บทที่ 1293 ชำระล้าง

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

น้ำเสียงนี้องอาจหาใดเปรียบ อีกทั้งยังแฝงไปด้วยความโอหัง ราวกับเมื่อเอ่ยคำพูดออกมาจะสามารถทำให้ฟ้าดินสะเทือนได้ ในยามนี้เสียงดังก้อง ท่ามกลางเม็ดฝนที่หลั่งริน ในขอบฟ้าห่างไกลนั้นปรากฏเงาร่างหนึ่งเดินเข้ามา               เงาร่างนี้สูงใหญ่อย่างมาก สวมชุมคลุมกษัตริย์สีม่วง แม้ศีรษะจะไม่ได้ประดับกวานแล้วปล่อยเส้นผมให้พัดปลิวสยาย แต่กลับให้ความรู้สึกเย่อหยิ่ง อีกทั้งร่างของเขานั้นแม้หน้าตาจะดูหยาบกระด้างทว่าดวงตานั้นดุจดารา ทำให้ผู้พบเห็นจิตใจเคลิบเคลิ้มหลงลืมทุกสิ่งทำได้เพียงจ้องมองดวงตาอันงดงามกระจ่างคู่นั้นของเขา               ยามนี้เมื่อเขาเดินมา ด้านบนศีรษะเห็นชัดว่ามีสายฝน แต่ไม่มีแม้แต่หยดเดียวที่ตกกระทบร่างของเขา               ราวกับว่าในสถานที่ทั้งหมดนี้ แม้กระทั่งหยาดน้ำที่หลั่งรินลงมาก็ไม่อาจแปดเปื้อนเขาได้สักนิด               ตรงจุดนี้ หวังเป่าเล่อทำไม่ได้               แต่แรกก็เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว เพราะจากระดับพลังของหวังเป่าเล่อในปัจจุบัน อย่าว่าแต่หยาดฝนเลย ต่อให้เป็นกระแสพลังเทพคุกคาม ก็ไม่มีทางที่จะทำให้เขาอยู่ในระดับที่ไม่อาจยับยั้งได้เลยสักนิด               กระทั่งหากเปลี่ยนเป็นผู้ฝึกตนขั้นรากฐานตั้งมั่นสักคน ก็สามารถหลบฝนในโลกุตระได้               แต่ว่า…ชายที่ปรากฏตัวท่ามกลางสายฝนนี้ ไม่ว่าจะเป็นการโคจรพลังของเขา การตัดขาดจากโลกภายนอก หยาดฝนเหล่านี้ก็ยังคงมอบความชุ่มชื้นไร้สุ้มเสียงดุจเก่า ราวกับถูกแบ่งกั้นโดยสมบูรณ์               บางทีนี่อาจไม่เกี่ยวข้องกับพลังการต่อสู้ แต่เป็นเหตุเพราะระดับพลังฝึกตนแตกต่างเป็นสำคัญ               ยามนี้เห็นได้ว่า ชายร่างใหญ่ผู้มาเยือนหลายต่อหลายครั้งในระหว่างสองปีนี้ พลังฝึกตนของเขาต้องอยู่ระดับสี่เป็นแน่!               ในเวลาเดียวกัน ฝนนี่ก็ไม่ปกติเลยจริงๆ หากมองมายังยอดเขาที่หวังเป่าเล่ออยู่จากระยะไกล จะสามารถมองเห็นได้ชัดเจนว่ามีเพียงอาณาบริเวณรอบด้านหลายร้อยจั้งเท่านั้นที่มีฝน แต่ในส่วนบริเวณนอกร้อยจั้งไปนั้น ไม่มีฝนสักครึ่งหยด               อีกอย่าง…หวังเป่าเล่อที่อยู่ท่ามกลางสายฝน ตอนนี้เสื้อผ้าหน้าผมล้วนเปียกปอน ไม่อาจใช้วัตถุใดๆ กันได้ ทั้งหมดล้วนเปล่าประโยชน์ แต่ในครั้งแรกที่อีกฝ่ายมาเยือนเมื่อปีที่แล้ว หลังจากได้อาบฝน หวังเป่าเล่อก็คล้ายเข้าใจบางอย่าง ตอนนี้เขาแหงนหน้ามองชายร่างสูงใหญ่ที่เดินเข้ามา แล้วลุกขึ้นพร้อมค้อมกาย               “น้อมพบผู้อาวุโสซือถู” ระหว่างที่กล่าว หยาดฝนก็หลั่งรินออกจากเส้นผมของเขา ไหลผ่านแก้มจนกระทั่งรวมกันอยู่ตรงตำแหน่งคาง กลายเป็นหยดน้ำฝน ร่วงกระทบดินเป็นสาย มีบางส่วนที่ไหลไปเปียกปกเสื้อ               “ฮ่าๆ เจ้าอ้วนน้อย พวกเราพบกันอีกแล้ว” ในตอนที่หวังเป่าเล่อกล่าวออกไป ชายสูงใหญ่ที่เดินเข้ามาก็หัวเราะเสียงดัง เขาเดินมาข้างหน้าพร้อมกอดหวังเป่าเล่อเอาไว้               “นี่ก็เพิ่งเดือนเดียวเท่านั้น…” หวังเป่าเล่อเอ่ยปากยิ้มๆ ชายสูงใหญ่เบื้องหน้าตนหลังจากคลายอ้อมกอดอันสนิทสนมนี้ เขาก็เช็ดหยาดฝนบนหน้าก่อนจะสะบัดมือ               “หนึ่งเดือนก็นานนัก มาๆๆ เจ้าอ้วนน้อย ครั้งที่แล้วข้าจงใจยอมให้เจ้า มาครั้งนี้ ข้าจะสู้กับเจ้าอย่างเอาจริงแล้ว” ชายร่างสูงใหญ่เอ่ย เขานั่งอยู่ข้างหน้าหวังเป่าเล่อพลางโบกมือ จากนั้นกระดานหมากก็ปรากฏ เม็ดหมากเม็ดหนึ่งถูกเขาหยิบออกมา ราวกับกลัวว่าจะถูกแย่งชิงเปิดกระดาน หมากตัวนั้นรีบวางลงทันที               หวังเป่าเล่ออมยิ้ม ผู้อาวุโสซือถูเบื้องหน้าเขานี้ กล่าวให้กระจ่าง เขาได้พบเจอทั้งสิ้นเจ็ดครั้งแล้วในเวลาสองปี               ในครั้งแรกที่มานั้น อีกฝ่ายสนทนากับเขาอยู่นาน ราวกับมาดูว่าตนเองเป็นเช่นไร หลังจากนั้นก่อนจากไปยังถามเขาเหมือนไม่ได้ใส่ใจอีกประโยคหนึ่งว่าเล่นหมากเป็นหรือไม่               หวังเป่าเล่อนั้นเล่นไม่เป็น กฎของหมากในโลกแห่งศิลาและที่แห่งนี้แตกต่างกัน แต่ก็สอบถามด้วยความสงสัย จากนั้นผลลัพธ์ก็…               ในตอนที่ทั้งสองพบกันครั้งแรก ฝ่ายหนึ่งตื่นเต้นระริกระรี้ อีกฝ่ายพยายามร่ำเรียน แต่เขา…สุดท้ายกลับเป็นผู้ชนะ               นี่ทำให้ซือถูอดรนทนไม่ได้อยู่บ้าง ดังนั้นจึงมีครั้งที่สอง ครั้งที่สามและสี่ตามมา…               ทุกครั้ง หวังเป่าเล่อชนะ               ตัวเขาเองรู้สึกเหนือความคาดหมายไปบ้าง บางทีอาจเพราะตนเองไม่เคยพบพรสวรรค์ทางด้านนี้มาก่อน หรือไม่ก็อาจจะเป็นเพราะฝีมือของผู้อาวุโสซือถูท่านนี้ ในด้านหมากนั้นอ่อนด้อยเกินไป…               ก็เป็นเช่นนี้ ยามนี้เขาปรากฏตัวมาเจ็ดครั้งแล้ว               หวังเป่าเล่อไม่ได้สนใจน้ำฝนที่ไหลอาบแก้ม เขาหยิบเม็ดหมากขึ้นวางลงบนกระดาน หลังจากนั้นจึงรอด้วยความเคารพ ผู้อาวุโสซือถูเบื้องหน้าเขา เป็นคนที่ลงหมากได้เชื่องช้ามาก               ผลก็คือ ทุกครั้งก็เป็นเช่นเดียวกัน หนึ่งก้านธูปให้หลัง ซือถูถึงค่อยลงหมาก หวังเป่าเล่อเองไม่ได้มีท่าทีเหนื่อยหน่ายแม้แต่น้อย เขาหยิบหมากวางลงไปอีกครั้ง จากนั้นก็รอคอย               ทุกอย่างเป็นเช่นนี้ เวลาล่วงผ่านไปสามวันแล้ว…               มองเห็นหมากวางอยู่กว่าครึ่งของกระดาน ซือถูทางด้านนั้นก็นั่งคิดเนิ่นนาน หวังเป่าเล่อใช้มือปาดน้ำฝนออกจากศีรษะ หลังจากลองกวาดตาดูรอบหนึ่งก็เอ่ยปากเสียงเบา               “ผู้อาวุโส ดูท่าท่านจะพลาดไปท่าหนึ่งอีกแล้ว”               ซือถูจ้องมองกระดานแล้วก็เงียบไปครู่หนึ่ง เขาลังเลไม่รู้ว่าควรจะลงเช่นใด สีหน้าท่าทางค่อยๆ เผยความเสียใจออกมาทีละน้อย แล้วแหงนหน้ามองท้องฟ้า               “ตกพอหรือยังน่ะ? ไสหัวไป”               หลังจากกล่าวจบ ฟ้าดินก็ก้องคำราม บนท้องนภาเมฆพัดม้วนเป็นชั้น ทำให้หวังเป่าเล่อรู้สึกได้ว่าในพริบตานั้น ท้องฟ้าคล้ายกับแสดงอารมณ์เบิกบานอยู่ ราวกับว่าได้กลั่นแกล้งจนพอใจแล้ว ไม่นานชั้นเมฆก็หายไปและฝนจึงหยุดลง               เห็นสายฝนหยุดลงในที่สุด พลังภายในของหวังเป่าเล่อก็พลันเปลี่ยน ชายเสื้อและเส้นผมในพริบตานั้นไม่อับชื้นอีก ท่ามกลางความสดชื่นนี้ เขาลุกขึ้นมองชายร่างสูงใหญ่เบื้องหน้าก่อนจะโค้งคำนับลงคราหนึ่ง               “ขอบคุณผู้อาวุโสที่ตามใจข้า”               ชายร่างสูงใหญ่ห่อปาก ก่อนจะโบกมือแล้วเก็บกระดานหมากกลับ                  “รอบนี้สถานการณ์ไม่ดี รอจนข้าไปนอนสักรอบ ตื่นแล้วมาสู้กับเจ้า” กล่าวจบ ชายร่างสูงใหญ่นี้ก็บิดขี้เกียจแล้วลุกขึ้นทำท่าจะจากไป               “บุญคุณของผู้อาวุโส ผู้เยาว์ซาบซึ้งยิ่งนัก” หวังเป่าเล่อถอนหายใจยาวเหยียด ก่อนจะคำนับอีกครั้ง               “บุญคุณ?” ชายร่างสูงชะงัก               “ผู้อาวุโสอย่าได้ปิดบังอีกเลย ตั้งแต่ครั้งที่สองที่ท่านมา ผู้เยาว์ก็ทราบแล้ว” นัยน์ตาหวังเป่าเล่อใสกระจ่าง เอ่ยปากเสียงเบา               “เจ้ารู้สิ่งใดงั้นหรือ?” ชายร่างสูงเอ่ยถามด้วยความฉงน               “เจ็ดครั้งที่ผู้อาวุโสมา เจ็ดครั้งที่ฝนตก ฝนนี้ไม่ปกติ ฝนช่วยสลายจิตอาฆาตของคนหนึ่งได้ อีกทั้งยังสลายเหตุผลต้นกรรมตนเองได้ สามารถหล่อเลี้ยงจิตวิญญาณตนเองได้ สามารถทำให้สภาวะจิตของผู้เยาว์สงบนิ่งมากขึ้น”               “หากจนบัดนี้ ผู้เยาว์ยังมิรู้ความ ว่านี่คือโอกาสบ่มเพาะที่ผู้อาวุโสมอบให้ เพื่อช่วยผู้เยาว์ตัดอาวรณ์ที่มีต่อจิตเต๋าและความยึดติดนี้ เช่นนั้นผู้เยาว์ก็ไม่มีค่าควรให้เล่นหมากกับท่านแล้ว”               “แท้จริงแล้ว อานุภาพของฝนนี้สะท้านใจผู้คนนัก ผู้เยาว์ในยามนี้สภาวะกลับอยู่ในความสงบสุข ในส่วนการรู้แจ้งแห่งเต๋านั้นลึกซึ้งกว่าสองปีก่อนหน้ามาก ในตอนนี้จะตัดอาวรณ์แห่งจิตเต๋าเช่นไร เริ่มคิดได้บ้างแล้ว” หวังเป่าเล่อเอ่ยด้วยความจริงใจ ก่อนจะคำนับอีกครั้ง               ได้ยินคำพูดนี้ของหวังเป่าเล่อ ชายร่างสูงใหญ่ก็มีท่าทางเหลอหลาเล็กน้อย ก่อนจะกะพริบตาแล้วไอค่อกแค่กครั้งหนึ่ง               “มิผิด! ก็เป็นเช่นนี้!”               “ไอ๊หยา เจ้าเด็กนี้ใช้ได้ ข้าซ่อนเสียแนบเนียนปานนี้ เจ้าเข้าใจจิตใจงดงามและความเหนื่อยยากของข้าได้เร็วขนาดนี้เชียว” ชายร่างสูงใหญ่ระหว่างที่ไอกลบเกลื่อนนั้น ในใจพลันเกิดความรู้สึกประหลาดขึ้นมาทว่าสีหน้าก็ยังไม่แสดงออก จึงได้แต่แสร้งหัวเราะฮ่าๆ ที่แท้เรื่องก็เป็นเช่นนี้ แสดงท่าทางว่าตนมีอะไรแอบซ่อนลึกซึ้งอยู่               “ขอบคุณผู้อาวุโสมากขอรับ ผู้เยาว์รู้แจ้งได้เช่นนี้ เป็นเพราะตอนที่อีอีอยู่ที่บ้านเกิดของผู้เยาว์ นางก็แอบใช้วิธีการเช่นนี้ช่วยผู้เยาว์อยู่หลายครั้ง” หวังเป่าเล่อเอ่ยอย่างซาบซึ้ง               ชายร่างสูงใหญ่ในครั้งนี้ไม่อาจปิดบังความแปลกใจได้อีก อารมณ์นี้ปรากฏขึ้น และโดยไม่รู้ตัวเขาก็แหงนหน้ามองไปยังถ้ำที่พำนักของบ้านตระกูลหวัง หลังจากพึมพำด้วยคำพูดที่มีเพียงแค่เขาที่ได้ยิน ก็กระแอมไอออกมาหนึ่งครั้ง ราวกับต้องการจะเอ่ยบางอย่าง               แต่แล้วตอนนั้นเอง…เสียงร้องไห้แผ่วเบาของทารกก็ลอยมาจากในเมืองอันห่างไกล เสียงนี้ไม่นับว่ามีค่าอันใดในเมืองอันกว้างขวางนี้ อีกทั้งตัวเมืองก็มีขนาดใหญ่มากย่อมไม่มีใครสนใจและยากจะแยกแยะได้ หากแต่หวังเป่าเล่อกลับเพ่งความสนใจทั้งหมดไปยังบ้านหลังหนึ่ง               ในตอนที่ได้ยินเสียง หวังเป่าเล่อร่างกายพลันสั่นสะท้าน เขาหันขวับกลับไปมอง               ในพริบตานั้น ทารกคนหนึ่งได้ถือกำเนิดขึ้นในบ้านหลังนี้               “ศิษย์พี่…” หวังเป่าเล่อทอดมอง ครู่หนึ่งก็เผยรอยยิ้มเบิกบานออกมา               ………………………..