ภาคที่ 7 ศึกสุดท้าย บทที่ 110 ศึกสุดท้าย (7)

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 110 ศึกสุดท้าย (7)

เทพเจ้าที่ตกลงมาจากท้องฟ้าก็คือเทพแห่งแดนฝันนั่นเอง

เขาโชคร้ายพอที่จะเป็นเทพเจ้าองค์แรกที่บาดเจ็บสาหัส และยังโชคร้ายยิ่งกว่าที่ต้องเผชิญหน้ากับบรรพชนมนุษย์อีกครั้ง

แน่นอนว่าเขาจำบรรพชนมนุษย์ไม่ได้ และกระทั่งจำไม่ได้ว่าแท้จริงแล้วเขาคือลูกชายที่หลบหนีมา

แต่ถึงเขาจำบรรพชนมนุษย์ได้แล้วยังไงล่ะ?

เขายังอยากมีชีวิตอยู่

และแม้ว่าเขาจะอยากมีชีวิต เขาก็จำเป็นต้องมีพละกำลังบ้าง!

การตอบโต้ตามธรรมชาติของเขาเมื่อพบกับบรรพชนมนุษย์คือกลืนกินอีกฝ่ายเข้าไป

กระทั่งบรรพชนมนุษย์ก็รู้สึกว่าสถานการณ์ช่างน่าขันเสียเหลือเกิน

เขากำลังจะละทิ้งร่างกายเพื่อให้ถูกเทพแห่งแดนฝันกินอีกครั้ง

แต่คราวนี้สถานการณ์แตกต่างออกไป

ครั้งก่อนเขาทำไปเพื่อเอาชีวิตรอดและเพื่อรักษาสายป่านชีวิตเส้นสุดท้ายไว้ให้เผ่าอมตะ

แต่คราวนี้เขากำลังจะยึดอำนาจ!

เขาเคยเป็นภูตแดนฝันมาก่อน ในเชิงของพลังชีวิตแล้ว บรรพชนมนุษย์จึงไม่ต่างจากเทพแห่งแดนฝันแม้แต่น้อย

ดังนั้นแล้วหลังจากที่ถูกกิน จิตของบรรพชนมนุษย์จึงเริ่มเข้าไปแทนที่จิตของเทพแห่งแดนฝัน หลังจากนั้นเขาก็ไม่ใช่แค่เพียงเมล็ดพันธุ์อีกต่อไป เขากลายเป็นจิตที่หลบซ่อนอยู่ภายในจิตของเทพแห่งแดนฝันแทน

ช่วงจำศีลนี้ดำเนินไปยาวนานหลายพันปี เขาก็ดูดซับพลังของเทพแห่งแดนฝันเข้าไปอย่างช้า ๆ และแข็งแกร่งขึ้นในทุก ๆ วัน

แต่นี่ก็ยังหมายความว่าบรรพชนมนุษย์ไม่สามารถเดินทางออกไปยังโลกภายนอกได้อีกต่อไป แม้จะเติบโตเต็มที่แล้วก็ตาม เขาได้แต่ติดต่อสื่อสารกับคนอื่น ๆ ในฝันของพวกเขาเท่านั้น

แต่สำหรับบรรพชนมนุษย์แล้ว นี่เป็นชีวิตในอุดมคติเลยทีเดียว

ตอนนี้เมื่อเขาสามารถเคลื่อนไหวได้ผ่านความฝันของผู้คน บรรพชนมนุษย์ก็สามารถก่อปัญหาโดยการส่งเสริมความริษยา ความเกลียดชัง ความโกรธเกรี้ยวและความบาดหมางกันของเทพเจ้าได้อย่างต่อเนื่อง

เทพแห่งแดนฝันคนเก่าเพียงแค่เดินทางไปมาระหว่างแดนฝันผู้คนและไม่เคยพยายามก่อปัญหาใด ๆ ทั้งสิ้น แต่การกระทำของบรรพชนมนุษย์นั้นเพิ่มความแข็งแกร่งของเทพแห่งแดนฝันขึ้นมหาศาล เขาสามารถสร้างผลกระทบต่ออารมณ์ของเทพเจ้าคนอื่น ๆ ได้ ทำให้สถานะและอำนาจของเขาทะยานขึ้นสูง อันที่จริงเขากระทั่งพัฒนาขึ้นไปเป็นเทพเจ้าระดับกลางเลยทีเดียว

แต่เทพเจ้าที่อยู่ภายใต้อำนาจของเทพแห่งแดนฝันก็อยู่ในสถานการณ์ที่หมิ่นเหม่ยิ่งกว่ามาก เมื่อสภาพแวดล้อมถดถอยลง ความบาดหมางก็เริ่มเกิดบ่อยยิ่งขึ้น ศึกสงครามระหว่างเทพเจ้าจะไปถึงจุดที่น่าตื่นเต้นในไม่ช้าและจะส่งผลให้เกิดเป็นศึกแห่งทวยเทพขึ้นในเร็ววัน

การต่อสู้แห่งหายนะนี้ทำให้เหลือเทพเจ้าเพียงไม่เกินยี่สิบองค์ในท้ายที่สุด

เพื่อที่จะเอาชีวิตรอด เทพเจ้าทั้งหมดที่เหลือจึงตกลงสร้างสนธิสัญญานิรันดร์กาลขึ้นมา

ในตอนนั้น บรรพชนมนุษย์รู้สึกว่าเขาทำภารกิจสำเร็จแล้วและสามารถจากไปได้ในที่สุด

นั่นคือตอนที่เขาค้นพบว่าเขาไม่อาจจากไปได้อีกแล้ว

เขาไม่อาจแยกจากเทพแห่งแดนฝันได้อีกแล้วเพราะเขาคือลักษณ์ซ่อนเร้นของเทพแห่งแดนฝัน หรืออีกใบหน้าหนึ่งของเขานั่นเอง ไม่มีทางที่ทั้งสองจะแยกจากกันได้อีก

และนั่นยังเป็นตอนที่เทพแห่งแดนฝันรู้ตัวว่ามีอีกชีวิตหนึ่งอยู่ภายในร่างของเขาด้วย

แน่นอนว่าเขาไม่รู้ว่าที่มาของบรรพชนมนุษย์นั้นเป็นมาอย่างไร เขาสัมผัสได้แค่ว่าจิตของตนถูกแบ่งออกเป็นสองส่วนโดยไม่รู้ตัว

เขาเริ่มพยายามกำจัดอีกฝ่ายทันที

บรรพชนมนุษย์ยิ่งกว่ายินดีที่จะร่วมมือเพื่อใช้โอกาสนี้เป็นข้ออ้างให้ได้รับอิสรภาพกลับคืนมา

แต่ทั้งสองก็ค้นพบในไม่ช้าว่าชีวิตของทั้งสองถูกเชื่อมต่อกันแล้ว การกำจัดบรรพชนมนุษย์ออกไปหมายความว่าทั้งสองฝ่ายจะต้องตาย

ฝ่ายหนึ่งต้องการขับไล่อีกฝ่ายออกไป ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งก็ต้องการจะหลุดหนี แต่ไม่มีใครเลือกได้ทั้งสิ้น พวกเขาได้แต่อาศัยอยู่ร่วมกันเช่นนั้นต่อไป

นั่นก็คงจะไม่เป็นไร

แต่เจ้าแห่งแดนฝันก็ไม่พอใจเป็นอย่างมากกับผลลัพธ์นี้

เขาเกรงว่าจิตที่สองของตนจะทำให้เขาอ่อนแอลงและทำให้ตนต้องสูญเสียตำแหน่งอันสูงส่งที่เพิ่งจะได้รับมา ส่วนผลที่ตามมาจากการกำจัดจิตที่สองนี้นั้นเขาไม่ได้กังวลมากนัก ตราบใดที่มันไม่ได้ส่งผลรุนแรงกับเขาโดยเฉพาะ เขาก็ไม่ใส่ใจ

และเจ้าแห่งแดนฝันก็ค้นพบวิธีแก้ปัญหานี้จริง ๆ

ด้วยปราการเทพเจ้า

ปราการเทพเจ้าถูกสร้างขึ้นโดยเทพเจ้าและมีคลื่นพลังศักดิ์สิทธิ์ที่แข็งแกร่ง ในสภาพที่มันสมบูรณ์ที่สุดนี้ มันก็ไร้เทียมทาน

แต่มันไม่มีรูปแบบทางกายภาพ ไม่เช่นนั้นมันคงจะถูกมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า พลังของมันกลับอยู่ที่รอยทับซ้อนระหว่างแดนแห่งภาพลวงตาและความจริงแทน

วัตถุจริงไม่อาจข้ามผ่านปราการเทพเจ้าได้ รวมไปถึงพลังต้นกำเนิดและพลังศักดิ์สิทธิ์ด้วย แต่พลังจิตทำได้

แต่พลังจิตก็ยังฉีกขาดได้หากมันพยายามจะข้ามผ่านปราการซึ่งหมายความว่าจิตส่วนมากจะถูกทำลายก่อนที่จะได้ข้ามไปอีกฝั่งเสียอีก

เจ้าแห่งแดนฝันตัดสินใจใช้วิธีนี้ในการกำจัดตัวเองออกจากปรสิตที่เกาะติดเขาออกไป

มันเรียบง่ายยิ่งนัก เขาแค่แผ่ขยายจิตไปยังปราการเทพเจ้าครั้งแล้วครั้งเล่า

ในทุก ๆ วัน เขาจะปลดปล่อยพลังจิตไปยังจุด ๆ หนึ่งของปราการ ทำให้จุดนั้นเริ่มบางลงเรื่อย ๆ

ในขณะเดียวกัน บรรพชนมนุษย์ก็ทำทุกสิ่งที่จะทำได้ในอาณาเขตคุนไปแล้ว และในเมื่อไม่มีเป้าหมายอีกต่อไป เขาจึงหยุดทุกการกระทำลง

เจ้าแห่งแดนฝันคิดว่านี่หมายความว่าวิธีการกระแทกจิตของตนเข้ากับปราการอย่างต่อเนื่องกำลังขับไล่ชิ้นส่วนในจิตใจได้สำเร็จ

แต่บรรพชนมนุษย์ก็ไม่อาจนิ่งนอนใจได้ เขามักจะมีภารกิจเล็ก ๆ ให้ทำอยู่เรื่อย ๆ อย่างเช่นการตรวจสอบเทพเจ้าสักองค์ หรือบางครั้งเขาก็เคลื่อนไหวเพื่อแก้เบื่อ… อย่างไรก็ตาม เขาทำอะไรบางอย่างอยู่เป็นครั้งคราว ซึ่งเจ้าแห่งแดนฝันเองก็สัมผัสได้และเริ่มกระบวนการกำจัดเขาออกไปอีกครั้ง

เจ้าแห่งแดนฝันจะพยายามขับไล่จิตของตนออกไปเมื่อใดก็ตามที่เขามีเวลาว่าง แต่ต่อมาเจ้าแห่งแดนฝันก็สรุปได้ว่าการแบ่งแยกจิตนี้ไม่อาจถูกกำจัดออกไปได้โดยสมบูรณ์และมันจะปรากฏขึ้นอีกครั้งด้วยตัวเอง เขาจึงจำเป็นต้องใช้เวลานานอย่างถึงที่สุดในการจะกำจัดปรสิตตัวนี้ออกไปให้ได้

นั่นคือข้อสรุปของเขา

แต่ไม่ว่าบรรพชนมนุษย์จะเล่นตามข้อสรุปของเจ้าแห่งฝันหรือไม่นั้นก็ขึ้นอยู่กับอารมณ์ของบรรพชนมนุษย์เท่านั้น หากเขาอารมณ์ดี เขาก็จะปฏิบัติตามกฎมารยาทเหล่านั้น แต่หากเขาอารมณ์ไม่ดี เขาก็จะปฏิบัติตัวอย่างคาดเดาไม่ได้ ตอนนั้นเองที่เจ้าแห่งแดนฝันรู้ว่ากฎเหล่านี้ไม่มีความแน่นอนแต่อย่างใด

แต่ถึงอย่างนั้น ความเข้าใจผิดของเจ้าแห่งแดนฝันก็ทำให้ปราการค่อย ๆ อ่อนแอลงอยู่เป็นเวลานาน

จนกระทั่งวันหนึ่งที่เขาค้นพบบางสิ่ง

หืม?

เขาทะลุผ่านไปหรือ?

ใช่แล้ว พลังจิตของเขาทะลุผ่านปราการและข้ามไปยังอีกฝั่งจริง ๆ!

ทั้งเจ้าแห่งแดนฝันและบรรพชนมนุษย์ต่างตกตะลึงกับพัฒนาการนี้

กระบวนการต่อเนื่องของการปล่อยพลังจิตเข้าไปยังจุด ๆ หนึ่งบนปราการของเจ้าแห่งแดนฝันได้สร้างอุโมงค์จิตเล็ก ๆ ที่จิตสามารถข้ามสะพานมาได้

แม้ว่าสะพานนั้นจะเล็กจนไม่น่าเชื่อ แต่มันก็ยังทำให้เจ้าแห่งแดนฝันตื่นเต้นจนตัวสั่น

นี่ก็เหมือนการบอกว่า ด้วยเวลาที่มากพอ เขาจะสามารถทำลายปราการลงได้ทั้งหมดไม่ใช่หรือ?

เขาบอกเทพเจ้าองค์อื่น ๆ ถึงการค้นพบนี้ ทำให้พวกเขาทุกคนตื่นเต้นขึ้นมาด้วยเช่นกัน

การค้นพบนี้เองที่นำไปสู่แผนการทำลายปราการเทพเจ้าในตอนแรกเริ่ม

เทพเจ้าทั้งหลายค้นพบในไม่ช้าว่า นอกจากการใช้พลังจิตทำให้ปราการอ่อนแอลงด้วยเวลานานแล้ว ยังมีอีกวิธีหนึ่งในการทำให้มันพังทลายลงด้วยเช่นกัน พวกเขาทุกคนเริ่มทดลองวิธีการหลากหลายรูปแบบเพื่อทำลายปราการให้เร็วยิ่งขึ้น

ในตอนแรก พวกเขาใช้วิธีการที่ไร้ระเบียบและโกลาหลไม่น้อยทีเดียว เทพเจ้าแต่ละองค์ทดลองวิธีการของตนเอง บางคนทำสำเร็จและทิ้งร่องรอยไว้บนปราการได้จริง ๆ

ต่อมาพวกเขาก็ค้นพบว่าวิธีการที่ดีที่สุดในการทำลายปราการคือการปล่อยพลังศักดิ์สิทธิ์ใส่มันเป็นเวลานาน

พวกเขาทุกคนจึงร่วมแรงกันและเริ่มขยายรอยแยกที่เจ้าแห่งแดนฝันสร้างขึ้นมา

นี่ทำให้บรรพชนมนุษย์ไม่พอใจเป็นอย่างมาก

แต่ตอนนี้เมื่อพลังจิตของเจ้าแห่งแดนฝันได้สร้างรูโหว่ขึ้นบนปราการแล้ว บรรพชนมนุษย์ก็สามารถมองไปยังอีกฟากได้

เขามองเห็นว่า หลังจากที่ได้รับอิสรภาพจากการควบคุมของเทพเจ้าและเทพอสูรบรรพกาลแล้ว เผ่าพันธุ์มนุษย์ก็เริ่มพัฒนาระบบฝึกตนขึ้นมาด้วยตัวเอง แม้จะยังใช้พลังอมตะไม่ได้ พวกเขาก็ยังไม่ยอมแพ้ภารกิจที่จะเข้าใจในโลกใบนี้อย่างถ่องแท้และความต้องการที่จะแข็งแกร่งยิ่งขึ้นก็มีแต่จะเพิ่มสูงขึ้นเท่านั้น

นี่ทำให้บรรพชนมนุษย์ตื่นตาตื่นใจอย่างถึงที่สุด

แต่ตอนนี้เทพเจ้าจำนวนมากต้องการที่จะกลับไปและทำลายสรวงสวรรค์ที่เขาสร้างขึ้นมา เขาจะยอมรับได้อย่างไร?

เขาเริ่มลงมือต่อ

ในเมื่อสนธิสัญญานิรันดร์กาลยังคงอยู่ เขาก็ไม่อาจสร้างความขัดแย้งภายในระหว่างเทพเจ้าได้

นี่ทำให้เขาไม่มีทางเลือกนอกจากตามหาทางเลือกอื่น

ในฐานะปรสิตของเจ้าแห่งแดนฝัน เขาปลูกฝังแผนการหนึ่งไว้ในความคิดของเจ้าแห่งแดนฝัน

แผนการที่จะรวมแดนฝันหลายพันแห่งเข้าเป็นหนึ่ง

แดนฝันรวมนี้จะสามารถดูดซับพลังจิตจากมนุษย์ที่อีกฟากของปราการได้ด้วย โดยการใช้ภูตแดนฝันเป็นตัวเชื่อมต่อ พวกมันจะทำหน้าที่เป็นเครือข่ายจิตขนาดมหึมาที่เชื่อมต่ออาณาเขตคุนเข้ากับแดนต้นกำเนิดผ่านความฝันของผู้อยู่อาศัยจากทั้งสองฝ่าย นี่จะทำให้เจ้าแห่งแดนฝันเข้าถึงอาณาจักรจิตขนาดยักษ์ได้และช่วยให้เขาบรรลุภารกิจในการกลายเป็นเทพเจ้าระดับสูง

เจ้าแห่งแดนฝันตื่นเต้นเป็นอย่างมากในการจะกลายเป็นเทพเจ้าระดับสูง เขาละทิ้งเจตจำนงในการทำลายปราการเทพเจ้าและจดจ่ออยู่กับผสานแดนฝันแทนในทันที

และนี่คือสิ่งที่มีแต่เขาเท่านั้นที่สามารถทำได้อย่างแน่นอน

ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา อาณาจักรภาพลวงตานี้ก็กลายเป็นทวีปต้นกำเนิด มนุษย์สามารถติดต่อสื่อสารกับผู้คนที่อยู่ห่างไกลออกไปหลายหมื่นลี้ได้ผ่านความฝันของตนพร้อมแพร่กระจายความรู้และข้อมูลออกไปได้อย่างไร้ขีดจำกัด

ฝ่ายเจ้าแห่งแดนฝันเองก็ได้รับพลังจิตปริมาณมหาศาล ทำให้พละกำลังของเขาพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว ไม่นานหลังจากนั้น เขาก็ได้เป็นเทพเจ้าระดับสูง ได้ชื่อว่า ‘เจ้าแห่งแดนฝัน’ มาครอบครอง

หากไม่ใช่เพราะข้อจำกัดทางสภาพแวดล้อมเฉพาะนี้แล้ว เขาคงจะไปได้สูงยิ่งกว่านี้อีก!

ในขณะเดียวกัน บรรพชนมนุษย์ก็วุ่นวายอยู่กับการวางแผนก้าวต่อไปของตัวเอง

ในขณะที่เจ้าแห่งแดนฝันกำลังก่อสร้างแดนฝันรวมขึ้นมา จิตของบรรพชนมนุษย์ก็กำลังตรวจสอบเครือข่ายใหม่นี้และพยายามควบคุมมัน โชคไม่ดีนักที่เขาไม่อาจทำเช่นนั้นได้ด้วยร่างกายจิตล้วน ๆ เพื่อที่จะจัดการกับปรสิตที่เกาะตนเองอยู่ เจ้าแห่งแดนฝันได้สร้างข้อจำกัดอันเข้มงวดไว้บนการใช้งานแดนฝัน เขาจะรู้ทันทีหากบรรพชนมนุษย์พยายามใช้แดนฝันทำสิ่งใดก็ตาม

ดังนั้นแล้ว บรรพชนมนุษย์จึงไม่มีทางเลือกนอกจากทำตัวให้แนบเนียนเข้าไว้ ตอนนี้เขาจำเป็นต้องหาวิธีหลบหนีจากการตรวจสอบของเจ้าแห่งแดนฝันเพื่อให้ทำทุกสิ่งได้ตามต้องการโดยไม่ให้ถูกจับได้

หลังจากที่ทดลองความเป็นไปได้มากมาย บรรพชนมนุษย์ก็ค้นพบวิธีหนึ่งในที่สุด

เขาเคยเป็นร่างแยกของเซวี่ยฝูมาก่อน ทำให้เขามีความสามารถในการสร้างร่างแยกของตนเองได้ แต่ความสามารถนั้นก็จำเป็นต้องใช้หยดเลือด

อย่างน้อยก็หยดเลือดหยดหนึ่ง

เขาจึงรอคอยอย่างอดทน

รอคอยโอกาสให้หยดเลือดสักหยดผ่านมา

แล้วโอกาสนั้นก็มาถึง

วันหนึ่ง เผ่าจิตวิญญาณทมิฬคนหนึ่งถูกหลอกลวงในการค้าขายที่เกิดขึ้นในแดนฝัน แต่เพราะอยู่ในแดนฝัน เขาจึงไม่อาจโจมตีอีกฝ่ายได้ เผ่าจิตวิญญาณทมิฬคนนั้นจึงได้แต่กลืนกินพลังของตนทั้งหมดเพื่อเปลี่ยนร่างกายส่วนหนึ่งให้กลายเป็นพลังจิต

ซึ่ง ‘ส่วน’ นั้นของเขาก็คือหยดเลือดสด ๆ

หยดเลือดอันเลอค่า!

บรรพชนมนุษย์รีบเก็บหยดเลือดนั้นมาเป็นของตัวเองและสร้างร่างแยกขึ้นมาทันที