บทที่ 107 ศึกสุดท้าย (4)
โลกตรงหน้าซูเฉินค่อย ๆ กลับมาอย่างช้า ๆ
แล้วซูเฉินก็พบว่าเขาอยู่ในดินแดนรกร้างในทันที ทั่วทั้งพื้นที่คละคลุ้งไปด้วยไอแห่งความตาย
มีเพียงร่างสูงตระหง่านที่อยู่ในคลองจักษุซึ่งปรากฏอยู่ไกลออกไปเท่านั้นที่พอจะดึงดูดความสนใจของเขาได้
“บรรพชนมนุษย์” ซูเฉินเอ่ยออกมาเบา ๆ
นั่นคือบรรพชนมนุษย์อย่างแน่นอน
เขานั่งอยู่ตรงนั้นและส่งยิ้มกลับมาให้ซูเฉิน
“เป็นท่านนี่เอง ท่านคือตัวตนในความฝัน เช่นนั้นท่านก็คงเป็นฮ่วนเมิ่ง” ซูเฉินกล่าวอย่างแผ่วเบา
แต่บรรพชนมนุษย์ก็ส่ายหน้า “ไม่ใช่อย่างที่เจ้าคิดหรอก ฮ่วนเมิ่งก็คือฮ่วนเมิ่ง และข้าก็คือข้า พวกเราไม่เหมือนกัน หรืออย่างน้อยพวกเราก็ไม่ได้เหมือนกันในตอนแรก”
“ในตอนแรกหรือ?” ซูเฉินตะลึงงันกับประโยคสุดท้ายนั้น
บรรพชนมนุษย์พยักหน้าหงึก ๆ “อย่างที่เจ้ารู้ ข้าคือบรรพชนมนุษย์…เป็นบรรพชนของเผ่าพันธุ์มนุษย์ในยุคแรก อันที่จริงการมีอยู่ของข้าเองก็เป็นสิ่งต้องห้ามตั้งแต่แรกอยู่แล้ว”
ซูเฉินพอจะเข้าใจคร่าว ๆ แล้วว่าบรรพชนมนุษย์กำลังพูดถึงสิ่งใด “ศักยภาพของเผ่าพันธุ์มนุษย์นั้นดีเยี่ยมทีเดียว”
บรรพชนมนุษย์พยักหน้า “แค่ดีเยี่ยมยังน้อยไป เพราะมนุษย์นั้นคือสิ่งมีชีวิตที่เทพแห่งเวลา เทพแห่งชีวิต และเทพแห่งความตายองค์แรกร่วมกันสร้างขึ้น ในตอนนั้นพวกเขาพยายามหาหนทางสู่ชีวิตอันเป็นนิรันดร์ ซึ่งมนุษย์คือหนึ่งในเส้นทางที่เปี่ยมศักยภาพที่พวกเขากำลังเฝ้าดูอยู่”
“ไม่ใช่ว่าพวกเขามีระบบความศรัทธาอยู่แล้วหรือ?”
บรรพชนมนุษย์ส่ายหน้า “ณ ตอนนั้น มันห่างไกลจากคำว่าพออีกมาก มีระดับความศรัทธาที่แตกต่างกันมากมายอยู่ในระบบ อีกอย่าง ยิ่งสิ่งมีชีวิตผู้บูชาเทพเจ้าทรงพลังเท่าไร ความศรัทธาที่พวกเขามอบให้ก็จะทรงพลังมากขึ้นเท่านั้น และเทพเจ้าที่ได้รับการบูชาก็จะแข็งแกร่งยิ่งขึ้นไปด้วย”
นี่คือเหตุผลที่เทพเจ้าสร้างสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าขึ้นมาเพื่อให้บูชาพวกตน เพื่อให้ได้รับมาซึ่งความศรัทธาที่มากขึ้นนั่นเอง
เผ่าพันธุ์อัจฉริยะล้วนถูกสร้างขึ้นมาเพื่อการนี้
นี่คือผลลัพธ์ตามธรรมชาติพลังจากที่เทพเจ้านึกขึ้นได้ว่ายิ่งเผ่าพันธุ์ฉลาดมากขึ้นเท่าไร พวกเขาก็จะยิ่งมีศักยภาพมากขึ้นเท่านั้น และปริมาณของความศรัทธาที่พวกเขาสามารถมอบให้ได้ก็จะสูงขึ้นด้วยเช่นกัน
พวกเขาจึงทำงานหนักอย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งมากขึ้นและมากขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงจุดหนึ่งเทพเจ้าก็เริ่มผสมผสานพวกมันด้วยลักษณะอันโดดเด่นมากมายที่เทพเจ้าทั้งหลายครอบครอง
ภายใต้สถานการณ์เหล่านี้เองที่เผ่าพันธุ์มนุษย์ถูกสรรค์สร้างขึ้น
ตั้งแต่แรกเริ่ม มนุษย์มีรูปลักษณ์ที่คล้ายคลึงกับเทพเจ้า และแม้จะไร้ซึ่งพละกำลังแสนเหลือเชื่อของเทพเจ้า ศักยภาพอันไร้ขีดจำกัดของพวกเขาก็ทำให้ความสามารถที่แฝงอยู่ภายในกลับมามีชีวิตได้ด้วยตัวเอง
แม้แต่เทพแห่งเวลาก็ไม่ได้คาดหวังว่าศักยภาพของเหล่ามนุษย์จะเหนือกว่าที่จินตนาการไว้
ขณะที่มนุษย์ยังคงเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ พวกเขาก็พัฒนาระบบพลังอมตะขึ้นสำเร็จในเวลาต่อมา
สำหรับเทพเจ้าแล้ว ความสามารถแต่กำเนิดในการพัฒนาตนเองของพวกเขานั้นเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ อย่างไรแล้ว ยิ่งพวกเขาแข็งแกร่งขึ้นเท่าไร ความศรัทธาที่มอบให้ก็จะเพิ่มขึ้นเท่านั้น
แต่เมื่อมนุษย์พัฒนามาจนถึงจุดหนึ่ง เทพเจ้าก็รู้ตัวว่าพลังอมตะของพวกเขาสามารถเปลี่ยนแปลงและกระทั่งกลืนกินพลังศักดิ์สิทธิ์ได้
นี่ทำให้เทพเจ้าแตกตื่น
และเมื่อมนุษย์พัฒนาพลังอมตะได้สำเร็จ มนุษย์ก็เริ่มมีความหยิ่งผยองสูงขึ้นตามไปด้วย
มนุษย์เริ่มเมินเฉยต่อความต้องการของเทพเจ้าและหยุดสักการบูชาเหล่าเทพ อย่างไรแล้วเส้นทางของการบ่มเพาะพลังอมตะก็หมุนเวียนอยู่รอบการเชื่อในพละกำลังและความแข็งแกร่ง ซึ่งขัดแย้งกับเส้นทางการเพิ่มจำนวนผู้บูชาของเทพเจ้าโดยสิ้นเชิง
ดังนั้นแล้ว ช่องว่างระหว่างเทพเจ้าและมนุษย์จึงลดลงมหาศาล จนในเวลาต่อมาเทพเจ้าทั้งหลายก็หวั่นวิตกจนตัดสินใจที่จะทำลายเผ่าพันธุ์มนุษย์ทั้งหมด
สงครามนี้เกิดขึ้นตั้งแต่ครั้งอดีตกาล
หลังจากที่ได้รับพลังอมตะมาแล้ว เผ่าพันธุ์มนุษย์ก็มีสิทธิ์ที่จะต่อสู้กับเทพเจ้า
แต่โชคไม่ดีนัก พวกเขาล้มเหลว
แม้ว่าพลังอมตะจะทรงพลังยิ่งนัก มันก็ยังเป็นเส้นทางการฝึกตนแบบใหม่ล่าสุด เมื่อเทียบกับขุมพลังเก่าแก่แล้ว พลังของเผ่าพันธุ์มนุษย์นั้นพ่ายแพ้ก่อนที่จะมีโอกาสได้เป็นผู้ทรงพลังเสียอีก
หลังจากที่เอาชนะมาได้ เทพเจ้าก็ไม่ได้กวาดล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์ทั้งหมด พวกเขากลับผนึกพลังไว้และทำให้เหล่ามนุษย์ไม่สามารถบ่มเพาะพลังอมตะต่อไปได้ เผ่าพันธุ์มนุษย์จึงถูกบีบบังคับให้เดินตามเส้นทางของพลังต้นกำเนิดซึ่งยากลำบากและท้าทายยิ่งกว่ามหาศาล
แต่ก็มีบุคคลหนึ่งที่หลบหนีชะตากรรมนั้นได้
ในฐานะมนุษย์คนแรก บรรพชนมนุษย์นั้นแข็งแกร่งอย่างถึงที่สุด เขาไม่ใช่เทพเจ้าแต่พละกำลังของเขาก็ใกล้เคียง
แม้ว่าบรรพชนมนุษย์จะก่อกบฏไม่สำเร็จ เขาก็ไม่ยอมรับชะตากรรมของการเป็นทาสและค้นหาโอกาสในการโต้กลับต่อไป
นอกจากนี้ สงครามระหว่างมนุษย์และเทพเจ้ายังไม่ได้เป็นการโจมตีเพียงฝ่ายเดียว
เทพเจ้าที่อ่อนแอกว่าบางส่วนพ่ายแพ้ มิหนำซ้ำยังถูกสังหารโดยมนุษย์
เจ้าแห่งแดนฝันคือหนึ่งในนั้น
ในตอนนั้น เจ้าแห่งแดนฝันห่างไกลจากสถานะในปัจจุบันอยู่มาก เขาเป็นเพียงเทพแห่งฝัน เทพเจ้าระดับต่ำธรรมดาองค์หนึ่ง สิ่งเดียวที่เขาทำได้คือใช้แดนฝันของตนในการบุกรุกความคิดของผู้คน แล้วจึงสกัดพละกำลังและพลังจิตของคนพวกนั้นมาบำรุงรักษาตนเอง
ในอดีต เขาเป็นต้นไม้ที่เติบโตจนกลายเป็นเทพเจ้าหลังจากที่อาศัยอยู่มาช้านาน ผลไม้ที่งอกเงยออกมาจากกิ่งก้านของเขากลายเป็นภูตแดนฝันในเวลาต่อมา
ย้อนกลับไปในตอนนั้น เทพแห่งฝันเรียบง่ายยิ่งกว่าปัจจุบันมาก เขาสร้างแดนฝันจำนวนหนึ่งที่เขาเดินทางและเตร็ดเตร่ไปมาอยู่ข้างในอย่างเอ้อระเหย
จนกระทั่งเขาพบกับบรรพชนมนุษย์
เมื่ออดีตกาลนานมาแล้ว
มนุษย์กลุ่มหนึ่งซึ่งสวมใส่หนังสัตว์อสูรและกวัดแกว่งขวานหินรีบถอยหลังหนีอย่างรีบร้อน แม้ว่าอุปกรณ์ของกลุ่มนั้นจะดูไม่สมประกอบ เสื้อผ้าฉีกขาด และมีลักษณะท่าทางราวกับคนป่าเถื่อน รัศมีน่าเกรงขามนั้นแผ่ขจายออกมาจากร่างกายของพวกเขาทุกคน
พวกเขาเหมือนจะกำลังลาดตระเวนพื้นที่ป่าเขาเพื่ออะไรบางอย่าง
แล้วคนหนึ่งในกลุ่มก็ร้องลั่น “เจอแล้ว! เขาอยู่นี่!”
เหล่ามนุษย์ยุคโบราณรีบตรงเข้าไปหาคนที่พึ่งจะตะโกนออกมา
ใกล้ ๆ เขาคือเทพเจ้าผู้เอนกายอยู่บนพื้นดิน ใต้ร่างกายมีแอ่งเลือดสด ๆ สีทองอร่าม
เทพเจ้าองค์นี้ยังหายใจอยู่ แต่ก็เห็นได้ชัดว่าเขาคลานไปไหนไม่ได้ด้วยซ้ำ
“ไอ้เทพเจ้าชั่ว!” มนุษย์โบราณคนหนึ่งคำรามลั่นด้วยความโกรธเกรี้ยวพร้อมพุ่งออกไปข้างหน้าก่อนจะเหวี่ยงขวานลงไป
ร่างกายของเทพเจ้าเรืองแสงศักดิ์สิทธิ์ออกมาเป็นการตอบโต้ แต่ชั้นแสงสีขาวก็ปกคลุมพื้นผิวของขวานในทันใด ทำให้มันทะลุผ่านเกราะป้องกันไปได้ มันกระแทกเข้ากับเกราะของเทพเจ้าคนนั้นและทิ้งแผลลึกไว้ข้างในขณะที่มันสับโดนเนื้อภายใต้เกราะหนา
“อ๊าก!” เทพเจ้าคนนั้นร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด “ไม่ ข้าเป็นเทพเจ้า! ข้าจะมาตายที่นี่ไม่ได้!”
เขาเริ่มร้องโหยหวนด้วยความสิ้นหวัง
แต่มนุษย์โบราณเหล่านั้นก็ยังกวัดแกว่งขวานลงไปที่เขาอย่างไร้ความปรานี พวกเขากำลังจะบดขยี้เทพเจ้าทั้งเป็นและปลดปล่อยความคั่งแค้น
“ไว้ชีวิตข้าเถอะ ข้าขอร้อง! ข้าคือเทพแห่งฝัน ข้าสามารถประทานพลังไร้ขีดจำกัดและให้พรแก่พวกเจ้าได้ไม่มีที่สิ้นสุด!” เทพแห่งฝันตะโกนออกมาตามสัญชาตญาณ
“เจ้าให้อะไรพวกเราไม่ได้หรอก!” เหล่ามนุษย์โบราณตอบอย่างเยือกเย็น
“เฮงซวย เจ้าพวกเวร! มนุษย์อย่างพวกเจ้าจะต้องตาย ข้าบอกเลยว่าตาย!” เทพแห่งฝันก่นด่าสาปแช่งด้วยความแค้นเคือง
“ใช่ พวกเราตายแล้ว” มนุษย์ผู้นำกลุ่มตอบกลับ “พวกเราแพ้สงครามให้พวกเทพเจ้า แต่ถึงจะแพ้ พวกเราก็จะแสดงให้เห็นถึงพละกำลังและจิตวิญญาณที่ไม่มีวันตายไปจนถึงลมหายใจสุดท้าย เราจะลากพวกเจ้าไปกับเราให้ได้มากที่สุด!”
“ไร้สาระ! เจ้ายอมแพ้เสียจะดีกว่า จะได้เก็บรักษาผู้คนบางส่วนไว้ได้บ้าง ข้ารู้ว่าเทพเจ้าไม่ได้อยากสังหารพวกเจ้าทั้งหมดหรอก พวกเขาแค่ต้องการผนึกความแข็งแกร่งและหยุดพวกเจ้าไว้ไม่ให้ใช้พลังต้องห้ามนั่นอีก” เทพแห่งฝันอ้อนวอน ท่าทีของเขากลับไปดูน่าสังเวชอีกครั้ง
มนุษย์ผู้เป็นหัวหน้าหัวเราะอย่างเยือกเย็นเป็นคำตอบ ให้อาศัยอยู่ใต้ฝ่าเท้าของคนอื่นน่ะหรือ? ข้ายอมตายดีกว่า!”
“แต่ตราบใดที่เจ้ายังมีชีวิตอยู่ เจ้าจะไม่มีความหวังสักหน่อยหรือ? ถ้าเจ้าตายไป เจ้าก็จะไม่มีความหวังแม้แต่น้อยนิด” เทพแห่งฝันยังพยายามต่อรองกับพวกเขาต่อไป
คำพูดของเทพแห่งฝันทำให้มนุษย์ผู้นั้นตกตะลึงไปครู่หนึ่ง
แต่แล้วเขาก็ส่ายหน้า “เจ้าช่วยข้าไม่ได้หรอก”
เขาลงมือโจมตีต่อ
“ไม่ ไม่ ข้าทำได้! ข้าช่วยให้เจ้าปลูกเมล็ดพันธุ์ได้นะ! เมล็ดพันธุ์น่ะ!”
“เมล็ดพันธุ์อะไร?” คราวนี้คำพูดของเขาทำให้มนุษย์โบราณทุกคนล้วนตะลึงงัน ผู้นำมนุษย์ยกมือขึ้นและพวกเขาทุกคนก็หยุดโจมตี
เทพแห่งฝันรีบกล่าวอธิบาย “เมล็ดแห่งความหวัง เจ้าไม่อยากรอดจากการถูกผนึกหรือ? ถ้าเจ้ายอมละทิ้งร่างนี้ ข้าสามารถช่วยให้พวกเจ้าทั้งหมดไปเกิดใหม่ได้”
“ยังไงล่ะ?”
“กลายเป็นหนึ่งในผลไม้ของข้า หนึ่งในภูตแดนฝันของข้า เข้ามาในร่างกายข้า ในแดนฝัน และอาศัยอยู่ในนั้น มีแค่ข้าคนเดียวที่สามารถเข้าถึงที่นั่นได้ และไม่มีเทพเจ้าองค์ใดสามารถค้นพบเจ้าที่นั่นได้เช่นกัน”
เหล่ามนุษย์โบราณต่างหัวเราะเยาะเย้ย “ไร้สาระ นั่นจะเป็นจริงได้ยังไงกัน?”
เทพแห่งฝันรีบอธิบาย “แต่มันคือเรื่องจริง ตราบใดที่เจ้ายินดีเข้ามาในแดนฝันของข้า เจ้าก็สามารถอยู่ที่นั่นได้จนกว่าเจ้าจะเติบโตจนสามารถหลบหนีไปได้”
“งั้นร่างกายของเจ้าก็จะกลายเป็นคุกแห่งใหม่ของพวกเราหรือ?” มนุษย์โบราณทุกคนดูจะไม่เห็นด้วยกับความคิดนี้
“นี่คือวิธีที่ดีที่สุดที่พวกเจ้าจะเอาชีวิตรอดไปได้นะ!” เทพแห่งฝันเว้าวอนด้วยความจริงใจ “ถ้าเจ้าไม่เชื่อข้า เจ้าจะล้างความทรงจำของข้าเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นเลยก็ได้ แบบนั้นข้าก็จะไม่รู้ว่าเจ้าอยู่ในร่างกายข้า และข้าก็ไม่สามารถทำร้ายเจ้าได้เช่นกัน”
มนุษย์ที่อยู่ตรงนั้นไม่มีสักคนที่เชื่อเขา
ยกเว้นแต่ผู้นำมนุษย์ ที่เริ่มเผยท่าทีลังเลออกมา
เพราะเขานึกขึ้นได้ว่าอย่างน้อยนี่ก็เป็นโอกาสของพวกตน
เผ่าพันธุ์มนุษย์พ่ายแพ้ไปแล้ว ความตายและการเป็นทาสคือชะตากรรมเดียวที่รอคอยพวกเขาอยู่ แต่หากพวกเขาสามารถเก็บรักษาความหวังไว้ได้แม้แต่เศษเสี้ยวเดียว โอกาสไหน ๆ ก็คุ้มค่าทั้งนั้น
แม้ว่าคำพูดของเทพแห่งฝันจะฟังดูเพ้อเจ้อและเกินจริง มันก็เป็นเหตุผลที่คำพูดของเขาคงจะเป็นความจริงด้วย หากเทพแห่งฝันโกหก เขาก็คงจะพยายามเสนอสิ่งที่น่าเชื่อถือและยั่วยวนใจยิ่งกว่านี้
มีเพียงความจริงเท่านั้นที่ปราศจากการคิดคำนวณทางจิตใจ
เมื่อนึกได้ดังนั้น มนุษย์ผู้นำกลุ่มก็ตัดสินใจที่จะรับโอกาสแปลกประหลาดนี้ดูสักครั้ง
ในที่สุดพวกเขาก็ตัดสินใจว่าบรรพชนมนุษย์จะได้รับโอกาสนี้ ในขณะที่คนอื่น ๆ จะค้นหาโอกาสอื่นต่อไป
ทุกอย่างเกิดขึ้นเพื่อความอยู่รอดและเพื่อให้มั่นใจว่าพวกเขาจะมีชีวิตอยู่ต่อไป มนุษย์ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากไขว่คว้าทุกโอกาสที่มี
และนั่นคือวิธีการที่บรรพชนมนุษย์ได้ละทิ้งร่างกายของตนเอง เข้าไปในร่างกายของเทพแห่งฝัน และกลายเป็นดอกไม้เล็ก ๆ บนต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ ความทรงจำเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้ของเทพแห่งฝันก็ถูกลบล้างออกไปด้วยเช่นกัน
เพราะเขาสูญเสียความทรงจำเหล่านี้ไป เทพแห่งฝันจึงไม่รู้เกี่ยวกับข้อตกลงที่เขาทำกับมนุษย์ไว้แม้แต่น้อย เขารู้เพียงแค่ว่าตนเองเกือบตายไปแล้ว
เขาลากร่างกายที่บอบช้ำกลับไปยังที่พักของตนเองและเริ่มรักษาฟื้นฟู
ไม่นานหลังจากนั้น กบฏเผ่ามนุษย์ก็ถูกปราบปราม และมนุษย์ที่เหลือต่างถูกผนึกจนหมดสิ้นเพื่อป้องกันไม่ให้พวกเขาใช้พลังต้องห้ามอีก
แต่ไม่มีใครรู้ว่าแท้จริงแล้วยังมีมนุษย์ผู้ไม่ถูกผนึกอีกคนหนึ่งอาศัยอยู่ภายในร่างกายของเทพเจ้า
หลายหมื่นปีผ่านพ้นไป
“ถ้าอย่างนั้น ท่านก็กลายเป็นเจ้าแห่งแดนฝันหลังจากนั้นหรือ?” ซูเฉินถาม “และนั่นก็นำมาสู่สถานการณ์ในปัจจุบันหรือ?”
“ไม่ นั่นเป็นแค่จุดเริ่มต้น” บรรพชนมนุษย์กล่าวพร้อมถอนหายใจ “เรื่องราวที่แท้จริงคือสิ่งที่เกิดขึ้นต่อจากนี้”