ตอนที่ 1,033 โต้กลับ
“ท่านป้าบอกข้าว่าบัดนี้พี่เป่ยเฉินเป็นหัวหน้านักบวชแห่งวิหารหลวงคนใหม่ และพี่เป่ยเฉินก็เป็นคนสังหารเทพแห่งวิหารเฉียนเกาเมื่อวานนี้…”
ดวงตาของเยว่เว่ยหยางเป็นประกายระยิบระยับด้วยความใสซื่อบริสุทธิ์ นางกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “พี่เป่ยเฉินต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับเทพีกระบี่ ชาวเมืองหลายหมื่นคนเป็นสักขีพยาน เมื่อพิจารณาจากเรื่องนี้แล้ว ท่านกับข้าก็นับว่าไม่ใช่คนอื่นคนไกลกันจริง ๆ”
เอ่อ…
โบราณว่าตีเหล็กต้องตีตอนร้อน
ทั้งที่คำพูดก่อนหน้านี้ของหลินเป่ยเฉิน เขาไม่ได้สื่อความหมายอย่างที่เด็กสาวเข้าใจ
แต่ไหน ๆ นางก็เข้าใจเช่นนี้แล้ว ก็ปล่อยให้นางเข้าใจต่อไปแล้วกัน
เพราะเมื่อเห็นแววตาไร้เดียงสาของเยว่เว่ยหยาง หลินเป่ยเฉินก็ทำใจอธิบายต่อไปไม่ลง…
คงไม่เป็นอะไรหรอกกระมัง?
อีกอย่าง หลินเป่ยเฉินเพิ่งตระหนักถึงบางอย่าง
เทพีกระบี่ใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ของนางรักษาอาการบาดเจ็บทางร่างกายจนหายขาด แม้แต่พลังของเทพพงไพรที่ตกค้างอยู่ในร่างกายก็สูญสลายหายสิ้น…
ถ้าอย่างนั้นก็มีความเป็นไปได้สูงที่เยื่อพรหมจรรย์ของเยว่เว่ยหยางจะถูกฟื้นฟูกลับขึ้นมาอีกครั้งใช่หรือไม่?
เมื่อคิดได้ดังนี้ หลินเป่ยเฉินก็นำผลกวนเจี๋ยออกมารับประทาน
หากเป็นเช่นนั้น…
เขาก็ต้องรักษากิริยามารยาทกับเยว่เว่ยหยางมากกว่าเดิม ไม่ว่าจะเป็นทางด้านการกระทำหรือคำพูด เขาจะทำเหมือนที่เคยทำกับเทพีกระบี่ไม่ได้อีกแล้ว
เพราะเทพีกระบี่ก็คือเทพีกระบี่
เยว่เว่ยหยางก็คือเยว่เว่ยหยาง
พวกนางเป็นคนละคนกัน
“เจ้ากลับไปพักผ่อนเถอะ เรายังมีเรื่องราวให้ต้องทำอีกมากนัก”
หลินเป่ยเฉินยกมือลูบศีรษะเยว่เว่ยหยางด้วยความเอ็นดู
ในไม่ช้า ข่าวใหญ่ก็ถูกประกาศออกมาจากวิหารหลวง
เกิดความเปลี่ยนแปลงทั่วนครหลวง
ภายใต้คำสั่งของหัวหน้านักบวชแห่งวิหารหลวง เหล่าลูกศิษย์และนายทหารที่ถูกคุมขังอยู่ในคุกใต้ดินล้วนถูกปล่อยตัวออกมา เช่นเดียวกับสมาชิกราชวงศ์ ขุนนาง คหบดี แม่ทัพนายกอง และบรรดามือกระบี่ที่ถูกตระกูลเว่ยกักขังเอาไว้ก็ถูกปล่อยตัวออกมาเช่นกัน
ทุกคนล้วนสาบานตนว่าจะเข้าร่วมการแก้แค้น
ก่อนหน้านี้ กลุ่มคนที่แปรพักตร์ไปเข้าร่วมกับตระกูลเว่ยต่างก็ถูกจับตัวนำกลับมาประหารหมดสิ้น
โดยเฉพาะขุนนางใหญ่ในตระกูลหลิวและตระกูลเจิ้ง
ทั้ง ๆ ที่ตระกูลของพวกเขาได้รับความเมตตาจากองค์จักรพรรดิมาโดยตลอด แต่เมื่อจักรวรรดิตกอยู่ในภาวะวิกฤต ตระกูลหลิวและตระกูลเจิ้งกลับทอดทิ้งราชวงศ์หลี่ สมคบคิดกับผู้บุกรุก สังหารชาวเมืองผู้บริสุทธิ์จำนวนมหาศาล
บัดนี้ จึงได้เวลาชดใช้หนี้เลือด!!
นักบวชแห่งวิหารหลวงลงมือกวาดล้างตระกูลใหญ่เหล่านั้นด้วยตนเอง
ประชาชนผู้โกรธแค้นต่างก็รวมตัวกันบุกไปยังคฤหาสน์ของผู้ทรยศราวกับน้ำป่าไหลหลาก…
เพียงคืนเดียวเท่านั้น คฤหาสน์จำนวนมากก็ถูกเผาไหม้วอดวาย บรรดายอดฝีมือของผู้ทรยศที่คิดต่อสู้ต่างถูกตัดหัวโดยนักบวชแห่งวิหารหลวงด้วยความโหดร้ายอำมหิต หรือมิเช่นนั้น พวกมันก็ต้องถูกจับตัวกลับมารับโทษที่โหดเหี้ยมไม่แพ้ความตาย
เกิดการโต้กลับทั่วนครหลวงในชั่วข้ามคืน
ตระกูลขุนนางและคหบดีผู้เข้าร่วมกับตระกูลเว่ยยินยอมยกธงขาวขอยอมแพ้แต่โดยดี
ทว่า เมื่อเทียบกับความเสียหายที่เกิดขึ้นต่อประเทศชาติและราชวงศ์หลี่ เหล่านักบวชจากวิหารหลวงจึงไม่สามารถให้อภัยบาปของพวกเขาในครั้งนี้ได้อีกแล้ว
บัดนี้ กลุ่มนักบวชแห่งวิหารหลวงคือผู้มีอำนาจสูงสุดในนครหลวง บางครั้ง เมื่อพวกนางเผชิญหน้ากับขุนศึกของตระกูลเว่ยที่หลบซ่อนตัวอยู่ในเมือง นักบวชสาวเหล่านี้ก็จะจัดการลงโทษอย่างสาสม สร้างความตื้นตันใจให้แก่ชาวเมืองเป็นอย่างยิ่ง
หลังจากนั้น วิหารหลวงก็เป็นผู้ควบคุมการก่อตั้งคณะขุนนางชุดใหม่ ขุนนางและนายทหารจำนวนมากที่ถูกปล่อยตัวออกมาจากคุกใต้ดินได้รับตำแหน่งทางราชการ และลูกศิษย์สถานศึกษาผู้ไม่กลัวตายก็ได้รับมอบหมายให้ทำภารกิจสำคัญจำนวนมาก
ดังนั้น จึงกล่าวได้ว่านครหลวงสามารถกลับมาตั้งหลักได้ในเวลาเพียงคืนเดียวเท่านั้น
แม้จะยังมีกลุ่มสำนักยุทธ์ใต้ดินและอันธพาลพยายามก่อกวนสถานการณ์อยู่บ้าง แต่พวกมันก็ถูกสังหารอย่างไร้ความปราณี
ในฐานะหัวหน้านักบวชแห่งวิหารหลวงคนใหม่ หลินเป่ยเฉินไม่เคยปรากฏตัวออกมาเลยสักครั้ง
เพราะผู้ที่ปรากฏตัวแทนเขาก็คือเยว่เว่ยหยาง นางมีองครักษ์ข้างกายสองคนคือฮวาชิงเหยียนกับนักพรตใหญ่หลงเยว่ และเยว่เว่ยหยางก็เป็นผู้ที่ปรากฏตัวในนครหลวงบ่อยมากที่สุดแล้ว
ไม่ว่าจะเป็นตลาดการค้า จัตุรัสใหญ่ โรงเตี๊ยม ร้านน้ำชา สถานศึกษาหรือหอนางโลม สถานที่เหล่านี้ล้วนฉายภาพของเยว่เว่ยหยางจากศิลาบันทึกภาพ ช่วยยืนยันได้ดีว่านางเป็นคนสำคัญของนครหลวงในยามนี้จริง ๆ
และต้องไม่ลืมว่าชาวเมืองได้พบเห็นการต่อสู้ระหว่างเทพแห่งวิหารเฉียนเกากับเทพีกระบี่เป็นจำนวนไม่น้อย เพราะฉะนั้น วิหารหลวงจึงได้รับความเคารพบูชาจากผู้คนมากกว่าเดิมหลายเท่า
ด้วยเหตุนี้ เยว่เว่ยหยางผู้มีรูปลักษณ์อ่อนหวานงดงามน่าทะนุถนอม สวนทางกับวิถีต่อสู้ที่ทุ่มสุดตัวไม่กลัวตาย เพียงระยะเวลาไม่กี่วัน นางจึงสามารถซื้อใจผู้คนได้แทบทั้งนครหลวง
ในทางกลับกัน หลินเป่ยเฉินเลือกที่จะเก็บตัวเงียบ
หลายครั้งที่โฆษณาชวนเชื่อซึ่งทางวิหารเผยแพร่ออกไป ไม่มีการเอ่ยถึงชื่อของเขาสักคำเดียว
“เรื่องนี้ต้องยกให้เป็นความดีความชอบของเทพีกระบี่แต่เพียงผู้เดียว เราจะไปแย่งความดีความชอบของนางมาได้ยังไง ถึงเราจะเป็นคนเสเพลไม่เอาไหน แต่เราก็เป็นคนไม่เอาไหนที่มีจรรยาบรรณละวะ!”
คุณชายหลินยืนอยู่บนยอดเขาซึ่งเป็นที่ตั้งของวิหารหลวง ดวงตากำลังจ้องมองภาพรวมของเมืองใหญ่แห่งนี้
ทุ่งหญ้าที่ถูกเปลวไฟเผาไหม้วายวอด บัดนี้ มีต้นไม้ใบหญ้าเติบโตขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
นครหลวงที่กำลังฟื้นตัวขึ้นมาหลังเกิดมหันตภัยจะต้องแข็งแกร่งมากกว่าเก่าก่อนหลายเท่าด้วยความสามัคคีของชาวเมือง
จักรวรรดิเป่ยไห่ถูกก่อตั้งมามากกว่า 500 ปี เคยเผชิญหน้ากับหายนะมานับครั้งไม่ถ้วน ตราบใดที่สามารถฟื้นฟูนครหลวงได้สำเร็จ การฟื้นฟูทั้งจักรวรรดิก็ยังคงมีความหวังเสมอ
หลินเป่ยเฉินมีความมั่นใจเป็นอย่างมาก
แต่เขาก็รู้ดีเช่นกันว่าการฟื้นฟูนครหลวงได้สำเร็จนั้น ไม่ได้หมายความว่าเรื่องราวทุกอย่างจะจบลง
สิ่งจำเป็นในขณะนี้คือการเชิญองค์จักรพรรดิให้เสด็จมาประทับที่นครหลวง หลังจากนั้น ก็จัดการทวงคืนมณฑลและเมืองต่าง ๆ ที่ถูกจักรวรรดิจี้กวงยึดครอง หากสามารถกระทำเรื่องราวเหล่านี้ได้สำเร็จเมื่อไหร่ จึงจะถือว่าจักรวรรดิได้รับการฟื้นฟูโดยสมบูรณ์
และแน่นอนว่าจักรวรรดิจี้กวงยังคงต้องชำระหนี้เลือดให้แก่พวกเขา
“สิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้ คือการนำตัวองค์จักรพรรดิกลับคืนสู่นครหลวงให้เร็วที่สุด”
หลินเป่ยเฉินมองไปยังท้องฟ้าทางทิศตะวันตกเฉียงใต้
เขาได้เริ่มดำเนินแผนการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว
…
“ทูลฝ่าบาท เมืองหลวงของมณฑลชิงซวงอยู่เบื้องหน้าพวกเราแล้ว ผู้ปกครองมณฑลนามว่าอิ๋นเซียงเจี๋ยดูแลที่นี่มาเป็นเวลากว่า 40 ปี รากฐานอำนาจของเขาหยั่งรากฝังลึก อีกทั้งยังมีขุมกำลังในมือไม่ต่ำต้อย หน่วยลาดตระเวนของเราสืบข่าวได้ความว่าอิ๋นเซียงเจี๋ยมีกำลังพลถึงหนึ่งล้านนาย ตัวเขาเองมีพลังอยู่ในขั้นยอดปรมาจารย์ตอนปลาย และนายทหารใต้บังคับบัญชาก็อยู่ในขั้นเดียวกันกว่า 100 คน”
“นอกจากนี้ อิ๋นเซียงเจี๋ยยังมีนายทหารขั้นยอดปรมาจารย์ตอนกลางอีก 3,000 ชีวิต มิหนำซ้ำ กำแพงเมืองยังมีม่านพลังปกคลุมอยู่ถึง 308 ชั้น… จึงเป็นเรื่องยากที่พวกเราจะบุกฝ่าเข้าไปได้พ่ะย่ะค่ะ”
โหลวซานกวน ผู้ที่บัดนี้กลายเป็นแม่ทัพใหญ่ของหน่วยกองทัพทมิฬ ได้เดินเข้ามาแจ้งข้อมูลต่อองค์จักรพรรดิโดยละเอียด
องค์จักรพรรดินิ่งเงียบเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็กล่าวด้วยน้ำเสียงมุ่งมั่นว่า “ไปรวบรวมนายทหารฝีมือดีของพวกเรามาให้ได้มากที่สุด หลังจากนั้น เราจะบุกโจมตีกำแพงเมืองพร้อมกัน อย่าให้พวกมันรู้ตัวเด็ดขาด ข้าเชื่อว่าตราบใดที่พวกเราลงมือได้รวดเร็วมากพอ การบุกยึดมณฑลชิงซวงก็เป็นเรื่องที่ง่ายดายแล้ว”
“แต่ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ…”
“แผนการนี้เสี่ยงมากเกินไป”
“การบุกโจมตีกำแพงเมืองครั้งนี้มีความยากลำบากมากกว่าการบุกโจมตีทุกครั้งหลายสิบเท่า มิหนำซ้ำ ยังมีโอกาสที่คนของเราจะเสียชีวิตสูงด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
“ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมคิดว่าเราสมควรส่งกองทัพเข้าไปลองทดสอบความแข็งแกร่งของฝ่ายนั้นดูก่อน จากนั้นจึงค่อยพยายามหาช่องว่างบุกโจมตี…”
เมื่อบรรดาแม่ทัพใหญ่ได้ยินแผนการขององค์จักรพรรดิ พวกเขาก็อดคัดค้านขึ้นมาไม่ได้
แต่องค์จักรพรรดิกลับส่ายหน้า ตอบว่า “ยุทธศาสตร์ของเราคือบุกยึดมณฑลแห่งนี้ให้ได้โดยเร็วที่สุด บัดนี้ หลินเป่ยเฉินคงไปรอพวกเราอยู่ที่นครหลวงแล้ว พวกเราเหลือเวลาอีกไม่มาก”
อัครเสนาบดีจั่วเซียงกล่าวว่า “หากเราขอให้กองทัพเจาฮุยและกองทัพชาวทะเลร่วมมือในการโจมตีครั้งนี้ด้วย โอกาสที่เราจะชนะก็มีมากขึ้นพ่ะย่ะค่ะ”
องค์จักรพรรดิส่ายหน้าตอบด้วยความเด็ดเดี่ยวว่า “นี่คือการต่อสู้ครั้งแรก พวกเราจะสู้ด้วยกำลังของตนเองเท่านั้น พวกเราไม่สามารถพึ่งพิงหลินเป่ยเฉินไปเสียทุกสิ่งทุกอย่าง พวกเจ้าต้องอย่าลืมสิว่าในการทำสงครามชิงอาณาจักร หลินเป่ยเฉินก็เคยช่วยเหลือเรามามากแล้ว”
เสี่ยวเหยียนผู้อาวุโสจากตระกูลเสี่ยวพยักหน้าอย่างเห็นด้วย “ฝ่าบาทกล่าวได้ถูกต้องแล้วพ่ะย่ะค่ะ หากเราสามารถชนะศึกครั้งนี้ได้ด้วยลำแข้งของตนเอง กองทัพเป่ยไห่ก็จะได้รับความเคารพมากขึ้น โดยเฉพาะความเคารพจากกองทัพของชาวทะเล”
เมื่อกลุ่มแม่ทัพใหญ่ได้ยินเหตุผลข้อนี้ จิตวิญญาณแห่งนักสู้ของพวกเขาก็ลุกโชนขึ้นมาอีกครั้ง
ใช่แล้ว พวกเขาจะหวังพึ่งพิงผู้อื่นตลอดไปไม่ได้
โดยเฉพาะหลินเป่ยเฉินและพรรคพวกของเขาได้ช่วยเหลือจักรวรรดิเป่ยไห่มามากเกินพอ บัดนี้ ถึงเวลาที่กองทัพเป่ยไห่จะต้องพิสูจน์ความสามารถของตนเอง ให้ทุกคนได้เห็นว่าพวกเขามีคุณสมบัติดีพอที่จะเป็นนักรบผู้กอบกู้จักรวรรดิเช่นกัน
ดังนั้น กองทัพเป่ยไห่จึงเคลื่อนขบวนเข้าไปประชิดกำแพงเมืองชิงซวงอย่างรวดเร็ว
แต่พวกเขากลับพบเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน
“ทูลฝ่าบาท…”
นายทหารจากหน่วยลาดตระเวนผู้หนึ่งวิ่งเข้ามารายงานว่า “ประตูเมืองชิงซวงเปิดกว้าง ผู้ปกครองมณฑลอิ๋งเซียงเจี๋ย ได้นำกำลังพลระดับสูงของตนเองหลายหมื่นชีวิต ออกมานั่งคุกเข่าขอรับความเมตตาจากองค์จักรพรรดิอยู่หน้ากำแพงเมืองแล้วพ่ะย่ะค่ะ…”
ทุกคนล้วนตกตะลึงเมื่อได้ยินเช่นนั้น
เกิดอะไรขึ้น?
นี่คือสถานการณ์ใดกันแน่?
ยังไม่ทันได้เปิดฉากต่อสู้ มณฑลชิงซวงก็ขอยอมแพ้เสียแล้วหรือ?