บทที่ 1295 ในชาตินี้

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

หวังเป่าเล่อพึมพำเสียงเบา เสียงนี้ของเขา สองสามีภรรยาเฉินอวิ๋นลั่วไม่อาจได้ยิน ผู้ที่ได้ยินมีเพียงเด็กน้อยที่มองหวังเป่าเล่ออย่างใคร่รู้ เขาได้ยิน แต่แม้ว่าจะฟังไม่เข้าใจ ทว่าไม่รู้เพราะเหตุใด ส่วนลึกในใจของเขา พริบตานั้นพลันปรากฏความรู้สึกหนึ่งว่าแม้คนผู้นี้จะแปลกหน้า แต่ก็มีกระแสความอบอุ่นอันคุ้นเคยอยู่ด้วย               กระแสความอบอุ่นนี้ร้อนลวกอย่างยิ่ง มันอาบท่วมหัวใจของเขา ทั้งภายในร่าง จิตวิญญาณ พริบตานั้นขวบปีที่ข้ามผ่านของห้วงเวลาฟ้าดินนี้ ในสถานที่ที่หิมะแรกโปรยปรายก็เปลี่ยนเป็นอบอุ่นขึ้นโดยพลัน               ราวกับว่า นักพรตเต๋าเบื้องหน้า ทำให้เขารู้สึกอบอุ่น ปลอดภัย               ราวกับว่า เงาร่างเบื้องหน้านี้ ทำให้เขาคิดถึงอย่างมาก และอยากจะอยู่เคียงข้างอีกฝ่าย               ท่ามกลางความอบอุ่นนี้ สองสามีภรรยาเฉินอวิ๋นลั่วสัมผัสได้ถึงความเมตตาและยอมรับของหวังเป่าเล่อ คล้ายกับพวกเขาถูกอิทธิพลของความอบอุ่นโดยรอบนั้นเช่นกัน ในใจท่วมท้มด้วยความยินดี พวกเขาค้อมตัวให้หวังเป่าเล่ออย่างซาบซึ้งก่อนจะพาเด็กน้อยจากไป               ก่อนหน้าจากไปนั้น เด็กน้อยที่ถูกบิดาจูงมือไว้ก็หันหน้ากลับมามองถึงสามครั้ง               สุดท้ายแล้ว ในตอนที่หันกลับมา เขาก็ทนไม่ไหวอีก มองเงาร่างภายในอารามเต๋านั้น แล้วเอ่ยปากเสียงดัง               “นักพรตเต๋า พวกเรา…เคยพบกันหรือไม่?”               เสียงที่จู่ๆ ก็เอ่ยขึ้นมานี้ทำเอาสองสามีภรรยาเฉินอวิ๋นลั่วตระหนกอย่างยิ่ง แต่สายตาคาดโทษของบิดาและสายตาตื่นลนลานของมารดานั้นกลับไม่ได้ทำให้เด็กน้อยหันหลัง เขายังคงมองอารามเต๋าอยู่ราวกับรอคำตอบ               “เคยพบ…” หวังเป่าเล่อยิ้ม แล้วพยักหน้าให้ ทว่าในใจนั้นพึมพำเสียงเบา               “ในชาติที่แล้วของท่าน”               “เยี่ยมเลย” เด็กน้อยดวงตาทอประกาย แต่ด้วยความที่เป็นเด็กจึงกลับเป็นปกติอย่างรวดเร็ว ท่ามกลางสายตาลุแก่โทษของบิดามารดาและรอยยิ้มอันอบอุ่นของหวังเป่าเล่อ สมาชิกในบ้านทั้งสามคนก็ออกเดินไปไกลแล้ว               และโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว เสียงอบรมบุตรชายของเฉินอวิ๋นลั่วก็ดังลอยมากับสายลม               มองจากไกลๆ ท้องฟ้าเป็นสีเทา เกล็ดหิมะโปรยปรายกระจายไปทั่วเมือง ราวกับกำลังสวมชุดยาวสีขาวพิสุทธิ์ให้แก่เมืองแห่งนี้ นอกจากความงดงามแล้ว ด้านนอกอารามเต๋า สมาชิกในบ้านเฉินอวิ๋นลั่วทั้งสาม เงาร่างของพวกเขาค่อยๆ พร่าเลือนท่ามกลางลมหิมะ               ภายในอารามเต๋า หวังเป่าเล่อยืนอยู่ข้างประตู ในมือยังคงถือไม้กวาด เขาแหงนหน้าเพ่งมอง รอยยิ้มบนหน้ายิ่งกว้างขึ้น กระทั่งเกล็ดหิมะนั้นปิดบังภาพเบื้องหน้าไปจนสิ้น ร่างกายและวิญญาณของเขาก็ราวกับได้เติมเต็มเพิ่มขึ้นท่ามกลางหิมะนี้               ครั้งนี้หิมะตกเป็นเวลาหนึ่งเดือน สำหรับโลกของคนธรรมดา หิมะที่ตกต่อเนื่องหนึ่งเดือนอาจก่อให้เกิดโศกนาฏกรรม แต่สำหรับดินแดนแห่งเซียนนั้น นี่กลับเป็นเรื่องธรรมดา               แม้หิมะจะตกเช่นเดิม แต่ก็ไม่อาจต้านทานการเบิกเนตรของเด็กน้อยได้ ทุกวันในยามเช้า เด็กน้อยทั้งหลายในอารามจะรีบมาตามกำหนดเวลา เพื่อมาฟังเทศนาจากนักพรตเต๋าในอารามแห่งนี้               เฉินชิงก็เป็นหนึ่งในนั้น               เขาชอบบรรดาสหายข้างกาย ชอบเอ้อร์ยาที่อยู่โต๊ะข้างๆ แล้วก็ยิ่งชอบนักพรตเต๋าที่อบอุ่นอ่อนโยนท่านนี้               การสอนของหวังเป่าเล่อ ไม่ได้แตกต่างจากอารามเต๋าอื่นๆ มาก ล้วนอธิบายเรื่องการตื่นรู้ของการฝึกตน หลักเต๋านี้ ยากจะใช้คำพูดที่เด็กฟังแล้วเข้าใจมาอธิบาย แต่บนร่างของเขากลับแผ่กระแสเต๋าออกมาบ้างเป็นบางครั้ง               ภายใต้อิทธิพลของกระแสเต๋า แม้ว่าเด็กๆ จะไม่ได้เข้าใจทั้งหมด แต่ก็มีความเข้าใจแบบคร่าวๆ อยู่บ้าง มันจะตกผลึกอยู่ในความทรงจำส่วนลึกของพวกเขา และในอนาคตภายหลังพวกเขาเติบใหญ่ หลังจากที่พวกเขาฝึกตนแล้ว กระแสเต๋าและการรู้แจ้งที่เกิดขึ้นในยามเบิกเนตรก็จะกลายเป็นเหมือนตะเกียงส่องทางให้การฝึกตน               และตะเกียงนำแสงที่ว่า บัดนี้ได้ส่องสว่างโชติช่วงเป็นพิเศษในใจของเฉินชิงแล้ว               เขาประหลาดใจว่าสหายตัวน้อยคนอื่นๆ เหตุใดจึงฟังไม่ค่อยเข้าใจนัก เพราะว่าคำพูดของนักพรตเต๋าผู้อ่อนโยนสำหรับเขาแล้ว ทุกประโยคนั้นคล้ายว่าตนจะเข้าใจได้ทั้งหมด               ก็เป็นเช่นนี้ วันเวลาค่อยๆ ผันผ่าน ในขั้นตอนการเบิกเนตร หนึ่งปีก็ผ่านไป               เฉินชิงหกขวบแล้ว               เมื่อเปรียบเทียบกับเด็กคนอื่นๆ ตั้งแต่ปีแรกเป็นต้นมา ระหว่างที่เฉินชิงกำลังเรียนรู้นั้นมักจะถามคำถามของตนเอง และทุกคำถามนั้น นักพรตผู้อ่อนโยนก็จะช่วยตอบให้แก่เขา อีกทั้งแววตายังฉายประกายชื่นชม               นี่ทำให้เฉินชิงยิ่งเฝ้าคอยเส้นทางแห่งการฝึกตนอย่างมาก ในเวลาเดียวกันระหว่างที่เรียนรู้กระแสเต๋า สิ่งที่เขาได้รับนั้นก็มีมากขึ้นทุกขณะ พร้อมกันนั้น…ในฐานะที่เป็นสหายร่วมเรียนของเขา เด็กคนอื่นๆ ในกลุ่มก็ล้วนได้รับประโยชน์เช่นเดียวกัน               “ท่านนักพรต ทำไมบนโลกเราจึงมีปราณวิญญาณด้วยเล่า?”               “เพราะว่าต้นไม้ สรรพสัตว์ เจ้าและข้า ทุกหมื่นสรรพสิ่งในฟ้าดินแห่งนี้มีวิญญาณ ดังนั้นในจักรวาล…ก็มีวิญญาณเช่นเดียวกัน และวิญญาณนี้ก็คือปราณของมัน”               “ท่านนักพรต เต๋าคือสิ่งใด?”               “เต๋านั้นไม่สำคัญ ก็เหมือนกับยามที่เจ้ากลับบ้านอย่างไรเล่าเฉินชิง เดินกลับได้ด้วยเส้นทางมากมาย ทุกๆ เส้นทางนั้นล้วนแตกต่าง ดังนั้น “เต๋า” หรือ “เส้นทาง” ก็ย่อมแตกต่าง กลับบ้านคือสิ่งสำคัญที่สุด ดังนั้นแล้วในส่วนของ “เต๋า”…ตามความเข้าใจของข้า หลังจากที่เจ้ามีทิศทางแล้ว ดังนั้นเจ้าจึงได้เลือกเส้นทางที่จะเดิน”               “ท่านนักพรต หากว่าทิศทางที่ข้าเลือก ไม่มีเส้นทางเล่า?”               “เช่นนั้นก็เบิกทางให้แก่ตนเอง หาทางกลับบ้าน” หวังเป่าเล่อมองเฉินชิงอย่างล้ำลึกคราหนึ่ง ตอบเสียงเบา               เฉินชิงคล้ายมีความคิดบางอย่าง ส่วนคำถามของเขานั้นยังมีอยู่มากมาย หลังจากนั้นเวลาก็ได้ผ่านเลยไป เป็นอีกปีที่ผ่านพ้น เฉินชิงที่อายุครบเจ็ดปีแล้ว ในใจนั้นเมื่อข้อสงสัยทั้งหมดของเขาได้รับการอธิบาย ในวันเกิดอายุครบเจ็ดปีของเขานี้ ก็ได้รู้แจ้งทางวิญญาณ               การเบิกเนตรในวัยเด็ก เป้าหมายสุดท้ายคือการทะลวงทางวิญญาณ ก็เหมือนกับการคว้าจับพลังปราณสายหนึ่งของจักรวาล ทำให้มันกลายเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย กล่าวโดยทั่วไปนั้น เด็กจำนวนมากก็จะฝ่าทะลวงทางวิญญาณนี้ในช่วงระหว่างอายุหกถึงเจ็ดปีในอารามเต๋านั่นเอง               ระหว่างนี้ ช้าเร็วไม่อาจบ่งบอกถึงคุณสมบัติ               การทะลวงวิญญาณของเฉินชิงนี้มีบางส่วนที่แตกต่างอยู่บ้าง ในระหว่างการเบิกเนตรสองปี หวังเป่าเล่อเหลือทิ้งพลังเต๋าสำนักแห่งความมืดไว้ในใจของเขาแล้ว ภายหลังจะเลือกหรือไม่นั้น ย่อมต้องดูทางเลือกของตัวเฉินชิงเอง               และในวันเดียวกันนั้น หวังเป่าเล่อก็มอบของขวัญวันเกิดให้เฉินชิงชิ้นหนึ่ง               นั่นคือ…ลูกปัดร่างมายาของพระอาทิตย์ทั้งเก้าดวง อีกทั้งตราประทับมายาชิ้นหนึ่ง ตราประทับนี้รูปร่างคล้ายพระจันทร์               พวกมันลอยไปอยู่ข้างกายเฉินชิง ในวันนี้…เป็นช่วงฤดูหนาว เหมือนกับตอนที่เขามาในยามนั้น นี่เป็นหิมะแรก               ท่ามกลางพายุฝน เฉินชิงจ้องมองตราประทับพระจันทร์และอาทิตย์เก้าดวงที่อยู่รายล้อม ดวงตาเผยประกายความหลงใหล เขามองหวังเป่าเล่อ               “เลือกมาชิ้นหนึ่ง ให้กลายเป็นมรรคาเต๋าแรกเริ่มของเจ้าในชาตินี้”               เฉินชิงเงียบไปชั่วครู่ เขามองไปรอบด้าน ก่อนจะมองหวังเป่าเล่อแล้วถามอย่างลังเล               “ข้าติดตามท่านได้หรือไม่ขอรับ?”               หวังเป่าเล่อยิ้ม เขาลูบหัวของเฉินชิงก่อนจะเอ่ยปากเสียงเบา               “แต่อีกไม่นานข้าต้องไปทำเรื่องเรื่องหนึ่ง ดังนั้นเจ้าเลือกก่อนแล้วรอข้ากลับมา”               เฉินชิงพยักหน้า จากนั้นกวาดตามองดวงอาทิตย์ทั้งเก้าที่รายล้อมและตราประทับจันทร์นั้น โบกมือครั้งหนึ่งก็คว้าตราประทับจันทร์เข้ามา               “งั้นข้าเลือกอันนี้”               หลังจากที่เขาเลือกแล้ว เสียงหัวเราะดังก็ลอดข้ามฟากฟ้า เงาร่างของซือถูพลันปรากฏอยู่กลางฟ้าเดินเข้ามาทีละก้าว ส่วนเมฆหมอกด้านหลังนั้นมองไปรางๆ จะเห็นเงาร่างไพศาลเก้าเงา ต่างทอดถอนใจ พยักหน้ามาทางหวังเป่าเล่อ หลังจากนั้นหวังเป่าเล่อจึงยกยิ้มทักทายกลับ ก่อนพวกเขาจะค่อยๆ จากไป               มีเพียงซือถูที่ก้าวเข้ามาก้าวใหญ่ หยุดอยู่ข้างกายหวังเป่าเล่อและเฉินชิง หัวเราะฮ่าๆ               “เป่าเล่อ สายตาของเฉินชิงนั้นเหนือกว่าเจ้ามากทีเดียว ข้าไม่ได้รับศิษย์มาหลายปีมากแล้ว ในปีนั้นฝืนรับมาครึ่งหนึ่ง สอนสั่งไปๆ มาๆ ก็ได้ผู้สูงศักดิ์มาหนึ่งราย” ซือถูยิ้มกว้าง หวังเป่าเล่อเองก็หัวเราะ หลังจากนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนเป็นจริงจัง เขาค้อมกายลงคำนับซือถูต่ำหนึ่งครา               “ลำบากผู้อาวุโสแล้ว”               “มีข้าอยู่ ทุกอย่างจงวางใจ เฉินชิง พวกเราไปกันเถอะ” กล่าวจบ ซือถูก็โบกมือ พัดม้วนเฉินชิงขึ้นสู่ฟากฟ้า               “ท่านนักพรต…” บนท้องฟ้า มีเสียงตัดไม่ขาดของเฉินชิงดังลอยมา ในสายตาของเขาอารามเต๋าแปรเปลี่ยนเป็นเล็กจ้อย ส่วนเมืองเองก็เล็กเช่นกัน มีเพียงเงาร่างของนักพรตเต๋าที่ยังโบกมืออยู่นั้นกลับยังคงเดิม               “เจ้าหนูอย่าอาลัยอาวรณ์ไป ศิษย์น้องของเจ้ามีเรื่องต้องไปจัดการ เกรงว่าไม่นานก็กลับมาแล้ว” ซือถูเอ่ยยิ้มๆ               “ศิษย์น้องของข้า?” เฉินชิงผงะ               “ใช่แล้ว ข้าไม่กล้าเป็นอาจารย์คนแรกของเจ้าหรอก ขอเป็นแค่ครึ่งหนึ่งพอแล้ว เพราะว่าเจ้าคือศิษย์ที่หวังเป่าเล่อรับไว้แทนอาจารย์ ข้ายินยอมให้เจ้าเป็นศิษย์พี่ ดังนั้นแล้วเจ้าตัวน้อย เจ้าก็พยายามฝึกตนเข้าเล่า”               “หา…” ดวงตาเฉินชิงเผยประกายมึนงง คิดอยากจะพูดอีกครั้ง ดวงตาของเขาจ้องมองไปยังตัวเมืองที่อยู่ห่างออกไปเรื่อยๆ จนไม่มองไม่เห็นมันอีก               ในอารามเต๋านั้น ลมพายุยังคงเดิม หวังเป่าเล่อยืนอยู่ตรงนั้น มองเห็นเงาร่างที่ค่อยๆ ห่างออกไปของศิษย์พี่  ท้องฟ้ามีเกล็ดหิมะร่วงโปรยปราย ราวกับตกกระทบหัวใจของเขา กลายเป็นระลอกคลื่นแผ่ซ่านออกทั่วจิตวิญญาณ               เนิ่นนาน เนิ่นนาน รอยยิ้มของหวังเป่าเล่อก็ยิ่งความอบอุ่น เขาหันกายแล้วเดินจากไปยังที่ห่างไกล ทีละก้าว ทีละก้าว…               ในชาติก่อน ท่านยืนอยู่เบื้องหน้าข้า บังลมบังฝนให้แก่ข้าในช่วงเริ่มต้นฝึกตน ทำให้ลมหนาวเหน็บนั้นไม่อาจกระทบกายข้า ทำให้ลมฝนนั้นสาดไม่ถึงวิญญาณของข้า               ไม่ว่าชีวิตของข้าจะดำเนินไปเช่นไร เงาร่างของท่านก็ยังคงคอยแอบดูแลจากเบื้องบน ในช่วงเวลาอันตรายก็ยื่นมือเข้าช่วย เบิกเส้นทางอันว่างเปล่าให้แก่ข้าได้เดินโดยราบรื่นและสุขใจ               เพราะว่า ข้าคือศิษย์น้องของท่าน               เพราะว่า ท่านคือศิษย์พี่ของข้า               เงาร่างอันสูงใหญ่ของท่าน ในสายตาของข้าเหมือนไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง ในหลายเวลาท่านคล้ายกับไม่ได้เป็นศิษย์พี่แต่กลับเป็นอาจารย์เสียมากกว่า แต่ก็เหมือนจะเป็นพี่ชายแท้ๆ ของข้าด้วย               ข้าไม่อาจลืมครั้งที่ท่านปรากฏตัวขึ้นครั้งแรกได้ ร่างสวมชุดคราม สุราหนึ่งไห กระบี่ไม้เล่มหนึ่ง เส้นผมโบกไสว ราวกับกระบี่ ราวกับเทพเซียน ไม่แปดเปื้อน ไม่สามัญ               ข้าไม่อาจลืม เงาร่างที่จากไปของท่าน เสื้อครามนั้นกลายเป็นสีดำ ไหสุรากลายเป็นสุราขุ่น กระบี่ไม้กลับรอยตำหนิ ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนปรากฏรอยปริแตก               ข้ามองท่านสลายไปท่ามกลางความว่างเปล่า ข้าทราบ การที่ท่านไปแสวงหาเต๋าของตนนั้น นี่ก็เป็นเพราะ…เพื่อศิษย์น้องผู้ไม่ได้ความนี้ เพื่อไปตรวจสอบเส้นทางที่แตกสลาย               ในยามนี้ เมื่อมองท่าน ในสมองของข้า ความทรงจำปรากฏความทรงจำของชาตินั้นโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว มีท่านคอยรักห่วงใยข้า มีท่านคอยปกป้องข้า มีท่านคอยเมตตาข้า และมีท่าน ข้าถึงมีรอยยิ้ม               ไม่ว่าจะเป็นเฉินชิง(陈青) หรือเฉินชิง (尘青)               “ในชาตินี้ ข้าจะคอยปกป้องท่านทุกด้าน”               “ในชาตินี้ ข้าจะพาท่านเข้าสู่เต๋า”               “ในชาตินี้ ข้ายังคงเป็นศิษย์น้องของท่าน”               ………………………………….