ใบไม้ครามเร่งความเร็วขึ้นอย่างฉับพลัน กลายเป็นลูกศรแหลมคมเล็งไปที่นักพรตพวกนั้น
พวกนักพรตสามารถสัมผัสได้ถึงพลังที่บรรจุอยู่ในธนูถงและก็หน้าเครียดขึ้นในทันที ไม่กล้าที่จะดูแคลนลูกศรเหล่านี้ พวกเขาใช้ประกายกระบี่หม่นมัวคลุมร่างเอาไว้ในทันที
เฉินฉางเซิงใช้โอกาสนี้เคลื่อนไหว ใช้ย่างก้าวหยั่งเทวา ย้ายจากดาวโต้วไปดาวเจิ่นจากนั้นก็พลันย้ายไปยังดาวหนิว เขาพุ่งเข้าสู่ด้านหลังของขุนพลเทพพยัคฆ์ขาวราวกับหมอกควัน
สายเกินไปที่ขุนพลเทพพยัคฆ์ขาวจะหันกลับไป ทว่าเขาหันหน้าทวนในมือพุ่งผ่านอากาศ!
เขาประหลาดใจอยู่บ้างที่เห็นสวีโหย่วหรงลงมือโจมตีอย่างฉับพลัน แต่เขาก็เตรียมรับกระบี่ของเฉินฉางเซิงไว้นานแล้ว
ผงประกายดาวนับไม่ถ้วนร่วงลงมาจากรอยต่อบนชุดเกราะ สว่างเจิดจ้ายามที่มันก่อตัวเป็นชั้นแสง ชั้นแสงนี้เรียบลื่นอย่างมาก ก่อตัวอย่างสมบูรณ์แบบ เรียกได้ว่าไร้ข้อบกพร่อง
กระบี่ของเฉินฉางเซิงเคลื่อนไหวราวกับสายฟ้าฟาด หลบเลี่ยงทวนและแทงเข้าใส่ขุนพล แต่มันก็ไม่อาจทะลวงชั้นแสงเข้าไปได้
นับตั้งแต่เขาได้เรียนเพลงกระบี่จากซูหลีในแดนรกร้าง นี่เป็นครั้งแรกที่เขาพบกับสถานการณ์เช่นนี้
ก่อนหน้านี้ แม้ยามสู้กับยอดฝีมืออย่างขุนพลเทพเซวียเหอหรือเสี่ยวเต๋อ เพลงกระบี่รอบรู้ของเขาก็สามารถที่จะทะลวงผ่านการป้องกันของศัตรูได้
หรือว่าคนผู้นี้จะมีเขตแดนดวงดาวที่สมบูรณ์แบบจริงๆ
กระบี่นับไม่ถ้วนฟันลง แสงและความร้อนสาดกระจายออกมาจากจุดปะทะ
ใต้แสงนี้เฉินฉางเซิงเห็นขุนพลเทพพยัคฆ์ขาวมีใบหน้าไม่แยแสอย่างยิ่ง
ตอนที่ซูหลีประเมินยอดฝีมือในยุคปัจจุบัน ระหว่างที่พวกเขาเดินทางในดินแดนรกร้าง เขากล่าวว่าไม่มีใครมีเขตแดนดวงดาวสมบูรณ์แบบอย่างแท้จริง
วันนี้ผลงานของขุนพลเทพพยัคฆ์ขาวดูเหมือนจะต่างไปจากข้อสรุปนี้
เฉินฉางเซิงสามารถสัมผัสได้ว่าคนผู้นี้แข็งแกร่งอย่างแท้จริง ต่างจากเซวียสิ่งชวนเพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น!
ไม่ว่าเขาใช้เพลงกระบี่รอบรู้หรือเพลงกระบี่สันดาป ก็ยากที่จะทำลายการป้องกันนี้ได้ในเวลาอันสั้น
ไม่มีใครเข้าใจเรื่องนี้ไปมากกว่าขุนพลเทพพยัคฆ์ขาวอีกแล้ว เขามองไปที่เฉินฉางเซิงอย่างดูถูกผ่านม่านแสง
ทันในนั้นความดูถูกก็กลายเป็นความเจ็บปวด จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นความตกใจไม่รู้จบ
บางคนได้ฉีกทำลายเขตแดนดวงดาวอันสมบูรณ์แบบของเขา!
เกิดอะไรขึ้น
……
……
ก่อนหน้าที่กระบี่ของเฉินฉางเซิงจะปะทะกับทวนของขุนพลเทพพยัคฆ์ขาว มีคนเดินออกมาจากคณะทูตราชสำนัก
คนผู้นี้ดูธรรมดาสามัญที่สุด ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้าหรือท่าทาง ไม่มีความโดดเด่นเลยแม้แต่น้อย ไม่ดึงดูดความสนใจเลยสักนิด
คนผู้นี้ดูเหมือนจะเดินช้าๆ แต่ก็เคลื่อนผ่านระยะทางร้อยกว่าจั้งเข้าสู่ใจกลางที่ราบสูงอย่างรวดเร็ว
คนผู้นี้ก้าวออกมาอย่างแผ่วเบา เบาจนไม่มีเสียงเกิดขึ้น ไม่ก่อให้เกิดลมแม้แต่นิดเดียว ไม่มีแม้แต่ลมหายใจหรือกลิ่น
แม้แต่ยอดฝีมือที่จุดสูงสุดขั้นรวบรวมดวงดาวอย่างขุนพลเทพพยัคฆ์ขาวก็ไม่อาจสัมผัสได้ว่าคนผู้นี้ก้าวมาด้านหลัง
คนผู้นี้ยืนอยู่ด้านหลังขุนพลเทพพยัคฆ์ขาวเงียบๆ ราวกับภูตพรายและจ้องมองลำคอของเขาอย่างเฉยชา
ในที่สุด บางคนก็สังเกตเห็นภาพอันแปลกประหลาดและรู้สึกเย็นเยียบขึ้นมา
คนในคณะทูตราชสำนักอยากจะเตือนขุนพลเทพพยัคฆ์ขาวแต่มันก็สายเกินไป
คนที่เหมือนกับภูตพรายยกมือขึ้น แล้ววางลงบนลำคอขุนพลเทพพยัคฆ์ขาว
ประกายแสงหลายสายที่เย็นเยียบจนทำให้คนที่มองเห็นตัวสั่นปรากฏขึ้นตรงหน้าฝ่ามือของคนผู้นั้น ในสายตาของผู้คนมันดูเหมือนกับกรงเล็บของหมาป่า
นี่เป็นการลอบโจมตีอย่างใจเย็นที่สุด เป็นวิธีการต่อสู้อันชาญฉลาดที่สุด ต่อให้เป็นคนที่มีเขตแดนดวงดาวสมบูรณ์แบบ คนผู้นี้ก็ยังสามารถที่จะมาและทำลายมัน
กรงเล็บหมาป่าที่แหลมคมร่วงลง ฉีกเปิดช่องว่างบนม่านแสงที่เรียบลื่นและสมบูรณ์แบบซึ่งก่อตัวขึ้นจากประกายดาว
มันเป็นช่องเปิดเล็กๆ ที่อาจมองข้ามไปหากไม่สังเกตดูให้ดี
พลังสังหารของกรงเล็บหมาป่าทั้งสองข้างนั้นดูเหมือนจะไม่สามารถทำร้ายขุนพลเทพพยัคฆ์ขาวได้
แต่สำหรับยอดฝีมือที่แท้จริงในที่นี้ กรงเล็บหมาป่าคู่นี้เป็นสิ่งที่อันตรายอย่างที่สุด
พวกเขาเห็นภาพหมาป่าตามเหยื่อไปด้านหลังเงียบๆ แล้วก็พลันก้มหัวลงงับคอเหยื่ออย่างเฉยชา
มีแต่ตอนที่เขี้ยวของหมาฝังลงเส้นเลือดใหญ่ของเหยื่อหรือบางทีตอนที่หัวของเหยื่อถูกกัดขาด เหยื่อจึงจะรู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้น
อำมหิตและเชี่ยวชาญในการลอบโจมตีเช่นนี้จะเป็นใครได้หากไม่ใช่เจ๋อซิ่ว!
สีหน้าเซียงอ๋องเย็นชาขึ้นทันที ทว่าดวงตาลุกไหม้ไปด้วยเปลวเพลิง หมุนวนเป็นดวงตะวันเจิดจ้า สายฟ้าดูเหมือนจะพุ่งออกมาจากดวงตา
ลมเย็นพัดขึ้นจากเท้าส่งเสียงโหยหวนรอบร่างกายอ้วนฉุ กลายเป็นเข็มขัดเส้นใหม่ของเขา
เขาสัมผัสได้ว่าบางอย่างอาจเกิดขึ้นกับขุนพลเทพพยัคฆ์ขาวและตัดสินใจที่จะลงมือช่วยเหลือ
แต่สายตาหวังผ้อจ้องมาที่เขา แขนเสื้อว่างเปล่าปลิวไปตามสายลม ดูเหมือนกับว่าวกระดาษที่กำลังจะตกลงมา
เปี๋ยยั่งหงก็มองไปที่เซียงอ๋องเช่นกัน ด้ายบนนิ้วก้อยปลิวไปตามสายลมในขณะที่กลีบดอกไม้สีแดงด้านหลังก็ลอยขึ้นลงอย่างไม่สงบ
เซียงอ๋องหรี่ตาในขณะที่มือกุมเข็มขัดเอาไว้ ยังไม่แน่ชัดว่าเขาจะลงมือหรือไม่
ความขัดแย้งระหว่างยอดฝีมือเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์ทั้งสามเกิดขึ้นแค่ช่วงเวลาสั้นๆ เท่านั้น
เพราะในเวลาสั้นๆ นี้ การต่อสู้ได้ข้อสรุปแล้ว ชีวิตและความตายได้ถูกกำหนดแล้ว
เฉินฉางเซิงเป็นเสมือนเงากระเรียนที่สะท้อนอยู่บนสระน้ำเย็น บินผ่านทวนที่เป็นเหมือนเทือกเขา
มือของเจ๋อซิ่วเป็นเหมือนกิ่งไม้ที่เปี่ยมไปด้วยแสงเย็นเยียบของดวงจันทร์เผ่ามารแดนเหนือ ตกลงบนลำคอของขุนพลเทพโดยไม่ทำให้นกซึ่งก็คือทวนเล่มนั้นแตกตื่น
ขุนพลเทพพยัคฆ์ขาวรู้ว่ามีคนมาทำลายเขตแดนดวงดาวของเขา แต่เขาไม่รู้ว่าคนผู้นั้นอยู่ไหน
เขาไม่มีกำลังที่จะมาสนใจคนผู้นั้น
กระบี่ของเฉินฉางเซิงอยู่ที่นี่แล้ว
กระบี่สั้นที่เจิดจ้าและสะอาด รวมตัวกับฝักซ่อนคม เพิ่มขึ้นทั้งจิตสังหารและความแหลมคม
รูบนเขตแดนดวงดาวของขุนพลเทพพยัคฆ์ขาวนั้นเล็กมาก แต่ตราบใดที่รูนั้นยังอยู่ มันก็อาจถูกกระบี่สั้นที่แหลมคมหาใดเปรียบทะลุเข้ามา
กระบี่ไร้ราคีทะลวงผ่านช่องว่าง นำหยดเลือดไปพร้อมกับมันยามที่พุ่งเข้าหาขุนพลเทพ
ขุนพลเทพพยัคฆ์ขาวคำราม โคจรปราณแท้อย่างบ้าคลั่ง ประกายดาวพุ่งสู่ท้องฟ้าราวกับดอกไม้เบ่งบาน
แต่หลังจากนั้นเอง ประกายดาวเจิดจ้าก็พลันหม่นแสงลง เมื่อประกายกระบี่เจิดจ้าเริ่มส่องแสงขึ้น
ประกายกระบี่นับไม่ถ้วนพุ่งออกจากมือของเฉินฉางเซิงราวกับปลาวายทวนน้ำ หรือพลุไฟเหนือจิงตู
เป็นภาพที่งดงามยิ่งใหญ่ที่สุด
กระบี่ส่งเสียงร้องคำรามไม่หยุด ใช้เจตจำนงกระบี่แหลมคมตัดและฟันทุกอย่างใจกลางที่ราบสูง
ไม่ว่ามันจะเป็นพื้นหรือชุดเกราะ ก็ล้วนถูกสับเป็นชิ้นๆ ในประกายกระบี่เจิดจ้าบาดตา ช่องว่างบนเขตแดนดวงดาวอันสมบูรณ์แบบค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้น
เสียงบนที่ราบสูงมีเพียงแค่เสียงคำรามของกระบี่และเสียงวีดหวิวของสายลม
คนมากมายรู้ว่านี่คือการโจมตีด้วยกระบี่พันเล่มพร้อมกันอันโด่งดังของสังฆราช กระนั้นพวกเขาก็ยังตกใจจนพูดอะไรไม่ออกเมื่อเห็นภาพนี้ด้วยตาตัวเอง
นี่คือประกายกระบี่ของกระบี่ชื่อดังจากสระกระบี่ในสวนโจวอย่างนั้นหรือ นี่คือเพลงกระบี่ที่ทรงพลังที่สุดของสังฆราชอย่างนั้นหรือ
กระบี่หลายร้อยเล่มพุ่งเข้าใส่ขุนพลเทพพยัคฆ์ขาวราวกับสายน้ำเชี่ยวกราก
แม้ว่าขุนพลเทพพยัคฆ์ขาวจะมีการบำเพ็ญเพียรที่แข็งแกร่ง ชำระกระดูกอย่างสมบูรณ์แบบ มีปราณแท้มากมาย แต่เขาจะทนทานรับไว้ได้อย่างไร
ร่างกำยำของเขาเต็มไปด้วยบาดแผลจากกระบี่หลายสิบแผลในพริบตา เลือดพุ่งออกมาราวกับห่าฝน