บทที่ 1032 สหายสนิทของข้า

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 1,032 สหายสนิทของข้า

“พระองค์ท่าน…”

นักพรตใหญ่หลงเยว่ร้องครวญครางออกมาด้วยความเศร้า

นางเป็นเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่เข้าใจการตัดสินใจของเทพีกระบี่

หลินเป่ยเฉินไม่กล้าขยับตัวเป็นเวลาอึดใจใหญ่ เพราะกลัวว่าตนเองอาจทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงที่ไม่คาดฝันขึ้นอีกครั้ง

นักบวชคนอื่น ๆ ในวิหารก็กลั้นหายใจเช่นกัน

หลินเป่ยเฉินเป็นผู้ที่ยืนอยู่ใกล้บัลลังก์มากที่สุด ดวงตาของเขาสามารถมองเห็นได้เลยว่าบาดแผลบนร่างกายของเทพีกระบี่กำลังสมานตัวอย่างรวดเร็วและรอยแผลเป็นก็กำลังเลือนหายไป…

ในเวลาเดียวกันนี้ กระแสพลังที่ไหลล้นออกมาจากร่างเทพีกระบี่ก็หายไปแล้วเช่นกัน

หลินเป่ยเฉินจ้องมองสิ่งที่เกิดขึ้น หัวใจรู้สึกเหมือนมีบางอย่างขาดหายไป

แสงสว่างของร่างที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ดับวูบลง

ตึกตัก! ตึกตัก! ตึกตัก!

ได้ยินเสียงหัวใจเต้นแผ่วเบา

และร่างที่หยุดนิ่งอยู่บนบัลลังก์ก็กลับมามีลมหายใจอีกครั้ง เปรียบดั่งเทียนไขที่ใกล้ดับแสงพลันมีเปลวไฟลุกโชนสว่างไสว…

“ท่านฟื้นฟูพลังได้แล้วใช่หรือไม่?”

หลินเป่ยเฉินพูดออกมาด้วยความดีใจ

เขาโน้มตัวเข้าไปสำรวจมองร่างกายของเทพีกระบี่อย่างใกล้ชิด

ใช่แล้ว

นางกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง

แต่ร่างที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ในขณะนี้ มีราศีบางอย่างแตกต่างจากก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง

กล่าวคือ เทพีกระบี่เป็นบุคคลที่เย็นชาทั้งภายนอกและภายใน ต่อให้เฝ้ามองอยู่ไกล ๆ ก็ยังสัมผัสได้ถึงความเย็นชาของนางไม่ต่างไปจากเจ้าหญิงน้ำแข็งหิมะพันปี

แต่ร่างที่นั่งอยู่เบื้องหน้าหลินเป่ยเฉินขณะนี้ แม้นางจะมีรูปร่างหน้าตาเหมือนเดิมทุกประการ ทว่าราศีที่เปล่งประกายออกมาจากเรือนร่างกลับแสดงออกถึงความใสซื่อบริสุทธิ์ เช่นเดียวกับความเป็นเด็กสาวไร้เดียงสาที่แผ่ออกมาอย่างเด่นชัด

เหล่านี้ล้วนแต่เป็นความเปลี่ยนแปลงที่ไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูด

แต่หลินเป่ยเฉินรู้สึกได้อย่างชัดเจน

ทันใดนั้น เขานึกถึงคำพูดที่เทพีกระบี่กล่าวกับตนเองก่อนหน้านี้ว่า…

‘ข้าจะคืนนางให้กับเจ้า ดีหรือไม่?’

นั่นเอง หลินเป่ยเฉินจึงได้เข้าใจแล้ว!

เขาเข้าใจทุกอย่าง!!

เยว่เว่ยหยางกลับมาแล้ว!!!

ไม่ต้องสงสัยอีกแล้วว่าเพราะเหตุใดเทพีกระบี่จึงได้แต่งตั้งหลินเป่ยเฉินให้เป็นหัวหน้านักบวช

นั่นเป็นเพราะว่านางตัดสินใจที่จะคืนร่างนี้ให้แก่เยว่เว่ยหยาง

แต่เมื่อหลายเดือนก่อน หลินเป่ยเฉินจำได้ดีถึงคำอธิบายของนักพรตใหญ่หลงเยว่ผู้บอกว่าเมื่อดวงจิตของเทพีกระบี่เข้าครอบครองร่างของเยว่เว่ยหยาง วิญญาณของเด็กสาวก็จะหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับวิญญาณของเทพีกระบี่ ดังนั้น พวกนางจึงกลายเป็นคนคนเดียวกัน

ถ้าอย่างนั้น คำถามสำคัญก็คือ…

ดวงจิตของเยว่เว่ยหยางสามารถกลับคืนสู่ร่างได้อย่างไร?

หรือว่านักพรตใหญ่หลงเยว่จะโกหกเขาตลอดมา?

ว่าแต่เยว่เว่ยหยางผู้กลับมาปรากฏตัวอยู่เบื้องหน้าเขาในตอนนี้จะเป็นเยว่เว่ยหยางคนเดิมหรือไม่?

เครื่องหมายคำถามจำนวนมากปรากฏขึ้นในหัวสมองของหลินเป่ยเฉิน

ทันใดนั้น ร่างของเด็กสาวที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ก็ค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมา

แววตาของนางใสซื่อบริสุทธิ์ แสดงออกถึงความฉงนงงงวย

เด็กสาวไม่ต่างจากนกน้อยที่เพิ่งตื่นจากฝันร้ายอันยาวนาน นางกวาดสายตาสำรวจมองสภาพแวดล้อมรอบกาย ก่อนจะมาสะดุดหยุดเข้าที่ใบหน้าของหลินเป่ยเฉิน

ทันทีที่นางเห็นหน้าเขา ดวงตาของเยว่เว่ยหยางก็เป็นประกายระยิบระยับขึ้นมาทันที

“ท่านพี่เป่ยเฉิน…”

นางกระโดดขึ้นจากบัลลังก์และพุ่งตัวเข้ามาอยู่ในอ้อมอกของหลินเป่ยเฉิน

เด็กหนุ่มอ้าแขนตอบรับโดยไม่ทันตั้งตัว กลิ่นกายหอมฟุ้งโชยขึ้นเตะจมูก

ช่างน่าประหลาด

ความรู้สึกในยามนี้แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

ต่อให้เป็นร่างเดียวกัน แต่ทำไมจึงให้ความรู้สึกที่ต่างกันได้ถึงเพียงนี้?

หรือว่าเขาจะคิดไปเอง?

“อะแฮ่ม…”

หลินเป่ยเฉินกระแอมไอขึ้นมาแผ่วเบา

ในที่สุด เยว่เว่ยหยางก็เพิ่งรู้ตัวว่าตนเองอยู่ในวิหารขนาดใหญ่ และมีนักบวชจำนวนมากกำลังยืนอยู่ในสถานที่แห่งนี้

แม้แต่นักพรตใหญ่หลงเยว่ก็อยู่ที่นี่ด้วยเช่นกัน

ใบหน้าของเด็กสาวแดงก่ำขึ้นมาทันที

นางรีบถอนตัวออกจากอ้อมกอดของหลินเป่ยเฉินโดยเร็ว

“ท่านป้า…”

เยว่เว่ยหยางวิ่งเข้าไปหานักพรตใหญ่หลงเยว่

เมื่อเห็นดังนั้น หลินเป่ยเฉินก็รู้แล้วว่าความทรงจำของเยว่เว่ยหยางยังคงมีเพียงเรื่องก่อนหน้าที่ร่างของตนเองจะถูกดวงจิตเทพีกระบี่ยึดครอง นางคงไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างหลังจากนั้น

“พระองค์ท่าน”

นักบวชทุกลำดับชั้นในวิหารต่างประสานมือทำความเคารพอย่างพร้อมเพียง

ใบหน้าที่แจ่มใสและไร้เดียงสาของเยว่เว่ยหยางพลันแสดงออกถึงความมึนงงสับสน ไม่ต่างไปจากกวางน้อยผู้ตื่นกลัว ดูน่ารักและน่าขบขันในเวลาเดียวกัน

หลินเป่ยเฉินถอนหายใจออกมา

เขาไม่รู้เลยว่าตนเองควรรู้สึกอย่างไร

เทพีกระบี่คืนร่างนี้กลับมาให้แก่เยว่เว่ยหยาง

หลินเป่ยเฉินดีใจหรือไม่?

เขาย่อมดีใจ

แต่ลึกๆ แล้ว เด็กหนุ่มกลับยังมีความรู้สึกบางอย่างที่อึดอัดคับข้องใจ

เขาไม่รู้เลยว่าดวงจิตของเทพีกระบี่จะสามารถกลับมาเข้าร่างเยว่เว่ยหยางอีกครั้งได้หรือไม่?

“ท่านนักพรตใหญ่หลงเยว่”

หลินเป่ยเฉินกล่าว “หน้าที่บอกเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้นักบวชเยว่รับทราบ คงต้องมอบให้ท่านจัดการแล้ว เมื่อนางเข้าใจทุกอย่าง ให้นางตามเข้าไปพบข้าในอารามด้วย”

“รับคำสั่งท่านหัวหน้านักบวช”

นักพรตใหญ่หลงเยว่ก้มหน้ารับคำสั่งด้วยความเคารพ

หลินเป่ยเฉินหมุนตัวเดินออกจากวิหารและมุ่งหน้ากลับไปยังอารามซึ่งเป็นที่พักของตนเอง

เขาจำเป็นต้องสงบสติอารมณ์อย่างช้า ๆ

ณ อารามที่พักของหลินเป่ยเฉิน

เด็กหนุ่มนำข้าวของส่วนตัวที่เทพีกระบี่ทิ้งเอาไว้เข้าไปเก็บไว้ในแอปไป่ตู้ เน็ตดิสก์อย่างระมัดระวัง

จนกระทั่งถึงตอนนี้ เขาก็ยังไม่อยากเชื่อว่าเทพีกระบี่ได้ลาลับไปแล้วจริง ๆ

ไม่มีทาง นี่ไม่ใช่การลาจากตลอดกาล!

เทพเจ้าสามารถดำรงอยู่ได้ด้วยพลังศรัทธา

ตราบใดที่มีผู้คนศรัทธาเทพีกระบี่ นางก็จะไม่มีวันตาย

นางยังมีชีวิตอยู่

สักวันหนึ่ง นางจะต้องกลับมา

หลินเป่ยเฉินสูดหายใจลึก ๆ

ทันใดนั้น เสียงฝีเท้าดังขึ้น

ปรากฏว่าเป็นเยว่เว่ยหยางผู้มีน้ำตานองใบหน้าเดินมาเคาะประตูห้องพักของเขา

“พี่เป่ย… ท่านหัวหน้านักบวช”

เด็กสาวย่อกายคำนับหลินเป่ยเฉิน

เขาหันกลับไปมองและยิ้มให้อย่างอบอุ่น “ไม่มีคนอื่นอยู่เจ้าไม่ต้องทำเช่นนี้ก็ได้ ถึงข้าจะเป็นหัวหน้านักบวช และเจ้าจะเป็นนักบวชที่อยู่ใต้อำนาจของข้าก็ตาม แต่เมื่อพวกเราอยู่กันตามลำพัง ข้าคือพี่เป่ยเฉินของเจ้าและเจ้าก็คือเว่ยหยางน้อยของข้า”

หลินเป่ยเฉินเดินเข้าไปใช้นิ้วปาดน้ำตาออกจากแก้มของเยว่เว่ยหยาง

“พี่เป่ยเฉิน… ข้า… รู้เรื่องทุกอย่างจากท่านป้าแล้ว”

ดวงตาของเยว่เว่ยหยางมีน้ำตาคลอเต็มเบ้า

“ไม่เป็นไร ในที่สุดเจ้าก็กลับมาแล้ว”

หลินเป่ยเฉินพยายามปลอบโยน ก่อนจะหันไปหยิบเสื้อคลุมมาตัวหนึ่งและถามว่า “ดูนี่สิ เจ้าจำเสื้อคลุมตัวนี้ได้หรือไม่?”

เยว่เว่ยหยางมองเสื้อคลุมในมือของเขาครู่หนึ่ง ก่อนจะจดจำได้ในทันที “อ้อ นี่เป็นเสื้อคลุมของข้าเอง…”

“ใช่แล้ว นี่คือเสื้อคลุมตัวที่เจ้าสวมใส่เมื่อครั้งสุดท้ายตอนที่เราเจอกัน ข้าเก็บเสื้อคลุมตัวนี้เอาไว้ให้เจ้าตลอดมา ทุกครั้งที่ข้าคิดถึงเจ้า ข้าก็จะนำเสื้อคลุมตัวนี้ออกมาสูดดมกลิ่นของเจ้า ให้เสมือนว่าเจ้าอยู่ข้างกายข้าเสมอ…”

หลินเป่ยเฉินพูดด้วยน้ำเสียงลึกซึ้งและจริงใจ

เยว่เว่ยหยางรับฟังดังนั้นใบหน้าก็แดงก่ำยิ่งกว่าดวงตะวันยามเย็น นางเงยหน้าขึ้นมามองหลินเป่ยเฉินด้วยดวงตาเป็นประกายระยิบระยับราวกับดวงดาราบนท้องฟ้ายามราตรี

“เดี๋ยวข้าจะช่วยสวมใส่ให้เจ้าเอง”

หลินเป่ยเฉินคลี่เสื้อคลุมออกและสวมใส่ให้แก่เยว่เว่ยหยาง

“พี่เป่ยเฉิน พลังศักดิ์สิทธิ์ของข้าไม่ต่ำต้อย ข้าจะอยู่เคียงข้างท่าน ข้าจะคอยช่วยเหลือท่าน ข้าจะทำทุกอย่างเพื่อรับใช้ท่านเฉกเช่นที่รับใช้เทพีกระบี่”

เยว่เว่ยหยางกล่าวด้วยความตื้นตันใจ

หลินเป่ยเฉินลูบศีรษะของนางแผ่วเบา “เด็กโง่ เจ้าพูดอะไรของเจ้า? รอให้เจ้าเติบโตมากกว่านี้ และมีพลังที่ไม่มีผู้ใดสามารถต้านทานได้เมื่อไหร่ ข้าจะมอบตำแหน่งหัวหน้านักบวชให้แก่เจ้าเอง และเจ้าก็จะได้เป็นตัวแทนของเทพีกระบี่โดยสมบูรณ์”

เยว่เว่ยหยางส่ายหน้าปฏิเสธ “แต่ข้าไม่อยากแยกจากท่านพี่เป่ยเฉิน”

หลินเป่ยเฉินนำหวีมาสางผมให้เด็กสาวด้วยความทะนุถนอม “ใครบอกเล่าว่าเมื่อเจ้ารับตำแหน่งนั้นพวกเราต้องแยกจากกัน? ท่านป้าก็คงเล่าให้เจ้าฟังแล้วกระมัง เทพีกระบี่กับข้านั้นได้… กระทำเรื่องราวมากมายด้วยกัน… เจ้ากับนางก็ถือเป็นคนคนเดียวกัน ด้วยเหตุนี้ เจ้ากับข้าจึงถือเป็นสหายสนิทที่สุดแล้ว”