ส่วนที่ 6 ภาคลมประจิมรุนแรง ตอนที่ 89 ท่าทีที่เด็ดเดี่ยวที่สุด

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ในบางแง่มุม ทักษะกระบี่ของเฉินฉางเซิงนั้นค่อนข้างไร้เหตุผล

ตราบใดที่เขาสามารถทำลายเขตแดนดวงดาวของศัตรูได้ ต่อให้อีกฝ่ายมีระดับการบำเพ็ญเพียรสูงกว่าแค่ไหน ก็ยังต้องพบกับปัญหาใหญ่หลวง

สามปีก่อนในวันหิมะตกที่จิงตู เขาใช้กระบี่บุกเข้าตรอกกองทัพเหนือซือเจิ้ง ย้อนไปตอนนั้น เสี่ยวเต๋อที่มีชื่ออยู่บนประกาศเซียวเหยาและมือสังหารหลายสิบคนจากหอความลับสวรรค์กับเจ้าหน้าที่กรมอาญาลงมือโจมตีพร้อมกัน แต่ก็ยังไม่อาจสะกดเขาเอาไว้ได้ เพราะว่านี่เป็นทักษะอันไร้เหตุผล

ประกายความเสียใจผุดขึ้นในดวงตาของขุนพลเทพพยัคฆ์ขาว หลังจากนั้นมันก็ถูกประกายกระบี่ฟันจนไม่เหลือซาก

เขารู้ว่าประมาทศัตรูเกินไป

แต่เขาก็ยังไม่ยอมแพ้ เขาโบกทวนเพื่อป้องกันตัวเองในขณะที่หรี่ตาจ้องไปที่เฉินฉางเซิง

ยิ่งควบคุมกระบี่มากเพียงไร ก็ยิ่งสิ้นเปลืองปราณแท้กับดวงจิตมากเท่านั้น นี่เป็นหลักการที่ทุกคนเข้าใจดี

ในสายตาเขา ไม่ว่าเฉินฉางเซิงจะมีปราณแท้มากมายเพียงใด ดวงจิตสงบยืดหยุ่นเพียงใด ห่าฝนกระบี่นี้ก็ไม่อาจดำรงอยู่ได้นานนัก เขามั่นใจว่าตราบใดที่เขาสามารถทนได้สักคู่ บางทีแค่ไม่กี่ลมหายใจ ปราณแท้กับดวงจิตของเฉินฉางเซิงก็จะแห้งเหือด จากนั้นก็จะถึงตาของเขาเป็นฝ่ายโจมตีบ้าง

ทวนในมือเขาเริ่มเร่งจังหวะ ป้องกันอย่างแข็งขัน เขาถึงกับไม่สนใจประกายกระบี่ที่ฟันใส่แขนหรือขา แค่ป้องกันส่วนสำคัญเอาไว้เท่านั้น ปัดป้องกระบี่หลายร้อยเล่มของเฉินฉางเซิงและศัตรูอีกคนที่ของเขาก็ยังหาไม่พบ เขารอจังหวะที่จะโต้กลับ

วิธีคิดแบบนี้ก็ไม่ผิด นับได้ว่าเป็นวิธีที่เหมาะสมที่สุดในการต่อสู้ แต่หลังจากผ่านไปหลายชั่วลมหายใจ เขาก็ตกตะลึงเมื่อตระหนักว่าปราณแท้ที่เฉินฉางเซิงแสดงออกมานั้นไม่มีทีท่าจะหมดลงหรือแม้แต่อ่อนโทรมลง! นี่มันอะไรกัน ต่อให้เขาเริ่มบำเพ็ญเพียรตั้งแต่อยู่ในท้องแม่ ทำสมาธิถอดจิตเขาก็ไม่มีทางสะสมปราณแท้หรือประกายดาวมากมายปานนี้! แล้วทำไมปราณแท้ของเขาถึงได้สงบนัก เขาไม่ได้ดูเหมือนกับชายหนุ่มแต่เป็นนักบวชเฒ่าที่กักตัวบำเพ็ญเพียรอยู่ในอารามนักพรตนาหลายร้อยปี!

ประกายกระบี่เต็มท้องฟ้า ดูเหมือนไร้สิ้นสุด

กระบี่บินผ่านอากาศส่งเสียงโหยหวนไม่ขาดสาย

ขุนพลเทพพยัคฆ์ขาวพูดอะไรไม่ออก และเริ่มรู้สึกถึงลางร้ายอย่างมาก

หากเขาเสี่ยงบาดเจ็บทะลวงออกไปก่อนหน้านี้ เขาอาจสามารถหลีกเลี่ยงฝนกระบี่นี้ได้

แต่เขาได้ตัดสินใจที่จะป้องกันและโต้กลับดังนั้นเขาจึงพลาดโอกาสที่ดีที่สุดไป และตอนนี้เขาก็ไม่อาจหาโอกาสได้อีกแล้ว

มันเหมือนงูน้ำในลำธารที่เมื่อน้ำเย็นลงในฤดูหนาว ก็ถูกปลาในลำธารที่ว่ายน้ำช้าลงเพราะน้ำเย็นล่อลวง หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็ตัดสินใจที่จะอยู่ในลำธาร สุดท้ายแล้วไม่เพียงไม่อาจกินปลา มันเองก็ถูกแช่แข็งแล้วสิ้นลมหายใจไป!

ดูเหมือนเป็นเวลายาวนาน ทว่าสำหรับคนที่มองดูด้านข้าง เวลาผ่านไปแค่ไม่กี่ลมหายใจ

กาน้ำชายังคงร้อน ธูปหอมเพิ่งเริ่มลุกไหม้

ขุนพลเทพพยัคฆ์ขาวรู้ว่าเขาต้องวางเดิมพันด้วยทุกอย่างที่มี

ปราณแท้ระเบิดออก ทวนแทงผ่านอากาศเมื่อเขาพยายามที่จะใช้การโจมตีที่รุนแรงที่สุดโจมตีใส่เฉินฉางเซิงเพื่อบีบให้เขาเปลี่ยนไปตั้งรับ

ห่าฝนกระบี่พลันถอยไป ลอยอยู่รอบกายเฉินฉางเซิง เปล่งประกายแสงนับไม่ถ้วนยามที่ต้านรับทวนเอาไว้อย่างเต็มกลืน

ครั้นสายฝนผ่านไป ก็ปรากฏท้องฟ้าสีคราม

ประกายแสงสีฟ้าฉายขึ้นในขณะที่มือทั้งสองข้างที่เต็มไปด้วยขนสีดำร่วงลงใส่ลำคอของขุนพลเทพ

ขุนพลเทพพยัคฆ์ขาวคำรามพร้อมกับกระแทกทวนกับพื้น ปราณแท้เกรี้ยวกราดเคลื่อนผ่านพื้นดินและพุ่งขึ้นโจมตีด้านหลัง

แต่กระบี่พวกนั้นก็เริ่มส่งเสียงอีกครั้งหนึ่ง!

เจตจำนงกระบี่ที่ทรงพลังนับไม่ถ้วนแทงเข้าสู่ก้อนหิน ตัดพลังจากทวนของเขา!

ขุนพลเทพพยัคฆ์ขาวคำรามใช้พลังทวนที่เหลือบินขึ้น พยายามหนีจากการโจมตีจากทั้งด้านหน้าและหลัง

ประกายกระบี่สว่างเจิดจ้าพุ่งผ่านดวงตาเขาแล้วจากนั้นเหินขึ้นสู่ท้องฟ้า

ลำแสงสีน้ำเงินสิบสายปรากฏเหนือศีรษะแล้วก็หายไปในอากาศ

เสียงคำรามของขุนพลเทพพยัคฆ์ขาวพลันขาดลง!

ที่ราบสูงนิ่งงัน

กระบี่แทงเข้าใส่หน้าอกเขา

รูปรากฏขึ้นตรงนั้นและเลือดพุ่งออกมา

มีเสียงดังกร๊อบ

มือคู่หนึ่งบิดคอเขา

ศีรษะคล้อยลงด้านข้างอย่างไร้ชีวิต

……

……

ขุนพลเทพพยัคฆ์ขาว ขุนพลเทพอันดับสองของต้าโจว อยู่บนจุดสูงสุดของขั้นรวบรวมดวงดาว มีความแข็งแกร่งใกล้เคียงเซวียสิ่งชวนอย่างมาก

เขาแข็งแกร่งว่าเฉินฉางเซิงกับเฉินฉางเซิงในทุกแง่มุม

ทว่าวันนี้ เขาพ่ายแพ้ต่อการประสานงานของเฉินฉางเซิงกับเจ๋อซิ่ว ไม่เพียงไม่อาจเอาชนะได้ เขาถึงกับไร้โอกาสตอบโต้กลับไป

เขาล้มลงบนที่ราบสูง เลือดพุ่งออกมาจากร่าง เขาตายอย่างสิ้นหวัง คับแค้นและสับสน

ที่ราบสูงยังคงนิ่งงัน

มีเรื่องเกิดขึ้นในวันนี้มากมายเกินไป สถานการณ์เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วกินไป แม้ตอนนี้ก็ยังมีคนมากมายที่ไม่อาจเข้าใจได้ทั้งหมดว่าเกิดอะไรขึ้น

สถานศึกษาหนานซีตัดสินใจจะปิดอารามและจัดงานพิธีใหญ่โต เชิญราชสำนักและสำนักต่างๆ มาร่วมงาน สังฆราชเฉินฉางเซิงคัดค้านอย่างแข็งขืน แต่แล้วเฉินฉางเซิงก็กลายเป็นคนร้ายเบื้องหลังการสังหารเปี๋ยเทียนซินและเป็นเป้าหมายในการล้างแค้นของเปี๋ยยั่งหงกับอู๋ฉยงปี้

ตอนที่อู๋ฉยงปี้กำลังจะฆ่าเฉินฉางเซิง เทพธิดาศักดิ์สิทธิ์สวีโหย่วหรงก็ออกจากการกักตนและร่วมมือกันใช้กระบี่ประสานที่ทำให้ทุกคนตกตะลึง เปี๋ยยั่งหงทำลายการประสานกระบี่แต่ก็ถูกสวีโหย่วหรงขวางไว้ด้วยธนูถงกับลูกศรอู่ ขุนพลเทพพยัคฆ์ขาวใช้โอกาสนี้ลอบโจมตีเฉินฉางเซิง แล้วดาบของหวังผ้อก็ร่วงลงมาจากสวรรค์ เพื่อช่วยเหลือแต่จบลงด้วยการถูกอู๋ฉยงปี้ขวางเอาไว้

ในตอนนั้นเองคนชุดน้ำเงินลึกลับจากดินแดนต้าซีก็พุ่งออกมาโจมตีใส่เฉินฉางเซิง ดูราวกับว่าไม่อาจหยุดเขาได้ ที่ดูเหมือนไม่อาจหยุดยั้งได้ก็เพราะดูเหมือนว่าทุกคนในที่นี้ไม่อาจป้องกันการโจมตีนี้ได้ เพราะพวกเขาถูกขวางเอาไว้ และเพราะพวกเขาไม่มีเหตุผลที่จะทำ

เปี๋ยยั่งหงอยู่ในกลุ่มสุดท้าย แต่การกระทำของเขาทำให้สถานการณ์เปลี่ยนผันและยังเผยคำตอบที่แท้จริงของปริศนานี้

แผนของคนชุดน้ำเงินถูกเปิดโปง จากนั้นเขาก็ตายลง ว่าตามเหตุผล เรื่องนี้ควรจบลงตรงนี้แต่มันก็ไม่

หากบอกว่าการโจมตีของขุนพลเทพพยัคฆ์ขาวเป็นตัวแทนท่าทีของราชสำนักและปรมาจารย์เต๋าซางสิงโจว…

เช่นนั้นการตายของขุนพลเทพพยัคฆ์ขาวก็ย่อมเป็นตัวแทนท่าทีของนิกายหลวงและเฉินฉางเซิง

เฉินฉางเซิงลงมือฆ่าเขาด้วยตัวเอง

ไม่มีท่าทีใดชัดเจนไปกว่านี้อีกแล้ว

……

……

เซียงอ๋องหรี่ตามองเฉินฉางเซิง “พระองค์ฆ่าเขาเช่นนี้น่ะหรือ”

เฉินฉางเซิงไม่ตอบ ฮู่ซานสือเอ้อร์เป็นคนที่ตอบ

มหามุขนายกกล่าวอย่างหนักแน่น “คนผู้นี้พยายามทำร้ายองค์สังฆราช ความผิดใหญ่หลวงสมควรตายหมื่นครั้ง”

ดังเช่นเมื่อหลายวันก่อนในจวนเก่าเมืองเวิ่นสุ่ย

ถังซานสือลิ่วเรียกร้องความตายของประมุขรองตระกูลถัง ตายในทันที ตายก่อนที่ตะวันจะลับเหลี่ยมเขา

ขุนพลเทพพยัคฆ์ขาวกล้าโจมตีเฉินฉางเซิง ดังนั้นเขาต้องตาย ตายตรงนี้ ตายต่อหน้าทุกคน

เซียงอ๋องไม่พูดอะไรอีก

เปี๋ยยั่งหงมองเขาและกล่าว “เมื่อข้ากลับจากสังหารมู่จิ่วซือที่เมืองไป๋ตี้ ข้าจะไปยังจิงตูเพื่อถามปรมาจารย์เต๋าว่าเขารู้เรื่องนี้หรือไม่”

จากนั้นเขาก็หันไปหาเฉินฉางเซิงกับสวีโหย่วหรงและกล่าว “ขอโทษด้วย”

จากนั้นเขาก็แลกเปลี่ยนกันคำนับกับหวังผ้อ แล้วก็จากไปพร้อมอู๋ฉยงปี้

ครั้นเห็นเงาร่างอ้างว้างของทั้งคู่หายตัวไปในทะเลเมฆ คนบนที่ราบสูงต่างก็รู้สึกต่างกันไป บ้างก็รู้สึกเห็นใจ