ส่วนที่ 6 ภาคลมประจิมรุนแรง ตอนที่ 86 ระหว่างบิดากับบุตร

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

คนชุดน้ำเงินกล่าว “แต่ข้าเชื่อว่าแค่นั้นไม่เพียงพอให้เจ้าเชื่อว่าเฉินฉางเซิงไม่ใช่ฆาตกร”

เปี๋ยยั่งหงตอบ “ถูกต้อง ปราณของมังกรยักษ์น้ำค้างแข็งไม่อาจปลอมแปลงได้ ดังนั้นเมื่อครู่นี้ข้าจึงได้เชื่อว่าเป็นฝีมือขององค์สังฆราช”

คนชุดน้ำเงินถาม “แล้วเจ้าแน่ใจได้อย่างไรว่าลูกชายเจ้าถูกข้าฆ่าตาย หรืออย่างน้อยก็สงสัยข้า”

ที่ราบสูงเกิดเสียงอื้ออึงขึ้นมา

บางคนพอจะเดาได้แล้วว่านี่อาจเป็นแผนร้ายที่จงใจใส่ความสังฆราช แต่พวกเขาก็อดที่จะตกใจไม่ได้เมื่อได้ยินคนชุดน้ำเงินยอมรับมันด้วยตัวเอง

“เหตุผลที่ข้าสงสัยก็คือมีคนแสดงบางอย่างให้ข้าดูตอนที่ข้ากำลังขึ้นเขามา”

เปี๋ยยั่งหงโบกมือ กระดาษหลายแผ่นก็ลอยออกมาจากแขนเสื้อ พวกมันลอยอยู่กลางอากาศ สั่นพลิ้วในสายลม

กระดาษเป็นสีขาวและมีภาพที่วาดด้วยถ่าน

ลายเส้นที่วาดไม่ได้ซับซ้อน แต่ก็มีรายละเอียดชัดเจน

ภาพแรกเป็นตรอกเล็กๆ มีต้นไหวเก่าแก่กับชายหนุ่มคนหนึ่ง

ใบหน้าชายหนุ่มในภาพดูราวกับมีชีวิต คิ้วทั้งสองดูเหมือนกับจะบินได้ เขาดูเหมือนกับคนจริงๆ

เมื่อเขามองไปที่ชายหนุ่มในรูปวาด ประกายความปวดร้าวก็ผุดขึ้นบนใบหน้าของเปี๋ยยั่งหง

ตรอกเล็กที่มีต้นไหวโบราณเป็นส่วนหนึ่งของเมืองฮั่นชิว และชายหนุ่มก็คือลูกชายเขา เปี๋ยเทียนซิน

รูปวาดรูปที่สองเป็นรถม้า ตอนที่มันถูกวาด มีลมพัดมาพอดีและมุมหนึ่งของม่านก็ลอยขึ้น

มันเป็นแค่เวลาสั้นๆ ทว่าด้วยดินสอถ่านดำของจิตรกร มันจึงหยุดนิ่งกลายเป็นบันทึกที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง

มองผ่านหน้าต่างรถม้าจะเห็นหญิงสาวงดงามภาคภูมิและคนชุดน้ำเงินสวมหน้ากากทองแดง

เป็นคนชุดน้ำเงินที่ปรากฏตัวบนที่ราบสูงวันนี้

ภาพที่เหลือแสดงฉากต่างๆ อย่างเช่นน้ำตกเชี่ยวกรากนอกเมืองฮั่นชิว หรือชายหนุ่มกับหญิงสาวเดินเคียงข้างกัน

ภาพวาดทุกใบถูกต้องแม่นยำในการบันทึกสิ่งที่เปี๋ยเทียนซินได้ทำและคนที่เขาได้พบในช่วงไม่กี่วันมานี้

หลังจากเปี๋ยเทียนซินตาย บันทึกพวกนี้ก็กลายเป็นเบาะแส

คนชุดน้ำเงินมองดูภาพวาดเหล่านี้และนิ่งเงียบไปเป็นเวลานาน ทันใดนั้นเขาก็ถามขึ้น “เจ้าเชื่อภาพวาดพวกนี้หรือ”

เปี๋ยยั่งหงตอบ “ข้าเชื่อคนที่วาดภาพพวกนี้ แต่ก็ไม่ทั้งหมด สุดท้ายแล้วการปรากฏตัวของเจ้าจึงเป็นหลักฐานที่แท้จริง”

“ตอนนี้คิดดูแล้ว มันไม่ฉลาดจริงๆ ที่ข้าลงมือเอง แต่หากเจ้าไม่สงสัย เจ้าคงไม่ลงมือเร็วเช่นนี้ ข้ายังมีโอกาสที่จะฆ่าเฉินฉางเซิงและจากไป เมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็เท่ากับแพ้ให้กับคนที่วาดภาพพวกนี้”

คนชุดน้ำเงินเหลือบมองภาพวาดแล้วขมวดคิ้ว “ข้าคิดว่าลูกคิดอยู่ในมือข้า แผนการของข้าไร้จุดอ่อน แต่ข้าไม่คาดคิดเลยว่าร่องรอยทั้งหมดของข้าอยู่ใต้สายตาของคนผู้นี้ คนผู้นี้เป็นใครกันถึงได้ลอบตามข้าได้โดยที่ข้าไม่รู้สึกตัวเลย”

เปี๋ยยั่งหงตอบ “ชิวซานจวิน”

คนชุดน้ำเงินตัวแข็งไปด้วยความประหลาดใจ

ฝูงชนบนที่ราบสูงก็เกิดความอลหม่านขึ้นเมื่อได้ยินชื่อนี้

ชิวซานจวินนั้นเป็นคนดัง แต่เขาก็หายตัวไปนานถึงห้าปี ดังนั้นหลายคนจึงเกือบลืมการมีอยู่ของเขาไปแล้ว

ไม่มีใครคาดคิดว่าเมื่อเขาปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง เขาจะทำสิ่งที่น่าประทับใจเช่นนี้

ไป๋ไช่ยิ่งตกใจเข้าไปใหญ่ เขาหันไปมองโก่วหานสือและถาม “ศิษย์พี่ใหญ่? เกิดอะไรขึ้นกันแน่”

โก่วหานสือส่ายหน้า บ่งบอกว่าเขาก็ไม่รู้เช่นกัน

……

……

ที่ลำธารตีนเขายอดเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ กลิ่นหอมของปลาย่างลอยไกลออกไปเรื่อยๆ ความเคลื่อนไหวในป่าใกล้เข้ามาเรื่อยๆ สัตว์อสูรที่มีความกล้ามากหน่อยถึงกับยื่นหน้าออกมา

ชิวซานจวินฉีกเนื้อปลาแล้วโยนไป จากนั้นก็หันกลับไปกล่าว “ท่านพ่อ ไม่มีประโยชน์ที่จะรั้งข้าไว้ที่นี่”

ผู้นำตระกูลชิวชานคว้าปลาย่างและกัดไปสองคำก่อนที่จะกล่าวอย่างภูมิใจว่า “อย่าได้คิดหลอกข้า”

ชิวซานจวินกล่าวอย่างไม่รู้จะทำอย่างไรดี “มันเป็นความจริง ท่านมาช้าไป ข้าได้พบกับท่านเปี๋ยแล้ว”

ผู้นำตระกูลชิวชานอ้าปากค้างพูดอะไรไม่ออก

เป็นคนอื่นคงเถียงกลับไปว่า “เปี๋ยยั่งหงไม่มีทางเชื่อคำพูดไม่กี่คำของเจ้า” อย่างไรก็ตาม เขาเป็นพ่อของชิวซานจวิน เขาย่อมรู้ดีว่าบุตรชายของตนมีชื่อเสียงเลิศล้ำ โดยเฉพาะเรื่องที่บุตรชายเขาเป็นคนที่รอบคอบมาก เขาต้องมีลูกไม้ซ่อนอยู่อีกนอกเหนือจากแค่คำพูด

ผู้นำตระกูลชิวชานถามอย่างไม่สบายใจ “เจ้ามั่นใจได้อย่างไร”

ชิวชานจวินตอบ “ไม่มีหลักฐานโดยตรง และนี่เกี่ยวกับการฆาตกรรมลูกชายเขา ดังนั้นต่อให้มีความเป็นไปได้แค่สามในสิบส่วนเปี๋ยยั่งหงก็ต้องเชื่อข้า”

ผู้นำตระกูลชิวชานผ่อนคลายเล็กน้อย “ดีแล้ว หวังหว่าจะไม่มีอะไรไม่คาดหมายเกิดขึ้น”

ชิวซานจวินเสริม “หากคนชุดน้ำเงินอดลงมือไม่ได้ สามส่วนก็จะเพิ่มเป็นเก้าส่วน”

ผู้นำตระกูลชิวชานหวาดหวั่นขึ้นมาเล็กน้อย “หากข้าเป็นเขา ข้าไม่มายอดเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ในวันนี้ด้วยซ้ำ อย่าว่าแต่ลงมือเลย”

ชิวซานจวินตอบ “คนชุดน้ำเงินมีการบำเพ็ญเพียรยากหยั่งถึงและมีวิธีการทำงานที่โหดเหี้ยมไร้น้ำใจ แต่ในแง่ของความเจ้าเล่ห์และอดทน เขายังด้อยกว่าท่านพ่อมาก นอกจากนี้ ที่แห่งนี้คือยอดเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ และเฉินฉางเซิงก็มีลูกไม้มากมาย คาดได้ว่าหวังผ้องอาจมาด้วยก็ได้ เขาจึงต้องลงมือ”

แม้ว่าคำพูดนี้จะกล่าวชมเขา แต่ผู้นำตระกูลชิวชานก็ยังคงรู้สึกหม่นหมอง

จากที่ชิวซานจวินกล่าวมา หากคนชุดน้ำเงินลงมือ เปี๋ยยั่งหงคงยากที่จะไม่สงสัย แล้วเฉินฉางเซิงก็อาจมีสิทธิ์รอด

ผู้นำตระกูลชิวชานมองเขาอย่างไม่พอใจ “หากเรื่องเป็นไปเช่นนี้ ข้าก็ได้แต่คิดหาวิธีอื่นแล้ว”

ชิวซานจวินสงสัยและถามขึ้น “ท่านพ่อต้องการจะทำอะไร”

ผู้นำตระกูลชิวชานปลุกใจตัวเอง “หากเป็นอย่างที่เจ้าว่า ถ้าอย่างนั้นเมื่อถึงเวลา ก็ต้องประกาศความสำเร็จของเจ้าให้ผู้คนรับรู้”

ชิวซานจวินกล่าวอย่างไม่รู้จะทำอย่างไรดี “ข้าใช้เวลาทั้งวันอยู่กับท่านพ่อ ย่างปลากินกัน แล้วจะมีความสำเร็จอันใดได้”

ผู้นำตระกูลชิวชานกล่าวอย่างจริงจัง “เจ้าเคยคิดหรือไม่ หากแผนของดินแดนต้าซีสำเร็จ องค์สังฆราชจะตาย ที่สำคัญเปี๋ยยั่งหงกับภรรยาฆ่าสังฆราชย่อมทำให้โลกตกอยู่ในความวุ่นวาย เผ่ามารย่อมบุกรุก แล้วมนุษยชาติย่อมตกอยู่ในความวุ่นวาย แต่ตอนนี้ ไม่มีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น ทั้งหมดเป็นเพราะเจ้า”

ชิวซานจวินกล่าว “ตรรกะนี้ประหลาดพิกลอยู่บ้าง”

ยิ่งผู้นำตระกูลชิวชานพูดมากเท่าไร ก็ยิ่งตื่นเต้นมากขึ้นเท่านั้น เขาประกาศ “ประหลาดตรงไหน ลูกชาย ต่อให้เรียกเจ้าว่าผู้กอบกู้โลกก็ไม่มากเกินไป!”

ชิวซานจวินกล่าวอย่างสิ้นแรง “ท่านพ่อ นี่มันมากเกินไปหน่อย”

ผู้นำตระกูลชิวชานย้อน “เจ้าจะรู้อะไร เจ้าแน่ใจได้อย่างไรว่าข้อสันนิษฐานของข้าจะไม่กลายเป็นจริง”

ชิวซานจวินพลันตกอยู่ในความเงียบ

ปลาในลำธารว่ายไกลออกไปเงียบๆ

สัตว์อสูรในป่าก็หายไปเช่นกัน

หลังจากเวลาผ่านไป ชิวซานจวินก็กล่าวขึ้นในที่สุด

เขามองไปที่ดวงตาของผู้นำตระกูลชิวชานและถามอย่างตรงไปตรงมา “ท่านพ่อ เมื่อท่านรู้ว่าข้อสันนิษฐานของท่านจะเป็นจริง แล้วทำไมยังทำอีก”

แผนร้ายนี้มีเป้าหมายอยู่ที่นิกายหลวงและเฉินฉางเซิง

คนที่ลงมือทำตามแผนนี้ก็คือคนชุดน้ำเงินจากดินแดนต้าซีและมู่จิ่วซือ

แต่ใครก็มองออกว่าราชสำนักรู้เรื่องนี้ล่วงหน้า แม้ว่าจะไม่มีใครรู้ว่าเกี่ยวข้องด้วยมากน้อยแค่ไหน

ชิวซานจวินแน่ใจยิ่งขึ้นว่าพ่อของเขาก็รู้เช่นกัน

ผู้นำตระกูลชิวชานก็เงียบงันไปด้วยคำถามนี้

สุดท้ายแล้ว เขาก็ไม่ตอบคำถามของชิวซานจวิน

เขายืนขึ้น ลูบหัวชิวซานจวิน ครั้นแล้วก็ไปจากริมลำธาร