็นอันตรายต่อพวกเราเอง ข้าไม่อยากเปิดโอกาสให้นางกลับมาเรืองอำนาจอีกครั้ง”
เขาจ้องมองชายวัยกลางคนที่คุกเข่าข้างหนึ่งอยู่เบื้องหน้าด้วยแววตาเรียบเฉย
“ผู้ต่ำต้อยรับคำบัญชา”
ชายวัยกลางคนลุกขึ้นยืนประสานมือทำความเคารพและกล่าวว่า “เมื่อผู้ต่ำต้อยเสร็จภารกิจแล้ว กลุ่มพันธมิตรจักรวรรดิส่วนกลางก็จะเข้าร่วมกับนายท่านโดยทันทีขอรับ”
“ประเสริฐ”
ชายหนุ่มในชุดเสื้อคลุมสีดำยกมือขึ้นหมุนวนในอากาศ หลังจากนั้น กระแสพลังที่ไหลเวียนอยู่ในอากาศก็พุ่งมารวมตัวกันที่ปลายนิ้วมือของเขา ก่อนที่ชายหนุ่มจะยิงกระแสพลังเหล่านั้นเข้าไปที่กลางหว่างคิ้วของชายวัยกลางคน
“ข้ามอบพลังให้กับท่านแล้ว โปรดทำภารกิจให้ดี”
เขาพูดและหันกายกลับไป
“ผู้ต่ำต้อยรับคำบัญชา”
ชายวัยกลางคนหมุนตัวเดินออกมาจากคฤหาสน์ทองคำ ก่อนที่ตัวคนจะเปลี่ยนเป็นลำแสง พุ่งหายไปยังส่วนลึกของกลุ่มก้อนเมฆ
…
มณฑลเฟิงอวี่
นครเจาฮุยมีชีวิตชีวายิ่งนัก
เสียงรัวกลองดังขึ้นเป็นจังหวะจะโคน
บริเวณประตูเมืองฝั่งตะวันตกเฉียงใต้ หน่วยทหารคนงานขุดเหมืองซึ่งเป็นกองกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดในนครเจาฮุยกำลังมารวมตัวกันอย่างรวดเร็ว
เฉียนเหมยผู้เป็นแม่ทัพใหญ่ทำหน้าที่ตรวจสอบกำลังพลของตนเอง
เด็กสาวสวมใส่ชุดเกราะสีเงินที่ถูกออกแบบมาให้เข้ากับเรือนร่างของนางอย่างสวยงามสมบูรณ์แบบ ผ้าคลุมสีเลือดหมูกำลังปลิวไสวไปตามแรงลมอยู่ทางด้านหลัง ยิ่งขับเน้นให้เฉียนเหมยดูน่าเกรงขามมากยิ่งขึ้น
นางกำลังนั่งอยู่บนหลังหมาป่ายักษ์ตัวหนึ่ง
นี่คือหมาป่าน้ำแข็งยักษ์ที่นางเลี้ยงดูขึ้นมาด้วยตนเอง
บัดนี้ เฉียนเหมยกลายเป็นผู้บังคับบัญชาอันดับหนึ่งของหน่วยทหารคนงานขุดเหมือง ตามที่หลินเป่ยเฉินได้เคยให้คำสัญญาเอาไว้แล้วจริง ๆ
นางขี่เจ้าหมาป่ายักษ์ลาดตระเวนทั่วกองทัพของตน สายตาดุดันของนางกวาดผ่านไปทั่วใบหน้าของนายทหารชื่อดังประจำเมืองผู้อพยพ
นายทหารทุกคนยืนตัวตรง
“ประเสริฐ ช่างมีความองอาจนัก”
เฉียนเหมยพยักหน้าชมเชย
กองทัพของนายทหารคนงานขุดเหมืองคือกองกำลังที่นายท่านสร้างขึ้นมากับมือ
ทหารทุกนายนอกจากมีความซื่อสัตย์แล้ว ยังมีฝีมือทางการต่อสู้ที่แข็งแกร่ง ดูจากความสามารถของพวกเขาแล้ว แทบไม่เป็นรองกลุ่มราชองครักษ์ของกองทัพเป่ยไห่แม้แต่น้อย
เลือดลมในกายเฉียนเหมยสูบฉีดรุนแรง เมื่อนางคิดว่าตนเองกำลังจะได้นำทัพผู้คนเหล่านี้ออกสู่สนามรบ
ห่างออกไป ในลานกว้างอีกแห่งหนึ่ง
กองทัพเจาฮุยกำลังทำพิธีสาบานตน
นอกจากกลุ่มนายทหารคนงานขุดเหมืองแล้ว กองทัพเจาฮุยก็มีนายทหารอยู่ด้วยกันทั้งสิ้น 600,000 นาย และครั้งนี้พวกเขาจะส่งกำลังพลไปร่วมตีนครหลวงถึง 400,000 นาย
แต่เมื่อวานนี้ ท่านเจ้าเมืองฉุยได้เรียกระดมพลทหารอาสาสมัครเพิ่มขึ้นมาอีก 300,000 นาย
ดังนั้น กองทัพเจาฮุยในครั้งนี้จึงมีกำลังพลถึง 700,000 นาย
ท่านเจ้าเมืองฉุยสามารถระดมพลทหารอาสาสมัครได้ถึง 300,000 นายในเวลาเพียงคืนเดียว
ถือว่าเป็นปาฏิหาริย์ชนิดหนึ่งก็ว่าได้
ทำให้องค์จักรพรรดิและคณะผู้ติดตามตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง
ทุกสิ่งทุกอย่างในเมืองนี้ดูจะเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อปาฏิหาริย์ทั้งสิ้น เมื่อหายจากอาการตกตะลึงแล้ว กลุ่มขององค์จักรพรรดิและกองทัพเป่ยไห่ก็มีความมั่นใจเพิ่มขึ้นมาทันที
“กำลังพลในกองทัพ 400,000 นาย กำลังพลจากทหารอาสาสมัครอีก 300,000 นาย กองทัพทหารชั้นสูงอีก 10,000 นาย ร่วมด้วยหน่วยราชองครักษ์ของเรา เพียงเท่านี้ก็น่าจะพอแล้ว”
องค์จักรพรรดิคิดด้วยความมุ่งมั่น
และท่านแม่ทัพอาวุโสเสี่ยวเหยียน องค์ชายเจ็ดและคนอื่น ๆ ก็ตื่นเต้นเช่นกัน
พวกเขารอคอยเวลานี้มานานแล้ว
พิธีสาบานตนสิ้นสุดลงอย่างรวดเร็ว
กองทัพเริ่มเดินขบวนออกจากกำแพงเมือง
พวกเขาเดินทัพออกจากนครเจาฮุย
ในเวลาเดียวกันนี้ ณ ค่ายที่พักของชาวทะเล ก็ได้มีการเรียกระดมพลกองทัพชาวทะเลถึง 400,000 ชีวิต
นี่คือผลลัพธ์การปรึกษาระหว่างฉุยเฮาเฟิงกับแม่ทัพหญิงเหยียนอิง…
ปรากฏว่าชาวทะเลมีมติเห็นชอบส่งกำลังเสริมช่วยไปเหลือองค์จักรพรรดิโจมตีนครหลวง
หลังเกิดการลงนามในสัญญาพิเศษส่งมอบดินแดน นโยบายทางการเมืองของนครเจาฮุยก็เปลี่ยนแปลงไป
หากเป็นเมื่อก่อน องค์จักรพรรดิคงลังเลไม่ใช่น้อย
แต่เมื่อได้เห็นการอยู่ร่วมกันอย่างเท่าเทียมระหว่างมนุษย์ในนครเจาฮุยกับชาวทะเล องค์จักรพรรดิก็ทรงตกลงรับกำลังเสริมจากชาวทะเลด้วยความยินดี
เมื่อรวมกำลังพลของทุกฝ่ายเข้าด้วยกัน องค์จักรพรรดิก็มีกำลังพลในมือมากกว่าหนึ่งล้านนาย
หลังออกจากนครเจาฮุย กองทัพใหญ่ก็แยกออกเป็นสี่ทัพย่อยและมุ่งหน้าตรงไปที่นครหลวงอย่างรวดเร็ว
แผนการโจมตีไม่มีอะไรซับซ้อน…
พวกเขาแค่ต้องเดินทัพไปให้ถึงนครหลวงโดยเร็วที่สุด ตราบใดที่สามารถยึดครองนครหลวง สังหารผู้นำตระกูลเว่ย เมื่อนั้นอำนาจในนครหลวงก็จะกลับมาอยู่ในมือขององค์จักรพรรดิอีกครั้ง
เพราะตระกูลเว่ยยังไม่ได้ฝังรากฐานอำนาจลงลึก
ตราบใดที่องค์จักรพรรดิสามารถยกทัพไปทวงคืนนครหลวงกลับคืนมาได้ พระองค์ก็จะทรงสามารถควบคุมทั้งจักรวรรดิได้อีกครั้งในระยะเวลาไม่นาน
เมื่อสถานการณ์มั่นคงดีแล้ว เป้าหมายต่อไปของพระองค์ก็คือการบุกโจมตีมณฑลเฉียนเกา เพื่อถอนรากถอนโคนตระกูลเว่ย
แต่แน่นอนว่าถึงยุทธศาสตร์จะฟังดูเรียบง่าย แต่รายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็จะผิดพลาดไม่ได้เด็ดขาด ด้วยเหตุนี้ จึงมีการควบคุมการถ่ายทอดคำสั่งในกองทัพอย่างเข้มงวด
พวกเขาแบ่งกำลังคนออกเป็นหลายหน่วย ไม่ว่าจะเป็นหน่วยลาดตระเวน หน่วยลอบสังหาร หน่วยสืบข่าว หน่วยเรือเหาะสำหรับการโจมตีทางอากาศ รายละเอียดต่าง ๆ งอกยาวราวกับหนวดปลาหมึก
เพราะการทำสงครามไม่เคยเป็นเรื่องง่ายดาย
…
ยามเที่ยง
ท้องฟ้าแจ่มใส อากาศในฤดูใบไม้ผลิอบอุ่น
ค่าดัชนีฝุ่น PM 2.5 เป็นศูนย์
เทพีกระบี่ยังคงเก็บตัวโคจรพลัง
เมื่อตรวจสอบจากแอปเว่ยป๋อ ก็จะเห็นได้ว่านางมีผู้ติดตามเพิ่มขึ้นมาเป็น 14.1 ล้านคนแล้ว
แต่เมื่อเทียบกับเทพแห่งวิหารเฉียนเกา ซึ่งมีผู้ติดตาม 16.57 ล้านคน ระยะห่างของผู้ติดตามก็มีมากถึงสองล้านคน
เห็นได้ชัดว่ายังแตกต่างกันมากเกินไป
นักบวชในวิหารหลวง อย่างเช่น พวกของหัวหน้านักบวชคนใหม่ฮวาชิงเหยียนต่างก็ลงเขาเข้าไปในตัวเมือง พยายามทำทุกหนทางเพื่อเพิ่มพลังศรัทธาและจำนวนสาวกสำหรับรับมือกับการต่อสู้ที่กำลังจะมาถึง
บัดนี้ หลินเป่ยเฉินรู้แล้วว่าการสังหารหมู่ของตระกูลเว่ยในช่วงก่อนหน้านี้ส่งผลเสียร้ายแรงมากแค่ไหน
หากชาวเมืองไม่ได้ถูกสังหารหมู่ไปเป็นจำนวนมหาศาล ยอดผู้ติดตามของเทพีกระบี่ในวันนี้ ก็คงทะลุ 16 ล้านคนไปแล้ว
เวลาเดินไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
ในที่สุด กำหนดการต่อสู้ก็มาถึง
หลินเป่ยเฉินยืนอยู่หน้าวิหารหลวง จ้องมองภาพโดยรวมของเมืองทั้งหมด
สงครามยังคงสร้างบาดแผลให้แก่เมืองหลวงแห่งนี้ไม่เลือนหาย
บางสถานที่ยังคงมีหมอกควันลอยขึ้นมา
หลินเป่ยเฉินทอดสายตามองไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ
มวลพลังคุกคามอันหนักหน่วงกำลังรุกคืบเข้ามาอย่างรวดเร็ว
นับเป็นมวลพลังที่คุ้นเคยและน่าหวาดกลัว
นี่คือมวลพลังของเทพแห่งวิหารเฉียนเกา
ความแตกต่างเดียวก็คือเมื่อวานนี้เป็นเพียงเงาพลังของมันเท่านั้น
แต่วันนี้ เทพแห่งวิหารเฉียนเกาตัวจริงได้เดินทางมาถึงแล้ว
ยังคงเหลือระยะทางอีกหลายร้อยลี้กว่าที่มันจะมาถึงนครหลวง แต่เทพแห่งวิหารเฉียนเกาก็ระเบิดพลังโจมตีออกมาทันที ฟ้าดินสั่นสะเทือน ราวกับไม่อาจรองรับพลังอันหนักหน่วงเหล่านี้ได้อีกแล้ว
“จะรีบไปไหนวะเนี่ย?”
หลินเป่ยเฉินพึมพำกับตัวเอง
เทพแห่งวิหารเฉียนเกาดูจะใจร้อนเป็นอย่างยิ่ง มันไม่คิดจะมาพูดคุยกับเทพีกระบี่สักคำ แม้ตัวจะยังเดินทางมาไม่ถึง แต่กลับเริ่มเปิดฉากโจมตีหมายทำลายล้างนครหลวงแห่งนี้เสียแล้ว
“ไร้มารยาทสิ้นดี”
หลินเป่ยเฉินยิ้มมุมปาก “สงสัยก่อนเริ่มต่อสู้กันจริง ๆ เราคงต้องออกไปทักทายและสอนมารยาทเจ้าหมอนี่สักหน่อยแล้ว”