ภาคที่ 7 ศึกสุดท้าย บทที่ 109 ศึกสุดท้าย (6)

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 109 ศึกสุดท้าย (6)

เผ่าพันธุ์มนุษย์เคยถูกเรียกว่าเผ่าพันธุ์ต่ำต้อยก่อนที่จะถูกเปลี่ยนไปเรียกว่าผู้ทรยศในเวลาต่อมา

ในทางกลับกัน มนุษย์เรียกตัวเองว่าเผ่าอมตะมาเสมอ

ชื่อนี้มีขึ้นเพื่อเสริมสร้างค่านิยมความพยายามอันเป็นนิรันดร์ของมนุษย์ที่จะเอาชนะเทพเจ้าและขึ้นไปยังจุดสูงสุดของภูเขาแห่งอำนาจ

แต่ในวันนี้ เผ่าอมตะทุกคนได้ถูกสังหารจนหมดสิ้น เว้นเสียแต่คนคนหนึ่ง

มั่วได้กลายเป็นเผ่าอมตะคนสุดท้ายบนโลกแล้วในตอนนี้

และเทพเจ้าก็ไม่ยอมให้มีเผ่าอมตะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อีกแม้แต่คนเดียว

มั่วรู้เรื่องนี้ดี ซึ่งก็คือเหตุผลที่เขาเรียกตัวเองว่ามนุษย์แทน

ด้วยการกำจัดภูเขาออกไป เผ่าอมตะก็กลายเป็นเผ่ามนุษย์

นี่คือต้นกำเนิดของเผ่าพันธุ์มนุษย์

เผ่าอมตะร่วงหล่นลงจากยอดเขาแล้ว

เพื่อที่จะฟื้นฟูประชากรมนุษย์กลับคืนมา บรรพชนมนุษย์ต้องใช้วิธีการสืบพันธุ์แสนแปลกประหลาดของภูตแดนฝันด้วยร่างกายอันทรุดโทรมของตน รวมไปถึงทรัพยากรธรรมชาตินับไม่ถ้วนรอบกายและสร้างมนุษย์กลุ่มหนึ่งขึ้นมา ไม่ช้าเขาก็สร้างมนุษย์ขึ้นมาได้สิบสองคน และทำให้พวกเขาเริ่มกระบวนการฟื้นฟูประชากรได้เองตามธรรมชาติ

เพราะบรรพชนมนุษย์ไม่อาจใช้งานพลังอมตะได้ มนุษย์ที่เขาสร้างขึ้นมาจึงแตกต่างออกไปจากเผ่าอมตะเพราะมนุษย์กลุ่มนั้นก็ไม่อาจใช้พลังอมตะได้เช่นกัน

ดังนั้นแล้ว แม้ว่าการมีอยู่ของพวกเขาจะถูกค้นพบ เทพเจ้าก็คงไม่ใส่ใจ

เหล่าเทพเจ้าคงคิดว่าพวกเขาคือเผ่าพันธุ์ใหม่ที่แตกต่างจากเผ่าอมตะโดยสิ้นเชิงเป็นแน่

อย่างไรแล้ว สำหรับเทพเจ้า สิ่งที่แยกสิ่งมีชีวิตหนึ่งออกจากอีกชนิดก็ไม่ใช่รูปลักษณ์แต่เป็นแก่นสารของสิ่งมีชีวิตนั้น ๆ ต่างหาก

เผ่าคนเถื่อน เผ่าจิตวิญญาณทมิฬ และเผ่าธาตุล้วนมีรูปร่างเหมือนมนุษย์ อย่างไรแล้วพวกเขาก็ถูกสร้างขึ้นตามภาพจินตนาการของผู้สร้าง หลังจากที่ยืนยันแล้วว่ามนุษย์เหล่านี้ไม่ใช่เผ่าอมตะที่พวกเขากวาดล้างไป เทพเจ้าก็ยอมให้พวกเขาเจริญเติบโตต่อไปได้

มีเพียงบรรพชนมนุษย์เท่านั้นที่รู้ว่าสายเลือดหลักของพวกเขายังคงเป็นของเผ่าอมตะ

ผู้เป็นอมตะที่ไม่สมบูรณ์ แต่ก็ยังเป็นผู้เป็นอมตะอยู่ดี

แม้ว่าข้อบกพร่องนี้จะทำให้การบ่มเพาะพลังอมตะเป็นไปไม่ได้อย่างชัดเจน ความเป็นไปได้ก็ยังไม่หมดไปเสียทีเดียว

ตราบใดที่ยังมีโอกาสแม้เพียงหนึ่งในล้านก็ถือว่ายังมีโอกาสอยู่

และตราบใดที่ยังมีโอกาสอยู่ก็ถือว่ายังมีความหวัง

นี่คงจะเป็นที่มาของแรงจูงใจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของบรรพชนมนุษย์

หลังจากที่เผ่าพันธุ์มนุษย์ใหม่ถูกสร้างขึ้น บรรพชนมนุษย์ก็ตั้งหลักปักฐานและรอคอยเวลาด้วยความอดทน แน่นอนว่าเขารู้ดีว่าแม้เผ่าพันธุ์มนุษย์จะปลุกความสามารถในการใช้พลังอมตะกลับขึ้นมาได้ โอกาสในการจะเอาชนะเทพเจ้าก็ยังแทบไม่ต่างจากศูนย์ อย่างไรแล้วกระทั่งพลังอมตะแสนแข็งแกร่งก็ยังพ่ายแพ้

นี่หมายความว่าเผ่ามนุษย์ไม่เพียงต้องปลุกความสามารถในการบ่มเพาะพลังอมตะกลับขึ้นมาเท่านั้น แต่ยังจำเป็นต้องแข็งแกร่งยิ่งขึ้นกว่าบรรพบุรุษของตน ในขณะที่ฝ่ายเทพเจ้าต้องอ่อนแอลงไปด้วย

แต่เขาจะทำยังไงล่ะ?

คำตอบคือต้องยุยงให้เกิดความขัดแย้งภายในนั่นเอง

บรรพชนมนุษย์ตัดสินใจที่จะก่อความขัดแย้งขึ้นระหว่างเทพเจ้าในไม่ช้า

โชคไม่ดีนักที่ความพยายามของเขานั้นสูญเปล่า

ในตอนนั้น เทพเจ้ากำลังพึงพอใจในสภาพแวดล้อมของตนอย่างถึงที่สุด ดินแดนที่พวกเขาครอบครองนั้นกว้างใหญ่ไพศาลและอัดแน่นไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติ อีกทั้งยังต้องแบ่งสันปันส่วนกันระหว่างเทพเจ้าเพียงไม่กี่ร้อยองค์เท่านั้น ไม่มีความจำเป็นที่พวกเขาจะต้องต่อสู้กันเองแม้แต่น้อย จึงไม่มีอะไรที่บรรพชนมนุษย์จะทำได้

ในทางกลับกัน เทพเจ้าเริ่มต่อสู้กับเทพอสูรบรรพกาลอีกครั้ง

ความขัดแย้งระหว่างเทพเจ้าและเทพอสูรบรรพกาลนั้นมีอยู่มานานยิ่งกว่าความขัดแย้งระหว่างเทพเจ้าและเผ่าอมตะเสียอีก เทพอสูรบรรพกาลนั้นดุร้ายและแข็งแกร่งยิ่งกว่าเผ่าอมตะมหาศาล การทำลายล้างที่พวกมันก่อขึ้นก็รุนแรงยิ่งกว่า การต่อต้านเทพเจ้าของพวกมันจึงเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า

แต่คราวนี้กลับมีบางสิ่งต่างไปจากเดิม

เทพเจ้าค้นพบว่าระดับพลังของทวีปต้นกำเนิดกำลังลดลงอย่างถาวร

ในที่สุดพวกเขาก็รู้ว่าระหว่างการต่อสู้กับเทพอสูรบรรพกาลนั้น ทวีปต้นกำเนิดได้เปลี่ยนตำแหน่งที่ตั้งไปจากใจกลางทะเลพลังต้นกำเนิดและกำลังลอยห่างออกไป ศึกครั้งสุดท้ายนี้มีแต่จะทำให้มันเคลื่อนออกไปเร็วยิ่งขึ้น ทำให้พลังต้นกำเนิดของทวีปต้นกำเนิดเบาบางลงมหาศาล

ท้ายที่สุดเทพเจ้าก็เริ่มตื่นตระหนกอีกครั้งและตัดสินใจที่จะลากทวีปต้นกำเนิดกลับไปยังใจกลางทะเลพลังต้นกำเนิด

และพวกเขายังเลือกใช้อาณาเขตคุนเป็นเรือในการลากทวีปต้นกำเนิดกลับไปอีกด้วย

นั่นคือตอนที่บรรพชนมนุษย์รู้ว่าโอกาสของเขาได้มาถึงแล้ว

ในวันนั้นเอง เขาก็พบเข้ากับเทพอสูรบรรพกาลตัวหนึ่ง

บรรพชนเสวีย

ย้อนกลับไปสมัยก่อน บรรพชนเสวียนั้นช่างไร้เดียงสาและไม่มีความฉลาดหลักแหลมแม้แต่น้อย

มันกลืนกินเผ่าข้ารับใช้เข้าไปตามสัญชาตญาณ

ณ ช่วงเวลานั้น สังคมในทวีปต้นกำเนิดถูกแบ่งแยกออกเป็นสามระดับ เทพเจ้า เทพอสูรบรรพกาล และเผ่าข้ารับใช้

เผ่าข้ารับใช้คือสถานะต่ำสุดในทั้งสามระดับ พวกเขาถูกบังคับให้ถวายความศรัทธาให้แก่เทพเจ้าและกระทั่งถูกใช้เป็นอาหารของเทพอสูรบรรพกาลในบางครั้ง แต่เทพเจ้าไม่ใส่ใจพวกนั้นสักนิด อย่างไรแล้วเทพอสูรบรรพกาลจำเป็นต้องกินอาหาร พวกมันแค่มีนิสัยน่ารำคาญที่ชอบกัดมือที่ป้อนอาหารให้เมื่อพอใจแล้วเท่านั้นเอง

บรรพชนเสวียพยายามกินบรรพชนมนุษย์ทันทีที่เห็นตามสัญชาตญาณของมัน

บรรพชนมนุษย์ก็ไม่ได้พยายามที่จะหยุดบรรพชนเสวียแต่อย่างใด

อย่างไรแล้วแก่นของเขาก็มีความพิเศษอยู่เล็กน้อย

เขาเคยเป็นเผ่าอมตะที่สามารถใช้พลังอมตะอันแข็งแกร่งได้มาก่อน แล้วเขาจึงละทิ้งร่างกายเพื่อเข้าไปในร่างของเทพแห่งแดนฝันและกลายเป็นภูตแดนฝัน นั่นมอบลักษณะเฉพาะบางอย่างของภูตแดนฝันให้แก่เขา ทำให้บรรพชนมนุษย์พัฒนาขึ้นและมีรูปร่างแบบใหม่

ตอนนี้เขากำลังละทิ้งร่างมนุษย์อีกครั้ง และตัวตนภูตแดนฝันของเขาก็เปิดใช้งาน

วิญญาณของเขาเข้าสิงร่างบรรพชนเสวียและเชื่อมต่อกับจิตของมัน

บรรพชนเสวียเริ่มมีวิวัฒนาการขึ้น

สติปัญญาของมันทะยานสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว

ด้วยสติปัญญาใหม่นี้ ความคิดอันยุ่งเหยิงของมันก็เริ่มกระจ่างแจ้งในที่สุด

มันเริ่มเข้าใจว่าชะตากรรมของเทพอสูรบรรพกาลเป็นอย่างไร รวมไปถึงสถานการณ์อันตรายที่พวกมันกำลังเผชิญ

ในอดีต เทพอสูรบรรพกาลนั้นเคลื่อนไหวตามสัญชาตญาณล้วน ๆ แต่ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา พวกมันก็สามารถเคลื่อนไหวได้ตามใจนึก

และแม้ว่าบรรพชนมนุษย์จะถูกบรรพชนเสวียกลืนเข้าไป เขาก็ยังมีชีวิตอยู่

จิตของเขายังคงอยู่ และมันก็เริ่มรวมตัวกันภายในร่างกายของบรรพชนเสวีย

เมล็ดของภูตแดนฝันได้ถูกปลูกไว้ภายในร่างกายของบรรพชนเสวีย!

ภูตแดนฝันนั้นเป็นตัวตนจิตอยู่แล้ว และกระทั่งบรรพชนเสวียก็ไม่อาจหยุดการเจริญเติบโตของมันได้

บรรพชนมนุษย์ฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้ง และคราวนี้เขาก็ได้รับความสามารถในการสร้างร่างแยกอันไร้ขีดจำกัดของบรรพชนเสวียมาด้วย

เมื่อภูตแดนฝันโตเต็มวัย มันจะกลายเป็นร่างของเด็กน้อยภายในบรรพชนเสวียก่อนจะแยกตัวและบินออกมาเป็นค้างคาวตัวเล็ก ๆ

ทั้งหมดที่บรรพชนเสวียรู้คือเขาได้สูญเสียการควบคุมในร่างแยกร่างหนึ่งไป

นี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับเขานัก และเขาก็ไม่รู้ตัวจนกระทั่งมันเกิดขึ้น ในตอนนั้นเขาได้แต่คิดถึงการแก้แค้น บรรพชนมนุษย์ได้มอบสติปัญญาและแผนการอันเรียบง่ายมาให้

หลังจากที่ฟื้นคืนชีพและมีร่างกายอีกครั้ง บรรพชนมนุษย์ก็กลับไปเป็นมนุษย์ เขาจะไม่ลืมสถานะเดิมหรือภารกิจในการกำจัดเทพเจ้าของตนอย่างเด็ดขาด

เขาเริ่มสะสมร่างแยกจำนวนมากและทำเช่นนั้นซ้ำ ๆ กับเทพอสูรบรรพกาลตัวอื่นมากมาย

เทพอสูรจำนวนมากขึ้นและมากขึ้นเริ่มเฉลียวฉลาดและมีความทรงจำ แผนในการตอบโต้เทพเจ้าก็ก่อกำเนิดขึ้นในเวลาต่อมา

ทุกอย่างเป็นไปตามแผนการของบรรพชนมนุษย์

จนถึงตอนนี้ เทพเจ้าได้เตรียมพร้อมที่จะเคลื่อนย้ายแดนต้นกำเนิดกลับไปยังใจกลางทะเลพลังต้นกำเนิดแล้ว และขบวนเคลื่อนย้ายก็เริ่มออกเดินทางแล้ว การเดินทางครั้งนี้ยิ่งใหญ่จนต้องใช้ความสนใจและสมาธิของเทพเจ้าทั้งหมด ทำให้พวกเขาไม่มีเวลาหรือจิตใจจะไปคิดเรื่องอื่น ๆ พวกเขาลากโลกทั้งใบกลับไปเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้และพาทวีปนี้กลับไปสู่ใจกลางทะเลต้นกำเนิด

นั่นคือตอนที่เทพอสูรบรรพกาลโจมตี

พวกมันทำลายการเชื่อมต่อระหว่างอาณาเขตคุนและแดนต้นกำเนิด ทำให้แดนต้นกำเนิดหยุดนิ่งลงกลางทางขณะที่อาณาเขตคุนเริ่มลอยกลับไปด้วยตัวเอง

เทพเจ้าตกตะลึงเป็นอย่างมากและรีบเกาะยึดพวกตนไว้กับแดนต้นกำเนิด

ในเมื่อเทพเจ้าสามารถเคลื่อนย้ายได้กระทั่งแดนต้นกำเนิด ก็เป็นธรรมดาที่พวกเขาจะสามารถเคลื่อนย้ายอาณาเขตคุนได้ด้วย แต่เมื่อพวกเขาพยายามเกาะตนเองไว้กับแดนต้นกำเนิด เทพอสูรบรรพกาลทั้งหลายก็กระหน่ำโจมตีไปยังการเชื่อมต่อนี้โดยเฉพาะ

ตอนนี้เมื่อพวกมันมีความคิดแล้ว เทพอสูรบรรพกาลก็ฉลาดพอที่จะโจมตีจุดอ่อนของเทพเจ้าโดยตรงทำให้เหล่าเทพเจ้าหวาดผวา แม้ว่าเทพเจ้าจะแข็งแกร่งยิ่งนัก แต่พวกเขาก็ถูกเทพอสูรบรรพกาลกดดันโดยสมบูรณ์

ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันเป็นเวลานานโดยไม่มีวี่แววว่าฝ่ายใดจะชนะทั้งสิ้น

แต่ถึงอย่างนั้น เทพเจ้าก็ยังแข็งแกร่งเกินบรรยาย ในฐานะลูกหลานของโลกใบนี้และผู้ควบคุมกฎแห่งพลัง พวกเขาสามารถปิดช่องว่างระหว่างพวกตนและแดนต้นกำเนิดได้อย่างช้า ๆ

เมื่อเหล่าเทพอสูรบรรพกาลเห็นว่าเทพเจ้ากำลังใกล้เข้ามา พวกมันก็โกรธเกรี้ยวขึ้นด้วยเช่นกัน

เทพอสูรบรรพกาลบางตัวตัดสินใจพลีชีพด้วยการกระแทกร่างกายอันมโหฬารของตนเข้ากับอาณาเขตคุน

พวกมันกระโดดขึ้นไปในอากาศอย่างองอาจ โผนผ่านทะเลพลังต้นกำเนิดที่แม้แต่เทพเจ้าก็ยังข้ามไปไม่ได้ แล้วจึงปะทะเข้ากับอาณาเขตคุน ทำให้มันจมลงไปใต้ผิวน้ำของทะเลพลังต้นกำเนิด

พวกมันกำลังโจมตีอาณาเขตคุนโดยตรง!

อาณาเขตคุนคือสิ่งที่ทำให้เทพเจ้าปลอดภัยจากทะเลพลังต้นกำเนิด มันคือเกราะป้องกันชั้นเยี่ยม แต่ในขณะเดียวกันมันก็ยังเป็นจุดอ่อนด้วย

และเทพอสูรบรรพกาลผู้ชาญฉลาดทั้งหลายก็กำลังโจมตีจุดอ่อนนี้สุดชีวิต

ในที่สุด ด้วยการโจมตีอย่างต่อเนื่องของเทพอสูรบรรพกาล อาณาเขตคุนก็เริ่มจมหายไป

คราวนี้กระทั่งเทพเจ้าก็ไม่อาจรักษามันไว้ได้

เมื่อคิดได้ว่าการทำลายล้างกระชั้นชิดเข้ามาทุกชั่วขณะจิต เทพเจ้าก็ไม่มีทางเลือกนอกจากใช้พละกำลังที่เหลือทั้งหมดสร้างปราการเทพเจ้าขึ้นมา

เทพเจ้าทั้งหลายจากไปด้วยเปลวเพลิงแห่งความรุ่งโรจน์ดวงสุดท้าย

พวกเขาร่วมมือกันสร้างปราการปกป้องพวกตนขึ้นมา ในขณะเดียวกัน เทพแห่งเวลา เทพแห่งแสง เทพแห่งทะเล เทพสุริยัน เทพนักรบ เทพแมงมุม และเทพแห่งศิลป์ ล้วนปลดปล่อยพลังงานภายในร่างกายออกมาเพื่อเชื่อมต่ออาณาเขตคุนเข้ากับแดนต้นกำเนิดอย่างพร้อมเพรียงกันก่อนที่พวกเขาจะจมลงไปใต้น้ำ

เทพเจ้าผู้แข็งแกร่งอย่างน้อยเจ็ดองค์สิ้นใจทันที

แต่การเสียสละของพวกเขาก็ทำให้เทพเจ้าคนอื่น ๆ ได้โอกาสกลับไปยังอาณาเขตคุน

แต่ที่ไม่มีใครรู้คือในจังหวะนั้น มนุษย์ตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งก็ได้เข้าไปในอาณาเขตคุนด้วย

บรรพชนมนุษย์นั่นเอง

ความเกลียดชังที่ตนมีต่อเทพเจ้าของตัวเองทำให้ไม่อาจปล่อยพวกเขาไปได้ แม้ว่าเทพเจ้าจะตัดขาดออกไปโดยสมบูรณ์ เขาก็ปฏิเสธที่จะมอบโอกาสให้เทพเจ้าทั้งหลายรอดชีวิตไปได้

มีเพียงความตายอย่างถาวรชั่วกัลปาวสานของพวกเขาเท่านั้นที่จะทำให้เผ่าพันธุ์มนุษย์รุ่งโรจน์ได้

บรรพชนมนุษย์เริ่มรอคอยอีกครั้ง

เขาสร้างมนุษย์เช่นนี้ขึ้นมาเพิ่มต่อไป ทำให้พวกเขาสามารถมอบความศรัทธาให้แก่เทพเจ้าได้ แต่คราวนี้เขาก็มีลูกไม้ใหม่ ๆ ซ่อนอยู่ด้วย

ยกตัวอย่างเช่น มนุษย์กลุ่มใหม่ที่เขาสร้างขึ้นจะมอบพลังศักดิ์สิทธิ์ให้ได้น้อยกว่าก่อนมาก

เพราะข้อจำกัดตามธรรมชาติของอาณาเขตคุนและการรบกวนของบรรพชนมนุษย์ ความศรัทธาโดยรวมที่เทพเจ้าได้รับก็ลดลงมหาศาล กระทั่งพลังศักดิ์สิทธิ์ที่ได้รับก็ถูกจำกัดไปด้วย

นอกจากนี้ มีเทพเจ้าอยู่ภายในอาณาเขตคุนมากเกินกว่าจะแบ่งปันปริมาณความศรัทธาอันน้อยนิดได้

ณ จุดนั้น บรรพชนมนุษย์รู้แล้วว่าเขาไม่จำเป็นต้องแทรกแซงอีกต่อไป เทพเจ้าจะเริ่มต่อสู้กันเองอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

แน่นอนว่าสถานการณ์อันตรายที่เทพเจ้าทั้งหลายประสบส่งผลให้เกิดความบาดหมางระหว่างกันมากมาย ความขาดแคลนทรัพยากรทำให้เทพเจ้าต้องเผชิญหน้ากันเองเพื่อเอาชีวิตรอด และศึกสงครามก็ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ จนทั่วทั้งอาณาเขตคุนเข้าไปพัวพันกับสงครามสะท้านโลกที่รู้จักกันในชื่อ “ศึกแห่งทวยเทพ”

ในขณะเดียวกัน บรรพชนมนุษย์ก็นั่งดูพระอาทิตย์ขึ้นและลง ก้อนเมฆผันผวน สายฟ้าฟาด พายุโหมกระหน่ำ และเปลวเพลิงที่แผ่ไปทั่วท้องฟ้าอย่างสงบเย็น เทพเจ้าแต่ละคนที่จากไปทำให้หัวใจของเขาเต็มไปด้วยความสุข

แล้วเขาก็มองเห็นเทพเจ้าองค์หนึ่งที่ร่วงลงจากท้องฟ้าราวกับหงส์เพลิงและตกลงบนพื้นใกล้ ๆ

เทพองค์นั้นยังไม่ตาย

เมื่อเทพเจ้าคนนั้นเงยหน้าขึ้นมา บรรพชนมนุษย์ก็นึกขึ้นได้ว่าใบหน้านี้ช่างคุ้นเคยยิ่งนัก