ส่วนที่ 6 ภาคลมประจิมรุนแรง ตอนที่ 87 ระหว่างตะวันออกกับตะวันตก

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

อู๋ฉยงปี้พุ่งไปยังใจกลางที่ราบสูงและประคองเปี๋ยยั่งหงที่อ่อนแรง นางจ้องไปที่คนชุดน้ำเงิน ดวงตาเต็มไปด้วยความแค้นและไม่ต้องการสิ่งใดมากไปกว่ากัดเขาให้ตาย นางตะโกน “เป็นเจ้าเอง! เราไม่เคยพบกันด้วยซ้ำ ไม่มีความแค้นต่อกันแล้วทำไมเจ้าถึงได้ฆ่าลูกรักของเรา”

“ลูกชายเจ้าถูกกำหนดมาให้ตายอย่างอนาถ ข้าแค่คิดจะใช้ความตายของเขาสร้างความปั่นป่วนแต่แล้ว…”

คนชุดน้ำเงินกล่าวอย่างเสียดาย “ข้าไม่คาดคิดว่าองค์สังฆราชกับเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ที่อ่อนเยาว์เช่นนี้จะมีวิชาฝีมือโดดเด่นเพียงนี้ หากไม่เช่นนั้นข้าก็ไม่จำเป็นต้องปรากฏตัว”

เป็นเช่นนี้จริงๆ หากการผสานการโจมตีของเฉินฉางเซิงกับสวีโหย่วหรงไม่อาจโต้อู๋ฉยงปี้ถอยไปได้ เขาย่อมไม่จำเป็นต้องลงมือ

บางทีเฉินฉางเซิงคงจบชีวิตใต้เงื้อมมือของอู๋ฉยงปี้บางทีเปี๋ยยั่งหงคงไม่เชื่อคำพูดของชิวซานจวิน แต่ไม่ว่าจะเป็นแบบใด เฉินฉางเซิงก็ต้องอยู่ในอันตรายใหญ่หลวง

“แล้วก็ยังมีเจ้าชิวซานจวินนั่น”

คนชุดน้ำเงินกล่าวอย่างโศกเศร้า “ต้าลู่มีอัจฉริยะรุ่นเยาว์มากมายจริงๆ แม้ว่าข้าจะข้ามทะเลกว้างใหญ่ก็ยังไม่พ้นการมองฟ้าจากก้นบ่ออยู่ดี”

หวังผ้อกล่าว “ไม่กี่วันก่อนนอกเมืองฮั่นชิว ข้าแนะนำเจ้าว่าถึงแม้ข้าจะไม่รู้จักตัวตนของเข้า แต่ทางที่ดีเจ้าไม่ควรยื่นมือเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องของต้าลู่”

เปี๋ยยั่งหงมองไปที่คนชุดน้ำเงินและพลันกล่าวขึ้น “หากข้าเดาไม่ผิด เจ้าน่าจะเป็นมู่”

เขาใช้ชีวิตอยู่ในเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์มานานกว่าหวังผ้อ ดังนั้นเขาย่อมมีความรู้เรื่องในอดีตเนิ่นนานมากกว่า

ได้ยินเช่นนี้อู๋ฉยงปี้กับอาจารย์ย่าทั้งสามของสถานศึกษาหนานซีก็ดูเหมือนจะตกใจอย่างมาก

หญิงชราตระกูลมู่ท่าไม่พูดอะไรมากนักในวันนี้ ไม่พูดอะไรนับตั้งแต่การปรากฏตัวของเปี๋ยยั่งหงกับอู๋ฉยงปี้ ในตอนนี้นางพลันใช้ไม้เท้าพยุงตัวขึ้นและตะคอกคนชุดน้ำเงินอย่างดุดัน “เจ้าคนตะวันตกมาสร้างปัญหาอีกแล้ว!”

คนชุดน้ำเงินคือมู่!

‘มู่’ เป็นแซ่ของราชสกุลที่ปกครองดินแดนต้าซี

ในยุคโบราณ การเรียกคนด้วยแซ่เท่านั้นแสดงความเคารพอย่างสูงในโลกมนุษย์ ธรรมเนียมนี้ก็ยังดำรงมาจนถึงตอนนี้

ยกตัวอย่างเช่นอิ๋น ซางหรือเทียนไห่

คนชุดน้ำเงินมีชื่อแค่คำว่า ‘มู่’ เป็นคนที่โดดเด่นที่สุดในราชสกุลของดินแดนต้าซี

ในแง่ของอาวุโส เขาในตอนนี้เป็นพระปิตุจฉาของดินแดนต้าซี มีอาวุโสกว่าจักรพรรดินีแห่งเมืองไป๋ตี้หนึ่งรุ่น

ว่ากันว่าเขามีการบำเพ็ญเพียรยากหยั่งถึง แข็งแกร่งหาใดเปรียบ และมีนิสัยเย่อหยิ่งโหดเหี้ยม

ตอนที่องค์หญิงใหญ่ถูกบีบให้ออกจากบ้านเกิดและข้ามทะเลมายังต้าลู่กลายเป็นมู่ฮูหยิน จักรพรรดินีของเผ่าปีศาจ ว่ากันว่าเป็นเพราะพระปิตุจฉาคิดว่านางมีพรสวรรค์น่ากลัวเกินไป มีศักยภาพมากเกินไป เชื่อว่านางจะเป็นภัยต่อการสืบทอดบัลลังก์ของราชวงศ์ เขาจึงไล่นางออกมา

ตอนนี้เมื่อคิดดูแล้วข่าวลือนั่นไม่จะเป็นความจริง

ลมหายใจมังกรเยือกแข็งไม่อาจที่จะปลอมแปลงได้จริงๆ หรืออย่างน้อยเรื่องแบบนี้ก็ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน อย่างไรก็ตามเผ่าปีศาจตั้งถิ่นฐานขึ้นได้ด้วยความสัมพันธ์อันล้ำลึกกับเผ่ามังกรยักษ์น้ำค้างแข็ง คงไม่ยากที่จะเชื่อว่ามู่ฮูหยินได้พบวิธีลับบางอย่างในการเลียนแบบลมหายใจมังกรเยือกแข็งขึ้นในเมืองไป๋ตี้

เปี๋ยยั่งหงมองไปที่คนชุดน้ำเงินแล้วถาม “เด็กสาวในภาพวาดน่าจะเป็นมู่จิ่วซือกระมัง”

คนชุดน้ำเงินตอบ “ไป๋เยี่ยสิงกับข้ามีความสัมพันธ์ไม่ดีนัก แต่ว่าเขารักหลานสาวข้าเสมอ เจ้ากล้าไปเมืองไป๋ตี้เพื่อหาตัวนางอย่างนั้นหรือ”

เปี๋ยยั่งหงกล่าว “อย่าว่าแต่เมืองไป๋ตี้ ต่อให้นางซ่อนตัวอยู่ในเหวนรกเมืองเสวี่ยเหล่า ข้าก็จะไปฆ่านาง”

คนชุดน้ำเงินตอบ “เช่นนั้นข้าจะรอเจ้าที่นั่นก่อน”

หลังจากกล่าวแล้วเขาก็มองไปทางตะวันตก

ในทิศทางนั้นมีหมอกหนาและทะเลปั่นป่วน แต่ก็อยู่ไกลเกินเขาจะมองเห็น

เศษทองแดงที่เปื้อนเลือดสีทองเริ่มร่วงหล่นและกองอยู่ที่เท้าของเขาราวกับใบไม้ทอง

แม้แต่ในช่วงสุดท้าย ก็ไม่มีใครรู้ว่าใบหน้าของผู้แข็งแกร่งที่สุดในราชสกุลดินแดนต้าซีเป็นเช่นใด

ภายในลำแสงสีทองนับไม่ถ้วน สามารถมองเห็นใบหน้าชราได้เลือนราง

แสงสว่างมากขึ้นเรื่อยๆ จากนั้นก็หายไปอย่างฉับพลัน

คนผู้นี้ไม่อยู่ในโลกอีกต่อไป

มีแค่เศษทองแดงบนพื้นเป็นตัวแทนของสิ่งที่เกิดขึ้นตรงนี้

……

……

มันเป็นวันฤดูหนาวที่ยาวนานมาก

เพราะมีเรื่องเกิดขึ้นมากเกินไป เวลาจึงดูเหมือนผ่านไปช้ามากๆ

อันที่จริงนับจากตอนที่อาจารย์ย่าทั้งสามประกาศปิดอาราม เฉินฉางเซิงยืนกรานคัดค้านและอู๋ฉยงปี้ส่งเสียงที่เปียมไปด้วยความชิงชัง จนถึงตอนนี้ เวลาผ่านไปไม่นานเท่าไร

ในเวลาสั้นๆ สามลมหายในนับจากคนชุดดำลงมือนั้นสำคัญที่สุด

คนชุดน้ำเงินลงมือโดยอิงจากการประเมินสถานการณ์บนที่ราบสูง หากหวังผ้อไม่ปรากฏตัว เขาย่อมไม่ลงมือ ดาบของหวังผ้อปรากฏเพราะขุนพลเทพพยัคฆ์ขาวลงมือลอบโจมตีเฉินฉางเซิง ขุนพลเทพไม่เชื่อว่าเฉินฉางเซิงจะสามารถต้านทานการลอบโจมตีจากยอดฝีมือเช่นเขาได้

คนชุดน้ำเงินไม่เห็นด้วย เขาเชื่อว่าเฉินฉางเซิงที่เป็นสังฆราชย่อมมีวิธีรักษาชีวิตอยู่มากมาย ดังนั้นเขาจึงเตรียมตัวที่จะใช้ความวุ่นวายลงมือโจมตี ดาบของหวังผ้อปรากฏขึ้นแล้ว ดังนั้นจะมีใครมาหยุดเขาได้ เขาไม่คาดคิดว่าในขณะที่เขารอให้ดาบของหวังผ้อปรากฏ ก็มีคนรอให้เขาปรากฏตัวเช่นกัน

และเขายิ่งไม่คาดคิดว่าคนผู้นั้นก็คือเปี๋ยยั่งหง

นี่คือเรื่องราวที่เกิดขึ้นในเวลาสามลมหายใจ

มองย้อนกลับไป เรื่องนี้เริ่มขึ้นเพราะทวนของขุนพลเทพพยัคฆ์ขาว

หากขุนพลเทพพยัคฆ์ขาวไม่พยายามฆ่าเฉินฉางเซิง ไม่มีทางที่เหตุการณ์เหล่านี้จะเกิดขึ้น

แล้วเรื่องนี้จะจบลงแบบไหน มันจะจบลงที่นี่หรือไม่

ไม่

การต่อสู้สะท้านฟ้าระหว่างยอดฝีมือเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์จบลงแล้ว

คนชุดน้ำเงินตายแล้ว

แต่เฉินฉางเซิงยังมีชีวิตอยู่

ขุนพลเทพพยัคฆ์ขาวถอนทวนกลับไป มองไปที่เฉินฉางเซิงจากนั้นก็หันกลับและเดินจากไป

ตอนที่เขามองไปที่เฉินฉางเซิง ใบหน้าเฉยชาอย่างยิ่ง ความหมายของเขานั้นชัดเจนอย่างยิ่ง

‘พระองค์โชคดีจริงๆ’

เฉินฉางเซิงมองไปที่ร่างซึ่งล่าถอยไป สีหน้าสุขุม แต่เขาไม่ได้เก็บกระบี่

เจตจำนงเริ่มอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด จากนั้นก็เริ่มก่อตัวเป็นรูปร่าง เปลี่ยนจากเรียบง่ายเป็นแข็งแกร่งจนน่ากลัว

ต้นหญ้าโดยรอบตอบสนอง ลอยขึ้นและเหยียดตรงชี้ขึ้นฟ้า

ขุนพลเทพพยัคฆ์ขาวย่อมสัมผัสได้ถึงเจตจำนงกระบี่เช่นกัน

ความหมายของเจตจำนงกระบี่นี้ก็ชัดเจนมาก

‘ท่านขุนพลคิดว่าสามารถจากไปแบบนี้หรือ’

ขุนพลเทพพยัคฆ์ขาวไม่ได้หยุดเดิน เขาดูเหมือนไม่สนใจ รอยยิ้มเย้ยหยันปรากฏขึ้นบนใบหน้า

พระองค์ ข้าตั้งใจจะฆ่าท่านเมื่อครู่ แล้วจะทำไม

การบำเพ็ญเพียรของท่านด้อยกว่าข้า เช่นเดียวกับความสามารถในการต่อสู้ของท่าน ท่านบาดเจ็บหนัก ดังนั้นต่อให้ท่านมีของวิเศษนับไม่ถ้วนอยู่กับตัว ท่านคิดว่าจะฆ่าข้าได้อย่างนั้นหรือ

แน่นอน ดาบนั้นสามารถฆ่าข้าได้ แม้ว่าหวังผ้อจะได้รับบาดเจ็บหนักก็ตาม แต่ท่านคิดหรือว่าท่านอ๋องจะมองดูเฉยๆ ส่วนหลังจากนั้น…ข้าก็สามารถกลับไปยังจิงตูและกลายเป็นขุนนางซั่งซูกลาโหม พระองค์กล้ากลับไปจิงตูหรือไม่ หรือข้าสามารถกลับไปยังด่านพยัคฆขาว ที่ที่ข้านำทัพทหารหลายหมื่นนาย มียอดฝีมือและนักสร้างค่ายกลจำนวนนับไม่ถ้วน พระองค์สามารถสู้กับข้าได้หรือ

เป็นธรรมดาที่ไม่มีใครได้ยินความคิดเหล่านี้

แต่ความเฉยชาและเย่อหยิ่งของเขากับความไม่ยินยอมที่จะวางกระบี่ของเฉินฉางเซิงนั้นเพียงพอให้เข้าใจสถานการณ์ได้อย่างชัดเจน

นักพรตจากอารามฉางชุนหลายคนบินออกมาจากคณะทูตราชสำนักสู่ใจกลางที่ราบสูงเพื่อรับตัวขุนพล

ชุดสีน้ำเงินพลิ้วไปตามสายลม บดบังสายตาของเฉินฉางเซิงจากหลังของขุนพลเทพพยัคฆ์ขาว

ทันใดนั้นใบไม้ครามก็ร่วงลงมา

ใบไม้ครามมีสีอ่อนกว่าชุดสีน้ำเงินของพวกนักพรต ดังนั้นมันจึงดูอ่อนกว่า

พวกมันเป็นใบของต้นอู่ถง

ห่างไปหลายร้อยจั้ง มือทั้งสองของสวีโหย่วหรงอยู่ที่ธนู ไม่มีลูกศรวางอยู่ ลูกธนูถงถูกยิงออกไปแล้ว

มันคือใบไม้ครามพวกนั้น