ตอนที่ 1033 การท้าดวลของหลงเพ่ยเอ๋อร์

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

ทุกคนในที่นี้มิใช่คนโง่เขลาเบาปัญญาและท่าทางของอวี่เหวินยงทำให้ทุกคนจับพิรุธได้ทันที เพียงแต่ไม่มีผู้ใดกล่าวออกไปเท่านั้น

“เอาล่ะ ในเมื่อพวกเจ้ายืนยันกันเช่นนี้ข้าก็ไม่มีอะไรจะพูดให้มากความ แต่จงจำไว้ว่าหากผู้ใดยอมจำนนต่อจอมยุทธ์ปีศาจขึ้นมา ตระกูลราชวงศ์ของเราจะสังหารคนผู้นั้นด้วยตัวเอง !”

หลงอวี้เทียนกล่าววาจาข่มขู่ขณะกวาดสายตามองทุกคนก่อนหยุดลงที่อวี่เหวินยงเพื่อรอดูว่าเขาจะกล่าวสิ่งใดหรือไม่

“องค์จักรพรรดิ ไม่ต้องกังวล เราไม่ทำเช่นนั้นแน่”

ไป๋อีเย่ปาดเหงื่อที่ท่วมหน้าผากและกล่าวยืนยันทันที เขาเพียงต้องการปกป้องความปลอดภัยของตระกูลตัวเองเท่านั้นและไม่มีความคิดที่จะทำข้อตกลงร่วมมือใดกับจอมยุทธ์ปีศาจ

อวี่เหวินยงพยักศีรษะรับปากเช่นกันทว่าเกิดความรู้สึกผิดในหัวใจ ข้าไม่ควรตอบตกลงกับเงื่อนไขของจอมยุทธ์ปีศาจก่อนหน้านี้เลยจริง ๆ…

ทุกคนนั่งหารือกันในห้องโถงพักใหญ่ก่อนตระกูลอู่เหวินและตระกูลไป๋จะขอตัวกลับไปก่อน ฟางอู๋เหมี่ยวก็พูดคุยกับฉินอวี้โม่ต่ออีกระยะหนึ่งก่อนนำทางคนตระกูลฟางกลับไปเช่นกัน ในเวลานี้ในห้องโถงของพระราชวังก็เหลือเพียงคณะของฉินอวี้โม่และคนของตระกูลราชวงศ์เท่านั้น

“สหายน้อยอวี้โม่ เจ้ามีความคิดเห็นอย่างไรเกี่ยวกับทัศนคติของผู้นำทั้งสามตระกูล ?”

หลงอวี้เทียนยกแก้วสุราไปทางฉินอวี้โม่และสหายขณะกล่าวพร้อมรอยยิ้ม

“เราต้องเฝ้าระวังต่อตระกูลอวี่เหวินและไม่จำเป็นต้องสนใจตระกูลไป๋ ส่วนตระกูลฟางก็ไว้วางใจได้เจ้าค่ะ”

ฉินอวี้โม่กล่าวความคิดเห็นของตนซึ่งเป็นไปในทางเดียวกับทุกคน

“เป็นเช่นนั้นจริง ๆ อวี่เหวินยงเข้าร่วมกับจอมยุทธ์ปีศาจแล้วและคิดว่าจะปิดบังความจริงไปจากเราได้ เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม ข้าจะกำจัดตระกูลอวี่เหวินออกไปเป็นอันดับแรก !”

หลงอวี้เทียนกล่าวด้วยน้ำเสียงที่รังเกียจ เขาทราบดีว่าตระกูลอวี่เหวินเป็นตระกูลที่ไว้วางใจไม่ได้ทว่าไม่โกรธแค้นแต่อย่างใด ยิ่งไปกว่านั้น ตระกูลอวี่เหวินก็ไม่พอใจกับตระกูลราชวงศ์เสมอมา หากจอมยุทธ์ปีศาจให้สัญญาว่าจะมอบผลประโยชน์ด้วยการช่วยให้แทนที่ตระกูลราชวงศ์ได้ บุรุษชราของตระกูลอวี่เหวินก็ไม่มีทางปฏิเสธอย่างแน่นอน

ตระกูลไป๋มักที่จะมีทัศนคติที่ชาญฉลาดและปกป้องตัวเองมาเสมอ และการตัดสินใจของพวกเขาในวันนี้ก็เป็นสิ่งที่คาดการณ์ไว้แล้วเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ตระกูลฟางทำให้หลงอวี้เทียนประหลาดใจไม่น้อย โดยปกติแล้วทัศนคติของตระกูลฟางไม่ต่างไปจากตระกูลไป๋เท่าใดนัก ทว่าครานี้พวกเขากลับแสดงทัศนคติอย่างตรงไปตรงมา เห็นทีว่าในสถานการณ์ที่ดินแดนเผชิญกับอันตราย ตระกูลฟางจะเป็นตระกูลที่ไว้วางใจได้มากกว่าอีกสองตระกูลใหญ่เสียอีก

“อาจมีใครบางคนในตระกูลราชวงศ์ที่แอบทำข้อตกลงร่วมกับจอมยุทธ์ปีศาจแล้ว องค์จักรพรรดิต้องระวังตัวด้วยนะเจ้าคะ”

ในการหารือเรื่องนี้มีสมาชิกตระกูลราชวงศ์เข้าร่วมเพียงไม่กี่คนเท่านั้นและทุกคนล้วนเป็นคนที่ไว้วางใจได้ สำหรับคนอื่น ๆ นั้นยากที่จะคาดเดาได้ว่ามีผู้ใดบ้างที่เปลี่ยนใจและทรยศตระกูลราชวงศ์ไปแล้ว

“ไม่ต้องกังวล การเคลื่อนไหวของทุกคนในตระกูลราชวงศ์ไม่มีทางรอดพ้นไปจากสายตาของท่านพ่อแน่ ในเมื่อกล้าร่วมมือกับขุมกำลังชั่วร้ายอย่างจอมยุทธ์ปีศาจ คนพวกนั้นก็ต้องเตรียมใจยอมรับกับผลที่จะตามมา ทว่าในเวลานี้ก็ยังมิใช่เวลาที่เหมาะสม ปล่อยให้พวกเขาได้กระโดดโลดเต้นไปก่อนเถอะ !”

หลงอวี้เทียนยังไม่กล่าวสิ่งใดและหลงเพ่ยเอ๋อร์กล่าวด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม

ตระกูลราชวงศ์ไม่ธรรมดาอย่างที่ผู้ใดคาดคิดและทุกอย่างล้วนเป็นสิ่งที่พวกเขาคำนวณไว้แล้ว พวกเขาจงใจปล่อยให้คนเหล่ากระโดดโลดเต้นไปก่อนและจะตามกำจัดผู้ทรยศไปทีละคน ๆ

“พี่ใหญ่ ท่านเคยกล่าวไว้มิใช่รึว่าหากได้พบกับพี่อวี้โม่ ท่านอยากจะลองประมือกับนางสักหน่อย ?”

หลงเฟยเอ๋อร์มองไปที่หลงเพ่ยเอ๋อร์และฉินอวี้โม่ด้วยแววตาสงสัยใคร่รู้ นางทราบดีอยู่แล้วว่าพี่ใหญ่ของตนแข็งแกร่งอย่างมาก เพียงแต่นางมั่นใจในตัวฉินอวี้โม่มากกว่า ถึงอย่างไร ‘พี่อวี้โม่’ ก็เป็นบุคคลต้นแบบที่นางชื่นชมและเชื่อว่าจะไม่พ่ายแพ้อย่างแน่นอน

“ใช่ ข้ามีความคิดเช่นนั้นอยู่จริง ๆ ท่านจอมยุทธ์อวี้โม่จะให้เกียรติดวลฝีมือกับข้าสักหน่อยจะได้หรือไม่ ?”

หลงเพ่ยเอ๋อร์ไม่ปฏิเสธและกล่าวกับฉินอวี้โม่พร้อมรอยยิ้ม

“แน่นอนว่าไม่มีปัญหา”

ฉินอวี้โม่คลี่ยิ้มและตอบตกลงอย่างไม่ลังเล นางรับรู้ได้ว่าคนเหล่านี้ไม่มีจิตใจมุ่งร้าย พวกนางเพียงต้องการทราบถึงความแข็งแกร่งที่แท้จริงของตนและต้องการประมือเพื่อให้ได้คำตอบนั้นมา

“ถ้าเช่นนั้นเราไปที่ลานประลองยุทธ์กันเถอะ”

หลงเฟยเอ๋อร์จับมือหลงเพ่ยเอ๋อร์และลุกขึ้นเตรียมมุ่งหน้าไปที่ลานประลองโดยเร็ว

“เฟยเอ๋อร์ อย่าเพิ่งรีบร้อนนักสิ ให้เวลาสหายน้อยอวี้โม่และพี่ใหญ่ของเจ้าได้เตรียมตัวกันสักหน่อย”

หลงอวี้เทียนกล่าวพร้อมรอยยิ้มและปรบมือเป็นสัญญาณก่อนใครคนหนึ่งเดินเข้ามาพร้อมบางอย่างในมือ

“สหายน้อยอวี้โม่ นี่เป็นเพียงการประมือเพื่อมุ่งเน้นในการพัฒนาตนเองเท่านั้นและไม่จำเป็นต้องทุ่มสุดตัว เพราะฉะนั้นข้าจึงเตรียมบางอย่างไว้และถือว่าเป็นของกำนัลเล็ก ๆ น้อย ๆ สำหรับเจ้า”

หลังจากกล่าวจบ เขาก็ยื่นสิ่งนั้นให้กับฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ทีละคน

สิ่งที่ตระกูลราชวงศ์เตรียมไว้คือชุดเกราะและกระบี่ประณีตงดงาม ฉินอวี้โม่และทุกคนในที่นี้ล้วนได้รับไปคนละชุด

เกราะดังกล่าวเป็นชุดเกราะต่อสู้ระดับสูงและทำมาจากวัสดุที่พิเศษ ต่อให้ผู้ที่สวมใส่เป็นคนธรรมดา คนผู้นั้นก็สามารถต้านทานแรงโจมตีจากจอมยุทธ์ขอบเขตราชาเซียนขั้นสูงสุดได้

ส่วนกระบี่เล่มงามก็เป็นอาวุธระดับสูงที่มีพลังแกร่งกล้าเช่นกัน

การที่สามารถแจกจ่ายสิ่งเหล่านี้นับสิบชุดได้ในคราวเดียวแสดงให้เห็นว่าพื้นเพภูมิหลังของตระกูลราชวงศ์ในดินแดนมหาเทพไม่ธรรมดาอย่างแท้จริง

“ถ้าเช่นนั้นพวกเราก็ไม่เกรงใจนะเจ้าคะ”

ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ รับมันไว้อย่างไม่ลังเล การที่ตระกูลราชวงศ์มอบอุปกรณ์ล้ำค่าให้กับพวกนางเช่นนี้แสดงให้เห็นว่าพวกเขาให้ความสำคัญกับพวกนางมากเพียงใด

“ไปที่ลานประลองกันเถอะ ข้าได้ยินมาว่าสหายน้อยอวี้โม่แข็งแกร่งมากพอที่จะต่อกรกับจอมยุทธ์ในขอบเขตราชาเซียนขั้นสูงสุดและถึงขั้นเอาชนะได้ด้วยซ้ำ ตอนนี้พลังของเพ่ยเอ๋อร์ก็อยู่ในขอบเขตราชาเซียนขั้นสูงสุดเช่นกัน อยากรู้นักว่านางจะรับมือเจ้าได้นานเพียงใด”

สิ่งที่หลงอวี้เทียนกล่าวออกมาเป็นความจริงจากใจ เขาไม่คิดว่าหลงเพ่ยเอ๋อร์จะเอาชนะฉินอวี้โม่ได้ เขาเพียงต้องการทราบช่องว่างระหว่างความแตกต่างในพลังของทั้งสองเท่านั้น

ยิ่งไปกว่านั้น ต่อหน้าศัตรูอย่างจอมยุทธ์ปีศาจ เขาก็ต้องการทราบว่าฉินอวี้โม่และสหายมีไพ่ตายใดซ่อนไว้จึงคู่ควรแก่การที่จอมยุทธ์ปีศาจให้ความสำคัญกับพวกนางถึงเพียงนั้น

หลังจากพูดคุยและหัวเราะกันอย่างสนุกสนานตลอดทาง ทุกคนก็มาถึงลานประลองยุทธ์ในพระราชวัง แน่นอนว่าการเคลื่อนไหวเช่นนี้ได้ดึงดูดความสนใจของคนมากมาย บรรดาองค์ชายและองค์หญิงที่ทราบข่าวว่าหลงเพ่ยเอ๋อร์และฉินอวี้โม่จะดวลฝีมือกันล้วนตามมาที่นี่อย่างสงสัยใคร่รู้

ลานประลองยุทธ์ของพระราชวังแห่งนี้กว้างขวางมากพอที่จะรองรับคนได้กว่าหลายหมื่นคน นอกเหนือจากผู้ที่มาไม่ได้เนื่องจากติดธุระสำคัญ กล่าวได้ว่าคนเกือบทั้งพระราชวังต่างก็มารวมตัวกันอยู่ที่นี่แล้ว

ฉินอวี้โม่และหลงเพ่ยเอ๋อร์เหาะขึ้นบนสังเวียนและยิ้มให้กันอย่างไม่รีบร้อนที่จะต่อสู้

“เหอะ ด้วงบ้านนอกจากดินแดนระดับต่ำจะมีดีสักแค่ไหนกัน ไม่คาดคิดว่าจะกล้าท้าทายพี่ใหญ่เช่นนี้ !”

หลงซินเอ๋อร์มองฉินอวี้โม่ด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์นักและยังคงโกรธเคืองกับสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ซึ่งทำให้ตนถูกตำหนิจากทั้งพี่สาวและบิดา ก่อนหน้านี้นางก็กำลังพูดคุยกับสหายคนสนิทถึงวิธีการสั่งสอนฉินอวี้โม่และได้ทราบข่าวว่าฉินอวี้โม่กำลังจะดวลฝีมือกับหลงเพ่ยเอ๋อร์

หลงซินเอ๋อร์ทราบถึงความแข็งแกร่งของหลงเพ่ยเอ๋อร์เป็นอย่างดี หากมิใช่เพราะความแข็งแกร่งนั้น หลงซินเอ๋อร์ก็คงไม่หวาดหวั่นต่อพี่ใหญ่มากเช่นนี้ กล่าวได้ว่าทั้งตระกูลราชวงศ์ นอกเหนือจากหลงอวี้เทียน คนที่นางเกรงกลัวมากที่สุดก็คือพี่ใหญ่ของนางที่มักจะแสดงสีหน้าและรอยยิ้มอ่อนโยน

แน่นอนว่านางเคยได้ยินเรื่องราวของฉินอวี้โม่มาแล้วเช่นกัน แม้ว่าจะแข็งแกร่งอย่างมาก หลงซินเอ๋อร์ก็มั่นใจว่าอีกฝ่ายมิใช่คู่มือของหลงเพ่ยเอ๋อร์อย่างแน่นอน การที่ฉินอวี้โม่รับคำท้าดวลจากหลงเพ่ยเอ๋อร์ก็ไม่ต่างจากการทำให้ตัวเองต้องอับอายขายหน้า

“มันมิใช่เป็นการยั่วยุหรือการท้าทายหรอก ทว่ามันเป็นความชื่นชมที่มีต่อกันทั้งสองฝ่าย ดังนั้นพวกนางจึงต้องการที่จะดวลฝีมือกัน พี่สามน่ะอ่อนแอเกินไป พี่ใหญ่และพี่อวี้โม่ก็ชาญฉลาดที่จะเลือกดวลฝีมือกันเอง ไม่เช่นนั้นทั้งสองก็คงไม่รังเกียจที่จะทรมานท่านให้สนุกสนานเล่น ๆ”

หลงเฟยเอ๋อร์ยิ้มกว้างและกล่าวด้วยวาจาที่ทำให้หลงซินเอ๋อร์แทบกระอักเลือด