ส่วนที่ 6 ภาคลมประจิมรุนแรง ตอนที่ 94 ง่ายที่จะปกป้องความคิดแต่ไม่ใช่หัวใจ

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ไหวซู่มองไปที่ไหวปี้ด้วยความโมโหและกล่าว “ทำไมยังไม่รีบปล่อยศิษย์พี่อีก!”

สายตาสวีโหย่วหรงพลันย้ายไปยังใบหน้าไหวปี้

ไหวปี้รู้สึกเหมือนกับลำแสงร้อนแรงสองสายปรากฏขึ้นตรงหน้านาง ล้อมไว้ด้วยแสงเจิดจ้า

เสียงดังปัง ลมหวีดหวิวพัดเข้ามาในกระท่อม ทำให้หลังคาจากสีขาวสั่นไหว ปีกเพลิงกว้างสิบกว่าจั้งบดบังสายตาของทุกคน

สวีโหย่วหรงเผยร่างของหงส์ที่แท้จริง!

แสงเจิดจ้าไร้สิ้นสุดแผ่ขยายออก อุณหภูมิเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว กระท่อมมุงจากดูประหนึ่งจะลุกไหม้ขึ้นมา

ไหวปี้รู้สึกถึงแรงกดดันเหนือจินตนาการ ถอยไปอย่างโกรธเกรี้ยวแต่ก็ไม่ปล่อยไหวเหรินไป

ทันใดนั้นใบหน้าไหวเหรินก็ซีดขาวลงอย่างมาก กระอักเลือดสีแดงออกมาคำโต!

ไหวปี้ตัวแข็งไป ก้มหน้าลงมองอย่างระมัดระวัง

แต่ก็สายเกินไปแล้ว

ร่างดูผ่ายผอมของไหวเหริน ระเบิดพลังที่แข็งแกร่งออกมา บริสุทธิ์เหมือนกับถูกชะล้างในลำธารแดนใต้มาหลายร้อยปี!

กระบี่ดำเย็นเยียบกระเด็นไป

ไหวปี้รู้สึกราวกับภูเขาถล่มใส่ท้อง นางส่งเสียงคำรามล้าถอยไปอย่างรวดเร็ว

ไหวเหรินหันกลับไป ดูราวกับหมอกควัน ราวกับดอกไม้หอมยามที่โจมตี

มือนางฟาดลง ดูเหมือนอ่อนแอ ทว่าเปี่ยมไปด้วยหลักการของฟ้าดิน ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

เสียงแผ่วเบาสิบกว่าเสียงดังขึ้นระหว่างต้นไม้ที่ออกดอกเบ่งบานของสถานศึกษาหนานซี

เป็นเสียงนิ้วไหวเหรินทิ่มเข้าใส่ไหวปี้

มีเสียงดังตุ้บ สายลมโหยหวนจากนั้นก็ค่อยๆ หายไป

หลุมลึกสามฉื่อปรากฎขึ้นท่ามกลางต้นไม้ดอกไม้ของสถานศึกษาหนานซี

ไหวปี้ยืนอยู่ก้นหลุม ใบหน้าซีดขาวร่างกายอาบไปด้วยเลือด

“เป็นไปได้อย่างไร”

นางพึมพำกับตัวเองราวกับคนบ้า

ไหวเหรินยืนอย่างสุขุมตรงหน้านางกล่าว “รู้ว่าแข็งจึงรักษาความอ่อนไว้จึงเป็นธารใต้หล้า [1] ศิษย์น้อง เจ้าไม่เคยเรียนรู้วิชาดัชนีนี้อย่างถูกต้อง”

ไหวปี้กรีดร้องและหันหลังจากไป

ลมพัดวูบ ร่างหนึ่งร่วงลงมาปานสายฟ้าฟาดใส่นาง

ไหวปี้ร้องอย่างเจ็บปวดตกลงกลางต้นไม้ดอกไม้

ร่างนั้นปรากฏขึ้น เป็นไหวซู่ที่ดุดันปานเปลวเพลิง

ท่ามกลางต้นไม้ที่ออกดอกเบ่งบานไม่เพียงมีแค่กลิ่นหอม ยังมีเจตจำนงกระบี่อีกด้วย

เจตจำนงกระบี่สิบกว่าสายลอยขึ้นอย่างหนาแน่น

ไหวปี้กรีดร้องครั้งแล้วครั้งเล่า ร่างล้มลง ไม่อาจทนได้ ถูกประกายกระบี่บีบให้ถอยไป

ดอกไม้ร่วงลงกลายเป็นหลุมศพ

นางตกลงไปในหลุม

แขนซ้ายขาด ทั่วร่างปกคลุมด้วยบาดแผลกระบี่ที่มีเลือดไหลออกมา อยู่ในสภาพที่น่าอนาถยิ่งนัก

นางมองไปที่ไหวเหรินและคลานขึ้นมาอย่างลำบาก ร้องเรียกออกมาด้วยเสียงสะอื้น “ศิษย์พี่ละเว้นข้าด้วย”

ไหวเหรินมองนางเงียบๆ ไม่พูดอะไรออกมา

เสียงร้องอย่างเจ็บปวดค่อยๆ จางหายไป บ่งบอกถึงความสิ้นหวัง

ไหวเหรินนิ่งเงียบเป็นเวลานาน ในที่สุดนางก็หันไปหาสวีโหย่วหรงกับเฉินฉางเซิงในกระท่อม คำนับแล้วจากไป

ไหวซู่มองไปที่ก้นหลุมแล้วก็ตามไป

ศิษย์สถานศึกษาหนานซีเข้าไปในหลุมแล้วลากไหวปี้ออกมาจากนั้นก็พาไปหลังที่ราบสูง

ไหวปี้คิดถึงชะตาอันน่าอนาถที่นางจะได้เจอในไม่ช้า ชีวิตที่ถูกคุมขังก็ยังดีกว่าตาย ทำให้เต็มไปด้วยความเกลียดชัง นางกรีดร้อง “ปรมาจารย์เต๋าจะช่วยข้า! เมื่อถึงเวลานั้น พวกสารเลวอย่างเจ้าไม่มีทางมีจุดจบที่ดี! ถึงตอนนั้นข้าจะให้พวกเจ้าคุกเข่าร้องขอชีวิต!”

ศิษย์สถานศึกษาหนานซีมองหน้ากันไปมา ไม่รู้ว่าจะทำอะไรดี ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นอาจารย์ย่าของพวกนาง ไม่ว่าจะโกรธแค่ไหน จะลงมือก็ไม่เหมาะสมอยู่ดี

ไหวปี้ด่าต่อไป คำพูดยิ่งไม่เข้าหูขึ้นเรื่อยๆ คำพูดหยาบคายของนางดูเหมือนจะมีไม่จบสิ้น ช่างร้ายกาจอย่างที่สุด

ถังซานสือลิ่วกับเจ๋อซิ่วยืนอยู่ที่ศาลาใกล้กับกระท่อม พวกเขาอดที่จะส่ายหน้ากับภาพนี้ไม่ได้

ในตอนนี้สวีโหย่วหรงมองไปที่เฉินฉางเซิง

เฉินฉางเซิงตัวแข็งไป ตามองไปยังถังซานสือลิ่ว

ถังซานสือลิ่วถอนหายใจ “เป็นคู่รักที่ดีจริงๆ …”

จากนั้นก็มองไปที่เจ๋อซิ่ว

ลมเย็นพัดขึ้น ทำให้ใบไม้ร่วงบนศาลาปลิวไม่หยุด

เจ๋อซิ่วมาถึงกลางดงไม้ที่ออกดอกสะพรั่ง เสียงดังเช้งกระบี่ธงชัยลอยผ่านอากาศ ส่องแสงหม่นมัว

เสียงสบถด่าทอของไหวปี้พลันหยุดลง นางกุมคอที่เลือดไหลออกมา ดวงตาเต็มไปด้วยความไม่อยากเชื่อขณะล้มลงช้าๆ

ยามสนธยาในเทือกเขามาถึงเร็วกว่าในที่ราบมากนัก

ยังไม่ถึงเวลาพลบค่ำ กระนั้นดวงตะวันที่เส้นขอบฟ้าก็ใกล้จะลับเหลี่ยมเขาแล้ว แสงหม่นมัวอยู่บ้างและต้นไม้ที่ออกดอกเบ่งบานก็ดูเหมือนกำลังลุกไหม้

บนทางเดินภูเขาตรงหน้าสถานศึกษาหนานซี ผิงเซวียนกับอี้เฉินและศิษย์โดยตรงร้อยกว่าคนไปส่งอาจารย์ย่าไหวเหรินกับไหวซู่ แม้ว่าจะอยู่ไกลออกไป ก็ยังพอจะได้ยินเสียงสะอื้นไห้ บรรยากาศหดหู่เศร้าสร้อย

“ข้าไม่คิดเลยว่าอาจารย์ย่าผู้นี้จะแข็งแกร่งเพียงนี้”

เฉินฉางเซิงยืนที่ริมหน้าผามองดูภาพนี้จากระยะไกล

ก่อนหน้านี้ตอนที่ไหวปี้โจมตีอย่างฉับพลันในกระท่อม นางได้ใช้ดัชนีศักดิ์สิทธิ์ธารใต้หล้าผนึกเส้นลมปราณและแดนลี้ลับของไหวเหรินเอาไว้ ไม่มีใครคาดคิดว่าไหวเหรินจะมีนิสัยแข็งกร้าวกว่าที่เห็นทั่วไปนัก การบำเพ็ญเพียรยิ่งยากหยั่งถึง นางฝืนโคจรปราณแท้และดวงจิตเพื่อทำลายการปิดกั้นและสามารถจับตัวไหวปี้ได้อย่างง่ายดาย ในกระบวนท่าเดียวนางก็ทำลายความสามารถในการต่อสู้ของไหวปี้ไปได้

ดัชนีศักดิ์สิทธิ์ธารใต้หล้าที่นางใช้นั้นมีระดับขั้นสูงกว่าของไหวปี้มาก เลิศล้ำและเปี่ยมไปด้วยพลังเหนือธรรมชาติ ถึงกับแทบเรียกได้ว่าศักดิ์สิทธิ์ หากนางไม่ยินยอมทำตามความประสงค์ของสวีโหย่วหรงและจากไป แค่ใช้ระดับการบำเพ็ญเพียรของนางต่อสู้ขัดขืน ก็ยากที่จะรู้ว่าเรื่องวันนี้จะจบลงเช่นใด

“สถานศึกษาหนานซีของข้ามีประวัติศาสตร์ยาวนานแม้ว่าจะสงบเสงี่ยมเราก็มีรากฐานล้ำลึก อาจารย์อาไหวเหรินหมกมุ่นกับการบำเพ็ญเพียรมาตลอดชีวิตหวังว่าจะได้เข้าสู่เขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์ เป็นธรรมดาที่นางจะแข็งแกร่ง”

สวีโหย่วหรงเสริม “แต่ข้าไม่รู้ว่าพวกนางจะถูกอาจารย์เจ้าโน้มน้าวได้”

เฉินฉางเซิงยืนอยู่ด้านข้าง ใบหน้างดงามของสวีโหย่วหรงงามหาใดเปรียบ สงบอย่างมาก แต่ก็มีกลิ่นอายสูงส่งยิ่งใหญ่ บางทีนี่อาจเป็นเพราะนางเอามือไพล่หลังยามที่ยืนอยู่ริมหน้าผา

ในตอนนี้เขาแน่ใจอย่างมากว่าลางร้ายที่เขาสัมผัสได้บนยอดเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์เมื่อวานมาจากตัวเขาเอง

พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ เขาเป็นปัญหาใหญ่ที่สุดของสวีโหย่วหรง หากเขาไม่มาที่ยอดเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ สวีโหย่วหรงอาจไม่ถูกบีบให้ออกจากผนังหินและยุติการกักตนก่อนกำหนด

เมื่อเขาคิดเรื่องนี้ก็กล่าวขึ้น “ข้าขอโทษ ในอนาคตข้าจะใจเย็นกว่านี้”

สวีโหย่วหรงหันกลับมาและยิ้ม “หากเรื่องที่เกี่ยวกับข้าไม่อาจทำลายความเยือกเย็นของเจ้าได้ นั่นไม่กลายเป็นเวลาที่สมควรจะข้อโทษข้าหรอกหรือ”

เฉินฉางเซิงพิจารณาเรื่องนี้จากนั้นก็กล่าว “มีเหตุผล ถ้าอย่างนั้นข้าจะไม่เปลี่ยนแล้ว”

เป็นเวลาหลายปีแล้วนับจากการพบกันครั้งก่อน สองปีหลังจากที่ส่งจดหมายถึงกัน ว่าตามเหตุผล พวกเขาน่าจะรู้สึกว่าอีกฝ่ายแปลกหน้าอยู่บ้าง

แต่อันที่จริง พวกเขามีประสบการณ์ผ่านชีวิตและความตายร่วมกันมามากเกินไป เลือดของพวกเขาผสานรวมกัน เลือดเขาอยู่ในกายนาง เลือดนางอยู่ในกายเขา

ดังในสายตาคนทั่วไป พวกเขาเป็นคู่สวรรค์สร้างอย่างแท้จริง

พวกเขาพบกันในตอนนี้ด้วยความสุขุมเรียบเฉยเหมือนเช่นในอดีต

สวีโหย่วหรงหลับตา ดูเหมือนครุ่นคิดบางอย่าง

สายลมพัดใบหน้านางอย่างแผ่วเบา ทำให้ขนตาสั่นเทา

สนทยามาพร้อมกับสายลม

เฉินฉางเซิงเห็นหน้านาง ก็หวั่นไหวเล็กน้อยและก้มหน้าลงช้าๆ

ดวงตาสวีโหย่วหรงยังปิดอยู่ ทว่าสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย

บางทีนางอาจสัมผัสได้ถึงบางสิ่ง

——

[1] ประโยคนี้มาจากคัมภีร์เต้าเต๋อจิงบทที่ 28