เขาพบว่าอีกฝ่ายไม่มีเจตนาจะสู้กับเขา จึงย่อมสามารถกดความอดทนอดกลั้นเอาไว้เพื่อสื่อสารอีกฝ่าย

“โลกแสงดาว?” ชายหนุ่มรูปร่างกำยำขมวดคิ้ว ในตอนที่เขาเผชิญหน้ากับความตาย เขาแผดเผาชีวิตข้ามพิภพเพื่อป้องกัน แต่กลับไม่รู้ว่าพิภพที่ตนร่วงลงมาเยือนนั้น ที่จริงแล้วคือโลกแสงดาวที่หลัวซิวพูด

อย่างไรก็ตาม อย่างว่าแต่พิภพต่ำเลย ต่อให้เป็นพิภพกลางต่างก็ยังมีเป็นล้านหรือหลายสิบล้าน เพียงแค่โลกแสงดาวเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง ก็เหมือนกับน้ำหยดหนึ่งในมหาสมุทร เล็กเกินกว่าจะกล่าวถึง

หลังจากเงียบไปสักพัก ชายหนุ่มรูปร่างกำยำก็เอ่ยปากขึ้นอีกครั้ง “ในเมื่อเจ้ามาถึงที่แห่งนี้ น่าจะมาเพื่อใจแห่งศุภรใช่หรือไม่?”

“ใจแห่งศุภร?” หลัวซิวได้ยินคำนี้ ก็พลันคิดไปถึงสมบัติชิ้นนั้นที่ทำให้ผู้ยิ่งใหญ่แห่งโลกาชั้นฟ้าต้องระลึกถึงอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน

“นี่เจ้าไม่รู้จักใจแห่งศุภรรึ?” ชายหนุ่มร่างกายกำยำมีสีหน้าอึ้งไปเล็กน้อย “ทั่วทั้งจักรวาลโลกพิภพจำนวนนับไม่ถ้วน มีสิ่งล้ำค่าดั้งเดิมอยู่เพียงแค่แปดชิ้นเท่านั้น เป็นสิ่งที่กลั่นแปรมาจากจักรวาลกฎดั้งเดิม สิ่งล้ำค่าดั้งเดิมทุกชิ้นต่างก็แฝงไปด้วยความลึกลับไร้ที่สิ้นสุด สอดคล้องกันเหมือนดวงอาทิตย์ที่ขึ้นตรงและเอียงลง เหมือนดวงจันทร์ที่เต็มดวงและกลับมาเป็นเสี้ยว จักรวาลก็เต็มไปด้วยดวงดาวในห้วงอวกาศอันไร้ขอบเขต!”

“สำหรับใจแห่งศุภร สอดคล้องกับนิรันดร์ และนิรันดร์ก็หมายถึงกาลเวลา ดังนั้นใจแห่งศุภร ก็ถูกเรียกว่าหัวใจแห่งกาลเวลาด้วยเช่นกัน เป็นสิ่งล้ำค่าเหนือทุกสิ่งที่ถูกกลั่นแปรมาจากกฎเวลาดั้งเดิม”

“เมื่อหลายหมื่นปีก่อน เพราะว่าข้าได้รับเศษเสี้ยวของใจแห่งศุภรมาหนึ่งชิ้น ถูกผู้แข็งแกร่งแห่งโลกเบื้องบนอันแสนวุ่นวายไล่ตามล่า ดังนั้นจึงได้ตกลงมายังดินแดนเช่นนี้”

จากคำกล่าวของชายหนุ่มร่างกายกำยำ หลัวซิวได้รู้ว่า ในช่วงเวลาที่เทพสงครามเอกภพกำลังเผชิญกับความตายนั้น ได้ฝากฝังความคับแค้นใจของตนลงในเศษเสี้ยวของใจแห่งศุภร ใจแห่งศุภรได้รับผลกระทบจากพลังของกฎเวลาดั้งเดิม ของเขาความคับแค้นใจสามารถอาศัยใจแห่งศุภร กลายร่างเป็นโลกแสงนิรันดร์

ในตอนนี้ปริภูมิที่หลัวซิวอยู่ก็เหมือนกับวิชาห้ามกาลเวลา นั่นคือใจแห่งศุภรแปรเปลี่ยนเป็นโลกแสงนิรันดร์

ภายในโลกแสงนิรันดร์ อยู่ภายใต้ผลกระทบจากกฎเวลาดั้งเดิม พลังความคับแค้นใจของเทพสงครามเอกภพ จะกลั่นแปรไปตามเปลี่ยนอายุของคู่ต่อสู้

อย่างเช่นอายุของหลัวซิวคือสี่สิบปี เช่นนั้นพลังที่ความคับแค้นใจของเทพสงครามเอกภพได้รับนั้น ก็จะเป็นพลังแดนผลการฝึกตนที่เขาครอบครองเมื่อตอนอายุสี่สิบปี

“เพื่อที่จะได้รับใจแห่งศุภร ข้าพยายามอย่างหนักทุกวิถีทาง แต่ในท้ายที่สุดทุกอย่างกลัยกลายเป็นความว่างเปล่า!”

“ข้าไม่เต็มใจ! ดังนั้นจึงได้ทิ้งความคับแค้นใจเอาไว้ที่ใจแห่งศุภร จำเป็นต้องเป็นคนที่มีพลังพรสวรรค์มากกว่าข้า จึงจะสามารถได้รับใจแห่งศุภร!”

เมื่อพูดถึงตอนท้าย อารมณ์ของเทพสงครามเอกภพก็ยิ่งรุนแรงมากขึ้น ในเวลาเดียวกัน ออร่าบนร่างกายของเขาก็เริ่มเข้มข้นขึ้น จิตวิญญาณการต่อสู้ที่รุนแรงและยิ่งใหญ่ก็ปะทุขึ้น

……

บนเนินเขาของภูเขา เทพมารทุกท่านจากสามเผ่าพันธุ์ได้รอมาเป็นเวลากว่าห้าปีแล้ว

พวกเขายังไม่ได้มีพลังที่จะขึ้นไปบนยอดเขา เทพมารขั้นสูงทั้งสามไม่ได้กลับลงมาตลอดห้าปี ทำให้สภาพจิตใจของเทพมารทุกท่านต่างก็จมลงสู่ก้นบึ้งในทันที

ไม่ต้องสงสัย เทพมารขั้นสูงทั้งสามต้องประสบเรื่องร้ายมากกว่าเรื่องดีแน่

เทพมารขั้นสูงไม่เหมือนกับเทพมารทั่วไปอย่างพวกเขา หากอยู่ที่แดนศักดิ์สิทธิ์ขั้นสุดยอดของพิภพกลาง ก็จะเป็นกำลังหลักที่มีความแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก การตายของทุกท่านถือเป็นการสูญเสียอย่างยิ่งใหญ่

เทพมารทุกท่านเลือกที่จะจากออกมา เทพมารที่มาจากโลกาชั้นฟ้าก็เตรียมที่จะนำข้อมูลความเป็นไปได้ที่เทพมารขั้นสูงจะเสียชีวิตนั้นส่งไปยังโลกาชั้นฟ้า

ในขณะเดียวกัน หลัวซิวที่ออกเดินทางไปพร้อมเทพมารก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย ดังนั้นจึงถือว่ามีโอกาสสูงมากที่จะเสียชีวิตแล้ว

เมื่อออกจากห้วงกาลแดน เทพมารทุกท่านต้องผ่านช่องทางอนัตตา ก็ได้มีเทพมารจำนวนหนึ่งที่ถูกอสูรโบราณกลืนกินเทพจับกินไป เรียกได้ว่าเป็นการสูญเสียอย่างมหาศาล