โครงกระดูกโบราณนี้ทั่วทั้งร่างเป็นสีดำทอง พลังกดขี่ของเทพสงครามอันไร้ที่สิ้นสุด ก็ได้แผ่กระจายออกมาจากโครงกระดูกโบราณนี้ บนร่างของเขาสวมเกราะนักยุทธ์สีเหลืองทอง เหมือนกับเกราะนักยุทธ์ในตอนนั้นที่หลัวซิวได้เห็นตอนที่พบม้วนหยกสีทอง

เห็นได้ชัดว่า เกราะนักยุทธ์ชุดนี้หลังจากบินหนีไป มันก็คืนสู่ร่างของเจ้านายตนเอง

ไม่ต้องสงสัย โครงกระดูกนี้ก็คือซากโครงกระดูกของเทพสงครามเอกภพ

ว่าตามบันทึกในม้วนหยก ในตอนที่เทพสงครามเอกภพเผชิญหน้ากับความตาย ร่างกายได้รับพิษร้ายแรง พิษร้ายแรงชนิดนี้ใช้ผลการฝึกตนหาที่เปรียบไม่ได้ของเขายังเป็นการยากที่จะถอนพิษได้ ในท้ายที่สุดจึงได้ตายลงเพราะยาพิษ

เทพฟ้าถึงแม้จะตายไปแล้ว ร่างเนื้อก็จะไม่สูญสลายไป แต่เลือดเนื้อของเทพสงครามเอกภพทั้งหมดกลับถูกพิษร้ายแรงกัดกินจนสิ้น ถึงแม้ว่ากระดูกรบสีเหลืองทองของเขาจะอยู่ยงคงกระพัน ก็ถูกกัดกินจากพิษร้ายแรง กลายเป็นสีดำทอง

นอกจากโครงกระดูกและรูปปั้นแล้ว ปริภูมิทั่วทั้งภายในตำหนักกว้างใหญ่ไพศาลมาก แต่กลับว่างเปล่าไม่มีสิ่งใด

ทันใดนั้น หลัวซิวก็สัมผัสได้ว่ากาลเวลารอบกายของตนเกิดการเปลี่ยนแปลง ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาได้เห็นต่างหายไปจนหมด ร่างกายของเขาปรากฏขึ้นกลางปริภูมิสีขาวสว่างไสว

ราวกับว่าในขณะนี้เวลาได้หยุดลง ทำให้หลัวซิวอดที่จะขมวดคิ้วเข้าหากันไม่ได้

และในนาทีนี้เอง หลัวซิวเห็นแสงสีทองปรากฏต่อหน้าเขา แสงสีทองนี้เปลี่ยนไปเรื่อย ๆ และกลายเป็นรูปร่างของชายหนุ่มในที่สุด

ชายผู้นี้มีไว้ผมสั้น ใบหน้างดงามทว่าคมเข้ม ร่างกายกำยำ ออร่าบนร่างกายของเขาเป็นเหมือนสัตว์ป่าดุร้ายและทรงพลัง

“คาดไม่ถึงว่าผู้ที่สามารถมาถึงที่แห่งนี้ได้ กลับเป็นคนแบบเจ้า” สายตาของชายหนุ่มร่างกายกำยำจ้องมองมายังหลัวซิว น้ำเสียงหยาบกระด้าง

หลัวซิวก็จ้องมองไปยังอีกฝ่ายเช่นกัน ในสมองพลันปรากฏภาพของซากกระดูกเทพสงครามเอกภพ หากว่าเลือดเนื้อเกิดขึ้นใหม่อีกครั้ง คงจะเหมือนกับชายหนุ่มรูปร่างกำยำที่ยืนอยู่ตรงหน้าพอดิบพอดี

เมื่อคิดถึงตรงนี้ หลัวซิวก็รี่ตาลงเล็กน้อย หัวใจสั่นไหว “ท่านคือเทพสงครามเอกภพ?”

แม้ว่าเขาอาจจะแน่ใจได้ว่าคนที่ปรากฏตัวต่อหน้าเขามีความเป็นไปได้อย่างมากที่จะเป็นเทพสงครามเอกภพ แต่กลับไม่รู้สึกถึงหาพลังกดขี่ที่เปรียบไม่ได้ของเทพสงครามจากตัวเขาเลย

“ข้าคือเทพสงครามเอกภพ แต่ก็ไม่ใช่” ชายหนุ่มรูปร่างกำยำตอบด้วยความรู้สึกสับสน

“ข้าไม่เข้าใจความหมายของท่าน” หลัวซิวกล่าว

ชายหนุ่มรูปร่างกำยำสีหน้านิ่งเฉย ไม่ได้อธิบายต่อ แต่กลับจ้องมาที่หลัวซิวพลางถาม “ด้วยวิชาห้ามค่ายกลพวกนั้นที่ข้าทิ้งเอาไว้ ต่อให้เป็นเทพมารขั้นสูงมาเอง ก็ยังเป็นการยากที่จะเดินมาถึงที่นี่ เจ้าเป็นเพียงผู้น้อยที่มีผลการฝึกตนเจ้ายุทธจักร ฝึกตนได้เพียงสามสิบปี ทำได้อย่างไรกัน?”

“เมื่อพูดแล้วก็ต้องขอบคุณท่านผู้อาวุโสที่ทิ้งวิชาห้ามค่ายกลเหล่านั้นไว้ ทำให้ข้าได้สัมผัสรู้ความลึกลับของมัน และกลายเป็นนักค่ายเทพ” หลัวซิวเอ่ยตอบ

“นักค่ายเทพ? ฝึกตนเพียงสามสิบปี เจ้าก็กลายเป็นนักค่ายเทพแล้วหรือ?” ชายหนุ่มรูปร่างกำยำสีหน้าเย็นชา ได้เผยสีหน้าประหลาดใจเป็นครั้งแรก

ในเวลานี้เอง หลัวซิวสามารถจับประเด็นสำคัญบางอย่างได้แล้ว อีกฝ่ายพูดว่าตนฝึกตนเพียงแค่สามสิบปีถึงสองครั้ง เขารู้ได้อย่างไร?

“มีปัญหาใดหรือ?” หลัวซิวขมวดคิ้วเล็กน้อย

“ต่อให้อยู่ที่พิภพสูง เกรงว่าพรสวรรค์ค่ายกลจะดีสักเพียงใด อีกทั้งยังได้รับการสืบทอดค่ายกลอย่างสมบูรณ์ ริอยากจะกลายเป็นนักค่ายเทพ อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาราวหนึ่งร้อยปี”

ชายหนุ่มรูปร่างกำยำพูดเสียงเข้ม “หรือว่าเจ้ามาจากโลกพิภพมหาจักรพรรดิยุทธ์ทั้งแปด?”

ตามความคิดทั้งหมดที่เทพสงครามเอกภพรู้ น่าจะมีเพียงโลกพิภพมหาจักรพรรดิยุทธ์ทั้งแปด เท่านั้นจึงจะมีอัจฉริยะเช่นนี้ได้

“ข้ามิได้มาจากโลกาชั้นฟ้า แต่เป็นเพียงจอมยุทธ์ทั่วไปผู้หนึ่งแห่งโลกแสงดาวนี้เท่านั้น” หลัวซิวพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ