บทที่ 1294 นักพรตเต๋า

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

เวลาผันผ่าน พริบตาเดียวห้าปีก็ผ่านไป               ในเขตแดนหนึ่งของดินแดนเซียน ณ เมืองแห่งหนึ่ง เมืองนี้เมื่อมองห่างๆ จะคลับคล้ายกับร่างของหอยทากยักษ์ตัวหนึ่ง กระแสพลังเซียนแผ่ออกมาจากที่นั่นช้าๆ บนเปลือกของหอยทากตัวนี้ก็คืออาณาบริเวณของเมืองทั้งหมด               ราวกับว่าบนร่างของมันมีกระแสเหนี่ยวนำ ทำให้เปลือกนั้นตั้งตระหง่าน แต่สำหรับมนุษย์ที่อาศัยอยู่บนตัวมันนี้ ทุกสิ่งเป็นปกติ ท้องฟ้าก็คือท้องฟ้า ไม่มีอะไรแตกต่าง               ภายในเมืองขนาดมโหฬารนี้เอง มีอารามเต๋าเพิ่มขึ้นมาหนึ่งหลัง ลักษณะนั้นไม่ได้ดึงดูดความสนใจของผู้คนมากนัก ขนาดของมันเล็กมาก แต่สำหรับหลายคนอารามเต๋ากลับมีความสำคัญอย่างยิ่ง               ในดินแดนเซียนนี้ คนจำนวนมากจะพาเด็กน้อยที่อายุเหมาะสมเข้าสู่อารามเต๋า เพื่อเบิกเนตรเข้าสู่วิถีฝึกตน               สำหรับดินแดนเซียนแล้ว วิธีฝึกตนนั้นเป็นเรื่องปกติ ก็เหมือนกับสถานศึกษาในโลกแห่งศิลา เด็กน้อยในโลกใบนี้เมื่ออายุได้ประมาณหนึ่งก็จะต้องเข้าไปเบิกเนตรในอารามเต๋า               การมีอยู่ของอารามเต๋านั้นเพื่อคัดสรรผู้มีคุณสมบัติดี จากนั้นก็ส่งไปยังสำนักศึกษาที่สูงขึ้นอีกระดับ ค่อยๆ ส่งไปตามลำดับขั้น สุดท้ายแล้วก็เพื่อการเจริญเติบโตของดินแดนเซียน เพื่อสั่งสมบารมีให้แก่ตนเอง               ในระหว่างกระบวนการนี้ มีเรื่องราวบันดาลใจมากมายเกิดขึ้นเผยแพร่ไปทั่วทั้งดินแดนเซียนแห่งนี้ ทำให้ในทุกๆ ปี เด็กที่อายุได้ประมาณหนึ่งจากทุกสารทิศในเมือง จะแสวงหาอารามเต๋าเฉกเช่นที่นี่เพื่อไปเบิกเนตร               กล่าวได้ว่า การมีอยู่ของอารามเต๋า แท้จริงแล้วคือสถานที่ที่เหล่าผู้ฝึกตนจากโลกมนุษย์จำนวนมากได้สัมผัสกับวิถีเต๋าเป็นที่แรก               อารามเต๋าส่วนมากในดินแดนเซียนล้วนสร้างจากสำนักใหญ่ทั้งสิ้น อีกทั้งวิชาก็เป็นระเบียบแบบแผน ดังนั้นแล้วอย่าว่าแต่บิดามารดาที่มีทั้งพละกำลังและทรัพยากรเลย ต่อให้เป็นตัวผู้ฝึกตนด้วยกัน ส่วนมากก็เลือกที่จะส่งบุตรหลานของตนเข้าสู่อารามเต๋า               ทว่า ระหว่างอารามเต๋าด้วยกันเองนั้น ย่อมมีทั้งดีและชั่ว ทั้งหมดดูได้ว่าหล่อเลี้ยงเมล็ดพันธ์เช่นไรออกมาได้มาก ใช้วิธีนั้นตัดสิน ดังนั้นแล้วยิ่งอารามเต๋าไหนที่มีชื่อเสียงในด้านดีและโด่งดัง ตระกูลที่ส่งลูกหลานมาก็ย่อมมากขึ้นเท่านั้น               ในเมืองที่มีลักษณะคล้ายหอยทากแห่งนี้ อารามเต๋าปรากฏขึ้นนับแต่ห้าปีก่อน แม้ว่าจะไม่ได้วิเศษมากนัก แต่สามปีก่อนหน้านี้ กลุ่มเด็กที่ทางอารามเต๋าอบรมออกไปกลุ่มแรก ถึงกับมีสิบกว่าคนที่ถูกสำนักระดับหนึ่งรับตัวเอาไว้ ดังนั้นแล้วชื่อเสียงของอารามเต๋าแห่งนี้จึงค่อยแพร่กระจายไปทั่วทั้งสี่ทิศ               ในทุกเขตแดนของดินแดนเซียนนั้นมีสำนักเต๋ามากมายเหลือคณานับ อีกทั้งในหนึ่งเขตแดนแปดพันหัวเมือง จำนวนคนก็ยังมากล้น ดังนั้นหากถูกสำนักเต๋าที่มีชื่อระดับหนึ่งรับตัวไว้ เห็นได้ชัดว่านั่นดีเพียงใด อีกอย่างจำนวนเด็กที่สำนักเต๋าชั้นแนวหน้าเปิดรับในแต่ละปีก็น้อยมาก เงื่อนไขเข้มงวดอย่างยิ่ง               ดังนั้นแล้ว การถูกรับตัวในครั้งเดียวถึงสิบกว่าคนก็เป็นที่ประจักษ์แล้วว่าสามารถดึงดูดความสนใจคนได้มากมาย แม้เด็กที่เหลือจะไม่ได้ถูกสำนักชั้นหนึ่งรับตัวไป แต่ก็ถูกคัดสรรเข้าสำนักสามลำดับแรกเช่นกัน คล้ายกับว่าสำนักนี้เข้ามาตัดส่วนแบ่งทั้งหมดแล้วรับเข้าไปอย่างไรอย่างนั้น เรื่องครั้งนี้จึงสร้างความฮือฮาทั่วเมืองในทันที               เพราะนี่คือการรับเข้าเรียนในระดับสิบเมือง หากเปลี่ยนเป็นอารามเต๋าอื่นเกรงว่ายากจะทำถึงจุดนี้ได้               กระทั่งยังมีเสียงร่ำลือว่า เหล่าเมล็ดพันธุ์ที่ผ่านการอบรมจากอารามเต๋าแห่งนี้ ล้วนเป็นคนที่บรรดาสำนักชั้นนำวางแผนจะรับเอาไว้ทั้งหมด แต่กลับถูกสำนักอื่นคัดค้านรุนแรง อิจฉาตาริษยา ดังนั้นแล้วจึงได้แต่ยอมตัดใจรับแค่ส่วนหนึ่ง               เมื่อเทียบกับสิ่งนี้ก็ทำให้ชื่อเสียงของอารามเต๋ายิ่งแพร่สะพัด ในบรรดาเด็กน้อยเมื่อสามปีก่อนนั้น ถึงกับมีคนผู้หนึ่งซึ่งเป็นผู้สืบทอดของนักพรตเต๋าในอารามแห่งนั้นถูกรับตัวไปโดยสำนักสูงสุด ยอดสำนักสวรรค์เร้นลับอย่างเหนือความคาดหมาย เรื่องนี้กลายเป็นที่เล่าลือไปทั่ว และทำให้ในใจผู้คนสั่นสะท้าน               ดังนั้น ระยะสองปีให้หลัง การรับเด็กเข้ามาของอารามเต๋าจึงมีตระกูลจำนวนมากที่เข้ามายื้อแย่ง ด้วยเพราะกลัวว่าบุตรหลานของตนจะเสียโอกาสนี้               ในเวลาเดียวกันผู้ฝึกตนจำนวนมากก็เริ่มเสาะหาประวัติของอารามเต๋าแห่งนี้ แต่ยิ่งสืบค้นก็ยิ่งสงสัย สิ่งที่แตกต่างจากอารามอื่นที่มีนักพรตเต๋าสามถึงห้าคนหรือมากกว่านั้น ก็คือในอารามเต๋าแห่งนี้…มีนักพรตเต๋าเพียงคนเดียว               กล่าวให้ชัดเจนก็คือ ในอาราม ทั้งในและนอกมีอาจารย์เพียงคนเดียว               คนผู้นี้เป็นที่เรียกขานกันว่านักพรตเต๋าหวัง ในส่วนชื่อจริงว่าอย่างไรนั้นไม่มีผู้ใดทราบ ประวัติความเป็นมาลึกลับ พลังฝึกปรือเร้นลับ ราวกับว่าทุกอย่างเป็นความลับไปเสียหมด ไม่ว่าผู้ที่ใคร่รู้จะเสาะหาสักเท่าไร แต่กลับไม่พบข้อมูลของนักพรตเต๋าหวังผู้นี้เลยแม้เพียงนิด               ราวกับว่า…ผู้ที่ล่วงรู้ทั้งหมด เกรงที่จะกล่าวถึงและเอ่ยปาก และต่อให้เอ่ยขึ้นมาบ้างในบางครั้งครั้ง ผู้ที่ได้ยินก็เลือกที่จะหุบปากอยู่ดี               ในไม่ช้า เรื่องนี้จึงทำให้อารามเต๋าแห่งนี้เร้นลับยิ่งกว่าเก่า               เป็นที่แน่นอนว่านักพรตเต๋าที่อาศัยอยู่ในอารามเร้นลับแห่งนี้ ย่อมเป็น…หวังเป่าเล่อ               ห้าปีก่อนหน้า ในตอนที่พบว่าศิษย์พี่ได้กลับชาติมาเกิดใหม่นั้น หวังเป่าเล่อก็จากยอดเขาเดียวดายมายังเมืองใหญ่ เลือกสถานที่ที่ไม่ห่างจากบ้านของศิษย์พี่มากนัก ซื้อจวนหลังหนึ่งเอาไว้ และจากนั้นก็สร้างขึ้นเป็นอารามเต๋า               เขารู้ความหมายของอารามเต๋าที่มีต่อดินแดนเซียนแห่งนี้ดี ความคิดแรกเริ่มนั้นก็คือเฝ้าคอยจนศิษย์พี่ใหญ่เติบใหญ่ในระดับหนึ่ง จากนั้นก็จะรับเข้ามาเบิกเนตรให้ด้วยตนเองแล้วถ่ายทอดวิชาของสำนักแห่งความมืดให้               ในส่วนการรับเด็กคนอื่นๆ ก็เป็นแค่การกระทำตามอำเภอใจเท่านั้น และในส่วนของการแก่งแย่งกลุ่มเด็กๆ เมื่อสามปีก่อนของสำนักใหญ่ชั้นนำทั้งหลาย ข่าวลือภายนับไม่ถ้วนเหล่านั้น ตามที่หวังเป่าเล่อเข้าใจแท้จริงแล้ว เป็นเพราะบรรดาผู้อาวุโสของสำนักใหญ่ทราบถึงการมีตัวตนอยู่ของเขา ดังนั้น…จึงคิดผูกสัมพันธ์ด้วยวิธีนี้               นี่รวมถึงยอดสำนึกที่สูงส่งที่สุดในเขตที่หนึ่ง ผู้ก่อตั้งของสำนักนี้มีพลังอยู่ระดับสี่แล้ว และเป็นหนึ่งในอาทิตย์กลางนภาทั้งเก้าบนฟากฟ้า เมื่อคิดเช่นนี้ก็เป็นเรื่องธรรมดา               แม้เรื่องราวนี้จะทำลายความสงบของเขาบางส่วน แต่หวังเป่าเล่อก็ไม่ได้สนใจมากนัก ในเมื่อมาถึงดินแดนแห่งนี้แล้ว เขาย่อมไม่ปฏิเสธที่จะเหลือเหตุผลต้นกรรมอยู่ที่นี่ไว้บ้าง               ก็เหมือนในตอนนี้ ภายในอารามเต๋าที่มิได้ใหญ่โต หลังจากส่งเด็กๆ ที่มาเบิกเนตรที่นี่ไปหมดแล้ว หวังเป่าเล่อที่อยู่ในชุดนักพรตก็แหงนหน้าขึ้นด้วยจิตใจอันสงบ เขามองไปยังป่าต้นอู๋ถงที่อยู่นอกประตูใหญ่ของอารามเต๋า กิ่งไม้ประดับไปด้วยใบไม้สีเขียวกึ่งแดงเหล่านั้น ร่วงหล่นเมื่อถูกสายลมพัดลงมาส่วนหนึ่ง ราวกับถูกอารามเต๋าแห่งนี้น้อมนำ มีจำนวนไม่น้อยที่ลอยเข้ามาข้างใน พัดม้วนอยู่บนพื้น คล้ายไม่ยินยอมจะจากไป พวกมันหมุนอยู่รอบกายหวังเป่าเล่อ               เขาไม่ได้หันไปมองใบไม้เหล่านั้น นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อไม่ขยับเขยื้อน ในพริบตานั้นเขาก็มองเห็นบ้านหลังหนึ่งที่อยู่ไกลออกไป               ลมหนาวพัดโชย สิ่งที่หอบมาไม่ได้มีเพียงแค่บรรยากาศของฤดูใบไม้ร่วง แต่ยังมีเสียงเด็กเล็กเล่นหัวเราะสนุกสนานในบ้านหลังนั้นด้วย               เมื่อได้ยินเสียงนี้ สีหน้าของหวังเป่าเล่อพลันฉายแววอ่อนโยน เขาหยิบไม้กวาดขึ้นกวาดใบไม้ที่ลอยเข้าอารามเต๋า ค่อยๆ กวาดไปตามมุมของอาราม หลังจากเสียงกวาดซ่าๆ ข้ามผ่านพื้นผิวไปไม่หยุดนั่นเอง ทั้งโลกก็คล้ายจะสงบนิ่งขึ้นทันที               กระแสเต๋าขุมหนึ่ง อยู่บนร่างของหวังเป่าเล่อ บ้างปรากฏบ้างซ่อนเร้น นั่นคือความนิ่งเงียบและสงบสุข               วันเวลาเช่นนี้ค่อยๆ ผ่านไปในทุกวัน ฤดูใบไม้ร่วงค่อยๆ ผันผ่าน จนกระทั่งยามเย็นวันหนึ่งที่หิมะแรกโปรยปราย หวังเป่าเล่อที่กวาดหิมะอยู่ในจวน ในใจก็เกิดระลอกคลื่นหนึ่งเข้ามา เขาแหงนหน้า               หน้าประตูใหญ่ของอารามเต๋า บัดนี้มีเสียงเคาะประตูดังลอดออกมา ด้านนอกอาราม ชายหญิงวัยกลางคนคู่หนึ่ง ในมือถือของขวัญเบิกเนตรกำลังจูงมือเด็กชายอายุประมาณห้าขวบที่ยืนตื่นเต้นอยู่ตรงนั้น               “นักพรตหวัง ผู้เยาว์เฉินอวิ๋นลั่ว นี่คือบุตรน้อยของข้าเฉินชิง อยากจะกราบเข้าอารามเต๋าของท่าน ได้รับการเบิกเนตรจากท่านนักพรต ยังคงขอให้นักพรตช่วยให้สมปรารถนาด้วย” หลังจากประตูใหญ่ของอารามเต๋าเปิดออก ยามที่เงาร่างของหวังเป่าเล่อปรากฏสู่สายตาของคนในครอบครัวทั้งสาม ชายหนุ่มผู้นั้นก็ดึงแขนภรรยาด้านข้าง ให้ค้อมคำนับลงต่ำแก่หวังเป่าเล่อครั้งหนึ่ง               มีเพียงเด็กชายคนนั้น ที่เบิกตากลมโตขึ้นมามองหวังเป่าเล่ออย่างใครรู้ ราวกับจะเอ่ยอะไรบางอย่าง แต่ถูกบิดาด้านข้างถลึงตา ก่อนจะดึงให้โค้งคำนับลงเช่นกัน               หวังเป่าเล่อเบนกาย หลบการคำนับของเด็กชายครั้งนี้ เขาจ้องดวงตาของเด็กชายผู้นั้น สีหน้าเผยรอยยิ้มอ่อนโยน แล้วเอ่ยขึ้นมาเสียงเบา มันเป็นคำพูดที่เด็กชายได้ยินเพียงคนเดียว               “ข้ายินดีอย่างยิ่ง ที่จะช่วยเบิกเนตรในชาตินี้ให้แก่ท่าน”               …………………………..