บทที่ 1020 ยกให้เป็นความดีความชอบของข้าเอง

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 1,020 ยกให้เป็นความดีความชอบของข้าเอง

“ท่านเจ็บคอบ้างหรือไม่?”

หลินเป่ยเฉินเปลี่ยนเรื่องหน้าตาเฉยและสอบถามด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “ข้าไปหาน้ำมาให้ดื่มดีหรือไม่?”

เทพีกระบี่ขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าใจ “เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”

หลินเป่ยเฉินตอบว่า “ท่านขึ้นไปร่ายคาถาบนท้องฟ้านานขนาดนั้น ไม่รู้สึกเจ็บคอบ้างหรืออย่างไร?”

ดวงตาของเทพีกระบี่กลับมาเยือกเย็นอีกครั้ง

นางหัวเราะเล็กน้อย

“ข้าส่งเสียงร้องลั่นทุกคืนยามที่เจ้าเปลี่ยนท่วงท่า… ตอนนั้นไม่เห็นเจ้าถามสักคำว่าข้าเจ็บคอบ้างหรือไม่”

เทพีกระบี่ถามกลับมาเสียงแข็งกระด้าง

บรรยากาศเปลี่ยนไป

ย้ำเตือนให้เขารู้ว่าที่นี่ไม่ใช่สนามเด็กเล่น

หลินเป่ยเฉินพลันหน้าแดงขึ้นมาอย่างหาได้ยากยิ่ง ก่อนกล่าวว่า “ที่แท้ท่านก็เคยชินกับการใช้เสียงแล้วนี่เอง ต้องยกให้เป็นความดีความชอบของข้าเองสินะ”

ทันใดนั้น แววตาที่เทพีกระบี่จ้องมองมาก็เพิ่มความดุดันไม่ใช่น้อย

หลินเป่ยเฉินรู้ดีว่าตนเองควรทำเช่นไร เขารีบเปลี่ยนเรื่องอีกครั้ง “พวกเรามารับประทานผลกวนเจี๋ยกันสักหน่อยดีกว่า…”

พูดจบ เขาก็ยื่นผลไม้สีเขียวสดให้นางหนึ่งลูก

เทพีกระบี่มองหน้าเขาด้วยความสงสัย “ครั้งก่อนเจ้าบอกว่ามันหมดแล้วไม่ใช่หรือ?”

หลินเป่ยเฉินตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “ท่านจำผิดแล้ว”

เทพีกระบี่มองหน้าเขาเขม็ง ก่อนจะลอบสบถอยู่ในใจ และรับผลกวนเจี๋ยมากัดกินด้วยความเย็นชา

หลินเป่ยเฉินยิงฟันยิ้ม นำผลกวนเจี๋ยออกมาอีกหนึ่งลูกรับประทานเองพร้อมกับกล่าวว่า “ตกลงคนที่สู้กับท่านเมื่อสักครู่นี้ คือเทพเจ้าที่หนุนหลังตระกูลเว่ยอยู่ใช่หรือไม่?”

เทพีกระบี่พยักหน้า “เป็นเขาเอง”

“แล้วท่านเอาชนะเขาไม่ได้หรือ?”

หลินเป่ยเฉินถามอีกครั้ง

ความขุ่นเคืองใจปรากฏขึ้นบนสีหน้าของเทพีกระบี่ทันที “ข้ามีเวลาเตรียมตัวน้อยเกินไป หากข้าสามารถรวบรวมพลังศรัทธาได้เยอะมากกว่านี้ การเอาชนะเขาได้ก็ไม่ใช่เรื่องยาก”

ดวงจิตของนางถูกจองจำมานานมากเกินไป และนางก็เพิ่งเข้ามาอยู่ในร่างของเยว่เว่ยหยางได้เพียงไม่กี่เดือนเท่านั้น การฟื้นฟูระดับพลังให้แข็งแกร่งเท่าเก่าก่อน จึงเป็นเรื่องที่ยังอยู่ห่างไกลความเป็นจริง

มิเช่นนั้น นางจะมีสภาพเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร?

“ถ้าเป็นอย่างนั้น…”

หลินเป่ยเฉินกัดผลกวนเจี๋ยอีกคำใหญ่ “ท่านคิดปล่อยให้ข้าหลบหนีไป ส่วนตนเองจะยอมตายที่นี่อย่างนั้นหรือ?”

เทพีกระบี่ถามกลับมาว่า “เจ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ?”

“ข้าคิดว่ามันไม่สมกับเป็นตัวท่านเลยสักนิด”

หลินเป่ยเฉินอธิบายต่อไปว่า “หากท่านมาตายตอนนี้ นั่นหมายความว่าท่านยังไม่ได้แก้แค้น ท่านอุตส่าห์รอมาเนิ่นนานหลายร้อยปี กว่าที่จะได้กลับมาเกิดใหม่อีกครั้ง แล้วท่านจะมายอมตายง่ายๆ เช่นนี้ได้อย่างไร?”

เทพีกระบี่ไม่ยอมตอบคำถามของเขา

“เจ้าควรรีบหนีไปให้เร็วที่สุด” นางพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “เจ้าไม่ควรอยู่ที่นี่อีกต่อไป ข้าไม่โทษเจ้าหรอก หากเจ้าไปข้าก็ไม่ว่า แต่หากเจ้าอยู่ เจ้าก็จะต้องตายแน่นอน”

“ข้ามีคำถาม ในเมื่อเทพแห่งวิหารเฉียนเกาเป็นเพียงสมาชิกของเผ่าเทพพงไพร ไม่ได้เป็นเทพระดับหัวหน้าใหญ่ เหตุไฉนเขาถึงได้แข็งแกร่งเพียงนี้?”

หลินเป่ยเฉินสอบถามด้วยความสงสัย

เทพีกระบี่ตอบว่า “บางทีเผ่าเทพพงไพรอาจสนับสนุนเขาอยู่ก็เป็นได้”

เทพพงไพร เผ่าพันธุ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในดินแดนทวยเทพ

หากเทพแห่งวิหารเฉียนเกาได้รับการสนับสนุนจากเผ่าเทพพงไพรจริง ๆ การที่เทพีกระบี่จะสามารถเอาชนะเขาได้ในยามนี้ ก็คือเรื่องที่เป็นไปได้ยากมากแล้ว

แม้ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ แต่ทางที่ดีที่สุดก็คือ ควรหลีกเลี่ยงการปะทะต่างหาก

แต่ถึงกระนั้น เมื่อเทพแห่งวิหารเฉียนเกาลั่นวาจาว่าพรุ่งนี้จะกลับมาล้างแค้น แทนที่เทพีกระบี่จะรีบหนีไป นางกลับตั้งใจอยู่รอเพื่อออกไปต่อสู้

ซ้ำยังเป็นห่วงความปลอดภัยของหลินเป่ยเฉิน

ไม่ว่าเทพีกระบี่จะสามารถเอาชนะในการต่อสู้วันพรุ่งนี้ได้หรือไม่ หลินเป่ยเฉินก็ไม่ควรปรากฏตัวอยู่ในนครหลวงอีกเป็นอันขาด

เพราะเขาอาจกลายเป็นเป้าหมายรายต่อไปของเทพแห่งวิหารเฉียนเกาก็เป็นได้

และการให้เขาหลบหนีไปนั้น ผู้ที่เป็นฝ่ายเสียผลประโยชน์ก็คือตัวของเทพีกระบี่เอง

นางเกิดใหม่ครั้งนี้มาพร้อมกับความเกลียดชัง นางสาบานว่าจะล้างแค้นผู้ที่เคยหักหลังนางทุกคนอย่างไร้ความเมตตา และไม่ว่าใครเข้ามาขวางทางนาง มันผู้นั้นก็จะถูกกำจัดออกไปหมดสิ้น

เทพีกระบี่ไม่สนใจว่าตนเองจะต้องสูญเสียสิ่งใดไปบ้าง

นั่นจึงเป็นเหตุผลที่นางยอมร่วมหลับนอนกับหลินเป่ยเฉิน เพื่อให้ร่างกายฟื้นฟูพลังขึ้นมารวดเร็วมากที่สุด

ตราบใดที่สามารถทำให้ตนเองแข็งแกร่งขึ้นได้ ไม่ว่าสิ่งใดนางก็ยอมทำทั้งนั้น

แต่บัดนี้ จิตใจของเทพีกระบี่กลับเริ่มเกิดความหวั่นไหวโดยไม่รู้ตัว

หรือว่านางจะตกหลุมรักหลินเป่ยเฉินเสียแล้ว?

เป็นไปไม่ได้

เหตุผลที่นางขับไล่เขาออกไปนั้นคงเป็นเพราะว่าหากหลินเป่ยเฉินอยู่ที่นี่ต่อ เขาจะกลายเป็นภาระของนางเสียเปล่า ๆ นอกจากช่วยเหลืออะไรไม่ได้ ยังจะกลายเป็นตัวถ่วงของนางอีกด้วย เพราะฉะนั้น ให้เขาหลบหนีไปจึงเป็นสิ่งที่ดีที่สุด

เทพีกระบี่พบข้ออ้างให้แก่ตนเอง

แต่เห็นได้ชัดว่าหลินเป่ยเฉินไม่ค่อยอยากจะเชื่อสักเท่าไหร่

เขาพูดว่า “เทพแห่งวิหารเฉียนเกาน่ะไม่ได้น่ากลัวอะไรหรอก”

เขายกมือขึ้นทำท่าดันแว่น ก่อนจะแสยะยิ้ม กล่าวด้วยความมั่นใจ “อย่างน้อยเขาก็สู้ข้าไม่ได้แน่ ๆ”

เทพีกระบี่เลิกคิ้วสูงด้วยความประหลาดใจ ก่อนจะหัวเราะเยาะ ถามกลับไปว่า “เจ้าเนี่ยนะ? เพราะเหตุใด?”

หลินเป่ยเฉินหัวเราะในลำคอ “เพราะว่าข้าหนุ่มกว่า… หึหึ แล้วข้าก็น่าจะหล่อกว่าเขาด้วย”

เทพีกระบี่ก็หัวเราะในลำคอเช่นกัน

นางทำสีหน้าสื่ออารมณ์ประมาณว่า ‘ในเมื่อข้าเตือนเจ้าให้หนีไปแล้วแต่เจ้าไม่รับฟัง ถ้าอย่างนั้น เจ้าก็อยู่รอรับความตายตามสบายเถิด’

หลินเป่ยเฉินหัวเราะอย่างอารมณ์ดีขณะรับประทานผลกวนเจี๋ยและถามต่อ “เรามาคุยเรื่องสำคัญกันดีกว่า เทพแห่งวิหารเฉียนเกา เขาเก่งกว่าท่านมากหรือไม่?”

เพราะการต่อสู้ด้วยระดับพลังเมื่อสักครู่นี้ หลินเป่ยเฉินไม่สามารถตัดสินสิ่งใดได้เลย

มันเป็นการต่อสู้ระหว่างเทพเจ้า

ไม่ใช่การต่อสู้ระหว่างมนุษย์

แต่จากการสังเกตการณ์ของเขาในวันนี้ เด็กหนุ่มก็รู้สึกว่าหากตนเองลงมือ ก็ใช่ว่าจะไม่มีหวังเอาชนะเทพแห่งวิหารเฉียนเกาได้เสียทีเดียว

เทพีกระบี่สูดหายใจลึก หน้าอกหน้าใจชูชันแทบจะดันให้กระดุมเสื้อกระเด็นออกมา “การต่อสู้เมื่อสักครู่นี้เป็นเพียงเงาพลังของเขาเท่านั้น หาใช่พลังที่แท้จริงของเขาไม่ แต่มันก็ทำให้ข้าบาดเจ็บได้แล้ว นี่แสดงให้เห็นว่าพลังของพวกเรายังห่างชั้นกันมากเกินไป สรุปก็คือ เทพแห่งวิหารเฉียนเกาน่าจะมีพลังสูงมากกว่าข้าอีกหนึ่งขั้น”

หลินเป่ยเฉินขมวดคิ้วใช้ความคิด

“เรายังมีเวลาเตรียมตัวอีกหนึ่งวัน ท่านยังมีโอกาส”

เด็กหนุ่มเคาะนิ้วมือลงบนบัลลังก์หินอย่างใช้ความคิด “หลังผ่านการต่อสู้เมื่อสักครู่ จำนวนสาวกในนครหลวงของท่านต้องเพิ่มมากขึ้น กว่าจะถึงวันพรุ่งนี้ ระดับพลังของท่านก็สูงมากแล้ว เรายังมีหวังเอาชนะได้อยู่ แต่ถ้าเหนือบ่ากว่าแรงขึ้นมาจริง ๆ ท่านก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้าเถอะ”

ในฐานะที่เคยร่วมรักกันมานับครั้งไม่ถ้วน หลินเป่ยเฉินไม่สามารถปล่อยให้เทพีกระบี่เสียชีวิตไปต่อหน้าต่อตาได้จริง ๆ

“เจ้าเด็กโง่ ฟังที่เจ้าพูดเข้าสิ”

เทพีกระบี่หัวเราะเยาะและกล่าวว่า “ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเจ้า? เจ้านี่มันไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำจริง ๆ เจ้าควรเอาเวลานี้ไปสวดภาวนาให้แก่ตนเองจะดีกว่า”

หลินเป่ยเฉินไม่สะทกสะท้านแม้แต่น้อย “ท่านพ่ายแพ้ข้ามานับครั้งไม่ถ้วน ยังจะกล้าดูถูกข้าอีกหรือ?”

เทพีกระบี่มีสีหน้าเย็นชา ก่อนหมุนตัวเดินจากไป

นางต้องรีบฟื้นฟูพลังกลับขึ้นมาให้เร็วที่สุด และนางไม่อยากเสียเวลาพูดคุยกับเด็กหนุ่มที่ไม่รู้จักโตผู้นี้อีกแล้ว

หลินเป่ยเฉินเอนกายนอนอยู่บนบัลลังก์หิน ใช้มือของตนเองหนุนแทนหมอนรองศีรษะ

“เดี๋ยวพรุ่งนี้ท่านก็รู้ว่าข้าจะทำตามที่พูดได้หรือไม่”

เขายิ้มและเปิดโทรศัพท์มือถือ

ในแอปเว่ยป๋อ หลินเป่ยเฉินพยายามค้นหาชื่อเทพแห่งวิหารเฉียนเกา

ผลการค้นหาแสดงขึ้นมาอย่างรวดเร็ว…

“เทพแห่งวิหารเฉียนเกา อายุ 2,434 ปี เพศชาย ผู้ติดตาม 16 ล้านคน คำอธิบายเกี่ยวกับตนเอง : พุ่งทะยานไปในสายลม เหินหาวนับแสนลี้ในวันเดียว…”

นี่มันอะไรกันเนี่ย?

ปรากฏว่าเทพแห่งวิหารเฉียนเกา มีผู้ติดตามอยู่ถึง 16.57 ล้านคน

เยอะมากกว่าเทพีกระบี่อีก!!

แต่จำนวนสาวกถือว่าห่างกันไม่มาก

ช่องว่างของผู้ติดตามอยู่ห่างกันสามล้านคน หากเขาสามารถหาวิธีช่วยเพิ่มฐานแฟนคลับให้แก่เทพีกระบี่ได้ในเวลาชั่วข้ามคืน สถานการณ์ทั้งหมดก็จะแปรเปลี่ยนไป

หลินเป่ยเฉินใช้เวลาขบคิดอยู่พักใหญ่ พลันแผนการบางอย่างก็ปรากฏขึ้นในจิตใจของเขา