เมื่อได้ยินคำพูดของจินมู่อวิ๋น หลินสวินสีหน้านิ่งเฉย มีเพียงจิตต่อสู้ในดวงตาเท่านั้นที่ยิ่งรุนแรงยิ่งขึ้น คล้ายจะเผาทำลายท้องนภา!
ในการประลองแต่ละยกก่อนหน้านี้ เพื่อไม่ให้ยอดมกุฎรุ่นเยาว์คนอื่นมองทะลุตื้นลึกหนาบางของตนออก เขาย่อมต้องรักษาท่าไม้ตายและไพ่ตายเอาไว้บ้าง
เช่นหมัดสะเทือนสวรรค์ที่เพิ่งโจมตีจินมู่อวิ๋นให้ถอยร่นไปเมื่อครู่
ทว่า นี่ก็ไม่ใช่ไพ่ตายที่แข็งแกร่งที่สุดที่เขาครอบครอง!
ดังนั้นไม่ว่าโลกภายนอกจะไม่ถือหางเขาอย่างไร ล้วนไม่อาจส่งผลต่อสภาวะจิตของหลินสวินได้
“วิถีแห่งกระบี่ สู้เพื่อทัดเทียมฟ้า ภายในวัฏจักรไม่มีสิ่งใดไม่อาจฟาดฟัน!”
ท่ามกลางเสียงหวีดร้องของกระบี่ที่ประหนึ่งกระแสธาร อานุภาพของจินมู่อวิ๋นพลันเพิ่มสูงขึ้น กระบี่พรหมราชโฉบผ่านอากาศจู่โจมออกมา
“กระบี่นี้นามว่าเตาหลอมวัฏจักร!”
เขาตะคอกออกมา เจตกระบี่พุ่งทะลุเมฆา ทุกที่ที่ผ่านห้วงอากาศถูกแผดเผาเหมือนไฟจากเตาซัดสาดออกมา รวมตัวเป็นกระแสกระบี่ใหญ่ยักษ์อลหม่านสายหนึ่ง ฟาดฟันไปยังหลินสวิน
“เพลงกระบี่มหาวัฏจักร!”
ในลานมีคนร้องเสียงหลง
ทุกคนต่างจำได้ว่านี่เป็นหนึ่งในสามมหาคัมภีร์ยอดกระบี่ของสำนักกระบี่เทียมฟ้า เพลงกระบี่มหาวัฏจักรจัดอยู่ในระดับเดียวกับคัมภีร์กระบี่มหาวิบัติ และวิชากระบี่มหาหยินหยาง
เพลงกระบี่นี้เป็นมรดกสำคัญของสามมหาคัมภีร์ยอดกระบี่ ทุกกระบี่ล้วนสอดคล้องกับมหามรรควัฏจักร เป็นวิชาสังหารอย่างแท้จริง
วิชาอย่าง ‘เตาหลอมวัฏจักร’ ยังเป็นการซ่อนพลังแห่งวัฏจักรฟ้าดินไว้ในหนึ่งกระบี่ อานุภาพน่าสะพรึงที่เทพผีร่ำไห้
ในสมัยบรรพกาล บรรพจารย์กระบี่เทียมฟ้าอาศัยเพลงกระบี่นี้ปลิดชีพผู้แข็งแกร่งยิ่งยวดมาแล้วไม่รู้เท่าไร ได้รับฉายา ‘บรรพจารย์กระบี่’ เจตกระบี่เทียมฟ้า
กระบี่นี้ของจินมู่อวิ๋นแม้ยังไม่น่ากลัวเท่าบรรพจารย์กระบี่เทียมฟ้า แต่มองไปในหมู่ยอดมกุฎรุ่นเยาว์ในปัจจุบันก็เรียกได้ว่าน่าตื่นตาหาใดเทียมแล้ว
แม้แต่มารกระบี่เยี่ยเฉิน เมื่อเห็นวิชากระบี่ล้ำเลิศเหนือธรรมดาเช่นนี้ก็อดไม่ได้ที่จะหรี่ตาลง สังเกตเห็นความน่ากลัวในอานุภาพของมัน
โครม!
กระบี่นี้ยังมาไม่ถึง แต่ทั้งสนามประลองนั้นกลับประหนึ่งแปรสภาพเป็นเตาเพลิงเตาหนึ่ง ทุกที่ล้วนมีแต่เจตกระบี่ดุดันลุกโชน ไอสังหารไม่มีที่สิ้นสุด
น่ากลัว!
เหิมเกริม!
ดุดันอหังการ!
กระบวนท่าที่สองนี้เห็นชัดว่าจินมู่อวิ๋นได้ใช้วิธีแข็งกล้าถึงที่สุด รวบรวมพลังซึ่งแข็งกร้าวอย่างที่สุดนับแต่ที่เขาฝึกฝนมา
ในลานทุกคนต่างหายใจไม่ออก
สีหน้าของจ้าวจิ่งเซวียนกับอาหลู่เปลี่ยนไปเล็กน้อย รู้สึกได้ถึงความน่ากลัวของการโจมตีนี้
พวกอวี่หลิงคงและหลี่ชิงผิงก็สะท้านขวัญกับการโจมตีนี้ ไม่อาจไม่ยอมรับว่าจินมู่อวิ๋นแข็งแกร่งยิ่งจริงๆ
ในขณะเดียวกัน นี่ก็ทำให้พวกเขาตั้งหน้าตั้งตาคอยว่าเทพมารหลินจะยังกล้าใช้หมัดรับการโจมตีนี้หรือไม่
ความฮึกเหิมและตั้งตาคอยยิ่งเผยออกมาจากดวงตาของผู้แข็งแกร่งจากสำนักกระบี่เทียมฟ้า
“เก้าเคราะห์หวนคืนเป็นหนึ่ง มังกรพันผูกโผนนภา!”
แทบจะในขณะเดียวกัน หลินสวินยืดหลังตรง สี่ทิศรอบกายปรากฏเงามายาสัตว์เทพเงาแล้วเงาเล่า
ทั้งชือน้ำแข็งเจิดจ้าชูคอ ฟู่ซี่ที่ดุร้ายป่าเถื่อนปะทะอากาศ ปี้อั้นที่เหยียบย่างลงบนภูผาธารา ซวนหนีที่พ่นเมฆเซียนหมอกเทพ…
ยังมีหยาจื้อ ฉิวหนิว เฉาเฟิง ผูเหลา ป้าเซี่ย!
สัตว์เทพเก้าตนครอบครองห้วงอากาศรอบกายหลินสวิน อานุภาพดุร้ายแตกต่างกันไป ล้วนเรียกได้ว่าคับฟ้า พลานุภาพแผ่กระจายออกมา ขับเน้นให้หลินสวินดุจดั่งเจินหลงไร้เทียมทานตนหนึ่ง!
ภาพนี้ช่างเหนือธรรมดาเกินไปแล้ว ประหนึ่งกลับสู่ยุคบรรพกาล เผยให้เห็นภาพน่าพรั่นพรึงที่ทำให้ฟ้าดินเปลี่ยนสี
ทุกคนในที่นั้นตกตะลึง ตระหนกจนเหงื่อกาฬไหลไปทั้งตัว นี่มันวิชายุทธ์อะไรกันถึงได้วิปริตเช่นนี้
แต่เยี่ยนจั่นชิวกลับผุดลุกขึ้น แววกราดเกรี้ยวแผ่พุ่งออกมาจากดวงตา เจ้าเด็กคนนี้ เหตุใดถึงครอบครองมังกรเคราะห์เก้ากระบวนแปรได้
สำหรับเขาแล้ว มังกรเคราะห์เก้ากระบวนแปรมีความหมายเกินธรรมดาไปมาก!
เป็นปมในใจของเขา!
ปึง! ปึง! ปึง! ปึง! ปึง!
ในขณะเดียวกัน บนสนามประลองการโจมตีของทั้งสองปะทะเข้าหากัน เกิดเสียงสะเทือนเลือนลั่นน่าหวาดหวั่นสั่นคลอนฟ้าดิน สะเทือนแปดทิศ
เห็นได้ชัดเจนว่าปราณกระบี่ราวเตาหลอมวัฏจักรนั้นถูกบดขยี้ ระเบิดแตกและถูกทำลายล้างอย่างราบคาบ ละอองแสงเปล่งประกายลอยละล่อง แปรสภาพเป็นกระแสปั่นป่วนสั่นสะท้านไปทั่วสี่ทิศ
ทั้งสนามประลองล้วนสั่นสะเทือนตามไปด้วย พลังกฎระเบียบที่รวมตัวหนาแน่นปรากฏขึ้นบนพื้นสนามอันแข็งแรงและเก่าแก่ สลายการโจมตีนี้ไป
ที่นอกสนาม ตอนนี้ข้ารับใช้วิญญาณผู้มีสีหน้าเฉยชาก็หน้าเปลี่ยนสี เขาเป็นร่างจำแลงของกฎระเบียบ เป็นเจตจำนงกลุ่มหนึ่งของภูเขาเทพไร้มรณะ ย่อมรู้สึกได้อย่างชัดเจนถึงความน่ากลัวของพลานุภาพการโจมตีนี้
โครม!
เงามายาของสัตว์เทพเก้าตนสำแดงอานุภาพดุร้ายแตกต่างกันไป ชั่วพริบตาก็ทำลายกระบวนท่าเตาหลอมวัฏจักรนี้ให้สลาย พุ่งไปปกคลุมจินมู่อวิ๋นแล้ว
จินมู่อวิ๋นขนลุกเกรียว หน้าเปลี่ยนสียกใหญ่ นี่เป็นไปได้อย่างไร
ในระหว่างนี้เขารู้สึกอ่อนล้าเหมือนถูกพันธนาการอยู่ในกรงขัง จะหนีก็ไม่ได้ จะหลบก็ไม่พ้น!
“ไสหัวไป!”
เขาคำรามเดือดดาล ระเบิดพลังดุร้ายจากกลางใจ โคจรพลังทั้งหมดในตัวขึ้นมา กระบี่พรหมราชยิงเพลิงกระบี่ไร้ที่สิ้นสุดออกมาอีกครั้งในชั่วพริบตา
ตูม!
การปะทะปะทุขึ้น ทุกคนที่อยู่นอกสนามเพียงรู้สึกแสบตา ไม่อาจจดจ้องได้อีก พร้อมกันนั้นเสียงโครมครามน่าหวาดหวั่นหาใดเทียบก็แผ่ขยายไปทั้งสนาม
ฟ้าดินแถบนี้ส่งเสียงครึกโครม สั่นระรัวไม่ว่างเว้น
ข้ารับใช้วิญญาณสะบัดแขนเสื้อครั้งหนึ่ง พลังกฎระเบียบเต็มฟ้าขยายออก ผนึกสนามประลองที่อยู่ตรงกลางไว้อย่างแน่นหนา เลี่ยงไม่ให้คลื่นส่วนเกินกระจายออกมาจนส่งผลให้ทุกคนโดนลูกหลงไปด้วย
จากจุดนี้ก็เห็นได้ว่าอานุภาพของการปะทะครั้งนี้วิปริตปานไหน!
ครู่หนึ่งผ่านไป
ทุกคนถึงได้มองไปที่สนามประลองหลังจากหายตกตะลึง เห็นเพียงเงาร่างของหลินสวินยืนตระหง่านอยู่ที่เดิม ส่วนฝั่งตรงข้ามของเขา จินมู่อวิ๋นก็ไม่ไหวติงสักนิดเช่นกัน
การโจมตีนี้หรือจะเสมอกัน
กร๊อบๆ!
เมื่อความคิดนี้เพิ่งปรากฏขึ้นในใจของทุกคน ก็ได้ยินเสียงกระดูกแตกเบาๆ ระลอกหนึ่งแว่วออกมาจากร่างของจินมู่อวิ๋น ท่ามกลางบรรยากาศเงียบสงัดเช่นนี้ฟังดูแสบแก้วหูอย่างประหลาด
ราวกับว่าภายในร่างเขากำลังถูกจู่โจมและทำลาย
จากนั้น…
ภายใต้การจับจ้องด้วยสายตาตกตะลึง จินมู่อวิ๋นสั่นสะท้านไปทั้งกาย ริมฝีปากพ่นเลือดสดๆ ออกมาอย่างต่อเนื่องสิบกว่าครั้ง
ทุกครั้งที่กระอักเลือดออกมาร่างของเขาก็สั่นเทา รูขุมขนบนผิวหนังมีน้ำเลือดสายแล้วสายเล่าไหลรินย้อมอาภรณ์
หลังจากกระอักเลือดออกมาสิบกว่าครั้ง เขาก็แปรสภาพเป็นมนุษย์โลหิตคนหนึ่ง แดงฉานไปทั้งร่าง น่าสะพรึงอย่างยิ่ง!
ครั้นหันกลับไปดูหลินสวิน สีหน้าเรียบเฉยไม่หวั่นไหวดังเดิม!
“นี่…”
ที่ตีนเขา ผู้ชมสีหน้าแปรเปลี่ยนไม่หยุด ท่าทางเหมือนเห็นผีตัวเป็นๆ
น่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว ในการประลองก่อนหน้านี้จินมู่อวิ๋นแข็งแกร่งปานไหน ทั้งวิชาที่สำแดงออกมายังเป็นนัยเร้นลับแห่งเพลงกระบี่มหาวัฏจักรที่ระบือนามไปทั้งดินแดนรกร้างโบราณ
แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ เขากลับได้รับบาดเจ็บสาหัส!
เมื่อนึกถึงเคล็ดวิชาที่หลินสวินสำแดงออกมาเมื่อครู่ ภาพอันน่าหวาดหวั่นของสัตว์เทพเก้าตัวที่ออกมาเต็มฟ้านั่น ผู้ฝึกปราณไม่น้อยต่างหนาวเยือกไปทั้งกาย
นั่นเป็นมรดกวิชาอะไรกัน
เหตุใดถึงน่าพรั่นพรึงเช่นนี้
‘ร้ายกาจ!’ เยี่ยเฉินลอบพยักหน้า หากกล่าวว่าก่อนหน้านี้เขาเพียงชื่นชมหลินสวิน เช่นนั้นตอนนี้ก็มองหลินสวินเป็นคู่ต่อสู้ที่ต้องให้ความสำคัญไปแล้ว
‘เหมือนเป็นมรดกของเผ่ามังกรเจินหลง หรือเจ้าหมอนี่จะมีความสัมพันธ์อะไรกับเผ่าเจินหลง’ เซี่ยวชางเทียนลูบคางพลางใคร่ครวญ
‘เขาถึงกับหยั่งรู้นัยเร้นลับที่แท้จริงของมังกรเคราะห์เก้ากระบวนแปรแล้ว!’ ความกราดเกรี้ยวในดวงตาของเยี่ยนจั่นชิวยิ่งเข้มข้นขึ้น ไม่สุขุมเยือกเย็นเหมือนก่อนหน้านี้อีกแล้ว
ราวกับว่าวิชาลับที่หลินสวินครอบครองนี้ทำให้เขาไม่อาจอดทนได้
“เป็นไปไม่ได้!”
ที่ตีนเขา ผู้แข็งแกร่งสำนักกระบี่เทียมฟ้าต่างโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง ไม่อาจยอมรับภาพนี้ได้ สีหน้าไม่น่าดูผิดธรรมดา
ก่อนหน้านี้พวกเขายังตั้งตารอให้จินมู่อวิ๋นสำแดงเดชบดขยี้หลินสวิน ใครจะไปคิดว่าในการประลองกระบวนท่าที่สองนี้ จินมู่อวิ๋นยังถูกโจมตีให้ถอยร่นดังเดิม ทั้งยังได้รับบาดเจ็บสาหัสเช่นนี้!
“เผียะๆๆ! เผียะๆๆ! ตบหน้าคราวนี้เจ็บคงเอาเรื่องเลยสิท่า”
คนปากร้ายเช่นอาหลู่เริ่มเยาะเย้ยอีกครั้งแล้ว เสียงดังราวอสนีบาต ยั่วให้ผู้แข็งแกร่งที่อยู่ตรงเชิงเขาเหล่านั้นโกรธจนเต้นเร่า รู้สึกอยากพุ่งเข้าไปฆ่าคนเต็มที
ริมฝีปากเปล่งปลั่งของจ้าวจิ่งเซวียนคลี่ยิ้ม ดวงตากระจ่างสดใสเจือด้วยความภูมิใจ
แต่ทันใดนั้นนางก็สังเกตเห็นสายตาน่ากริ่งเกรงหาใดเทียบของเยี่ยนจั่นชิว นี่ทำให้นางมุ่นคิ้วงามขึ้นทันที ด้วยรับรู้ได้ถึงอะไรบางอย่าง
ฉับพลันนางก็สายหน้า ไม่อยากจะสนใจ
มังกรเคราะห์เก้ากระบวนแปร มาจากในภาคีนักสลักวิญญาณในนครต้องห้ามของจักรวรรดิจื่อเย่า เป็นสิ่งที่ท่านลู่หลงเหลือไว้ในตอนนั้น ไม่ว่าใครก็ไม่อาจพูดว่าไม่ควรเป็นของหลินสวิน!
เพียงแต่ขนาดจ้าวจิ่งเซวียนยังคิดไม่ถึง ว่าหลินสวินจะถึงกับหยั่งถึงปริศนาของมรดกวิชาได้ขนาดนี้แล้ว…
“เข้ามาอีก!”
บนสนามประลอง เสียงแหบแห้งราวหินกรวดเสียดสีกันดังออกมาจากปากจินมู่อวิ๋น
พร้อมกับเสียงนั้น เขาเงยหน้าขึ้นช้าๆ ตอนนี้ดวงตาที่เดิมขุ่นเคืองอยู่แล้วยิ่งโชติช่วงขึ้นไปอีก ดุจดั่งดวงดาวแผดจ้าคู่หนึ่ง
เขาโชกเลือดไปทั้งตัว สีหน้าซีดขาว แต่ในตอนนี้ทุกคนในที่นั้นต่างรู้สึกได้ถึงความเด็ดเดี่ยวเข้มแข็งจากตัวเขา
ไม่ว่าจะเป็นมิตรหรือศัตรู ยามเผชิญหน้ากับจินมู่อวิ๋นในตอนนี้ต่างต้องยอมรับว่า นี่คือผู้กล้าขอบเขตมกุฎที่หยิ่งทระนง แข็งแกร่งและสะดุดตาผู้หนึ่ง
จิตวิญญาณอันยึดมั่นหนักแน่นเช่นนี้ ผู้ใดก็ไม่อาจไม่หวั่นไหว
แต่เช่นเดียวกัน ยิ่งเป็นเช่นนี้ก็ยิ่งขับเน้นความน่ากลัวของหลินสวิน จินมู่อวิ๋นโดดเด่นสะท้านโลกขนาดนี้แล้ว แต่หลินสวินกลับสามารถบดขยี้อีกฝ่ายได้อย่างต่อเนื่องในสองกระบวนท่า นี่น่าหวาดหวั่นอย่างไม่ต้องสงสัย
“อาศัยแค่จิตวิญญาณและเจตจำนงเช่นนี้ จินมู่อวิ๋นคนนี้สามารถพาตัวเองมาอยู่ในสี่อันดับแรกได้ก็เป็นเรื่องสมควรแล้ว”
ตอนนี้แม้แต่เซี่ยวชางเทียนกับเยี่ยเฉินยังยอมรับความแข็งแกร่งของจินมู่อวิ๋น
ทว่านี่กลับทำให้จินมู่อวิ๋นไม่ดีใจแม้แต่น้อย
เขาไม่ยอม!
ยิ่งไม่อาจยอมรับได้!
“เจ้าก็ไม่เลว น่าเสียดาย เจ้าไม่ใช่อวิ๋นชิ่งไป๋” หลินสวินเอ่ยปากเช่นกัน วาจาที่เอ่ยออกมากลับดูไม่มีที่มาที่ไปอยู่บ้าง
ผู้ฝึกปราณไม่น้อยสั่นสะท้านในใจ เหมือนจะเดาอะไรออก หรือว่าคู่ต่อสู้ที่เขาคิดจะเอาชนะจริงๆ คืออวิ๋นชิ่งไป๋
เทพมารหลินเหิมเกริมยิ่งแล้ว!
และสิ่งนี้ก็ทำให้จินมู่อวิ๋นสีหน้าอึมครึม ขุ่นเคืองขึ้นไปอีก เจตกระบี่ทั้งกายประหนึ่งกำลังลุกโชน ดวงตาเย็นชาจนน่าตกใจ
เพียงแต่เขาไม่ทันได้เอ่ยปาก หลินสวินก็พูดออกมาแล้วว่า “คราวนี้เจ้าก็รับข้าไปอีกกระบวนท่าแล้วกัน!”
เสียงพูดยังไม่ทันเงียบไป อานุภาพพลังที่ปราดเปรียวราวลำแสง เฉียบคมดุจใบดาบ ไพศาลราวเหวใหญ่ก็พุ่งออกมาจากร่างของเขา ปั่นป่วนเมฆลมทั่วทิศ!
ชิ้ง!
ดาบหักเจิดจ้าราวมายาโฉบออกมา ลายมรรคบนตัวดาบคลุมเครือ แสงดารากระจ่างใสเพริศแพร้วแผ่พุ่งออกมานับหมื่นสาย
เสียงวิพากษ์วิจารณ์ รวมถึงทุกการกระทำในที่นั้นล้วนหยุดลงในตอนนี้
สามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าพลังของหลินสวินราวกับเชื่อมโยงกับสวรรค์ ควบรวมกับปฐพี ประหนึ่งจำแลงเป็นเทพสูงสุดเพียงหนึ่งเดียวในจักรวาล มองเหยียดหยันมายังโลกหล้า เพียงแค่อานุภาพพลังเช่นนี้ก็ทำให้ทุกคนชาหนึบที่ศีรษะ
และดาบหักก็ล่องลอยอย่างเงียบเชียบอยู่ในยามนี้
ไม่มีเสียงแม้สักนิด ประหนึ่งว่าพลังทั้งมวลต่างรวมตัวกันที่คมดาบนั้น ทำให้การโจมตีนี้ปรากฏความรู้สึกสงบนิ่งแบบที่เมื่อถึงขีดสุดก็จะพลิกกลับ!
หากการโจมตีนี้เคลื่อนออกมา อานุภาพของมันจะมากมายเพียงใด พลังจะแข็งแกร่งปานไหน