เสียงเบาๆ ดังขึ้นครั้งหนึ่ง
ไม่ใช่เสียงหัวเราะ
เลือดพุ่งออกมาจากริมฝีปากสวีโหย่วหรง
พุ่งใส่เฉินฉางเซิง
เฉินฉางเซิงดูน่าสงสาร
สวีโหย่วหรงลืมตามาเห็นภาพนี้ คิดนิดเดียวก็เดาได้ว่าเกิดอะไรขึ้น
นางใช้แขนเสื้อเช็ดเลือดออกจากปากและเผยรอยยิ้มขี้เล่น
เฉินฉางเซิงไม่คิดถึงตัวเอง เห็นใบหน้าซีดขาวของนาง เขาก็ถามอย่างกังวล “เป็นอะไรหรือไม่”
สวีโหย่วหรงรู้ว่าเขาหมกมุ่นเรื่องความสะอาด เห็นว่าเขาไม่สนใจตัวเองแม้แต่น้อยทำให้นางประทับใจ หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาและเช็ดเลือดออกจากใบหน้าเขา
“เอาเลือดคั่งออกก็ไม่เป็นไรแล้ว”
นางหันหาแสงสนธยาและหลับตาทำสมาธิรักษาอาการบาดเจ็บ แต่เฉินฉางเซิงกลับเข้าใจผิด
เฉินฉางเซิงรู้สึกอับอายอยู่บ้าง แต่เขาเป็นห่วงมากกว่า ต่อให้หลังจากนางกล่าวว่านางไม่เป็นไรก็ตาม
การกักตนเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง แต่สวีโหย่วหรงกลับฝืนออกมาในวันนี้เพื่อเขา มันต้องมีผลกระทบต่อการบำเพ็ญเพียรของนางอย่างใหญ่หลวง
ที่สำคัญเส้นทางแห่งจิตของนางปกคลุมไปด้วยรอยที่แทบไม่อาจกำจัดได้ มีความเป็นไปได้สูงมากว่านางจะไม่มีโอกาสทะลวงผ่านได้อีกเลย
เมื่อเขาคิดแล้วเฉินฉางเซิงก็รู้สึกหดหู่ยิ่งขึ้น
สวีโหย่วหรงรู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ “ผู้บำเพ็ญเพียรหลายคนที่พบกับสถานการณ์แบบข้าย่อมเกิดความบกพร่องในเส้นทางแห่งจิตเมื่อพบกับความพ่ายแพ้ ทำให้ไม่มีโอกาสได้แสวงหาความศักดิ์สิทธิ์ แต่เจ้าไม่ต้องกังวลเรื่องข้า เพราะข้ามีความมั่นใจยิ่งกว่าใครทั้งนั้น และข้าก็ยังเยาว์อยู่มาก”
ในการบำเพ็ญเต๋า ต้องบำเพ็ญเป็นเดือนเป็นปี ในฐานะผู้บำเพ็ญเพียรที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ที่ได้เห็นด่านนี้ นางย่อมมีเวลามากมายในการทำความเข้าใจและลิ้มลอง ที่สำคัญที่สุดนางรู้ดีว่านางไม่ได้เสียเวลาหลายปีนี้ไปอย่างเปล่าประโยชน์ เส้นทางแห่งจิตของนางย่อมไม่ได้รับผลกระทบ
เฉินฉางเซิงสบายใจขึ้นบ้างเมื่อได้ยินเช่นนี้
เลือดบนใบหน้าของเขาถูกสวีโหย่วหรงเช็ดออกแล้ว ส่วนที่นางพลาดไปถูกเพลิงหงส์ที่เกิดจากแสงสนธยากำจัดไป แต่ไม่มีทางที่จะทำให้เสื้อผ้าสะอาดได้ เขานำเอาชุดสะอาดออกมาจากฝักซ่อนคมและหันกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้า การเคลื่อนไหวเป็นไปอย่างชำนาญ เพราะเขาทำแบบนี้มานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว
สวีโหย่วหรงถาม “เจ้าเก็บเสื้อผ้าสะอาดติดตัวไว้ด้วยหรือ ทำไมถึงได้เปลี่ยนอย่างคล่องแคล่วเช่นนี้”
เฉินฉางเซิงนึกถึงรูที่ถูกเจาะผ่านผนังของสำนักฝึกหลวง สายตาที่จ้องมองมาผ่านขอบของอ่างไม้ เด็กสาวผู้หน้าแดงแต่ก็ยังแสร้งเป็นไม่สนใจ เขาก็พลันรู้สึกคิดถึงขึ้นมา แต่เขาไม่กล้าพูดเรื่องนี้ เขาแค่พูดถึงเรื่องสระเย็นในตำหนักร้างที่เชื่อมโยงกับถ้ำใต้ดินใต้สะพานหน่ายเหอ
สวีโหย่วหรงรู้เรื่องสะพานหน่ายเหอตั้งแต่ยังเป็นเด็กและไม่ประหลาดใจ นางถาม “เกิดอะไรขึ้นกับมังกรดำน้อย”
นางพูดถึงการสังหารเปี๋ยเทียนซิน
แม้ว่าทุกคนรู้ว่านี่เป็นแผนของดินแดนต้าซี คำถามก็ยังอยู่ที่ว่าก่อนหน้าแผนนี้จะถูกเปิดโปง เฉินฉางเซิงไม่ยอมนำมังกรดำน้อยออกมาเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ คนที่ฉลาดเช่นสวีโหย่วหรงย่อมสามารถเดาได้ว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นกับมังกรดำน้อย
เฉินฉางเซิงตอบ “ข้าไม่แน่ใจในตอนนี้ แต่นางไม่น่ามีอันตราย”
สวีโหย่วหรงถาม “จำเป็นต้องทำอะไรหรือไม่”
เฉินฉางเซิงส่ายหน้า “รออีกสักหน่อยเถอะ”
สวีโหย่วหรงไม่พูดอะไรเรื่องนี้อีกแต่กลับถาม “เจ้าเคยได้เดินเล่นแถวนี้หรือไม่”
เฉินฉางเซิงตอบ “ข้าได้เห็นทิวทัศน์ที่เจ้าเอ่ยถึงในจดหมาย แต่ข้าไม่มีเวลาดูให้ดี”
สวีโหย่วหรงยิ้ม “ข้าพาเจ้าเดินดูรอบๆ ดีไหม”
เฉินฉางเซิงตอบ “ตกลง”
ลมโชยพัดมา ต้นไม้สั่นไหว กลิ่นหอมของดอกไม้ลอยมา กระเรียนขาวบินผ่านแสงสนธยาและลงมาตรงหน้าพวกเขา
กระเรียนขาวส่งเสียงร้องบินขึ้นไปพร้อมกับคนทั้งสองบนหลัง มันบินผ่านแสงโพล้เพล้ด้วยความเร็วอันน่าทึ่ง พุ่งผ่านเมฆและมาถึงปลายสุดของยอดเขา มองเห็นทุ่งราบกับแม่น้ำถงเจียงในแสงสนธยา รวมถึงยอดเขาสีดำเหล่านั้น เฉินฉางเซิงก็ถอนหายใจ “ภาพที่เจ้าบรรยายในจดหมายตอนที่พวกเราเป็นเด็กนั้นช่างน่าทึ่งยิ่งนัก แต่ไม่ได้เกินจริงเลยสักนิด”
สวีโหย่วหรงบังคับตัวเองให้สงบใจ “ข้าเคยเขียนจดหมายถึงเจ้าตอนข้ายังเด็กด้วยหรือ บางทีเจ้าอาจจำผิดไป ถึงอย่างไรข้าก็เคยเขียนจดหมายถึงเจ้าสองสามฉบับเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา”
เฉินฉางเซิงยิ้ม “กระเรียนขาวยังจำได้แล้วเจ้าจะลืมได้อย่างไร”
กระเรียนขาวร้องเบาๆ ราวจะบอกว่ามันเห็นด้วย
ประกายความหงุดหงิดฉายขึ้นบนใบหน้าสวีโหย่วหรง “ข้าไม่รู้ว่าเจ้าใช้ลูกไม้อะไรทำให้มันเชื่อใจเจ้านัก ถึงกับไม่ฟังข้าอีกแล้ว”
เฉินฉางเซิงคว้ามือนางแล้วนั่งลงบนก้อนหินที่โดดเด่นที่สุดบนหน้าผา
“ก้อนหินนี้เป็นที่ซึ่งข้านั่งสมาธิและบำเพ็ญเพียรตั้งแต่ข้ายังเด็ก”
“ใช่ เจ้าเคยพูดถึงมันในจดหมายที่เจ้าส่งมาตอนเราเก้าขวบ”
“เอ้อ เจ้าจำผิดไปจริงๆ”
“ข้าไม่ได้จำผิดไป เพราะทิวทัศน์ที่บรรยายในจดหมายนั้นตรงกับสิ่งที่ข้าเห็นอยู่นี่”
“ข้าไม่พูดกับเจ้าแล้ว”
“ก็ได้ เจ้าบอกในจดหมายเมื่อสามปีก่อนว่าที่นี่มีนกมากมาย ทำไมข้าไม่เห็นเลยสักตัว”
“เจ้าอยากเห็นพวกมันหรือ ข้าเรียกนกมากมายมาเล่นด้วยได้นะ”
“นกพวกนั้นมาถวายความเคารพต่อหงส์สวรรค์อย่างนั้นหรือ”
“ใช่แล้ว”
“เช่นนั้นก็ลืมมันเสียเถอะ ใกล้จะมืดแล้วพวกมันต้องพักผ่อน ไม่จำเป็นต้องไปรบกวนพวกมัน”
“อย่างนั้นก็ได้”
“แล้วไก่ฟ้านั่นเล่า”
เฉินฉางเซิงย่อมหมายถึงมหาวิหคปีกทองที่ยังไม่เติบโตเต็มวัยจากสวนโจวตัวนั้น
“มันชอบกินเนื้อข้าเลยส่งมันไปอยู่ที่ทุ่งหญ้า”
“ทุ่งหญ้า?”
“เป็นทุ่งหญ้าที่เจ้ามอบให้ข้า”
“อ้อ…หากมีโอกาสเราไปดูมันด้วยกันนะ”
“ดูอะไร”
“หากสัตว์อสูรในสวนโจวชอบมัน พวกมันจะอยู่ที่นั่นได้ เรา…ก็สามารถอยู่ที่นั่นได้”
“……”
“……”
เมื่อวานเขารุดมาจากเมืองเฟิ่งหยาง หัวใจเต็มไปด้วยความกังวล หลังจากนั้นเขาก็พบกับเหตุการณ์สำคัญสองอย่างคือการปิดอารามของสถานศึกษาหนานซีกับการฆาตกรรมเปี๋ยเทียนซิน รวมถึงการต่อสู้อันน่าหวาดหวั่นที่ตามมา เฉินฉางเซิงหมดสิ้นเรี่ยวแรง ความง่วงค่อยๆ เพิ่มขึ้น
เขากับสวีโหย่วหรงนั่งอยู่บนก้อนหินริมหน้าผา เอนกายพิงกัน ดังเช่นในสวนโจว พวกเขาผ่อนคลายสบายใจทำให้พวกเขาหลับตาลงอย่างรวดเร็ว
หลังจากเวลาผ่านไป สวีโหย่วหรงก็พลันลืมตาขึ้น
นางจ้องมองไปที่ใบหน้าเฉินฉางเซิง ดูเหมือนต้องการจะหาอารมณ์อื่นใดนอกจากความอ่อนล้าบนใบหน้าแต่ก็ไม่พบอะไร
เขายังเป็นเหมือนในอดีต สะอาดจากภายในสู่ภายนอก ไม่แปดเปื้อนผงธุลีไร้ซึ่งความคิดฟุ้งซ่าน
“เฉินฉางเซิง ทำไมเจ้าถึงได้หยุดส่งจดหมายหาข้าหลังจากอายุสิบขวบ”
สวีโหย่วหรงกระซิบกับเขา
เฉินฉางเซิงหลับไปแล้ว ดังนั้นจึงไม่ตอบคำถามของนาง
ทันใดนั้นสวีโหย่วหรงก็ลืมตากว้าง ความสงสัยฉายขึ้นบนใบหน้า จากนั้นนางก็คิดถึงบางอย่างจากนั้นใบหน้านางก็เปลี่ยนเป็นกระวนกระวาย
นางมองไปรอบๆ
ฝูงนกหยุดร้องอย่างฉับพลัน สัตว์อสูรก้มหัวลง แม้แต่กระเรียนขาวก็หันคอไปมองที่ภูเขาห่างไกล
สวีโหย่วหรงก้มหน้าลงจูบ
อืม รสชาติเหมือนนั่วหมี่เกา [1] ไม่เลวเลย
ในตอนนั้นเอง เฉินฉางเซิงก็ลืมตาขึ้น
แต่เขาไม่ได้ถอยไป
——
[1] นั่วหมี่เกา เป็นขนมที่ทำจากข้าวเหนียว